หญิงสาวในร่างนางกายหอมรู้สึกผิดจนแทบไม่กล้าสู้หน้า จริงอยู่ว่าเหตุที่เกิดกับตนเมื่อกลางวันนั้น นาฏกุเวรใช้วิชาเวทย์มนตร์ประกอบการขืนใจตนอย่างชัดเจน แต่ในครึ่งหลังเมื่อมนต์จางลงไปกับเหงื่อแล้ว เธอก็มิอาจปัดป้อง ด้วยรสสวาทที่หวานซ่านสุขเสียจนราวกับตายแล้วเกิดใหม่ซ้ำๆ ความสุขกายที่เกิดจากกามารมณ์อันแสนช่ำชองชำนิชำนาญของนาฏกุเวรนั้นทำให้กากีสุขสมยิ่งกว่าครั้งไหนๆในชีวิต พญาครุฑหนุ่มร่างกำยำล่ำสันมาดเข้มกลับตีความกิริยานั้นไปอีกทางหนึ่ง “ยังไม่หายโกรธเคืองข้าอีกหรือ ชายาข้า ข้าลุแก่โทสะ มัวเมาเพราะรักเพราะหลงเจ้า จึงเคืองแค้นได้เพียงนั้น ข้าเป็นเพียงสัตว์หิมพานต์ผู้โง่เขลา พะเน้าพะนอสตรีอย่างพวกผู้ดีมนุษย์ไม่เก่ง หากเจ้าปรารถนาสิ่งใดก็ขอเพียงเมตตาเอ่ยปากบอกข้า แม้ต้องข้ามน้ำข้ามทะเล ฝ่าห้วงเพลิงโลกันต์ หรือดงหนาม ข้าจะแสวงหามาให้เจ้า” หญิงสาวได้แต่ก้มหน้า ส่ายหน้าหลบสายตา เธอรู้ดีว่า นาฏกุเวรคนธรรพ์จอมเจ้าชู้ เพลย์บอยตัวพ่อก็คงซ่อนซุ่มดูซุ่มฟังอยู่ในห้องนี้แม้ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน รสสวาทเมื่อกลางวันยังหวิววูบในช่องท้อง พูดอะไรก็พูดไม่ออก อายแก่ใจตัวเองเหลือเกิน
คนธรรพ์หนุ่มรูปโฉมงามหน้าเสีย “กระไรเจ้ามาพูดเยี่ยงนั้นกับข้าเล่า กากีเมียรัก เจ้าทำข้าช้ำใจ...” กากีสะบัดหน้าพูดใส่เสียงแข็ง “อย่ามาเรียกข้าด้วยคำว่าเมียอีกเลยนาฏกุเวร คำนั้นสกปรกแสลงใจข้ายิ่ง หญิงที่เจ้าสมสู่หากเจ้าจะเรียกว่าเมีย เจ้าคงมีอักโข ทั่วถึงไปหมดทั้งวังแลทั้งนครพาราณสี พวกนางกำนัลเขาพูดกันให้อึงไป ข้าไม่หมายเป็นหนึ่งในนางเหล่านั้น” บุรุษหนุ่มลูกครึ่งเทพกะพริบตาคิดอยู่นิดหนึ่งก่อนยิ้มออกมา “อ้อ เจ้าขุ่นเคืองด้วยเรื่องนี้เอง ข้าสัญญาแลสาบานด้วยก็ได้ ว่าต่อแต่นี้ไปข้าจะไม่ข้องแวะหญิงใดอีก แต่เจ้าก็ต้องยอมรับคำขอจากข้าด้วย” กากีกลอกตาถอนหายใจ “ไม่ใช่ขุ่นเคือง ไม่ได้งอน ไม่ได้หึงหวงด้วยพิศวาส แต่ข้ารังเกียจ ในโลกที่ข้าจากมา บุรุษมากเมียไม่ได้เป็นที่ชื่นชม แต่เป็นพวกมักมากในกามคุณที่ชอบทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนกายใจ ดูแต่เจ้าอยู่ที่นี่ก็ยังโกหกข้า นอกจากมนต์ที่เจ้าใช้สั่งสกุณีหลับนั้น เจ้ายังสะกดนาง และใช้รูปกายอันงามของเจ้าหลอกนางว่าตนเป็นเทพจำแลงเพื่อเสพสวาทนางอีกด้วยใช่หรือไม่ นางสู้อุตส่าห์รักษาพรหมจรรย์ถนอมนวลมาเป็นอย่างดี แต่เจ้าก็กลับทำลา
“อ๊า ท่อนเนื้อของเจ้าเข้าไปลึกถึงในท้องข้าแล้ว ทำอีกสิยอดรัก กระแทกเข้ามาให้ลึกอีก แรงอีก ข้าอยากได้เจ้า เจ้าทำข้าเสียวซ่านไปหมด” กากีพูดทั้งสะอื้น รังเกียจทั้งสิ่งที่หลุดออกมาจากปากของตน และสิ่งที่คู่เสพสวาทกำลังกระทำอยู่ และยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความรู้สึกเกลียดชังตนเอง ที่ร่างกายกลับรู้สึกตื่นเต้น สุขสมกับสิ่งที่กำลังถูกกระทำ กระแทกหนักรุนแรงดั่งตอกลิ่มเข้าไปในกายนางสุดกำลังถี่ยิบจนวิมานฉิมพลีเขย่าโยกโคลง ใบต้นสิมพลีร่วงหล่นดั่งสายฝน คนธรรพ์จอมคาถาจ้องเข้าไปในดวงตาของนางโฉมงาม ใบหน้าแดงก่ำสองปรางแดงเป็นริ้วตามรอยนิ้วห้อเลือดด้วยแรงบีบเมื่อครู่ ทั้งรัก ทั้งแค้น ทั้งเสียดาย ทั้งเจ็บใจ บุรุษกึ่งเทวะจำแลงปลายท่อนลึงค์ของตนให้บานใหญ่ออกภายในร่องสวาทของกากีจนต้องร้องออกมาอีก “โอยยย ยอดชู้ของข้า คับตึงแน่นไปหมดแล้ว แก่นเนื้อของเจ้า ทำให้กลีบบุปผาข้ากระหาย อยากได้น้ำรักมาเติมเต็มให้กลีบเนื้อของข้าฉ่ำชุ่ม หลั่งออกมาเสียเถิด หยาดน้ำแห่งกามาของเจ้า ฉีดเข้ามาในกายาของข้า ข้าหิวเหลือเกินแล้ว” หญิงสาวเสียงสั่น โลกพร่ามัว ความกระสันใกล้ถึงที่สุดทั้งน้ำตาไหลพราก
หญิงสาวพยักหน้าสะอื้นแล้วเดินเข้าไปใกล้ ร่างของทั้งสองบางเบาพอกัน “ฝุ่นเองค่ะพี่ทศ ฝุ่นหลุดเข้าไปในนิยายเรื่องกากี ร่างนี้เป็นร่างของกากี ฝุ่นเองก็ไม่อยากเชื่อ แต่มันเกิดขึ้นจริงๆ” “เชื่อสิ พี่เชื่อ ทีแรกพี่คิดว่าพี่ตายแล้ว แต่พี่ก็ยังไม่ตาย เดินวนเวียนอยู่ที่นี่ใกล้ๆร่างตัวเอง” ชายหนุ่มตกตะลึง “ฝุ่นสวยมาก... ไม่สิ เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก หลุดเข้าไปในหนังสือเหรอ งั้นแล้วฝุ่นจะกลับออกมาได้ไหม พี่จะช่วยฝุ่นได้ไหม พี่ทำอะไรได้บ้าง” สีฝุ่นในร่างแม่งามกากีรู้สึกวิงเวียน ตาเริ่มพร่า มองเห็นใบหน้าของทศเหมือนพยายามจะพูดอะไรบางอย่างต่อด้วยท่าทางร้อนรน แต่เธอก็ฟังไม่ออก จึงรีบพูดออกไปแทน “พี่ทศรอก่อนนะคะ ถ้าเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์หรือ คนชุดดำ หรือญาติที่ตายไปแล้วมาเรียกอย่าเพิ่งตามไปนะคะ ฝุ่นจะหาทางออกมาให้ได้เร็วที่สุด” ด้วยอารามรีบร้อน เธอคว้าเอาความรู้เรื่องการข้ามภพจากละครหลังข่าว ซีรีย์เกาหลี นิยาย และหนังฝรั่งมาปนกันมั่วไปหมด หลังจากนั้นกากีเหมือนเห็นแสงสีประหลาดแวบวาบรอบตัว รู้สึกคล้ายร่วงหล่น และได้ยินเสียงเปิดพลิกหน้าหนังสือย่า
ดั่งนั้นนาฏกุเวรจึงเอนตัวกระซิบที่ข้างหูของพระเจ้าพรหมทัต เรื่องกลอุบายที่เขาคิดขึ้นมาได้ระหว่างที่เดินทางกลับพาราณสี ด้วยความมั่นอกมั่นใจว่า อย่างไรเสีย จะต้องได้ตัวพระมเหสีกากีกลับคืนมาถวายพระเจ้าเหนือหัวของตนได้อย่างแน่นอน ในห้องทรงสกา องค์เวนไตย พญาครุฑหนุ่มเจ้าหิมพานต์ ในร่างของมานพหนุ่มรูปร่างหน้าตาคมสันสง่างามถวายบังคมองค์พรหมทัตด้วยสีหน้าแช่มชื่น “รอบสกาที่แล้ว ข้าพระองค์ไม่ได้มาร่วมวงสกาด้วย เนื่องจากมีกิจสำคัญที่บ้านติดพันอยู่ ต้องอยู่ชำระสะสางเสียให้เรียบร้อย เสียดายยิ่งนัก ข้อต้องขอกราบประทานอภัยด้วย วันนี้ยินดีนักที่ได้พบฝ่าบาทอีกจะได้ประมือกับผู้เล่นสกาที่เก่งกาจมีไหวพริบดียิ่งนักอีกครา” พระเจ้าพาราณสีมองท้าวเวนไตยอย่างข่มใจ ที่ผ่านมาเรานี้ตาฝ้าฟางด้วยวัยหรือไร้วาสนาถึงขนาดมองคนไม่ออกอย่างนี้เชียวหรือว่าใครเป็นใคร มานพหนุ่ม มนุษย์ผู้มีร่างกายสูงใหญ่ล่ำสันสง่างาม ทว่าลึกลับจนไม่มีใครรู้ว่ามาจากแห่งหนตำบลไหน แข่งสกาชนะคนทั้งเมืองจนได้มานั่งร่วมตั่งเล่นสกากับข้า คนที่ข้าเคยนับเป็นสหาย เคยมองว่ารู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี มองว่าเป็นคนหนุ่ม
“ไหนๆ ส่งมาให้ข้าได้ยลหน่อยเถิด” พระเจ้าพรหมทัตพูดพลางยื่นมือออกไปรับผ้าคลุมไหล่ขนลูกนกนั้นมาไว้ในมือ และยกขึ้นสูดดมเบาๆบ้าง “โอ เนื้อผ้าทั้งหนาทั้งนุ่มลื่นละมุนมือดีแท้ราวกับของทิพย์จากเมืองหิมพานต์ กลิ่นกายนางเนื้อหอมที่ติดมาด้วยก็หอมชวนรัญจวนจิตไม่แพ้กลิ่นแม่งามกากี จะว่าไปแล้ว กลิ่นนี่อาจพูดได้ว่า มาจากกลิ่นสตรีคนเดียวกัน จะเป็นไปได้หรือนาฏกุเวร สตรีอันเจ้าได้เชยชม เมียใหม่หมาดของเจ้า นางก็เป็นธิดาสรรค์กึ่งนางฟ้า กำเนิดในปทุมบุปผาเช่นเดียวกับกากี มหัศจรรย์แท้” เมื่อพระเจ้าเหนือหัวส่งผ้าคืนมาให้ นาฏกุเวรก็สะบัดคลุมไหล่ตน แลเลียนกิริยาท่าทางจริตสตรีของนางกากีพลางว่า “อย่าไปไหนนานนักเล่ายอดรักของข้า นาฏกุเวรผู้บำบัดเยียวยาข้าทั้งกายและใจ ผิวเนื้อทุกองคุลีของข้า แลในหลืบซอกลึกเร้นใดก็ไม่พ้นริมฝีปากเสกเป่าบรรเทาของเจ้า “กระซิบแผ่วเบาที่ข้างแก้มยามนวลปรางเนียนขาวสมชาติกำเนิดกึ่งเทพของสองเราแนบชิดทำเอาข้าสั่นสะท้านทั้งกายใจด้วยเสน่หา มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่รู้จักเอาใจข้า รู้จักใจข้าว่าชอบให้กระทำรักด้วยเยี่ยงไร โดยไม่เอาแต่ใจแลป่าเถื่อนอย่างสัตว์”
มเหสีรัตนมณีหันไปหยิบผ้าคลุมไหล่โปร่งบางสีแดงเลือดนกมาคลุมไหล่ให้นางเอื้องผาแล้วว่า “จะเข้าไปปรนนิบัติพระเจ้าเหนือหัว อยากได้ดิบได้ดีเร็วก็อย่านุ่งห่มให้มันแน่นหนามิดชิดนัก แต่ก็อย่าประเจิดประเจ้อ หากลับตาคนก็แสร้งทำผ้าผ่อนหลุดเสียบ้าง โนมเนื้อถันของเจ้างามใหญ่โตโอ่โถงจรุงตาจรุงใจมิใช่ย่อย ผ้าคาดอกหลุดแล้ว ผ้าโปร่งแดงเลือดนกนี่จะช่วยพรางให้เห็นปลายถันรำไร สีผ้าตัดกับผิวกายสีขาวเหลืองอย่างชาวเมืองเหนือน่าจะเร่งให้เลือดลมคนวัยปลายอย่างพระองค์ให้สูบฉีดไหลเวียนดีขึ้นได้บ้าง หากบุญวาสนาเจ้ามีพอ ระหว่างที่ยังทรงอาลัยอาวรณ์หาแต่นังเด็กกากีนั่น มีเจ้ามาช่วยชุบชูใจเผื่อจะได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นพระสนมเอกไวขึ้นอีกก็ได้ ใครจะรู้” นางเอื้องผากระพุ่มมือก้มไหว้อีกครั้ง “พระมเหสีเมตตาต่อหม่อมฉันเสมอ วางพระทัยเถิดเพคะ หม่อมฉันจะดูแลปรนนิบัติพระเจ้าพรหมทัตเป็นอย่างดีที่สุดทีเดียว” ช่วงเวลานั้น แม้ส่วนใหญ่เป็นไปในทางแช่มชื่นแต่เรื่องที่น่าอึดอัดขัดเคืองใจพระมเหสีคมงามอีกเรื่องก็คือการที่คนธรรพ์หนุ่มเจ้าสำราญรูปงาม กลับดูหงอยเหงาเศร้าสร้อยตามไปด้วยอีกคน แม้ต่อหน้านางจะแสร้ง
ท่าทีที่เกินความคาดหมายของคนธรรพ์ทำเอาพระนางรัตนมณีผงะพระพักตร์ซีดด้วยความตกใจรีบดึงกริชออกจากลำคอคนธรรพ์ แล้วโยนกริชทิ้งไว้ที่มุมห้อง “เป็นบ้าเสียสติไปแล้วหรือ ถึงทำเยี่ยงนั้น” นางสะอื้น “ดูเถิด เลือดออกใหญ่แล้ว” “เรื่องที่เจ้าได้ยินมานั้น แท้จริงแล้ว...” ชายหนุ่มกำลังจะเริ่มกล่อมด้วยถ้อยคำและเนื้อเรื่องใหม่ที่ตนคิดขึ้นมาสดๆ พร้อมร่ายมนต์ไปด้วยแต่ก็พูดได้เพียงเท่านั้น ริมฝีปากอุ่นร้อนชุ่มชื้นของสตรีสูงศักดิ์แนบประกบเข้าที่ริมฝีปาก เนื้อปากอวบอิ่มอุ่นละมุนของนาง ทำให้ชายหนุ่มคลายใจลงมากและคิดว่าคงไม่ต้องใช้มนตราอาคมใดๆเพื่อย้อมใจให้นางเชื่ออีกแล้ว “ไม่ต้องเอ่ยอันใดแล้วนาฏกุเวร ข้าไม่อยากฟัง หากอยากจะบอกว่าเจ้ายังภักดีต่อข้าเพียงใด ก็จงตอบด้วยร่างกายของเจ้าเถิด” ว่าพลางนางสวมกอดแนบแน่น ไล้มือลูบรอบบั้นเอวและลื่นต่ำลงเบื้องล่างไปทางสะโพก เบียดบดกายตนเข้าแนบเนื้อ นมแนบนม ขาแนบขา หน้าท้องป่องนูนเพียงเล็กน้อยเบียดเข้ากับกล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งเกร็งอุ่นร้อนของชายหนุ่ม ชายากษัตริย์เสือกท่อนขาเปลือยเปล่าพ้นผ้านุ่งของตนเข้ากลางหว่างขาของฝ่ายตรงข้าม สอดไล้เล่
แม่ของเธอยิ้มกว้าง ดวงตาสดชื่น ความสุขแผ่เต็มใบหน้าแม้ร่างกายจะซูบผอมหลังจากต้องเฝ้าไข้เธอมายาวนาน เอ่ยตอบน้ำตาคลอ “ให้อ้วนเป็นช้างแม่ก็เลี้ยงไหว ขอแค่ลูกแม่ปลอดภัย อย่าเป็นอะไรไปอีกก็พอแล้ว” แตงกวาถลามาถึงโรงพยาบาลเพียงเพื่อจะพบว่า โรงพยาบาลห้ามเยี่ยมเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 เธอจึงต้องนั่งอยู่ที่ด้านล่างของโรงพยาบาล แล้ววิดีโอคอลคุยกับเพื่อนรัก “แก สรุปเรื่องตอนนั้นที่แกกลับมาในร่างนางแบบวิกตอเรียซีเคร็ท น่ะ เรื่องจริง ฉันไม่ได้ฝัน ไม่ได้บ้าใช่ไหม” แตงกวาถาม หลังจากเห็นเพื่อนสบายดีแล้ว และกำลังกินเอแคล์รที่เธอซื้อมาฝากผู้ช่วยพยาบาลไปเยี่ยม “อืม แกไม่ได้บ้า แต่เรื่องแบบนี้ เล่าให้ใครฟังก็คงไม่มีใครเชื่อเนอะ ลืมๆไปเหอะ” สีฝุ่นพูดขณะเคี้ยวขนมตุ้ยๆ อาการหลังผ่าตัดเธอดีขึ้นอย่างรวดเร็วหมออนุญาตให้กินอาหารได้ตามปกติ นั่นคือข่าวดีที่สุดของเธอ “จะว่าไป แกเสียดายบ้างไหมวะ ที่ไม่ได้อยู่ในร่างสวยเริ่ดเหมือนนางฟ้าแบบนั้นแล้ว” เพื่อนสาวถามตาเคลิ้มๆ “ฉันยังอยากได้เลยแก สิบล้านค่าหมอผ่าไม่รู้จะพอไหมให้ได้สักครึ่งนั่น” สีฝุ่นตอบแบบไม่ลัง
ข้าจะรักษาเจ้าให้ได้กากี เจ้าอย่าเพิ่งหมดหวัง ข้าจะไม่ยอมแพ้ ข้ารักเจ้า ข้ารักลูกของเรา เจ้าห้ามตาย ข้าจะรักษาเจ้ากากี ได้ยินข้าไหม เจ้าต้องรอดให้ได้” กากีคลี่ยิ้ม คำรักนั้นอ่อนหวานนัก ช่างอบอุ่นและจริงใจยิ่ง เป็นความรู้สึกอิ่มเอิบเบิกบานคล้ายมีดอกไม้ทิพย์กลีบบอบบางกลิ่นหอมละมุนบานสะพรั่งอยู่ในอกตน นางคลี่ยิ้มก่อนเอ่ยประโยคสุดท้าย “ข้าก็รักเจ้า กาฬปักษี ข้ารักเจ้า” หลังจากนั้นร่างกายคล้ายถูกฉีกเป็นเสี่ยงๆ นางกระตุกเฮือก ไขว่คว้าเอามือหนานุ่มแสนอบอุ่นนั้นมาแนบที่ใบหน้าก่อนที่หยาดน้ำตาสุดท้ายจะไหลรินลงบนมือนั้น เป็นความอบอุ่นสุดท้ายก่อนชีพนางจะดับลง ฝ่ายนาฏกุเวร แบกดวงใจอันปวดร้าวเดินทางกลับพาราณสี ทุกข์โทมนัสด้วยความสิ้นหวัง กากี แม่งามเอ๋ย ยอดดวงใจพี่ นางในดวงใจที่เฝ้าถนอมรักไว้ใจดวงใจมาตั้งแต่ยังเล็ก ไม่ว่าจะทำอย่างไรนางก็ไม่ยอมรับรัก แม้หักหาญราญเอากายนางเป็นเมีย ปรนนิบัตินางด้วยกามวิเศษ แม้หมายจะเชิดชูให้นางเป็นถึงมเหสีเอก นางก็กลับไม่สนใจ ซ้ำรังเกียจอย่างที่ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนเคยรังเกียจ กล้ากระทั่งทำให้ตนเองพิการอัปลักษณ์เพื่อคนไร้
บรรดาเหล่าพลธนูทั้งนั้นที่มาด้วย เห็นกระจะตาแล้วว่ากากีกำลังท้องแก่จึงเกิดความเวทนา ต่างลังเลไม่กล้ายิง แต่เมื่อถูกสั่งซ้ำโดยหัวหน้านายกอง จึงได้แต่ฝืนยิงอย่างไม่เต็มใจนักกาฬปักษีด้วยความที่หูตาไว ได้ยินเสียงธนูแหวกอากาศก็รีบโอบกากีหลบซุกกับอกตน หันหลังรับลูกธนูแทนนางไปทุกดอก ธนูแต่ละดอกถูกยิงมาโดยไม่เต็มใจ จึงเข้าเป้าอย่างไม่แม่นยำนัก ถูกแขนขาเอาบ้าง ตกลงพื้นบ้าง ทว่าดอกหนึ่งปักทะลุเข้าที่แผ่นหลังตรงอกหมอกาฬปักษีจนเจ็บปลาบ จุกแน่นหายใจไม่เข้า ทรุดลงนั่งกับพื้นกากีกรีดร้อง ร่ำเรียกชื่อชายคนรักสะอึกสะอื้น พยายามคิดหาหนทางรักษากาฬปักษี แต่ก็คิดไม่ออก ได้แต่กอดร่างชายคนรักที่ใกล้จะหมดสติร้องไห้อยู่อย่างนั้น เคราะห์กรรมซ้ำซัด ครรภ์แก่นั้นถึงกำหนดคลอด พิษครรภ์ต่างสายพันธุ์ทำให้ธาตุไฟปั่นป่วนทั่วร่างกายของกากี แสบร้อนไปสิ้นทั้งภายในภายนอก ปวดหัวแทบจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ลมหายใจร้อนผ่าว ดวงตาขาวเริ่มมีเส้นเลือดแตกหลายเป็นสีแดงฉาน หัวใจของนางอยู่ที่การช่วยคนรักเท่านั้น นางจึงฝืนร่างกาย วิ่งกลับขึ้นไปบนบ้าน คว้ามีดได้ ก็กลับลงมาใช้กำลังที่เหลือ ดันลูกธนูให้ทะลุออก แล้วตัด
ตอนนั้นเป็นเวลาเย็นย่ำ พระอาทิตย์กำลังทอแสงสุดท้าย พระเจ้านาฏกุเวรก็มาถึงอาศรมของหมอเทวดากาฬปักษี กำลังพลต่างโอบล้อมอยู่ห่างๆ ส่วนตัวคนธรรพ์ลงจากหลังม้าเดินเข้าไปคนเดียว กากีและกาฬปักษีได้ยินเสียงม้ามาแต่ไกล แต่ไม่ได้เอะใจว่าอาจเป็นผู้ที่นำอันตรายมาให้เข้าใจว่าเป็นผู้ทุกข์จะมาขอความช่วยเหลือรักษาโรค จึงไม่ได้หนีไปทางไหนได้แต่เตรียมหยูกยาอยู่ที่ชานหน้าบ้าน นาฏกุเวรเมื่อเห็นร่างตะคุ่มๆสวมชุดดำอยู่คู่กัน ร่างอรชรนั้น ต้องเป็นกากีไม่ผิดแน่ หัวใจแทบกระดอนออกมาจากอกด้วยความตื่นเต้น “กากี พี่มาแล้ว” นาฏกุเวรร้องเรียกเสียงสั่น กากีที่โพกผ้าคลุมหัวปิดใบหน้าอยู่ครึ่งหนึ่งเย็นวาบจากท้ายทอยไปถึงเท้า เพราะจำได้ดีว่านั่นคือเสียงใคร นางเงยหน้าขึ้นมองด้วยใจหวาดหวั่น กาฬปักษีเงยหน้าขึ้นดูด้วยดวงตาข้างที่ได้มาจากกากี เมื่อเห็นบุรุษรูปกายงามราวเทพบุตรลงมาจากสวรรค์ เสียงไพเราะอ่อนหวาน และเครื่องทรงทองอร่ามสว่างไสวไปหมดทั้งตัวก็นึกรู้ได้ทันที “พระเจ้านาฏกุเวรหรือนั่น” เขารำพึงพลางรีบดึงตัวกากีให้ถอยไปอยู่ด้านหลังตน พระเจ้านาฏกุเวรตวาด
แม้แต่ตัวนางกากีเองก็พลอยตื่นเต้นไปด้วยดั่งว่านี่เป็นประสบการณ์ทางเพศครั้งแรกของตน ตื่นใจ อ่อนหวาน หวั่นไหว ยิ่งเมื่อทั้งสองเริ่มช่วยกันเคลื่อนกายไหวโยก ขยับส่ายสับสะโพก เสือกท่อนเอ็นขนาดเขื่องเคลื่อนเข้า ออกในกายนาง แต่ละครั้งที่ดึงออกแทบถ่ายถอน ก่อนเหวี่ยงสับกระชับ เผียะลงมา ทำเอานางผวาใจแทบหยุดเต้น ปากแนบปาก นมแนบนม ท้องแนบท้อง ในอาณาเขตถ้ำทอง เสียงผิวเนื้อเปียกแฉะด้วยน้ำหล่อลื่นกระทบกันดั่งคนปรบมือถี่กระชั้น สองมือหนานุ่มเกาะยึดสะโพกอรชรไว้แน่น โถมร่างเข้าไปในกายนางครั้งแล้วครั้งเล่า ปทุมถันขาวปลั่งสว่างไสวเคลื่อนไหวกระเพื่อมเป็นจังหวะยิ่งเร้ากำหนัดให้พุ่งสูง เหงื่อกาฬไหลพลั่งดั่งจะขาดใจ หยาดเหงื่อร้อนฉ่าไหลหยดลงบนท้องน้อยของนางแน่งน้อยกากีที่กำลังผวาเฮือกฮุบความสุข วินาทีถัดจากนั้น หมอหนุ่มกาฬปักษีก็พาตนไปถึงที่สุดแห่งกาม คำรามครางในลำคอเสียงแหบพร่า ปล่อยน้ำรักขุ่นข้นเหนียวลื่นพุ่งเท้าเต็มท้องน้อยแม่โฉมงามร่างอรชรที่นอนระทวยอยู่เบื้องล่างตน ด้วยสัญชาตญาณประหลาดของสตรี กากีรู้สึกว่า การร่วมเสพสังวาสกับหมอกาฬปักษี หนุ่มน่ารักใจดีคนนี้ เป็นมากกว่า
นหนึ่งขณะฝนตกหนัก แม่งามกากีวิ่งออกไปเก็บกระจาดสมุนไพรที่ตากแห้งไว้ หมอหนุ่มกาฬปักษีก็แสร้งรีบตามออกไปบ้าง แสร้งลื่นล้มจนเสื้อผ้าเลอะเทอะดินโคลนและเปียกปอนน่าสงสาร กากีเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบวิ่งเข้าไปประคองขึ้น “จะวิ่งออกมาทำไมกัน สมุนไพรพวกนี้จะมีค่าเทียบเท่าเจ้าหรือก็หาไม่ มารีบเข้าอาศรมเถิด ข้าจะช่วยผลัดผ้าและเช็ดตัวให้” เป็นครั้งแรกตั้งแต่เข้ามาในหนังสือเล่มนี้ และเป็นครั้งแรกในชีวิตของสีฝุ่นเองด้วย ที่เป็นฝ่ายเปลื้องผ้าบุรุษ การที่ชายหนุ่มท่วงทีผึ่งผายสมส่วนยืนตระหง่านนิ่งอยู่ โดยที่เขาไม่อาจมองเห็นนางได้ กลับกลายเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น กากีค่อยๆเปลื้องผ้าโพกหัวและเสื้อสีดำสนิทดั่งขนนกกาออก ในแสงสว่างยามฝนตกพร่างพราวด้านนอก แสงตกกระทบนุ่มนวลมองเห็นรายละเอียดของผิวเนียนเรียบสวยสีน้ำผึ้ง ใต้เสื้อผ้าเหล่านี้ซ่อนปิดกล้ามเนื้อหน้าอกและต้นแขนเป็นลอนกล้ามกำยำชวนสัมผัส กลิ่นผิวเนื้อบุรุษโชยหอมคล้ายกลิ่นผ้าห่มตากแดดผสมกลิ่นไอน้ำ นางกายหอมพินิจดูอย่างพินิจพิจารณาโดยไม่ต้องกังวลสายตาของเขา ความรู้สึกอ่อนไหวทางกามารมณ์เริ่มบ่มขึ้น นางได้แต่กัดปากตนเองไว้ด้วยค
ทุกเย็นหลังกากีเช็ดหน้าตาเนื้อตัวแล้ว กาฬปักษีหมอหนุ่มใจดีจะนำเสื้อผ้าใหม่แห้งสะอาดมาให้ แล้วช่วยล้างแผลที่ต้นขาอย่างทะนุถนอม บางครั้งหากเผลอแตะต้องเนื้อต้นขาเธอแรงจนกากีสะดุ้ง เขาก็จะสะดุ้งไปด้วย หญิงสาวก็จะร้อนผ่าวแก้มแดงเรื่อ ดวงตามองเธอด้วยความห่วงใยอย่างที่เริ่มเห็นได้ชัดว่าต่างจากคนไข้อื่น แต่ก็ไม่เคยเอ่ยปากใดๆให้อึดอัด เธอเริ่มอุ่นวาบๆในใจเวลาเขาอยู่ใกล้ๆ ผู้ชายน่ารักเป็นอย่างนี้เอง เธอคิด โชคดีที่ความเป็นกึ่งเทพของกากีทำให้แผลของนางหายเร็ว และฟื้นคืนกำลังได้โดยง่าย กลิ่นกายและเรือนร่างกลับมาหอมรัญจวนใจอีกครั้ง รวมทั้งฤทธิ์ยวนกามาที่เหมือนฟีโรโมนแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ ยากนักที่กาฬปักษีจะหักห้ามใจไม่ให้นึกคิด แต่เขาก็เก็บอาการตนไว้อย่างอดทน ความจริงแล้ว ชายหนุ่มชื่นชมกากีที่เป็นผู้รอบรู้น่าทึ่ง ไม่เกี่ยงความยากลำบาก ไม่รังเกียจบาดแผลหรือผู้ป่วยที่เป็นโรคน่ารังเกียจ ทั้งที่ตัวเองยังบาดเจ็บแต่ก็นึกถึงคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ นิสัยใจคอเมื่ออยู่ใกล้ยิ่งรู้สึกสบายใจ เรื่องรูปโฉมโนมพรรณอันงามของนางนั้นแน่นอนว่างามเลิศพิภพ ในบางอิริยาบทที่เผลอตาไปมองก็ทำเอาอกใจเต้นไห
จนถึงสุดถนนที่เป็นชายป่า เมื่อก้าวพ้นหมู่บ้านออกไปแล้ว ดูเหมือนทุกอย่างที่ปั่นป่วนอยู่ก่อนหน้าก็สงบลง หญิงสาวรู้สึกโล่งใจที่กลับมาได้ยินเสียงนกร้อง และภาพต้นไม้ใบหญ้ารอบตัวชัดเจนไม่พร่าเลือนเหมือนเมื่อครู่ ยกมือทั้งสองข้างขึ้นดูก็ยังเห็นชัดปกติ ลูบไล้ดูรูปร่างหน้าตาตนก็ยังเป็นนางกากีวิไลโฉม กลิ่นกายลึกล้ำหอมรื่น แปลกจัง ทำไมมันไม่เลือนไปเหมือนตอนแรกล่ะ หรือว่าสถานที่นี้อยู่นอกเหนือขอบเขตของเรื่องราวในหนังสือไปแล้ว เธอเลยปลอดภัยงั้นเหรอ หญิงสาวใช้เวลาเดินครุ่นคิดตามลำพังอยู่พักใหญ่ แต่คิดไม่ตกว่าจะออกไปจากที่นี่ได้ยังไง จนในที่สุดเธอก็คิดว่า ในเมื่อเนื้อเรื่องในหนังสือมาถึงตอนจบแล้ว ไม่มีตอนให้ไปต่อ หากจบชีวิตในโลกนี้ได้ อาจหลุดออกไปก็ได้ นึกแล้วก็มองหาคบไม้เหมาะๆ เจอกิ่งไม้ที่ทอดตัวขนานพื้นอยู่สูงไปราวสี่เมตรแล้วปีนขึ้นไปด้านบนปลดผ้าคลุมหน้าออกมัดเข้ากับคบไม้แล้วผูกคอตัวเอง เอามันง่ายๆแบบนี้แหละ หญิงสาวรูปโฉมงามสะคราญหายใจเข้าลึก รวบรวมพลังใจ เอาเถอะ ไม่เห็นมีใครเคยบอกเลยว่าถ้าตายในหนังสือนี่จะทำให้ตัวตนข้างนอกตายไปด้วย บางทีนี่อาจจะเป็น
หญิงสาวทั้งสอง นันทากับกากี ถูกพาวิ่งลงบันไดไปสู่ห้องใต้ดินก่อนพบประตูลูกกรงขนาดเล็กเชื่อมต่อเข้าไปในทางลับ ทหารองครักษ์สี่นายรีบวิ่งเข้าไปไขประตูบุรุษหนุ่มเจ้าเมืองไพศาลีสีหน้าเป็นทุกข์ ประคอง ใบหน้ากากีอย่างถนอม “กากีคนดีของพี่ ตอนนี้ข้าศึกตีเมืองไพศาลีแตกแล้ว พวกมันกำลังบุกยึดวัง พี่ทิ้งข้าราชบริพารและชาวเมืองไม่ได้ พี่นี้ไร้คุณสมบัติจะครองเจ้าแท้ แต่แม้ในช่วงเวลาอันน้อยนิดที่ได้รักและเป็นสวามีของเจ้า เป็นช่วงเวลาที่แสนวิเศษ ชาตินี้คุ้มแล้วที่ได้เกิดมา นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่พี่จะได้ตอบแทนและดูแลเจ้าให้พ้นจากอันตราย หากเจ้าจะจดจำพี่ มิต้องจดจำท้าวทศวงศ์เจ้าเมืองไพศาลี ให้จดจำบุรุษหนึ่งที่รักและภักดีต่อเจ้ายิ่งกว่าบุรุษคนใดในหล้า หากดวงวิญญาณพี่ยังรับรู้ได้ พี่ก็จะตามไปปกป้อง” แล้วก็หันไปหาเจ้าหญิงนันทาเทวีที่ตอนนี้ร้องไห้สะอึกสะอื้นหน้าแดงก่ำ “นันทาน้องรัก เจ้าจงหนีออกไปเสียกับกากี ตลอดชีวิตที่พี่มีเจ้าเป็นน้องรักมานี้ ดวงใจพี่มีแต่ความสุขสดใสแช่มชื่นเสมอสมดังชื่อของเจ้า จงไปอยู่ให้รอดแลใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแทนพี่ด้วยเถิด” นันทาเทวีส่ายหน้าสะอื้