“อ๊า ท่อนเนื้อของเจ้าเข้าไปลึกถึงในท้องข้าแล้ว ทำอีกสิยอดรัก กระแทกเข้ามาให้ลึกอีก แรงอีก ข้าอยากได้เจ้า เจ้าทำข้าเสียวซ่านไปหมด” กากีพูดทั้งสะอื้น รังเกียจทั้งสิ่งที่หลุดออกมาจากปากของตน และสิ่งที่คู่เสพสวาทกำลังกระทำอยู่ และยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความรู้สึกเกลียดชังตนเอง ที่ร่างกายกลับรู้สึกตื่นเต้น สุขสมกับสิ่งที่กำลังถูกกระทำ กระแทกหนักรุนแรงดั่งตอกลิ่มเข้าไปในกายนางสุดกำลังถี่ยิบจนวิมานฉิมพลีเขย่าโยกโคลง ใบต้นสิมพลีร่วงหล่นดั่งสายฝน คนธรรพ์จอมคาถาจ้องเข้าไปในดวงตาของนางโฉมงาม ใบหน้าแดงก่ำสองปรางแดงเป็นริ้วตามรอยนิ้วห้อเลือดด้วยแรงบีบเมื่อครู่ ทั้งรัก ทั้งแค้น ทั้งเสียดาย ทั้งเจ็บใจ บุรุษกึ่งเทวะจำแลงปลายท่อนลึงค์ของตนให้บานใหญ่ออกภายในร่องสวาทของกากีจนต้องร้องออกมาอีก “โอยยย ยอดชู้ของข้า คับตึงแน่นไปหมดแล้ว แก่นเนื้อของเจ้า ทำให้กลีบบุปผาข้ากระหาย อยากได้น้ำรักมาเติมเต็มให้กลีบเนื้อของข้าฉ่ำชุ่ม หลั่งออกมาเสียเถิด หยาดน้ำแห่งกามาของเจ้า ฉีดเข้ามาในกายาของข้า ข้าหิวเหลือเกินแล้ว” หญิงสาวเสียงสั่น โลกพร่ามัว ความกระสันใกล้ถึงที่สุดทั้งน้ำตาไหลพราก
หญิงสาวพยักหน้าสะอื้นแล้วเดินเข้าไปใกล้ ร่างของทั้งสองบางเบาพอกัน “ฝุ่นเองค่ะพี่ทศ ฝุ่นหลุดเข้าไปในนิยายเรื่องกากี ร่างนี้เป็นร่างของกากี ฝุ่นเองก็ไม่อยากเชื่อ แต่มันเกิดขึ้นจริงๆ” “เชื่อสิ พี่เชื่อ ทีแรกพี่คิดว่าพี่ตายแล้ว แต่พี่ก็ยังไม่ตาย เดินวนเวียนอยู่ที่นี่ใกล้ๆร่างตัวเอง” ชายหนุ่มตกตะลึง “ฝุ่นสวยมาก... ไม่สิ เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก หลุดเข้าไปในหนังสือเหรอ งั้นแล้วฝุ่นจะกลับออกมาได้ไหม พี่จะช่วยฝุ่นได้ไหม พี่ทำอะไรได้บ้าง” สีฝุ่นในร่างแม่งามกากีรู้สึกวิงเวียน ตาเริ่มพร่า มองเห็นใบหน้าของทศเหมือนพยายามจะพูดอะไรบางอย่างต่อด้วยท่าทางร้อนรน แต่เธอก็ฟังไม่ออก จึงรีบพูดออกไปแทน “พี่ทศรอก่อนนะคะ ถ้าเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์หรือ คนชุดดำ หรือญาติที่ตายไปแล้วมาเรียกอย่าเพิ่งตามไปนะคะ ฝุ่นจะหาทางออกมาให้ได้เร็วที่สุด” ด้วยอารามรีบร้อน เธอคว้าเอาความรู้เรื่องการข้ามภพจากละครหลังข่าว ซีรีย์เกาหลี นิยาย และหนังฝรั่งมาปนกันมั่วไปหมด หลังจากนั้นกากีเหมือนเห็นแสงสีประหลาดแวบวาบรอบตัว รู้สึกคล้ายร่วงหล่น และได้ยินเสียงเปิดพลิกหน้าหนังสือย่า
ดั่งนั้นนาฏกุเวรจึงเอนตัวกระซิบที่ข้างหูของพระเจ้าพรหมทัต เรื่องกลอุบายที่เขาคิดขึ้นมาได้ระหว่างที่เดินทางกลับพาราณสี ด้วยความมั่นอกมั่นใจว่า อย่างไรเสีย จะต้องได้ตัวพระมเหสีกากีกลับคืนมาถวายพระเจ้าเหนือหัวของตนได้อย่างแน่นอน ในห้องทรงสกา องค์เวนไตย พญาครุฑหนุ่มเจ้าหิมพานต์ ในร่างของมานพหนุ่มรูปร่างหน้าตาคมสันสง่างามถวายบังคมองค์พรหมทัตด้วยสีหน้าแช่มชื่น “รอบสกาที่แล้ว ข้าพระองค์ไม่ได้มาร่วมวงสกาด้วย เนื่องจากมีกิจสำคัญที่บ้านติดพันอยู่ ต้องอยู่ชำระสะสางเสียให้เรียบร้อย เสียดายยิ่งนัก ข้อต้องขอกราบประทานอภัยด้วย วันนี้ยินดีนักที่ได้พบฝ่าบาทอีกจะได้ประมือกับผู้เล่นสกาที่เก่งกาจมีไหวพริบดียิ่งนักอีกครา” พระเจ้าพาราณสีมองท้าวเวนไตยอย่างข่มใจ ที่ผ่านมาเรานี้ตาฝ้าฟางด้วยวัยหรือไร้วาสนาถึงขนาดมองคนไม่ออกอย่างนี้เชียวหรือว่าใครเป็นใคร มานพหนุ่ม มนุษย์ผู้มีร่างกายสูงใหญ่ล่ำสันสง่างาม ทว่าลึกลับจนไม่มีใครรู้ว่ามาจากแห่งหนตำบลไหน แข่งสกาชนะคนทั้งเมืองจนได้มานั่งร่วมตั่งเล่นสกากับข้า คนที่ข้าเคยนับเป็นสหาย เคยมองว่ารู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี มองว่าเป็นคนหนุ่ม
“ไหนๆ ส่งมาให้ข้าได้ยลหน่อยเถิด” พระเจ้าพรหมทัตพูดพลางยื่นมือออกไปรับผ้าคลุมไหล่ขนลูกนกนั้นมาไว้ในมือ และยกขึ้นสูดดมเบาๆบ้าง “โอ เนื้อผ้าทั้งหนาทั้งนุ่มลื่นละมุนมือดีแท้ราวกับของทิพย์จากเมืองหิมพานต์ กลิ่นกายนางเนื้อหอมที่ติดมาด้วยก็หอมชวนรัญจวนจิตไม่แพ้กลิ่นแม่งามกากี จะว่าไปแล้ว กลิ่นนี่อาจพูดได้ว่า มาจากกลิ่นสตรีคนเดียวกัน จะเป็นไปได้หรือนาฏกุเวร สตรีอันเจ้าได้เชยชม เมียใหม่หมาดของเจ้า นางก็เป็นธิดาสรรค์กึ่งนางฟ้า กำเนิดในปทุมบุปผาเช่นเดียวกับกากี มหัศจรรย์แท้” เมื่อพระเจ้าเหนือหัวส่งผ้าคืนมาให้ นาฏกุเวรก็สะบัดคลุมไหล่ตน แลเลียนกิริยาท่าทางจริตสตรีของนางกากีพลางว่า “อย่าไปไหนนานนักเล่ายอดรักของข้า นาฏกุเวรผู้บำบัดเยียวยาข้าทั้งกายและใจ ผิวเนื้อทุกองคุลีของข้า แลในหลืบซอกลึกเร้นใดก็ไม่พ้นริมฝีปากเสกเป่าบรรเทาของเจ้า “กระซิบแผ่วเบาที่ข้างแก้มยามนวลปรางเนียนขาวสมชาติกำเนิดกึ่งเทพของสองเราแนบชิดทำเอาข้าสั่นสะท้านทั้งกายใจด้วยเสน่หา มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่รู้จักเอาใจข้า รู้จักใจข้าว่าชอบให้กระทำรักด้วยเยี่ยงไร โดยไม่เอาแต่ใจแลป่าเถื่อนอย่างสัตว์”
มเหสีรัตนมณีหันไปหยิบผ้าคลุมไหล่โปร่งบางสีแดงเลือดนกมาคลุมไหล่ให้นางเอื้องผาแล้วว่า “จะเข้าไปปรนนิบัติพระเจ้าเหนือหัว อยากได้ดิบได้ดีเร็วก็อย่านุ่งห่มให้มันแน่นหนามิดชิดนัก แต่ก็อย่าประเจิดประเจ้อ หากลับตาคนก็แสร้งทำผ้าผ่อนหลุดเสียบ้าง โนมเนื้อถันของเจ้างามใหญ่โตโอ่โถงจรุงตาจรุงใจมิใช่ย่อย ผ้าคาดอกหลุดแล้ว ผ้าโปร่งแดงเลือดนกนี่จะช่วยพรางให้เห็นปลายถันรำไร สีผ้าตัดกับผิวกายสีขาวเหลืองอย่างชาวเมืองเหนือน่าจะเร่งให้เลือดลมคนวัยปลายอย่างพระองค์ให้สูบฉีดไหลเวียนดีขึ้นได้บ้าง หากบุญวาสนาเจ้ามีพอ ระหว่างที่ยังทรงอาลัยอาวรณ์หาแต่นังเด็กกากีนั่น มีเจ้ามาช่วยชุบชูใจเผื่อจะได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นพระสนมเอกไวขึ้นอีกก็ได้ ใครจะรู้” นางเอื้องผากระพุ่มมือก้มไหว้อีกครั้ง “พระมเหสีเมตตาต่อหม่อมฉันเสมอ วางพระทัยเถิดเพคะ หม่อมฉันจะดูแลปรนนิบัติพระเจ้าพรหมทัตเป็นอย่างดีที่สุดทีเดียว” ช่วงเวลานั้น แม้ส่วนใหญ่เป็นไปในทางแช่มชื่นแต่เรื่องที่น่าอึดอัดขัดเคืองใจพระมเหสีคมงามอีกเรื่องก็คือการที่คนธรรพ์หนุ่มเจ้าสำราญรูปงาม กลับดูหงอยเหงาเศร้าสร้อยตามไปด้วยอีกคน แม้ต่อหน้านางจะแสร้ง
ท่าทีที่เกินความคาดหมายของคนธรรพ์ทำเอาพระนางรัตนมณีผงะพระพักตร์ซีดด้วยความตกใจรีบดึงกริชออกจากลำคอคนธรรพ์ แล้วโยนกริชทิ้งไว้ที่มุมห้อง “เป็นบ้าเสียสติไปแล้วหรือ ถึงทำเยี่ยงนั้น” นางสะอื้น “ดูเถิด เลือดออกใหญ่แล้ว” “เรื่องที่เจ้าได้ยินมานั้น แท้จริงแล้ว...” ชายหนุ่มกำลังจะเริ่มกล่อมด้วยถ้อยคำและเนื้อเรื่องใหม่ที่ตนคิดขึ้นมาสดๆ พร้อมร่ายมนต์ไปด้วยแต่ก็พูดได้เพียงเท่านั้น ริมฝีปากอุ่นร้อนชุ่มชื้นของสตรีสูงศักดิ์แนบประกบเข้าที่ริมฝีปาก เนื้อปากอวบอิ่มอุ่นละมุนของนาง ทำให้ชายหนุ่มคลายใจลงมากและคิดว่าคงไม่ต้องใช้มนตราอาคมใดๆเพื่อย้อมใจให้นางเชื่ออีกแล้ว “ไม่ต้องเอ่ยอันใดแล้วนาฏกุเวร ข้าไม่อยากฟัง หากอยากจะบอกว่าเจ้ายังภักดีต่อข้าเพียงใด ก็จงตอบด้วยร่างกายของเจ้าเถิด” ว่าพลางนางสวมกอดแนบแน่น ไล้มือลูบรอบบั้นเอวและลื่นต่ำลงเบื้องล่างไปทางสะโพก เบียดบดกายตนเข้าแนบเนื้อ นมแนบนม ขาแนบขา หน้าท้องป่องนูนเพียงเล็กน้อยเบียดเข้ากับกล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งเกร็งอุ่นร้อนของชายหนุ่ม ชายากษัตริย์เสือกท่อนขาเปลือยเปล่าพ้นผ้านุ่งของตนเข้ากลางหว่างขาของฝ่ายตรงข้าม สอดไล้เล่
นางดันสองปทุมแนบชิดโอบรอบท่อนเนื้อ สบตามั่นคง แล้วเริ่มขยับรูดขึ้นสุดลงสุดเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ปลายท่อนเนื้อเบ่งบานสีชมพูสดมุดผลุบโผล่เข้าออกที่หว่างถันนางดั่งปลาใหญ่ตัวกำลังมุดหาทางเข้าถ้ำ เมื่อโผล่เกินออกมาจากหว่างอก ริมฝีปากสีแดงงามด้วยแต้มชาดก็ฉกวาบดูดเข้าปากเหมือนแกล้งเย้า ยิ่งเพิ่มความเสียวกระสันต์ตื่นใจมากขึ้นไปอีก บุรุษหนุ่มบิดกายเกร็งเขม็งเสียวซ่านทั้งช่วงล่าง พยายามดึงตัวนางขึ้นมาเพื่อปลดกำหนัดดั่งเคยด้วยความฉ่ำชุ่มนุ่มลื่นของซอกส่วนล้ำค่าที่นางเคยมอบให้ “มาเถิดแม่แก้วคนดี มาให้พี่เสพสมเสียบสอดเจ้าให้ได้ครวญครางข้างหูพี่ดั่งเคย พี่จะทำให้เจ้าสบายตัวยิ่งกว่าทุกครั้ง” นางหญิงอรชรที่กำลังตั้งครรภ์อ่อนอมยิ้ม ส่ายหน้า “ไม่ วันนี้เจ้าต้องอยู่เฉยๆ รับบทอาชาให้ข้าควบขี่บดสีขยี้จนกว่าจะหลั่งน้ำรัก บุปผากลีบเนื้อของข้าจะดูดกินน้ำหวานจากดุ้นเนื้อนุ่มหวานของเจ้าจนกว่าจะหมดเรี่ยวแรงข้าจึงจะพอใจ” ว่าพลางนางยันตัวลุกขึ้น คลานขึ้นมาด้านบน เอื้อมคว้าแก่นเนื้อที่แข็งเขม็งเกร็งอยู่ มาลากถูไถวนรอบปริมณฑลซอกสงวนที่กำลังลื่นนุ่มชุ่มฉ่ำด้วยน้ำรักลื่นเห
ในเช้าวันที่พญาครุฑหนุ่มร่างกำยำท้าวเวนไตยผู้เป็นใหญ่แห่งหิมพานต์บินออกจากวิมานฉิมพลีไปในรุ่ง มิทันถึงราตรีสีฝุ่นหรือในร่างแม่งามกากี หญิงสาวเลอโฉมหยาดฟ้าด้วยชาติกำเนิดกึ่งเทพธิดาก็ได้ประจักษ์แก่ใจตน ว่าเนื้อเรื่องทางพาราณสีได้ดำเนินไปตามครรลองของมันแล้วโดยเธอไม่อาจแก้ไขสิ่งใดได้ ชะตากรรมตามท้องเรื่องทำให้เธอตกที่นั่งลำบากอย่างยากจะหาทางแก้ไขเสียแล้ว หญิงสาวนั่งทอดสายตาเหม่อมองออกไปยังทิวทัศน์ด้านนอก ป่าหิมพานต์ที่งดงามวิจิตร แลไกลสุดลูกหูลูกตาแสงสีประหลาดสวยสดในยามสนธยา ท้องฟ้าเป็นสีแดงส้ม ตกกระทบระยิบผิวน้ำของมหาสมุทรที่ไกลออกไปแต่ยังพอมองเห็น นี่คงเป็นวันสุดท้ายแล้วที่เธอจะได้อยู่ชื่นชมที่นี่ ผนังห้องนอนส่วนทึบที่บุด้วยวัตถุประหลาดสีขาวเหลื่อมลายรุ้ง ตอนนั้นสะท้อนเหลื่อมรุ้งวาววามเจือส้มทองมากขึ้น พี่นภของสีฝุ่น... ธอครวญในใจ แม้ใจหนึ่งจะนึกทำใจเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ว่าเรื่องต้องมาถึงตอนนี้ ต้องตัดใจเพื่อให้เธอได้มีโอกาสออกไปจากหนังสือนิทานคำกลอนกากีได้อย่างปลอดภัย และมีโอกาสได้กลับไปเริ่มต้นใหม่ในโลกที่เธอจากมา แต่การจะตัดใจห่างจากเขาทั้งที่เคยได้ใกล้ชิดสนิทเส
ซินแสหวางว่าต่อ “เมื่อถูกนำมาคืนแล้ว นางก็ถูกจับมัดที่แพเสี่ยงทาย ลอยออกทะเลมาเพื่อทดสอบบุญญาธิการว่าจะยังคู่ควรรับใช้พระเจ้าเหนือหัวพรหมทัตหรือไม่ จนแพของนางลอยมาพบเรือเราเข้า” “สามีขับไสไล่ทิ้งลงทะเล ถ้าอย่างนี้ก็ถือว่านางเป็นหญิงม่ายน่ะสิ” พ่อบ้านกวงร้องด้วยความตกใจ “แบบนี้ยิ่งไม่เหมาะจะอยู่บนเรือเรา ดรุณีสาวแรกรุ่นไม่มีสามี ไม่มีเจ้าของ ยิ่งงามสะคราญกิริยาอาการและกลิ่นผิวกายนางยวนกามาเช่นนี้มากลุ่มบนเรือท่ามกลางบุรุษกลัดมันจำนวนมาก วันใดเกิดคนบนเรืออดรนทนไม่ได้ขึ้นมา มีหวังได้เกิดศึกชิงนาง ฆ่าฟันกันจนเรือแตกแน่ๆ” ต่างคนต่างมองหน้ากันท่ามกลางเสียงคลื่นกระทบเรือและลมทะเลแผ่วผ่านเป็นระยะๆ ในห้องนอนเฉินอี้เฟิง สีฝุ่นในร่างกากีกำลังตื่นตาตื่นใจกับชั้นหนังสือของนายสำเภาหนุ่มรูปงาม “หนังสือเยอะมาก นายสำเภา ท่านเป็นนักอ่านหรือคะ ข้าก็ชอบอ่านเหมือนกัน” ชายหนุ่มยิ้ม “เรียกข้าว่าอี้เฟิงเถิด เราสนิทกันแล้ว” กากีชำเลืองตามามองนิดหนึ่งแล้วหันกลับไปอมยิ้มคนเดียว อันที่จริงหนุ่มสไตล์ตี๋ขาวสูง หล่อสะอาดสง่า สุภาพ น่ารัก ขี้เล่นแบบนี้ ถ้าไ
บนเรือไม่มีสตรีอื่นอีกนอกจากกากี ดังนั้นการจะช่วยเหลือนางอย่างพิถีพิถันเช่นเดียวกับที่กากีเคยได้รับมาจากนางกำนัลพี่เลี้ยงหรือนางรับใช้ย่อมเป็นไปไม่ได้ ถึงกระนั้นเรื่องการดูแลรักษากากีกลับเป็นเรื่องที่ไม่ได้ทำให้เฉินอี้เฟิงลำบากใจแต่อย่างใด กลับดูยินดีปรีดาร่าเริงยิ่งนัก หลังส่งให้ลูกเรือไปช่วยกันหาอาหาร น้ำ และผลไม้ มาเตรียมไว้ให้นางแล้ว เขารีบสั่งไปช่วยลูกเรือค้นหาเสื้อผ้าอาภรณ์ในหีบสินค้าที่อาจติดมาเพื่อค้าขาย ได้ผ้าไหมจีนเนื้อดีและผ้าฝ้ายทอละเอียดเนียนนุ่ม สีสันสวยงามหลากหลายมาให้กากีไว้ผลัดใส่หลายพับวางไว้ให้นางที่ข้างม่าน พร้อมชามใบใหญ่ใส่น้ำอุ่นและผ้าผืนเล็กๆอีกผืนวางให้ “รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเช็ดเนื้อเช็ดตัวเสียเถิดแม่นาง สวมเสื้อผ้าเปียกชุ่มน้ำทะเลเช่นนั้นนานนักจะเจ็บไข้เอาได้ ข้าไม่มีชุดสตรีบนเรือเลย แต่ก็เลือกผ้าพับงามๆมาให้เจ้าแล้ว เจ้าลองเลือกใช้ห่มพันกายดูเถิด เข็มกลัดก็มีไว้ให้พร้อมแล้ว” แสงที่ส่องมาจากหลังม่านอวดให้เห็นสรีระเปลือยเปล่าของนางทาบทับอยู่บนเนื้อผ้า สรีระของนางที่ควรนูนก็นูนเต่ง ที่ควรเว้าก็เว้าคอด แขนขาเรียวกลมกล
ผิวกายที่ต้องกระทบแสงแดดสว่างเจิดจ้าเรืองรองฉ่ำน้ำราวกับไข่มุกทะเลกลางมหาสมุทร เส้นผมตรงดำขลับเงางามเหมือนเส้นไหมยาวสยาย คิ้วงามเป็นรูปโค้งน้อยๆรับกับรูปตา ดวงตาเรียวโตงามดั่งลูกกวางหางตาช้อยเชิดเหมือนวาด แพงอนตาหนางอนงาม จมูกโด่งงอนจิ้มลิ้มพริ้มเพรา สองปรางแดงปลั่งดั่งผลท้อจีน แลปากอวบอิ่มสีชมพูสดนั้นอีกเล่า ไม่ต้องพูดถึงเรือนร่างงดงามทุกสัดส่วน ถันแลสะโพกกลมกลึงดั่งปั้น เอวคอดกิ่ว ยิ่งกายนางเมื่อกระทบละอองน้ำทะเลจนอาภรณ์สีขาวเปียกฉ่ำแนบเนื้อเช่นนั้น กลิ่นกายหอมหวลยวนกามาของแม่งามแน่งน้อยกากีก็ยิ่งขจรขจายไปไกลจนได้กลิ่นกันทั่วทั้งเรือ ทั้งลูกเรือนายเรือทั้งหลายต่างก็พากันวิ่งมาเกาะกราบเรือข้างนั้นจนเรือเอียงกะเท่เร่ไปข้างหนึ่ง หากเรือมิได้บรรทุกสินค้ามาด้วยจนเพียบเต็มลำเรือ แลอับเฉาท้องเรือหลายตัวคอยช่วยถ่วงน้ำหนัก เรือสำเภาจีนลำนี้คงพลิกคว่ำล่มลงไปแล้วเพราะพิษความงามของกากีแน่แท้ “เอ้า วิปลาสกันไปหมดแล้วหรือ ไต้ก๋งอยู่ไหนนี่” พ่อบ้านกวงที่เพิ่งหายจากอาการตกตะลึงรีบร้องเรียก ไต้ก๋งที่ก็มายืนเนียนจ้องนางโฉมงามอยู่ในหมู่ลูกเรือได้ยินเสียง
แม่เงือกน้อยรีบส่ายหน้า “ตายไม่ได้ค่ะ พี่สีฝุ่นตายไม่ได้” เธอว่า เสียงหวาน “อีกไม่นานก็จะพบเรือสำเภาแล้ว กระแสน้ำเปลี่ยนทิศนิดหน่อยเท่านั้นเอง สีฝุ่นอึ้งจนพูดแทบไม่ออก อะไรเนี่ย ในเรื่องกากีมีเงือกด้วยเหรอ แปลกไปแล้ว ต่อให้เป็นนิยายแฟนตาซีแบบนี้ก็เถอะ จะว่าเป็นตัวละครไร้บท ก็ไร้บทเสียจนไม่เคยปรากฏในเรื่องเลยด้วยซ้ำมั้ง แม่เงือกสาวยิ้มให้สีฝุ่นจนยาหยี ดูร่าเริงสดใสและท่าทางตื่นเต้นนิดๆ เธอขยับมานั่งใกล้ๆสีฝุ่นห้อยส่วนหางปลาบานใหญ่สีขาวเหมือนหางปลาทองลงจุ่มน้ำ สะบัดเล่นจนน้ำกระจายเป็นวง “ทำไมล่ะ ทำไมถึงตายไม่ได้ ยังไงเสีย คนที่มาที่นี่ก็มีแต่สองทาง คือออกไปทางหน้าสุดท้าย หรือไม่ก็หายไป มันก็เท่านั้นนี่” สีฝุ่น น้องเงือกน้อยแก้มแดงอมยิ้ม “พี่สีฝุ่นเล่นเป็นนางกากีได้เก่ง และฉลาดกว่าคนอื่นๆที่เคยหลุดเข้ามาที่นี่เยอะเลยค่ะ หนูละลุ้นระทึกทุกตอนเลย ตอนที่พานางกำนัลไร้นามเข้าไปร่วมหอด้วยอีกคนนี่แบบ โอ้โห คิดได้ไงเนี่ย เพราะงั้นพี่สีฝุ่นห้ามตายนะคะ หนูเป็นแฟนคลับนิยายกากี แอบฟังพวกมนุษย์ตัวประกอบไม่มีบทพูดเรื่องเล่าของพี่มานานแล้ว เมื่
“ขอบคุณพี่เอื้องผาที่เมตตานำสารนี้มาบอกข้า แต่หากมีโอกาสฝากไปบอกเขาด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ ว่าข้าไม่ต้องการให้เขาช่วย และไม่ต้องการให้เข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องใดๆของตัวข้าอีกแล้ว” ทว่า นาฏกุเวรเองก็ไม่มีโอกาสเช่นนั้น เนื่องจากรุ่งเช้าต่อมา นางกากีก็ถูกลากตัวจากที่นอน และจับผลัดผ้าเป็นชุดนุ่งขาวห่มขาวเพื่อเข้าพิธีกรรมเสี่ยงทายตามความเชื่อ ใครบางคนว่า เวลาของพิธีกรรมถูกเลื่อนให้เร็วที่สุดเพราะมีข่าวระแคะระคายว่าจะมีคนมาชิงตัวช่วยกากีนั่นเอง และเมื่อแดดแรกของวันมาถึง กากีก็ถูกจับขึ้นไปนั่งกลางแพไม้ที่มีเสาหลักอยู่ตรงกลางแพ และให้นั่งกอดเสา มัดมือติดกับเสาเอาไว้ ท่ามกลางสายตาชาวเมืองพาราณสีที่พากันมามุงดูชะตากรรมอันน่าเวทนาของอดีตพระมเหสีแน่นขนัดเต็มริมชายหาด เสียงพูดคุยอุทานเซ็งแซ่ถึงความงามเหนือคำพรรณนาของนางกากี แม้ไร้เครื่องประดับตกแต่งใดๆก็ยังงามผุดผ่องราวหยาดจากสวรรค์ ผิวพรรณส่องสว่างเรืองรองวาวฉ่ำดั่งประกายไข่มุก คิ้วได้รูปเป็นดั่งมงกุฎพักตรา เหนือดวงตาลูกกวางน้อย ขนตางอนหนาพลิกพลิ้ว ปากอวบอิ่มเม้มแล้วคลายออก อกตึงปลั่ง เอวคอด สะโพกกลมผาย เรียวขางามกลม
เมื่อเนื้อเรื่องมาถึงตรงนี้แล้ว สีฝุ่นในร่างนางกากีผู้เลอโฉม ระทมตรมทุกข์เสียจนไม่มีแก่ใจจะสนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัวเสียแล้ว รักแรกรักแท้ที่เธอเฝ้าถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูในหัวใจมาหลายปี ในโลกของเธอนอกจากเขาจะไม่เคยชายตามอง เขายังประกาศแต่งงานกับคนอื่นไปโดยแทบไม่เคยเห็นว่าเธอมีตัวตน อุตส่าห์ได้มาสมหวังสมรักกันที่นี่ ในโลกแฟนตาซีเรื่องกากีนี้ ก็มีอันต้องพลัดพรากจากกันไปตามท้องเรื่องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อีก สีฝุ่นหัวใจสลาย หมดจิตหมดใจจะดิ้นรนต่อสู้อะไรเพื่อตัวเองอีก มันคงถูกต้องแล้ว มันคงเป็นเช่นนั้น คนที่แพ้อย่างเธอ ไม่ว่าจะอยู่โลกไหนก็ไม่มีวันได้สมรัก ไม่มีวันได้อยู่กับคนที่รัก แม้จะสวยเลิศเลอเฟอร์เฟคไร้ที่ติ อย่างนางกากีเนื้อหอม ไม่มีทางหาข้ออ้างอะไรได้อีกแล้ว เสียงหึ่งๆของผู้คนพูดคุยดังรอบตัวเธอขณะนั่งเท้าแขนร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่กับพื้นท้องพระโรง น้ำตาร่วงหล่นลงบนพื้นพรมผ้าทอสีแดงเลื่อมทองลวดลายวิจิตรจนเปียกเป็นหย่อมๆ เลือนรางคล้ายเหนือหัวพรหมทัตเข้ามาประกองกายให้ลุกขึ้น แต่ก็ถูก ใครว่าอะไรบ้างก็ไม่ได้ยินชัดถนัดนักในเวลาอย่างนี้ แต่การณ์ก
ว่าแล้วพญาครุฑหนุ่มก็เริ่มฉุดกระชากลากแขนนางไปยังทางออกวิมาน ส่วนกากีผู้เลอโฉมตอนนี้ดวงใจบอบช้ำยับเยินจากถ้อยคำที่กรีดแทงเหล่านั้นจนแทบสิ้นเรี่ยวแรง ทิ้งตัวลงกอดขาสวามียอดรักเอาไว้แน่น สัญชาตญาณของคนที่กำลังจะสูญเสียทำให้เธอไม่คิดถึงทางออกอื่นอีก นอกจากจะยื้อรั้งช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันให้นานที่สุด “พี่นภคนดี ท้าวเวนไตยยอดรัก สวามีแห่งข้า หากท่านโกรธแค้นข้าถึงเพียงนั้น สู้ฉีกเนื้อเถือหนังข้าเสียให้ตายลงตอนนี้เลยยังจะดีเสียกว่า ข้ายอมตาย ยอมตายด้วยน้ำมือของคนที่รักบูชาที่สุด ยอมตายอยู่ในวิมานที่เราเคยได้สร้างรังรักร่วมกันนี้ ดีกว่าให้กลับไปอยู่ท่ามกลางผู้คนที่ข้าชังจนไม่หมายเห็นหน้าค่าตากันอีก” นางสะอื้นตัวโยน ต้นแขนแดงก่ำเป็นรอยนิ้วและรอยเล็บจิก บุรุษหนุ่มแห่งหิมพานต์ก้มลงหมายจะสะบัดขาไล่นางออกให้พ้น แต่เมื่อได้สบตา เห็นใบหน้างามแช่มช้อยเศร้าสร้อย น้ำตาไหลพรากอาบแก้ม ดวงตากลมโตสุกใสดั่งลูกกวางน้อยหรี่แสงลง แผงขนตางอนงามชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำตา สองปรางแดงก่ำด้วยช้ำชอกใจ ปากสั่นระริก เหงื่อนางไหลซึมไปทั่งร่างด้วยความหวาดกลัว องค์เวนไตยก็หัวใจอ่อนยวบลงทันที
นางวิหครับใช้เอื้อมมือมาประคองมือของกากีให้เข้ามาแนบกับท้องของตน มีความเคลื่อนไหวเบาบางของบางสิ่งอยู่ในนั้น อาจไม่ถึงกับเหมือนเด็กเตะ หรือตัวอะไรดิ้น แต่เธอก็รับรู้ได้ สกุณีมีครรภ์แล้วจริงๆ “โอรสของคีตเทพเจ้าค่ะ ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ได้ฝัน ท้าวเวนไตยก็ไม่เชื่อ เทวะมาอุ้มข้าไปร่วมสมจริงๆ ซ้ำยังมอบโอรสเทพให้ข้าอุ้มท้องด้วย ชาติกำเนิดของบุตรข้าไม่ใช่ลูกนกทั่วไป คงไม่อยากเติบโตในเปลือกไข่ จึงกำเนิดในครรภ์ข้าเป็นตัวอ่อนรอกำเนิด ข้าเองก็ยังไม่รู้ว่าจะคลอดและเลี้ยงเขาให้ต่างจากลูกปักษีอย่างไร แต่ข้ารักลูกข้าเหลือเกิน” ใบหน้ายิ้มแย้มของนางทำให้กากีอดเอ็นดูไม่ได้ โถ แม่เด็กน้อยเอ๋ย ซื่อแท้ๆ เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว กากีจึงยังไม่กล้าเล่าว่า บุตรในครรภ์ของนางเป็นบุตรของนาฏกุเวรคนธรรพ์จอมเจ้าเล่ห์ ที่ถึงแม้จะเป็นลูกครึ่งเทวะ และมีเวทย์มนต์กลคาถามากมาย แต่ก็หาใช่คีตเทพตัวจริงจากสวรรค์ดั่งที่นางเข้าใจ ซ้ำยังเพียงใช้นางสกุณีเป็นทางผ่านเพื่อให้เข้ามาถึงตัวกากีได้ หญิงสาวผู้เลอโฉมยิ้มเอ็นดู “บุตรของเจ้าช่างมีบุญแท้ ได้มาเป็นลูกของแม่สกุณีน่ารักเช่นเจ้า ต่อไปขอให้เขาได
ในเช้าวันที่พญาครุฑหนุ่มร่างกำยำท้าวเวนไตยผู้เป็นใหญ่แห่งหิมพานต์บินออกจากวิมานฉิมพลีไปในรุ่ง มิทันถึงราตรีสีฝุ่นหรือในร่างแม่งามกากี หญิงสาวเลอโฉมหยาดฟ้าด้วยชาติกำเนิดกึ่งเทพธิดาก็ได้ประจักษ์แก่ใจตน ว่าเนื้อเรื่องทางพาราณสีได้ดำเนินไปตามครรลองของมันแล้วโดยเธอไม่อาจแก้ไขสิ่งใดได้ ชะตากรรมตามท้องเรื่องทำให้เธอตกที่นั่งลำบากอย่างยากจะหาทางแก้ไขเสียแล้ว หญิงสาวนั่งทอดสายตาเหม่อมองออกไปยังทิวทัศน์ด้านนอก ป่าหิมพานต์ที่งดงามวิจิตร แลไกลสุดลูกหูลูกตาแสงสีประหลาดสวยสดในยามสนธยา ท้องฟ้าเป็นสีแดงส้ม ตกกระทบระยิบผิวน้ำของมหาสมุทรที่ไกลออกไปแต่ยังพอมองเห็น นี่คงเป็นวันสุดท้ายแล้วที่เธอจะได้อยู่ชื่นชมที่นี่ ผนังห้องนอนส่วนทึบที่บุด้วยวัตถุประหลาดสีขาวเหลื่อมลายรุ้ง ตอนนั้นสะท้อนเหลื่อมรุ้งวาววามเจือส้มทองมากขึ้น พี่นภของสีฝุ่น... ธอครวญในใจ แม้ใจหนึ่งจะนึกทำใจเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ว่าเรื่องต้องมาถึงตอนนี้ ต้องตัดใจเพื่อให้เธอได้มีโอกาสออกไปจากหนังสือนิทานคำกลอนกากีได้อย่างปลอดภัย และมีโอกาสได้กลับไปเริ่มต้นใหม่ในโลกที่เธอจากมา แต่การจะตัดใจห่างจากเขาทั้งที่เคยได้ใกล้ชิดสนิทเส