สกุณีนกน้อยสะกดกลั้นจิตใจตนต่อสู้กับความรู้สึกเต็มที่ เพื่อควบคุมตนเองให้ได้เอ่ยปากพูดตามเจตนาที่ตั้งใจ“โอ องค์เทวะเจ้า ข้าหรือจะรังเกียจบุตรแห่งสวรรค์ผู้งามสรรพแลยอมลดตนมาเสพนางนกหิมพานต์อย่างข้าเช่นนี้ได้ เพียงแต่ข้ามีความตั้งใจเอาไว้แต่แรกว่า ข้าจะยังไม่อุ้มครรภ์วางไข่อยู่ติดรังเลี้ยงดูลูกนก เนื่องด้วยข้ายังอยากมีชีวิตอิสระอย่างที่ตนเลือก ขอเพียงท่านรับปากข้า ว่าจะไม่ฝากธารเชื้อกำเนิดเอาไว้ในช่องนาภีเท่านั้น ข้าก็ยินดีร่วมสมด้วยท่านจวบหิมพานต์สลาย” นาฏกุเวรที่ตอนที่เลือดในกายสูบฉีดรุนแรงจนร่างกายแทบปริแตกรีบก้มจุมพิตนางที่ริมฝีปากเผยอฉ่ำชื้น “เท่านั้นเองหรือ แม่นกน้อยของข้า เดือนดาวบนฟ้าหากเจ้าปรารถนาข้ายังจะหามาให้เจ้าได้ขอเพียงเจ้าเอ่ยปาก ข้าสัญญาจะไม่หลั่งน้ำเชื้อกำเนิดทิ้งไว้ในกายเจ้า...” พูดยังไม่ทันขาดคำ สาวกำดัดที่คั่งไปด้วยกำหนัดแน่นจนอกเจียนระเบิด ทั้งด้วยมึนเมารสกามแลผลจากมนตร์สะกดของนาฏกุเวร โอบแผ่นหลังและเอวของมนุษย์ครึ่งเทพดึงเข้าหากายตนด้วยแรงปรารถนา กลั้นหายใจด้วยความจุกเสียดในช่องท้องจนหายใจหายคอแทบไม่ได้ รสสวาทหวามหวานแทรกซ่านสอ
“กามทิพย์ดีงามเยี่ยงนี้เอง แม้ร่วมเสพสมพาสครั้งแรก เยื่อใยพรหมจรรย์ขาดสิ้นแล้วร่างกายข้าก็ยังไม่เจ็บปวดชอกช้ำอย่างสตรีทั่วไป รสกามสุขสำราญนัก เปรียบดั่งผลไม้หิมพานต์รสหวานหอมที่ไม่มีความฝาดขมเจือปน ซ้ำยังไม่ต้องกังวลเรื่องต้องอุ้มท้องออกไข่กกลูกน้อยในรังอีกด้วย ราวกับข้าเกิดมาเพื่อรอคอยเทวะหนุ่มรูปงามองค์นี้” นางคิดพลางออกไปจัดเตรียมอาหาร ลูกไม้หิมพานต์ และน้ำหวานดอกไม้ ยังหม้อปรุงสมุนไพรเยียวยาเรียกกำลังอีก เมื่อคืนนี้ท้าวเวนไตยและพระชายาให้กำลังหักโหมนัก คงต้องเรียกกำลังอีกมากจึงจักฟื้นคืนได้ เมื่อนางยกถาดอาหารเข้าไปในห้องบรรทมสีขาวเหลื่อมลายรุ้งงาม ก็พบพระชายากากีนอนหลับใหลนิ่งอยู่ที่ฟูก ส่วนท้าวเวนไตยผู้เป็นใหญ่นั่งกระสับกระส่ายอยู่ข้างๆ “มาเสียทีสกุณี ข้าเรียกอยู่ตั้งหลายคำไม่ได้ยินหรือ เร่งมาดูนายหญิงของเจ้าทีเถิด นางนิ่งไปแต่เมื่อคืน ซ้ำยังตัวร้อนรุมคล้ายจะมีไข้ ข้าเองก็มีกิจด่วนต้องเร่งไปดูแลแก้ไข มีสายข่าวจากนกยามริมอาณาเขตมหาสมุทร บอกว่ามีพวกนาคแปลงขึ้นมามีเรื่องวิวาทกับชาววิหค ไปแล้วจะรีบจัดการกิจให้ลุล่วงโดยเร็วแล้วกลับมาดู ข้าฝากกากีไว้
กึ่งเทวดาหนุ่ม ใบหน้างามหมดจดผุดผ่องกระซิบต่อ “มาเถิด พี่เป็นกึ่งเทพ นอกจากมนต์ดนตรีคีตศิลป์แล้ว ยังพอมีพลังบำบัดรักษา พี่จะช่วยน้องให้หายเจ็บ อย่ากลัวเลยนะกากี” กากีเงยหน้าสบตาชายหนุ่มตรงหน้า ดวงตาเบิกโพลงมองเนื้อตัวที่สว่างเรื่อเรืองขึ้นมาได้เองอย่างน่าอัศจรรย์ เขาหลับตาขยับปากพึมพำบางอย่าง แล้วเป่าเบาๆที่ต้นแขน ตรงที่เป็นรอยช้ำปื้นใหญ่เขียวม่วง ริมฝีปากเกือบแตะเนื้อต้นแขน ลมหายใจร้อนผ่าว น่าประหลาดใจยิ่ง ความเจ็บปวดหนึบทรมานจากรอยช้ำนั้นค่อยลดลงเรื่อยๆ เมื่อเหลือบมอง ก็พบว่ารอยช้ำปลาสนาการไปสิ้น เหลือเพียงผิวเนื้อนวลปลั่งขาวสะอาดสะอ้านเช่นเดิม “ทะ...ทำได้ยังไง” ในช่วงเวลาของความสับสน สีฝุ่นในร่างกากียังอุตส่าห์พยายามนึกถึงเหตุผลในแง่วิทยาศาสตร์ เออ ลืมไป นี่มันนิยายไทยแฟนตาซี “พี่ต้องขอโทษด้วยที่อาจจะต้องล่วงเกิน กากีคนงาม มเหสีของพระเจ้าพรหมทัต ได้ใกล้ขนาดนี้กลิ่นกายของน้องหอมรัญจวนยิ่งนักจนหัวใจพี่แทบมอดไหม้ด้วยความสิเน่หา เห็นเจ้าเจ็บระบมไปหมดอย่างนี้พี่ใจแทบขาด ให้พี่ได้ช่วยรักษารอยฟกช้ำ ให้พี่ได้ถอนพิษไข้ให้เจ้าเถิด” คนธรรพ์หนุ่
นาฏกุเวรเลิกคิ้วข้างหนึ่ง อมยิ้มขันๆ“อะไรกันนี่ ขนาดถูกมนต์ของข้าแล้ว ยังขัดขืนได้อีกหรือ พลังจิตเจ้าแข็งแกร่งนักกากี ต่างจากสตรีนางอื่นๆ เอาเถิด ข้าจะช่วยเจ้าตัดสินใจเอง โอม มหามนตรา จงอ่อนระทวยให้กับรสรักของข้าที่จะปรนเปรอเจ้า แล้วเจ้าจะได้ลิ้มรสกามที่เลิศจนหาที่ใดเปรียบไม่ได้ ข้าจะปรนนิบัติเจ้าให้ลืมเจ็บ ลืมตาย ลืมชายทุกคนในสามโลก” “ไฟน้ำค้างครับ รับไปสิครับ นี่น่าจะเหมาะกับคุณ” บาร์เทนเดอร์หนุ่มใบหน้าคมหวานคนนั้นยื่นแก้วบอบบางนั้นเข้ามาให้ กากีรับไว้ เมื่อเขาเคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ สีฝุ่นเพิ่งตระหนักว่า ใบหน้าสวยหวาน ผิวพรรณผุดผ่องงามสะดุดตาน่าพิสมัยของนาฏกุเวรนี้จำได้คลับคล้ายคลับคลามาจากที่ใด ริมฝีปากอุ่นร้อนประกบลงมาอีกครั้งที่ริมฝีปากกากีคนสวย ความร้อนซ่าแผ่ซ่านจากผิวเนื้ออ่อนนิ่มขึ้นไปทั่วศีรษะและวิ่งพล่านลงทั่วกายา ร้อนซ่านร่านสุขอย่างน่าอัศจรรย์ ดวงตาเธอหรี่ปรือ ครางเสียงสั่นออกมาจากลำคอ ขณะเสียงกระซิบแผ่วดังขึ้นข้างหู “ต้องอย่างนี้สิ แม่งามของพี่ ผุดผ่องดั่งน้ำค้างยามอรุณฉาย ทว่าร้อนเร่าราวเปลวไฟ มาเถิด พี่จะนำความสำราญมาเปร
“อย่ารบกวนนางเลยกากีเอ๋ย นางอยู่ในห้วงนิทรา และจะไม่ตื่นมาจนกว่าสองเราจะสุขสม” ชายหนุ่มหน้าหวานริมฝีปากแดงเลือดฝาดพูดเสียงกระเส่าที่ข้างหูแม่งามหยาดฟ้า สูดดมกลิ่นกายนางเข้าเต็มปอด แล้วกดสะโพกตนลง เรือนร่างผุดผาดงามวิไลถึงกับสะดุ้งเฮือก ตัวกระดอนขึ้นเมื่อแก่นกายบุรุษเสือกสอดเข้ามาในช่องสวาทฉ่ำลื่นหอมรัญจวนของตนจนสนิทแนบแน่น ผกากลีบเนื้อนางที่อวบอูมคับแน่นบวมเป่งด้วยเลือดลมหล่อเลี้ยงตามวิถีของกามาบีบรัดเป็นจังหวะตุบตับภายใน ท่อนเนื้อแข็งแกนแต่นุ่มหยุ่นด้านนอก ขนาดลำลึงค์ปรับรับพอดีกับร่องสงวนของนางอย่างน่าอัศจรรย์ เป็นความรู้สึกสัมผัสที่เข้มข้น ตรงกันข้ามกับความเจ็บปวด ทุกองคุลีที่เนื้ออ่อนเสียดสี เสียบใส่เข้ามาในกายนางนั้น ดังกับเป็นเครื่องกำเนิดความสุขกระสันซ่านเสียวจนสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ตั้งแต่ปากทางสวาท วาดยาวลากเข้ามาถึงกึ่งกลางช่องนาภี ตึงแน่นเสียจนจุกเสียด ผิวเนื้อนางกากีสั่นระรัวเต้นยิบ ร้อนซ่าไปทั่วทุกรูขุมขน เหงื่อไหลซึมเป็นเม็ดพราวทั่วร่าง สองขากางออกกว้างสั่นระริกไปถึงปลายเท้า หายใจไม่ทั่วท้อง ปลายถันสีแดงหมากสุกแข็งเป่งอยู่บน
หญิงสาวในร่างนางกายหอมรู้สึกผิดจนแทบไม่กล้าสู้หน้า จริงอยู่ว่าเหตุที่เกิดกับตนเมื่อกลางวันนั้น นาฏกุเวรใช้วิชาเวทย์มนตร์ประกอบการขืนใจตนอย่างชัดเจน แต่ในครึ่งหลังเมื่อมนต์จางลงไปกับเหงื่อแล้ว เธอก็มิอาจปัดป้อง ด้วยรสสวาทที่หวานซ่านสุขเสียจนราวกับตายแล้วเกิดใหม่ซ้ำๆ ความสุขกายที่เกิดจากกามารมณ์อันแสนช่ำชองชำนิชำนาญของนาฏกุเวรนั้นทำให้กากีสุขสมยิ่งกว่าครั้งไหนๆในชีวิต พญาครุฑหนุ่มร่างกำยำล่ำสันมาดเข้มกลับตีความกิริยานั้นไปอีกทางหนึ่ง “ยังไม่หายโกรธเคืองข้าอีกหรือ ชายาข้า ข้าลุแก่โทสะ มัวเมาเพราะรักเพราะหลงเจ้า จึงเคืองแค้นได้เพียงนั้น ข้าเป็นเพียงสัตว์หิมพานต์ผู้โง่เขลา พะเน้าพะนอสตรีอย่างพวกผู้ดีมนุษย์ไม่เก่ง หากเจ้าปรารถนาสิ่งใดก็ขอเพียงเมตตาเอ่ยปากบอกข้า แม้ต้องข้ามน้ำข้ามทะเล ฝ่าห้วงเพลิงโลกันต์ หรือดงหนาม ข้าจะแสวงหามาให้เจ้า” หญิงสาวได้แต่ก้มหน้า ส่ายหน้าหลบสายตา เธอรู้ดีว่า นาฏกุเวรคนธรรพ์จอมเจ้าชู้ เพลย์บอยตัวพ่อก็คงซ่อนซุ่มดูซุ่มฟังอยู่ในห้องนี้แม้ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน รสสวาทเมื่อกลางวันยังหวิววูบในช่องท้อง พูดอะไรก็พูดไม่ออก อายแก่ใจตัวเองเหลือเกิน
คนธรรพ์หนุ่มรูปโฉมงามหน้าเสีย “กระไรเจ้ามาพูดเยี่ยงนั้นกับข้าเล่า กากีเมียรัก เจ้าทำข้าช้ำใจ...” กากีสะบัดหน้าพูดใส่เสียงแข็ง “อย่ามาเรียกข้าด้วยคำว่าเมียอีกเลยนาฏกุเวร คำนั้นสกปรกแสลงใจข้ายิ่ง หญิงที่เจ้าสมสู่หากเจ้าจะเรียกว่าเมีย เจ้าคงมีอักโข ทั่วถึงไปหมดทั้งวังแลทั้งนครพาราณสี พวกนางกำนัลเขาพูดกันให้อึงไป ข้าไม่หมายเป็นหนึ่งในนางเหล่านั้น” บุรุษหนุ่มลูกครึ่งเทพกะพริบตาคิดอยู่นิดหนึ่งก่อนยิ้มออกมา “อ้อ เจ้าขุ่นเคืองด้วยเรื่องนี้เอง ข้าสัญญาแลสาบานด้วยก็ได้ ว่าต่อแต่นี้ไปข้าจะไม่ข้องแวะหญิงใดอีก แต่เจ้าก็ต้องยอมรับคำขอจากข้าด้วย” กากีกลอกตาถอนหายใจ “ไม่ใช่ขุ่นเคือง ไม่ได้งอน ไม่ได้หึงหวงด้วยพิศวาส แต่ข้ารังเกียจ ในโลกที่ข้าจากมา บุรุษมากเมียไม่ได้เป็นที่ชื่นชม แต่เป็นพวกมักมากในกามคุณที่ชอบทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนกายใจ ดูแต่เจ้าอยู่ที่นี่ก็ยังโกหกข้า นอกจากมนต์ที่เจ้าใช้สั่งสกุณีหลับนั้น เจ้ายังสะกดนาง และใช้รูปกายอันงามของเจ้าหลอกนางว่าตนเป็นเทพจำแลงเพื่อเสพสวาทนางอีกด้วยใช่หรือไม่ นางสู้อุตส่าห์รักษาพรหมจรรย์ถนอมนวลมาเป็นอย่างดี แต่เจ้าก็กลับทำลา
“อ๊า ท่อนเนื้อของเจ้าเข้าไปลึกถึงในท้องข้าแล้ว ทำอีกสิยอดรัก กระแทกเข้ามาให้ลึกอีก แรงอีก ข้าอยากได้เจ้า เจ้าทำข้าเสียวซ่านไปหมด” กากีพูดทั้งสะอื้น รังเกียจทั้งสิ่งที่หลุดออกมาจากปากของตน และสิ่งที่คู่เสพสวาทกำลังกระทำอยู่ และยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความรู้สึกเกลียดชังตนเอง ที่ร่างกายกลับรู้สึกตื่นเต้น สุขสมกับสิ่งที่กำลังถูกกระทำ กระแทกหนักรุนแรงดั่งตอกลิ่มเข้าไปในกายนางสุดกำลังถี่ยิบจนวิมานฉิมพลีเขย่าโยกโคลง ใบต้นสิมพลีร่วงหล่นดั่งสายฝน คนธรรพ์จอมคาถาจ้องเข้าไปในดวงตาของนางโฉมงาม ใบหน้าแดงก่ำสองปรางแดงเป็นริ้วตามรอยนิ้วห้อเลือดด้วยแรงบีบเมื่อครู่ ทั้งรัก ทั้งแค้น ทั้งเสียดาย ทั้งเจ็บใจ บุรุษกึ่งเทวะจำแลงปลายท่อนลึงค์ของตนให้บานใหญ่ออกภายในร่องสวาทของกากีจนต้องร้องออกมาอีก “โอยยย ยอดชู้ของข้า คับตึงแน่นไปหมดแล้ว แก่นเนื้อของเจ้า ทำให้กลีบบุปผาข้ากระหาย อยากได้น้ำรักมาเติมเต็มให้กลีบเนื้อของข้าฉ่ำชุ่ม หลั่งออกมาเสียเถิด หยาดน้ำแห่งกามาของเจ้า ฉีดเข้ามาในกายาของข้า ข้าหิวเหลือเกินแล้ว” หญิงสาวเสียงสั่น โลกพร่ามัว ความกระสันใกล้ถึงที่สุดทั้งน้ำตาไหลพราก
ซินแสหวางว่าต่อ “เมื่อถูกนำมาคืนแล้ว นางก็ถูกจับมัดที่แพเสี่ยงทาย ลอยออกทะเลมาเพื่อทดสอบบุญญาธิการว่าจะยังคู่ควรรับใช้พระเจ้าเหนือหัวพรหมทัตหรือไม่ จนแพของนางลอยมาพบเรือเราเข้า” “สามีขับไสไล่ทิ้งลงทะเล ถ้าอย่างนี้ก็ถือว่านางเป็นหญิงม่ายน่ะสิ” พ่อบ้านกวงร้องด้วยความตกใจ “แบบนี้ยิ่งไม่เหมาะจะอยู่บนเรือเรา ดรุณีสาวแรกรุ่นไม่มีสามี ไม่มีเจ้าของ ยิ่งงามสะคราญกิริยาอาการและกลิ่นผิวกายนางยวนกามาเช่นนี้มากลุ่มบนเรือท่ามกลางบุรุษกลัดมันจำนวนมาก วันใดเกิดคนบนเรืออดรนทนไม่ได้ขึ้นมา มีหวังได้เกิดศึกชิงนาง ฆ่าฟันกันจนเรือแตกแน่ๆ” ต่างคนต่างมองหน้ากันท่ามกลางเสียงคลื่นกระทบเรือและลมทะเลแผ่วผ่านเป็นระยะๆ ในห้องนอนเฉินอี้เฟิง สีฝุ่นในร่างกากีกำลังตื่นตาตื่นใจกับชั้นหนังสือของนายสำเภาหนุ่มรูปงาม “หนังสือเยอะมาก นายสำเภา ท่านเป็นนักอ่านหรือคะ ข้าก็ชอบอ่านเหมือนกัน” ชายหนุ่มยิ้ม “เรียกข้าว่าอี้เฟิงเถิด เราสนิทกันแล้ว” กากีชำเลืองตามามองนิดหนึ่งแล้วหันกลับไปอมยิ้มคนเดียว อันที่จริงหนุ่มสไตล์ตี๋ขาวสูง หล่อสะอาดสง่า สุภาพ น่ารัก ขี้เล่นแบบนี้ ถ้าไ
บนเรือไม่มีสตรีอื่นอีกนอกจากกากี ดังนั้นการจะช่วยเหลือนางอย่างพิถีพิถันเช่นเดียวกับที่กากีเคยได้รับมาจากนางกำนัลพี่เลี้ยงหรือนางรับใช้ย่อมเป็นไปไม่ได้ ถึงกระนั้นเรื่องการดูแลรักษากากีกลับเป็นเรื่องที่ไม่ได้ทำให้เฉินอี้เฟิงลำบากใจแต่อย่างใด กลับดูยินดีปรีดาร่าเริงยิ่งนัก หลังส่งให้ลูกเรือไปช่วยกันหาอาหาร น้ำ และผลไม้ มาเตรียมไว้ให้นางแล้ว เขารีบสั่งไปช่วยลูกเรือค้นหาเสื้อผ้าอาภรณ์ในหีบสินค้าที่อาจติดมาเพื่อค้าขาย ได้ผ้าไหมจีนเนื้อดีและผ้าฝ้ายทอละเอียดเนียนนุ่ม สีสันสวยงามหลากหลายมาให้กากีไว้ผลัดใส่หลายพับวางไว้ให้นางที่ข้างม่าน พร้อมชามใบใหญ่ใส่น้ำอุ่นและผ้าผืนเล็กๆอีกผืนวางให้ “รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเช็ดเนื้อเช็ดตัวเสียเถิดแม่นาง สวมเสื้อผ้าเปียกชุ่มน้ำทะเลเช่นนั้นนานนักจะเจ็บไข้เอาได้ ข้าไม่มีชุดสตรีบนเรือเลย แต่ก็เลือกผ้าพับงามๆมาให้เจ้าแล้ว เจ้าลองเลือกใช้ห่มพันกายดูเถิด เข็มกลัดก็มีไว้ให้พร้อมแล้ว” แสงที่ส่องมาจากหลังม่านอวดให้เห็นสรีระเปลือยเปล่าของนางทาบทับอยู่บนเนื้อผ้า สรีระของนางที่ควรนูนก็นูนเต่ง ที่ควรเว้าก็เว้าคอด แขนขาเรียวกลมกล
ผิวกายที่ต้องกระทบแสงแดดสว่างเจิดจ้าเรืองรองฉ่ำน้ำราวกับไข่มุกทะเลกลางมหาสมุทร เส้นผมตรงดำขลับเงางามเหมือนเส้นไหมยาวสยาย คิ้วงามเป็นรูปโค้งน้อยๆรับกับรูปตา ดวงตาเรียวโตงามดั่งลูกกวางหางตาช้อยเชิดเหมือนวาด แพงอนตาหนางอนงาม จมูกโด่งงอนจิ้มลิ้มพริ้มเพรา สองปรางแดงปลั่งดั่งผลท้อจีน แลปากอวบอิ่มสีชมพูสดนั้นอีกเล่า ไม่ต้องพูดถึงเรือนร่างงดงามทุกสัดส่วน ถันแลสะโพกกลมกลึงดั่งปั้น เอวคอดกิ่ว ยิ่งกายนางเมื่อกระทบละอองน้ำทะเลจนอาภรณ์สีขาวเปียกฉ่ำแนบเนื้อเช่นนั้น กลิ่นกายหอมหวลยวนกามาของแม่งามแน่งน้อยกากีก็ยิ่งขจรขจายไปไกลจนได้กลิ่นกันทั่วทั้งเรือ ทั้งลูกเรือนายเรือทั้งหลายต่างก็พากันวิ่งมาเกาะกราบเรือข้างนั้นจนเรือเอียงกะเท่เร่ไปข้างหนึ่ง หากเรือมิได้บรรทุกสินค้ามาด้วยจนเพียบเต็มลำเรือ แลอับเฉาท้องเรือหลายตัวคอยช่วยถ่วงน้ำหนัก เรือสำเภาจีนลำนี้คงพลิกคว่ำล่มลงไปแล้วเพราะพิษความงามของกากีแน่แท้ “เอ้า วิปลาสกันไปหมดแล้วหรือ ไต้ก๋งอยู่ไหนนี่” พ่อบ้านกวงที่เพิ่งหายจากอาการตกตะลึงรีบร้องเรียก ไต้ก๋งที่ก็มายืนเนียนจ้องนางโฉมงามอยู่ในหมู่ลูกเรือได้ยินเสียง
แม่เงือกน้อยรีบส่ายหน้า “ตายไม่ได้ค่ะ พี่สีฝุ่นตายไม่ได้” เธอว่า เสียงหวาน “อีกไม่นานก็จะพบเรือสำเภาแล้ว กระแสน้ำเปลี่ยนทิศนิดหน่อยเท่านั้นเอง สีฝุ่นอึ้งจนพูดแทบไม่ออก อะไรเนี่ย ในเรื่องกากีมีเงือกด้วยเหรอ แปลกไปแล้ว ต่อให้เป็นนิยายแฟนตาซีแบบนี้ก็เถอะ จะว่าเป็นตัวละครไร้บท ก็ไร้บทเสียจนไม่เคยปรากฏในเรื่องเลยด้วยซ้ำมั้ง แม่เงือกสาวยิ้มให้สีฝุ่นจนยาหยี ดูร่าเริงสดใสและท่าทางตื่นเต้นนิดๆ เธอขยับมานั่งใกล้ๆสีฝุ่นห้อยส่วนหางปลาบานใหญ่สีขาวเหมือนหางปลาทองลงจุ่มน้ำ สะบัดเล่นจนน้ำกระจายเป็นวง “ทำไมล่ะ ทำไมถึงตายไม่ได้ ยังไงเสีย คนที่มาที่นี่ก็มีแต่สองทาง คือออกไปทางหน้าสุดท้าย หรือไม่ก็หายไป มันก็เท่านั้นนี่” สีฝุ่น น้องเงือกน้อยแก้มแดงอมยิ้ม “พี่สีฝุ่นเล่นเป็นนางกากีได้เก่ง และฉลาดกว่าคนอื่นๆที่เคยหลุดเข้ามาที่นี่เยอะเลยค่ะ หนูละลุ้นระทึกทุกตอนเลย ตอนที่พานางกำนัลไร้นามเข้าไปร่วมหอด้วยอีกคนนี่แบบ โอ้โห คิดได้ไงเนี่ย เพราะงั้นพี่สีฝุ่นห้ามตายนะคะ หนูเป็นแฟนคลับนิยายกากี แอบฟังพวกมนุษย์ตัวประกอบไม่มีบทพูดเรื่องเล่าของพี่มานานแล้ว เมื่
“ขอบคุณพี่เอื้องผาที่เมตตานำสารนี้มาบอกข้า แต่หากมีโอกาสฝากไปบอกเขาด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ ว่าข้าไม่ต้องการให้เขาช่วย และไม่ต้องการให้เข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องใดๆของตัวข้าอีกแล้ว” ทว่า นาฏกุเวรเองก็ไม่มีโอกาสเช่นนั้น เนื่องจากรุ่งเช้าต่อมา นางกากีก็ถูกลากตัวจากที่นอน และจับผลัดผ้าเป็นชุดนุ่งขาวห่มขาวเพื่อเข้าพิธีกรรมเสี่ยงทายตามความเชื่อ ใครบางคนว่า เวลาของพิธีกรรมถูกเลื่อนให้เร็วที่สุดเพราะมีข่าวระแคะระคายว่าจะมีคนมาชิงตัวช่วยกากีนั่นเอง และเมื่อแดดแรกของวันมาถึง กากีก็ถูกจับขึ้นไปนั่งกลางแพไม้ที่มีเสาหลักอยู่ตรงกลางแพ และให้นั่งกอดเสา มัดมือติดกับเสาเอาไว้ ท่ามกลางสายตาชาวเมืองพาราณสีที่พากันมามุงดูชะตากรรมอันน่าเวทนาของอดีตพระมเหสีแน่นขนัดเต็มริมชายหาด เสียงพูดคุยอุทานเซ็งแซ่ถึงความงามเหนือคำพรรณนาของนางกากี แม้ไร้เครื่องประดับตกแต่งใดๆก็ยังงามผุดผ่องราวหยาดจากสวรรค์ ผิวพรรณส่องสว่างเรืองรองวาวฉ่ำดั่งประกายไข่มุก คิ้วได้รูปเป็นดั่งมงกุฎพักตรา เหนือดวงตาลูกกวางน้อย ขนตางอนหนาพลิกพลิ้ว ปากอวบอิ่มเม้มแล้วคลายออก อกตึงปลั่ง เอวคอด สะโพกกลมผาย เรียวขางามกลม
เมื่อเนื้อเรื่องมาถึงตรงนี้แล้ว สีฝุ่นในร่างนางกากีผู้เลอโฉม ระทมตรมทุกข์เสียจนไม่มีแก่ใจจะสนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัวเสียแล้ว รักแรกรักแท้ที่เธอเฝ้าถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูในหัวใจมาหลายปี ในโลกของเธอนอกจากเขาจะไม่เคยชายตามอง เขายังประกาศแต่งงานกับคนอื่นไปโดยแทบไม่เคยเห็นว่าเธอมีตัวตน อุตส่าห์ได้มาสมหวังสมรักกันที่นี่ ในโลกแฟนตาซีเรื่องกากีนี้ ก็มีอันต้องพลัดพรากจากกันไปตามท้องเรื่องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อีก สีฝุ่นหัวใจสลาย หมดจิตหมดใจจะดิ้นรนต่อสู้อะไรเพื่อตัวเองอีก มันคงถูกต้องแล้ว มันคงเป็นเช่นนั้น คนที่แพ้อย่างเธอ ไม่ว่าจะอยู่โลกไหนก็ไม่มีวันได้สมรัก ไม่มีวันได้อยู่กับคนที่รัก แม้จะสวยเลิศเลอเฟอร์เฟคไร้ที่ติ อย่างนางกากีเนื้อหอม ไม่มีทางหาข้ออ้างอะไรได้อีกแล้ว เสียงหึ่งๆของผู้คนพูดคุยดังรอบตัวเธอขณะนั่งเท้าแขนร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่กับพื้นท้องพระโรง น้ำตาร่วงหล่นลงบนพื้นพรมผ้าทอสีแดงเลื่อมทองลวดลายวิจิตรจนเปียกเป็นหย่อมๆ เลือนรางคล้ายเหนือหัวพรหมทัตเข้ามาประกองกายให้ลุกขึ้น แต่ก็ถูก ใครว่าอะไรบ้างก็ไม่ได้ยินชัดถนัดนักในเวลาอย่างนี้ แต่การณ์ก
ว่าแล้วพญาครุฑหนุ่มก็เริ่มฉุดกระชากลากแขนนางไปยังทางออกวิมาน ส่วนกากีผู้เลอโฉมตอนนี้ดวงใจบอบช้ำยับเยินจากถ้อยคำที่กรีดแทงเหล่านั้นจนแทบสิ้นเรี่ยวแรง ทิ้งตัวลงกอดขาสวามียอดรักเอาไว้แน่น สัญชาตญาณของคนที่กำลังจะสูญเสียทำให้เธอไม่คิดถึงทางออกอื่นอีก นอกจากจะยื้อรั้งช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันให้นานที่สุด “พี่นภคนดี ท้าวเวนไตยยอดรัก สวามีแห่งข้า หากท่านโกรธแค้นข้าถึงเพียงนั้น สู้ฉีกเนื้อเถือหนังข้าเสียให้ตายลงตอนนี้เลยยังจะดีเสียกว่า ข้ายอมตาย ยอมตายด้วยน้ำมือของคนที่รักบูชาที่สุด ยอมตายอยู่ในวิมานที่เราเคยได้สร้างรังรักร่วมกันนี้ ดีกว่าให้กลับไปอยู่ท่ามกลางผู้คนที่ข้าชังจนไม่หมายเห็นหน้าค่าตากันอีก” นางสะอื้นตัวโยน ต้นแขนแดงก่ำเป็นรอยนิ้วและรอยเล็บจิก บุรุษหนุ่มแห่งหิมพานต์ก้มลงหมายจะสะบัดขาไล่นางออกให้พ้น แต่เมื่อได้สบตา เห็นใบหน้างามแช่มช้อยเศร้าสร้อย น้ำตาไหลพรากอาบแก้ม ดวงตากลมโตสุกใสดั่งลูกกวางน้อยหรี่แสงลง แผงขนตางอนงามชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำตา สองปรางแดงก่ำด้วยช้ำชอกใจ ปากสั่นระริก เหงื่อนางไหลซึมไปทั่งร่างด้วยความหวาดกลัว องค์เวนไตยก็หัวใจอ่อนยวบลงทันที
นางวิหครับใช้เอื้อมมือมาประคองมือของกากีให้เข้ามาแนบกับท้องของตน มีความเคลื่อนไหวเบาบางของบางสิ่งอยู่ในนั้น อาจไม่ถึงกับเหมือนเด็กเตะ หรือตัวอะไรดิ้น แต่เธอก็รับรู้ได้ สกุณีมีครรภ์แล้วจริงๆ “โอรสของคีตเทพเจ้าค่ะ ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ได้ฝัน ท้าวเวนไตยก็ไม่เชื่อ เทวะมาอุ้มข้าไปร่วมสมจริงๆ ซ้ำยังมอบโอรสเทพให้ข้าอุ้มท้องด้วย ชาติกำเนิดของบุตรข้าไม่ใช่ลูกนกทั่วไป คงไม่อยากเติบโตในเปลือกไข่ จึงกำเนิดในครรภ์ข้าเป็นตัวอ่อนรอกำเนิด ข้าเองก็ยังไม่รู้ว่าจะคลอดและเลี้ยงเขาให้ต่างจากลูกปักษีอย่างไร แต่ข้ารักลูกข้าเหลือเกิน” ใบหน้ายิ้มแย้มของนางทำให้กากีอดเอ็นดูไม่ได้ โถ แม่เด็กน้อยเอ๋ย ซื่อแท้ๆ เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว กากีจึงยังไม่กล้าเล่าว่า บุตรในครรภ์ของนางเป็นบุตรของนาฏกุเวรคนธรรพ์จอมเจ้าเล่ห์ ที่ถึงแม้จะเป็นลูกครึ่งเทวะ และมีเวทย์มนต์กลคาถามากมาย แต่ก็หาใช่คีตเทพตัวจริงจากสวรรค์ดั่งที่นางเข้าใจ ซ้ำยังเพียงใช้นางสกุณีเป็นทางผ่านเพื่อให้เข้ามาถึงตัวกากีได้ หญิงสาวผู้เลอโฉมยิ้มเอ็นดู “บุตรของเจ้าช่างมีบุญแท้ ได้มาเป็นลูกของแม่สกุณีน่ารักเช่นเจ้า ต่อไปขอให้เขาได
ในเช้าวันที่พญาครุฑหนุ่มร่างกำยำท้าวเวนไตยผู้เป็นใหญ่แห่งหิมพานต์บินออกจากวิมานฉิมพลีไปในรุ่ง มิทันถึงราตรีสีฝุ่นหรือในร่างแม่งามกากี หญิงสาวเลอโฉมหยาดฟ้าด้วยชาติกำเนิดกึ่งเทพธิดาก็ได้ประจักษ์แก่ใจตน ว่าเนื้อเรื่องทางพาราณสีได้ดำเนินไปตามครรลองของมันแล้วโดยเธอไม่อาจแก้ไขสิ่งใดได้ ชะตากรรมตามท้องเรื่องทำให้เธอตกที่นั่งลำบากอย่างยากจะหาทางแก้ไขเสียแล้ว หญิงสาวนั่งทอดสายตาเหม่อมองออกไปยังทิวทัศน์ด้านนอก ป่าหิมพานต์ที่งดงามวิจิตร แลไกลสุดลูกหูลูกตาแสงสีประหลาดสวยสดในยามสนธยา ท้องฟ้าเป็นสีแดงส้ม ตกกระทบระยิบผิวน้ำของมหาสมุทรที่ไกลออกไปแต่ยังพอมองเห็น นี่คงเป็นวันสุดท้ายแล้วที่เธอจะได้อยู่ชื่นชมที่นี่ ผนังห้องนอนส่วนทึบที่บุด้วยวัตถุประหลาดสีขาวเหลื่อมลายรุ้ง ตอนนั้นสะท้อนเหลื่อมรุ้งวาววามเจือส้มทองมากขึ้น พี่นภของสีฝุ่น... ธอครวญในใจ แม้ใจหนึ่งจะนึกทำใจเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ว่าเรื่องต้องมาถึงตอนนี้ ต้องตัดใจเพื่อให้เธอได้มีโอกาสออกไปจากหนังสือนิทานคำกลอนกากีได้อย่างปลอดภัย และมีโอกาสได้กลับไปเริ่มต้นใหม่ในโลกที่เธอจากมา แต่การจะตัดใจห่างจากเขาทั้งที่เคยได้ใกล้ชิดสนิทเส