“แม่กานยังไม่กลับมาเลย”
หญิงวัยห้าสิบแปด ร่างท้วมตัดผมสั้น ใบหน้าค่อนข้างดุนั้นมีวี่แววบอกว่า เมื่อสาวจัดได้ว่าเป็นผู้หญิงสวยมากคนหนึ่งทีเดียว เอ่ยบ่นอย่างเคืองๆ
“ดูซิ ดูเวลาซะก่อน เข้าไปตั้งจะเที่ยงคืนแล้ว ยังไม่เห็นหัว...หายไปไหน ไม่โทร. มาบอกกล่าวกันก่อน ชักจะเอาใหญ่แล้ว”
นางหันหน้าไปทางประตูบ้าน และเลยไปยังรั้วที่เห็นอยู่ไกลๆ พ้นจากแนวไม้ที่ปลูกทึบจนให้ความร่มรื่นแก่ตัวบ้านเป็นอันมาก
“กานมันเอาใหญ่มาตั้งแต่ทำงานได้แล้วล่ะค่ะ แม่” พรรณทิพา ลูกสาวคนใหญ่วัยสามสิบเป็นคนตอบ หล่อนเป็นสาวสวยยังประคับประคองความโสดเอาไว้ได้มั่นคง และมีความคิดไม่ค่อยจะเป็นมิตรกับกานพลูญาติผู้น้องผู้ด้อยกว่าสักเท่าไหร่ “นี่คงจะดอดไปพร่ำพลอดรักกับนายภาดากระมังคะ”
“แม่ก็เตือนมันแล้วนะว่าอย่าทำอะไรแบบนั้น” แล้วนางก็ถอนใจ “ที่สั่งสอนเอาไว้จะเป็นไงมั่งก็ไม่รู้นะ กลัวอย่างเดียว...ว่าจะเหมือนแม่มัน...”
นางหมายถึงน้องสาวที่เสียชีวิตไปแล้ว หลังจากอุ้มท้องกลับมาบ้านหาพ่อเป็นตัวตนให้ลูกไม่ได้ แล้วพอคลอดกานพลูได้ไม่นาน สติสัมปชัญญะที่ค่อนข้างจะบอบบางอยู่แล้วก็สับสน เมื่อตอนกานพลูอายุได้ห้าขวบ แม่ของหล่อนก็ยังอยู่ในวัยสาวเพียงยี่สิบสองก็ฆ่าตัวตายอย่างน่าสยดสยอง
“ใจง่าย มักง่าย แล้วก็คิดโง่ๆ หาทางออกไม่ได้ก็ฆ่าตัวตาย...นี่ถ้าแม่กานกลับมา แม่จะต้องเรียกมาพูดกันก่อน”
“แม่จะรอไปสักกี่ทุ่มกันล่ะคะ” พรรณทิพาถามประชดๆ “มิต้องถ่างตากันถึงสว่างหรือคะ คืนนี้น่ะ...ไปไหนมาไหนไม่บอกกล่าวกันก่อน”
“มันคงจะไม่กล้ากลับจนเช้าหรอก” คุณนายยังคงแน่ใจ “แม่ก็เคยบอกกับมันหลายหนแล้วว่า หายไปทั้งคืนเมื่อไหร่ก็ต้องออกไปจากบ้านนี้ แม่ไม่เลี้ยงคนทำตัวเหลวไหล นึกจะไปก็ไป นึกจะมาก็มาไม่เกรงใจคน
หัวสองสีอย่างแม่”
“แม่รอไปนะคะ พรรณเห็นทีจะต้องไปนอนก่อนละ”
“เป็นไงมั่ง”
พินิจนัยถามด้วยความห่วงใย กวาดตามองหญิงสาวตรงหน้าที่ยัง
เอามือยึดอ่างล้างหน้าเอาไว้แน่น เขาไม่แน่ใจในอายุของเจ้าหล่อน เพราะรูปร่างเล็กดวงหน้าสะอาดปราศจากเครื่องสำอางซีดเซียวเหมือนคนเพิ่งรื้อไข้ แต่เสื้อผ้าที่หล่อนสวมนั้นค่อนข้างจะเรียบ ไม่เฟี้ยวฟ้าวอย่างเด็กสาวๆ ข้างนอกโน้นเลย กระโปรงสีขาวยาวเลยเข่าลงไปเล็กน้อยกับเสื้อสีชมพูอ่อนๆ คอตั้งแขนจีบเป็นพวงทับชายเสื้อเอาไว้ในกระโปรง ดูแล้วมันช่างเหมือนแบบฟอร์มของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง แต่ดูจากหน้าตาของหล่อน พินิจนัยไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหล่อนอยู่ในวัยทำงานได้แล้ว หน้าอ่อนๆ แบบนี้หล่อนน่าจะไปร่ำเรียนเขียนอ่านอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันซะมากกว่า
“ปวดหัว”
“ก็น่าจะปวด...แล้วเป็นไงอีก”
“พื้นมันหมุนนะ...” กานพลูเงยหน้าขึ้นไปมองเพดานของห้องน้ำ หล่อนเห็นโคมไฟควงติ้วและทำท่าจะหล่นเผละลงมาใส่หัว นัยน์ตาของหล่อนเบิกกว้าง กระเถิบกายเข้ามาหาเขาโดยไม่ได้ตั้งใจนอกจากจะยึดเขาเอาไว้ “ไฟนั่น...” หล่อนชี้ให้เขาดู “มันกำลังจะหล่น”
“มันก็อยู่เฉยๆ ตาลายล่ะมัง...”
เขามองดูหน้าขาวๆ นั่น บอกไม่ถูกว่าจะเวทนาหล่อนดีไหม ก็สถานที่แบบนี้กับเนื้อตัวเมื่อยามเข้าใกล้หึ่งไปด้วยกลิ่นเหล้า ก็ไม่ได้บอกนี่นาว่าถูกหลอกมาดื่มจนเมานอกเสียจากทำตัวเองทั้งนั้น
“ฉันจะออกไปข้างนอก มันเหม็น...กลิ่นฉี่...” หล่อนทำจมูกกระดุบกระดิบ
“กลิ่นมันก็คล้ายๆ แอมโมเนียเหมือนกันล่ะ ดมมากๆ ก็หายเวียนหัว”
เขาพูดเรื่อยๆ เหล้าทำให้เขาลิ้นอ่อนกว่ายามปกติแยะ พูดก็ง่ายขึ้น หัวเราะง่ายขึ้น จึงไม่เห็นว่ากานพลูกำลังมองไปข้างหน้าด้วยนัยน์ตาที่
เบิ่งโพลง แล้วก็หันขวับกลับมาซบหน้ากับอกเขาเกือบจะทันที...เสียงหล่อนสั่นระรัวมือชี้ไปที่ด้านหลังของเขา เมื่อพินิจนัยหันไปมองบ้าง ชายหนุ่มก็หัวเราะออกมาเต็มเสียง
ก็แค่ผู้ชายคนหนึ่งเพิ่งเสร็จจากการปล่อยทุกข์แบบเบาๆ ยังไม่ได้เก็บเอาเข้ากางเกงให้หายอุจาด
“ไม่เคยเห็นหรือไง อีหนู”
เขาพาหล่อนออกมา แทบจะลากหล่อนลอยขึ้นจากพื้น เพราะหล่อนตัวเล็กเบามือ ถ้าเป็นขนาดก็เรียกว่าพกแพ็คเท่านั้นเอง
“เอาละ พ้นแล้ว...”
แต่เนื้อตัวของกานพลูเย็นเฉียบไปหมด เขาก้มลงเขย่าร่างนั้นเบาๆ แต่กานพลูกลับโงนเงนยืนตรงๆ แทบจะไม่ได้ พอปล่อยมือออกก็ทำท่าจะล้มเผละจนเขาต้องรับเอาไว้ แล้วก็กลายเป็นภาระให้เขาหิ้วหล่อนติดปีกกลับมาที่โต๊ะด้วย
“ไปเก็บมาจากไหน” ภูษิตชะโงกหน้าเข้ามาเกือบจะติด “กลิ่นเหล้างี้หึ่งเชียวโว้ย จะกินไก่ต้มน้ำเหล้าแทนน้ำแกงหรือไง”
“ขอเหล้าก่อนวะ อีหนูนี่ท่าทางเหมือนจะช็อก เอาเหล้ากรอกปากเข้าไปอาจจะดีขึ้น”
เขาระวังไม่ให้หล่อนสำลักเหล้า เสียงกานพลูกระอึกกระไอแคกๆ แล้วก็เบือนหน้าหนีจากแก้วเหล้าที่เขาถือจ่อปาก เสียงหล่อนค่อนข้างแข็ง
“ปล่อยฉันนะ...”
“จะไปไหวแล้วใช่ไหม”
กานพลูสลัดศีรษะแรงๆ หน้าตามีสีสันแปลกๆ เพราะแสงไฟที่สาดเข้ามากระทบ หล่อนพยายามจะมองหน้าผู้ชายที่อยู่ใกล้จนเรียกได้ว่าแนบชิด แขนข้างหนึ่งของเขาโดนหน้าอกด้านข้างของหล่อน มือหนึ่งของเขาโอบกระหวัดอยู่แถวๆ เอวให้สัมผัสรุ่มร้อนที่หล่อนไม่เคยคุ้น กับภาดา...แม้จะรักกันมานานปี เขากับหล่อนก็ไม่เคยชิดใกล้กันแบบนี้ก็คุณป้าไม่ใช่หรือ ตีวงการคบหากับภาดาเอาไว้ในขอบเขตจำกัด
“ฉันจะไปหาเพื่อน...”
แต่ผู้คนมากมายทำให้กานพลูตาลาย หล่อนจะไปหาบุตรากับ
เพื่อนชายของบุตราได้ตรงไหนกัน ตอนลุกจากที่นั่งได้หล่อนก็คลำทางหาห้องน้ำมาเรื่อยๆ ลืมไปแล้วว่าโต๊ะอยู่ไหน แสงเสียงบ้าๆ นี่ก็ทำให้ตาลายจนต้องหลับตาลง
“พาฉันไปหน่อยซิ”
“เพื่อน...หน้าตาเป็นยังไงล่ะ...”
เขาหัวเราะหึๆ มองหล่อนอย่างปลงๆ แกมเวทนา แต่ภูษิตเอนหน้าเข้ามากระซิบกับเขาว่า
“อาจจะเป็นแผนจับเอ็งก็ได้นะโว้ย ไก่แถวนี้ลีลาพญาหงส์ทั้งนั้นแหละ หน้าตาอ่อนๆ ยังงี้เนื้อคงขบเผาะเอาไว้ก่อน...กรอกเหล้าเข้าไปแล้วเดี๋ยวพาชว้าบไปเล้ย”
“อายุสักเท่าไหร่วะนี่”
“อาจจะเกินสิบห้า...เกินยี่สิบไหมหว่า”
ดวงหน้าของภูษิตเกือบจะติดกับดวงหน้าของกานพลู หล่อนยังคงพอมีสติพอประมาณ สิ่งที่กานพลูทำได้ก็คือ ยกมือขึ้นยันหน้าเขาออกไปอย่างแรงด้วยเรี่ยวแรงที่พอจะหลงเหลืออยู่นั่นทำให้ภูษิตหน้าหงายเกือบจะหัวทิ่มคะมำหงายไปจากเบาะเก้าอี้ที่นั่งอยู่
“เบาๆ อีหนู มือหนักชิบโผง...ขอดูหน้าใกล้ๆ หน่อยเดียว...” ภูษิตมองเรื่อยไปยังเสื้อผ้าของกานพลูก่อนจะเปรยๆ ต่อ “แม่คนนี้มาแปลกครับ อาจจะเป็นพวกเด็กที่ชอบแต่งตัวเรียบๆ ทำตัวเหมือนเด็กมัธยมออกหาเหยื่ออะฮ้า...นี่เป็นโชคหรือเคราะห์ของเอ็งกันแน่วะ ไอ้นิจ”
“ที่นี่เขามีประกาศหาคนหายบ้างไหมวะ”
“เอ็งลองเดินไปถามพวกดีเจ. เขาเอาเองเถอะว่ะ แต่ระวังนะโว้ย พวกมันอาจจะหัวเราะเยาะแล้วทำให้เอ็งหน้าแตกกลับมา ทำหน้าซื่อๆ บอกว่าพลัดหลงกับเพื่อนนี่มันลูกไม้เก่าแล้ว จับเอาไว้ก่อน...โอ้โฮ...อีหนูของเอ็งดื่มเหล้ายังกะดื่มน้ำ...ไอ้การดื่มแบบนี้นะมันบอกชัดๆ เลยว่าอีดื่มไม่เป็น สงสัยจะหนีออกมาจากบ้าน มีปัญหามาหรือไม่ก็เพิ่งอกหัก...” ภูษิตเปลี่ยนข้อสันนิษฐานใหม่ได้รวดเร็วนัก “เอ็งมันคนใจบุญอยู่แล้วนี่หว่า ช่วยสงเคราะห์ให้รู้แล้วรู้รอด หรือถ้ากลับบาปกรรมก็ส่งมาให้ข้า จะเอาไปเอง”
พินิจนัยรู้ซึ้งถึงสันดานของภูษิตดี เขาได้แต่สั่นหัวตอบเรื่อยๆ บอกไม่ได้ว่าที่แท้แล้วเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่
“อีหนูนี่อาจจะช่วยให้ข้าเบาตัวได้คืนนี้ ไม่ได้ลิ้มรสหวานๆ ของผู้หญิงมานานแล้ว ปล่อยให้เป็นธุระของข้าดีกว่า” แล้วเขาก็เรียกเหล้าแก้วใหม่มาให้หล่อนอีก เมื่อกานพลูตั้งหน้าตั้งตาดื่มราวกับดื่มน้ำ ท่าประคองแก้วเอาไว้ในอุ้งมือทั้งสองราวกับเป็นของล้ำค่าก็ทำให้เขาอยากรู้ว่าหล่อนจะบ้าไปอีกสักแค่ไหนกัน ได้เหล้าไปหลายแก้วเข้าหล่อนก็ไม่เรียกหาเพื่อนอีกเลย
“เอาเลย ดื่มเข้าไป” เขาประชด รู้ว่าอีกไม่เท่าไหร่หล่อนจะต้องหมอบแน่ๆ “มีเรี่ยวแรงก็กรอกเหล้าเข้าไปเล้ย...”
“กานหายไป...” บุตราพึมพำ หล่อนกวาดตามองหาเพื่อนเสียทั่ว หลังจากลงทุนไปควานหาในห้องน้ำหญิงทุกแห่งในนี้ แต่ไม่มีแม้เงาของกานพลู หล่อนหายเงียบไปเลย “หายไปไหนนะ” ผู้คนก็มากมายจนบุตราไม่แน่ใจว่าจะตามหาตัวกานพลูพบได้ง่ายๆ หรือไม่ “ดูซิ จนเข้าไปจะตีสองแล้ว”หล่อนมองดูเวลาแล้วก็ยิ่งกระวนกระวายใจ ก่อนไปห้องน้ำ กานพลูแก่ดีกรีไปแล้วไม่ใช่น้อยๆ เลย“เพื่อนคุณโตแล้วนะ บุต...”“โตแต่ตัวกับอายุหรอก เขาเคยมาแบบนี้เสียเมื่อไหร่กัน...แล้วก็เมาแอ๋ไปแล้ว”หล่อนหยิบกระเป๋าถือใบเล็กๆ ของกานพลูมาถือเอาไว้ เปิดดูในนั้นก็พบว่าอยู่ครบ นอกเสียจากกระเป๋าใส่เศษเงินใบเล็กๆ ที่กานพลูนิยมติดตัวไว้ในกระโปรง รองเท้าส้นสูงที่ใส่มาทำงานก็ยังอยู่ในรถ ที่ติดไปกับกานพลูก็คือรองเท้าแตะสานเตี้ยๆ ที่บุตราเอาใส่ไว้ในรถเท่านั้น แล้วกานพลูหายไปแห่งหนใดกันในสถานที่นี้“ถ้าพลัดหลงกับเรา บุตว่ากานพลูต้องแย่แน่ๆ จะกลับบ้านได้ยังไง”ประภัทรแทบจะสำลักเหล้าทีเดียวเมื่อได้ยินแบบนั้น“เพื่อนคุณน่ะโตแล้วนะ หลงทางกลับบ้านไม่ถูกก็อายเด็กสิบสี่สิบห้ามันแย่เลย”“คุณไม่รู้อะไร เอาละ...บุตจะลองลุกเดินๆ หากานเขาอีกสักรอบ ถ้าไม่เจอ...ก็เห็นจะต้อง
เสียงเคาะประตูรัวๆ อยู่ด้านนอกเมื่อเขายังอาบน้ำซู่ๆ อยู่ในห้องน้ำ กว่าเขาจะมาเปิดประตูห้องออกรับ ภูษิตมีดวงหน้างอง้ำเพราะรอนานเกินไปสิ่งแรกที่ภูษิตทำเมื่อก้าวเข้ามาในห้องก็คือกวาดตามองเหมือนจะหาใครสักคน ครั้นไม่พบก็บุ้ยใบ้ไปในห้องน้ำ“อยู่ในนั้นหรือไงวะ”“ใคร...”“เอ๊ ยังมาถาม ก็อีสาวเมื่อคืน ไปไหนแล้ว...”พินิจนัยเดินไปหน้ากระจก ผมเปียกน้ำลู่แนบกับรูปศีรษะรูปทุยสวยเขาใช้ผ้าผืนเล็กที่เป็นของส่วนตัวโปะหัวขยี้แรงๆ ตอบหน้าตาเฉย“ไปแล้ว อย่าถามต่อนะว่าไปไหน ไม่รู้เหมือนกัน”“เท่าไหร่วะ”“อะไร เท่าไหร่”ภูษิตทำเสียงจิ๊กจั๊กอยู่ในคำ“เอ็งนี่มันชอบแกล้งโง่ซะเรื่อย ระวังเหอะ มันจะโง่เอาจริงๆ ของข้ามันเรียกคนละสามร้อย...แล้วรับปากว่าจะมาหาอีก เมื่อคืนน่ะนะ...มันสวยงามพิลึก...ไม่อยากให้ถึงเช้าเลย เด็กเดี๋ยวนี้มันเก่งจริงๆ นับถือว่าฝีมือมันดี นี่ขนาดพวกมือสมัครเล่นหรอกนะของเอ็งล่ะ พอสลัดชุดเชยๆ นั่นออก อีบรรเลงได้ถึงใจไหม”“ข้าว่าอีหนูของข้ามีแววว่าจะเข้าวงออเคสตร้าได้นะ เสียงก็ขนาดนักร้องอาชีพ แก้วหูยังร้าวอยู่เลย”“ถ้าเสียงดี ลำคอก็ต้องดี หมายความว่า...”ภูษิตตาลุก ชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ ทำตามี
“ภาดากับลูกสาวเจ้านายนี่เหมาะสมกันดีจริงๆ นะ”เสียงนั้นอยู่ห่างเพียงแค่ประตูห้องน้ำกั้นเอาไว้เท่านั้นเอง กานพลูก็ได้ยินประโยคนั้นชัดก้องเข้าไปในหู อยากจะคิดว่าเป็นเรื่องของคนอื่นที่หล่อนไม่รู้จัก แต่ในออฟฟิศนี้มีผู้ชายกี่คนกันเล่าที่ชื่อ ‘ภาดา’ก็มีเพียงภาดาคนเดียวเท่านั้น ภาดาที่หล่อนรักจับใจหล่อนเสร็จธุระในห้องน้ำแล้ว รวบรวมกำลังใจให้เปิดประตูออกมายืนอยู่ตรงทางเดินแคบๆ ที่เป็นทางเดินระหว่างประตูห้องน้ำกับเคาน์เตอร์ยาวๆ ที่ฝังอ่างล้างหน้าไว้เป็นระยะๆ สามอ่างด้วยกันผู้หญิงสองคนที่ยืนล้างมือตรงเคาน์เตอร์นั้น คุ้นหน้าคุ้นตากับกานพลูดี แต่ไม่เคยพูดกันมาก่อนแล้วก็ทำหน้าเจื่อนๆ ไปด้วยกันทั้งสองคนเมื่อเห็นกานพลู ก็คนในออฟฟิศส่วนมากจะรับรู้กันว่าผู้หญิงที่เดินไปไหนมาไหนกับภาดามีแต่กานพลูนี่คนเดียวเท่านั้น แม้จะไม่มีการยืนยันเป็นทางการ แต่ก็เป็นที่รู้กันอีกนั่นแหละว่ากานพลูกับเขาจะแต่งงานกันเร็วๆ นี้ หลังจากสร้างเนื้อสร้างตัวได้แล้วหล่อนล้างมือเช็ดจนแห้งแล้วจึงเดินออกมาจากห้องน้ำ แข้งขาไม่สั่นมือไม่สั่น แต่กานพลูรู้ดีว่าหน้าของหล่อนปราศจากสีเลือดและใจก็เต้นรัวถี่อยู่ในอก อยากจะแล่นไปหาเขา
“เฮ้ย...” เสียงนั้นไม่เบานัก เมื่อออกแรงดึงเพื่อนหนุ่มออกมาจากที่นั่งในตอนหลัง “ลงมาก่อนซิวะ จะมานั่งหลบมุมในรถไม่ได้ มาถึงที่แล้วต้องเอาให้เต็มคราบ...”คนถูกดึงทำหน้ายู่ยี่ ลงมาจากรถอย่างไม่สู้จะเต็มใจสักเท่าไร ยิ่งมองกวาดตาเห็นผู้คนคลาคล่ำรวมไปถึงรถยนต์ที่จอดกันเป็นตับก็ยิ่งเบ้ปาก ทำท่าเอือมๆ“คนมากไป”“เออซิวะ” อีกฝ่ายตอบเสียงหนักๆ “นี่มันเธคชื่อดังของกรุงเทพฯ คนมันก็ต้องเยอะหน่อย...นายจะหาที่ไหนวะที่ไม่มีคนเลย ไม่ใช่ป่าช้านี่หว่า”พินิจนัยเงยหน้ามองดูป้ายชื่อบอกสถานที่ที่กะพริบตามแสงไฟวิบๆ วับๆ มองดูผู้คนที่แต่งตัวหลากสไตล์์ ก่อนจะก้มลงมองตัวเองที่เพียงแต่สวมเสื้อเชิ้ตตัวหลวมๆ กับกางเกงทรงหลวม รองเท้าแตะธรรมดาๆ เพื่อนเขาเหมือนจะอ่านใจเขาออก มองตามก่อนจะบอกว่า“สไตล์ง่ายๆ ยังงี้ก็ได้วะ ไม่แปลก...หน้าตานายก็ยังไม่แก่เท่าไหร่ รับรองว่าอย่างมากเด็กในโน้นก็จะเรียกนายว่าพี่ ไม่ถึงกับเรียกลุงหรือเรียกอาให้แสลงใจ”“ท่าทางนายจะเชี่ยว ชำนาญ...”“คนชอบกินไก่...ก็ต้องเสาะหาไก่กินให้ถูกที่ ไก่ที่นี่ไม่แพง รับประกันว่าปลอดโรค แถมยังเป็นไก่ประเภทชอบโก่งคอขันเจื้อยแจ้ว...”“ไก่ตัวเมียที่ไหนวะโก่ง
เสียงเคาะประตูรัวๆ อยู่ด้านนอกเมื่อเขายังอาบน้ำซู่ๆ อยู่ในห้องน้ำ กว่าเขาจะมาเปิดประตูห้องออกรับ ภูษิตมีดวงหน้างอง้ำเพราะรอนานเกินไปสิ่งแรกที่ภูษิตทำเมื่อก้าวเข้ามาในห้องก็คือกวาดตามองเหมือนจะหาใครสักคน ครั้นไม่พบก็บุ้ยใบ้ไปในห้องน้ำ“อยู่ในนั้นหรือไงวะ”“ใคร...”“เอ๊ ยังมาถาม ก็อีสาวเมื่อคืน ไปไหนแล้ว...”พินิจนัยเดินไปหน้ากระจก ผมเปียกน้ำลู่แนบกับรูปศีรษะรูปทุยสวยเขาใช้ผ้าผืนเล็กที่เป็นของส่วนตัวโปะหัวขยี้แรงๆ ตอบหน้าตาเฉย“ไปแล้ว อย่าถามต่อนะว่าไปไหน ไม่รู้เหมือนกัน”“เท่าไหร่วะ”“อะไร เท่าไหร่”ภูษิตทำเสียงจิ๊กจั๊กอยู่ในคำ“เอ็งนี่มันชอบแกล้งโง่ซะเรื่อย ระวังเหอะ มันจะโง่เอาจริงๆ ของข้ามันเรียกคนละสามร้อย...แล้วรับปากว่าจะมาหาอีก เมื่อคืนน่ะนะ...มันสวยงามพิลึก...ไม่อยากให้ถึงเช้าเลย เด็กเดี๋ยวนี้มันเก่งจริงๆ นับถือว่าฝีมือมันดี นี่ขนาดพวกมือสมัครเล่นหรอกนะของเอ็งล่ะ พอสลัดชุดเชยๆ นั่นออก อีบรรเลงได้ถึงใจไหม”“ข้าว่าอีหนูของข้ามีแววว่าจะเข้าวงออเคสตร้าได้นะ เสียงก็ขนาดนักร้องอาชีพ แก้วหูยังร้าวอยู่เลย”“ถ้าเสียงดี ลำคอก็ต้องดี หมายความว่า...”ภูษิตตาลุก ชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ ทำตามี
“กานหายไป...” บุตราพึมพำ หล่อนกวาดตามองหาเพื่อนเสียทั่ว หลังจากลงทุนไปควานหาในห้องน้ำหญิงทุกแห่งในนี้ แต่ไม่มีแม้เงาของกานพลู หล่อนหายเงียบไปเลย “หายไปไหนนะ” ผู้คนก็มากมายจนบุตราไม่แน่ใจว่าจะตามหาตัวกานพลูพบได้ง่ายๆ หรือไม่ “ดูซิ จนเข้าไปจะตีสองแล้ว”หล่อนมองดูเวลาแล้วก็ยิ่งกระวนกระวายใจ ก่อนไปห้องน้ำ กานพลูแก่ดีกรีไปแล้วไม่ใช่น้อยๆ เลย“เพื่อนคุณโตแล้วนะ บุต...”“โตแต่ตัวกับอายุหรอก เขาเคยมาแบบนี้เสียเมื่อไหร่กัน...แล้วก็เมาแอ๋ไปแล้ว”หล่อนหยิบกระเป๋าถือใบเล็กๆ ของกานพลูมาถือเอาไว้ เปิดดูในนั้นก็พบว่าอยู่ครบ นอกเสียจากกระเป๋าใส่เศษเงินใบเล็กๆ ที่กานพลูนิยมติดตัวไว้ในกระโปรง รองเท้าส้นสูงที่ใส่มาทำงานก็ยังอยู่ในรถ ที่ติดไปกับกานพลูก็คือรองเท้าแตะสานเตี้ยๆ ที่บุตราเอาใส่ไว้ในรถเท่านั้น แล้วกานพลูหายไปแห่งหนใดกันในสถานที่นี้“ถ้าพลัดหลงกับเรา บุตว่ากานพลูต้องแย่แน่ๆ จะกลับบ้านได้ยังไง”ประภัทรแทบจะสำลักเหล้าทีเดียวเมื่อได้ยินแบบนั้น“เพื่อนคุณน่ะโตแล้วนะ หลงทางกลับบ้านไม่ถูกก็อายเด็กสิบสี่สิบห้ามันแย่เลย”“คุณไม่รู้อะไร เอาละ...บุตจะลองลุกเดินๆ หากานเขาอีกสักรอบ ถ้าไม่เจอ...ก็เห็นจะต้อง
“แม่กานยังไม่กลับมาเลย”หญิงวัยห้าสิบแปด ร่างท้วมตัดผมสั้น ใบหน้าค่อนข้างดุนั้นมีวี่แววบอกว่า เมื่อสาวจัดได้ว่าเป็นผู้หญิงสวยมากคนหนึ่งทีเดียว เอ่ยบ่นอย่างเคืองๆ“ดูซิ ดูเวลาซะก่อน เข้าไปตั้งจะเที่ยงคืนแล้ว ยังไม่เห็นหัว...หายไปไหน ไม่โทร. มาบอกกล่าวกันก่อน ชักจะเอาใหญ่แล้ว”นางหันหน้าไปทางประตูบ้าน และเลยไปยังรั้วที่เห็นอยู่ไกลๆ พ้นจากแนวไม้ที่ปลูกทึบจนให้ความร่มรื่นแก่ตัวบ้านเป็นอันมาก“กานมันเอาใหญ่มาตั้งแต่ทำงานได้แล้วล่ะค่ะ แม่” พรรณทิพา ลูกสาวคนใหญ่วัยสามสิบเป็นคนตอบ หล่อนเป็นสาวสวยยังประคับประคองความโสดเอาไว้ได้มั่นคง และมีความคิดไม่ค่อยจะเป็นมิตรกับกานพลูญาติผู้น้องผู้ด้อยกว่าสักเท่าไหร่ “นี่คงจะดอดไปพร่ำพลอดรักกับนายภาดากระมังคะ”“แม่ก็เตือนมันแล้วนะว่าอย่าทำอะไรแบบนั้น” แล้วนางก็ถอนใจ “ที่สั่งสอนเอาไว้จะเป็นไงมั่งก็ไม่รู้นะ กลัวอย่างเดียว...ว่าจะเหมือนแม่มัน...”นางหมายถึงน้องสาวที่เสียชีวิตไปแล้ว หลังจากอุ้มท้องกลับมาบ้านหาพ่อเป็นตัวตนให้ลูกไม่ได้ แล้วพอคลอดกานพลูได้ไม่นาน สติสัมปชัญญะที่ค่อนข้างจะบอบบางอยู่แล้วก็สับสน เมื่อตอนกานพลูอายุได้ห้าขวบ แม่ของหล่อนก็ยังอยู่ในวัยสา
“เฮ้ย...” เสียงนั้นไม่เบานัก เมื่อออกแรงดึงเพื่อนหนุ่มออกมาจากที่นั่งในตอนหลัง “ลงมาก่อนซิวะ จะมานั่งหลบมุมในรถไม่ได้ มาถึงที่แล้วต้องเอาให้เต็มคราบ...”คนถูกดึงทำหน้ายู่ยี่ ลงมาจากรถอย่างไม่สู้จะเต็มใจสักเท่าไร ยิ่งมองกวาดตาเห็นผู้คนคลาคล่ำรวมไปถึงรถยนต์ที่จอดกันเป็นตับก็ยิ่งเบ้ปาก ทำท่าเอือมๆ“คนมากไป”“เออซิวะ” อีกฝ่ายตอบเสียงหนักๆ “นี่มันเธคชื่อดังของกรุงเทพฯ คนมันก็ต้องเยอะหน่อย...นายจะหาที่ไหนวะที่ไม่มีคนเลย ไม่ใช่ป่าช้านี่หว่า”พินิจนัยเงยหน้ามองดูป้ายชื่อบอกสถานที่ที่กะพริบตามแสงไฟวิบๆ วับๆ มองดูผู้คนที่แต่งตัวหลากสไตล์์ ก่อนจะก้มลงมองตัวเองที่เพียงแต่สวมเสื้อเชิ้ตตัวหลวมๆ กับกางเกงทรงหลวม รองเท้าแตะธรรมดาๆ เพื่อนเขาเหมือนจะอ่านใจเขาออก มองตามก่อนจะบอกว่า“สไตล์ง่ายๆ ยังงี้ก็ได้วะ ไม่แปลก...หน้าตานายก็ยังไม่แก่เท่าไหร่ รับรองว่าอย่างมากเด็กในโน้นก็จะเรียกนายว่าพี่ ไม่ถึงกับเรียกลุงหรือเรียกอาให้แสลงใจ”“ท่าทางนายจะเชี่ยว ชำนาญ...”“คนชอบกินไก่...ก็ต้องเสาะหาไก่กินให้ถูกที่ ไก่ที่นี่ไม่แพง รับประกันว่าปลอดโรค แถมยังเป็นไก่ประเภทชอบโก่งคอขันเจื้อยแจ้ว...”“ไก่ตัวเมียที่ไหนวะโก่ง
“ภาดากับลูกสาวเจ้านายนี่เหมาะสมกันดีจริงๆ นะ”เสียงนั้นอยู่ห่างเพียงแค่ประตูห้องน้ำกั้นเอาไว้เท่านั้นเอง กานพลูก็ได้ยินประโยคนั้นชัดก้องเข้าไปในหู อยากจะคิดว่าเป็นเรื่องของคนอื่นที่หล่อนไม่รู้จัก แต่ในออฟฟิศนี้มีผู้ชายกี่คนกันเล่าที่ชื่อ ‘ภาดา’ก็มีเพียงภาดาคนเดียวเท่านั้น ภาดาที่หล่อนรักจับใจหล่อนเสร็จธุระในห้องน้ำแล้ว รวบรวมกำลังใจให้เปิดประตูออกมายืนอยู่ตรงทางเดินแคบๆ ที่เป็นทางเดินระหว่างประตูห้องน้ำกับเคาน์เตอร์ยาวๆ ที่ฝังอ่างล้างหน้าไว้เป็นระยะๆ สามอ่างด้วยกันผู้หญิงสองคนที่ยืนล้างมือตรงเคาน์เตอร์นั้น คุ้นหน้าคุ้นตากับกานพลูดี แต่ไม่เคยพูดกันมาก่อนแล้วก็ทำหน้าเจื่อนๆ ไปด้วยกันทั้งสองคนเมื่อเห็นกานพลู ก็คนในออฟฟิศส่วนมากจะรับรู้กันว่าผู้หญิงที่เดินไปไหนมาไหนกับภาดามีแต่กานพลูนี่คนเดียวเท่านั้น แม้จะไม่มีการยืนยันเป็นทางการ แต่ก็เป็นที่รู้กันอีกนั่นแหละว่ากานพลูกับเขาจะแต่งงานกันเร็วๆ นี้ หลังจากสร้างเนื้อสร้างตัวได้แล้วหล่อนล้างมือเช็ดจนแห้งแล้วจึงเดินออกมาจากห้องน้ำ แข้งขาไม่สั่นมือไม่สั่น แต่กานพลูรู้ดีว่าหน้าของหล่อนปราศจากสีเลือดและใจก็เต้นรัวถี่อยู่ในอก อยากจะแล่นไปหาเขา