“ภาดากับลูกสาวเจ้านายนี่เหมาะสมกันดีจริงๆ นะ”
เสียงนั้นอยู่ห่างเพียงแค่ประตูห้องน้ำกั้นเอาไว้เท่านั้นเอง กานพลูก็ได้ยินประโยคนั้นชัดก้องเข้าไปในหู อยากจะคิดว่าเป็นเรื่องของคนอื่นที่หล่อนไม่รู้จัก แต่ในออฟฟิศนี้มีผู้ชายกี่คนกันเล่าที่ชื่อ ‘ภาดา’
ก็มีเพียงภาดาคนเดียวเท่านั้น ภาดาที่หล่อนรักจับใจ
หล่อนเสร็จธุระในห้องน้ำแล้ว รวบรวมกำลังใจให้เปิดประตูออกมายืนอยู่ตรงทางเดินแคบๆ ที่เป็นทางเดินระหว่างประตูห้องน้ำกับเคาน์เตอร์ยาวๆ ที่ฝังอ่างล้างหน้าไว้เป็นระยะๆ สามอ่างด้วยกัน
ผู้หญิงสองคนที่ยืนล้างมือตรงเคาน์เตอร์นั้น คุ้นหน้าคุ้นตากับกานพลูดี แต่ไม่เคยพูดกันมาก่อน
แล้วก็ทำหน้าเจื่อนๆ ไปด้วยกันทั้งสองคนเมื่อเห็นกานพลู ก็คนในออฟฟิศส่วนมากจะรับรู้กันว่าผู้หญิงที่เดินไปไหนมาไหนกับภาดามีแต่กานพลูนี่คนเดียวเท่านั้น แม้จะไม่มีการยืนยันเป็นทางการ แต่ก็เป็นที่รู้กันอีกนั่นแหละว่ากานพลูกับเขาจะแต่งงานกันเร็วๆ นี้ หลังจากสร้างเนื้อสร้างตัวได้แล้ว
หล่อนล้างมือเช็ดจนแห้งแล้วจึงเดินออกมาจากห้องน้ำ แข้งขาไม่สั่นมือไม่สั่น แต่กานพลูรู้ดีว่าหน้าของหล่อนปราศจากสีเลือดและใจก็เต้นรัวถี่อยู่ในอก อยากจะแล่นไปหาเขา แต่งานของหล่อนในห้องคอมพิวเตอร์ก็มีล้นมือจนไม่อาจจะปลีกตัวไปได้ดังใจปรารถนา
ต้องรอให้เลิกงานเสียก่อน
หล่อนดูนาฬิกาบ่อยครั้ง แล้วทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนเมื่อเห็นเข็มสั้นอยู่ตรงกลางระหว่างเลขสี่กับเลขห้า เข็มยาวอยู่ตรงเลขหก เลื่อนเก้าอี้ออกอย่างแรงได้ก็ลุกขึ้นเดินลิ่วๆ ไปที่ประตูห้อง กำลังจะเปิดออกไปก็พอดีกับบานประตูถูกผลักเข้ามา
“กาน...”
ภาดานั่นเอง
“จะรีบไปไหน”
หล่อนมองหน้าเขาเขม็ง ยังพูดไม่ออก มองดูหน้าซื่อๆ ที่เห็น...แล้วหล่อนก็ฉวยแขนเขาเดินออกมานอกห้อง มีคำถามมากมายที่อยากจะถาม แต่เท่าที่ได้ยินเสียงตัวเองเล็ดลอดออกไปได้ก็คือ
“กานได้ยินเรื่องนึงมาจากห้องน้ำ ภาดาจะแต่งงานใช่ไหม”
หล่อนตาไม่ฝาดเมื่อเห็นสีหน้าผิดปกติของเขาแล้วก่อนที่เขาจะให้คำตอบ เขากลับส่งซองที่เขาถือมาในมือให้ หล่อนรับมาอย่างงงๆ ก้มลงมองดู แล้วก็รู้สึกเหมือนสิ่งที่ถือในมือเป็นของร้อนสุดขีดจนอยากจะโยนทิ้ง แต่มือกลับกำมันแน่นเข้า ริมฝีปากสั่นระริก
“การ์ดแต่งงานของผม”
เขาอ้อมแอ้มบอก มองหน้าหล่อนไม่เต็มตานัก เพราะยังไม่เลือดเย็นพอจะเข่นฆ่าหล่อนมากไปกว่านี้อีก แค่เห็นหยดน้ำตาวาววามอยู่ในดวงตาของหล่อน ภาดาก็ใจไหวยวบ
“กาน...ผมเสียใจ”
เขารวบรวมคำพูดออกมาได้เพียงเท่านั้น นึกภาวนาว่าอย่าให้หล่อนส่งเสียงกรี๊ดขึ้นมาตรงนี้เลย คำภาวนาของเขาก็ได้ผล เพราะกานพลูถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะถามเสียงเบาๆ
“มีอะไรจะให้ช่วยก็บอกนะ กานยินดี...”
หล่อนแสดงความมีน้ำใจออกไปมันหลุดไปโดยอัตโนมัติมากกว่า หัวสมองของหล่อนหมุนจี๋ตาพร่าพรายด้วยหยดน้ำตาที่ขึ้นมาคลอกลบ แล้วเขาก็นิ่ง หล่อนก็นิ่งงัน เงียบไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย ในที่สุดกานพลูก็พยักหน้าน้อยๆ
“กานจะกลับบ้าน...” มือกำซองแน่นขึ้น “ดีใจด้วยนะ...ดีใจด้วย”
หล่อนเลื่อนบานกระจกกลับที่เดิมก่อนที่น้ำตาจะไหลพรากลงมาอาบแก้มให้เขาได้เห็น โผเผกลับมาที่โต๊ะทำงานโดยไม่ใส่ใจกับสายตาใครๆ อีกเลย หล่อนฟุบหน้าลงกับโต๊ะสะอึกสะอื้นจนตัวโยน กิริยาของหล่อนทำให้บุตราลุกจากเก้าอี้มาแตะไหล่หล่อนเบาๆ อย่างตกใจ
“กานเป็นอะไรไปน่ะ ร้องไห้ทำไม ไปทะเลาะกับภาดามาเหรอ”
กานพลูไม่ตอบแต่ส่งซองสีอ่อนๆ นั่นให้แทน บุตรารับไปเปิดดูเงียบๆ ก่อนจะนิ่งอึ้ง สอดบัตรเชิญเก็บเข้าซองไปตามเดิม
“นึกแล้วเชียว ไม่ช้าก็เร็ว เธอก็ต้องรู้เรื่องจนได้”
“หมายความว่าไง”
กานพลูเงยหน้าขึ้นมาหยดน้ำตายังเปรอะเปื้อนอยู่บนแก้มซีดๆ ไร้สีสัน “เธอรู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้วใช่ไหม”
“เอ้อ...จะเอายังไงดีล่ะ อย่างนี้ก็แล้วกัน ทุกคนน่ะพอระแคะระคายกันหมดว่าภาดากับคุณเภรีจะแต่งงานกัน เรื่องของเรื่องมันเกิดอีตอนที่เธอลาพักร้อนไปสองอาทิตย์นั่นแหละ...คุณเภรีเขามาฝึกงาน ได้ใกล้ชิดกันมากๆ แล้วหลังจากนั้นเขาก็เล่นเกมซ่อนหากับเธอ”
“ทำไมไม่บอกฉัน”
“บางทีการบอกในเรื่องแบบนี้ ก็เท่ากับยื่นมือเข้ามาแส่มากกว่านะ...” ที่บุตราพูดก็ถูก “เรื่องของคู่รักนี่น่ะพูดมากไปก็เท่านั้น...ฉันก็เลยมองดูอยู่ห่างๆ จะดีกว่า”
“ผู้หญิงที่ชื่อเภรีนี่เป็นใคร”
“ลูกสาวของผู้จัดการฝ่ายบัญชี”
คำตอบนั้นทำให้กานพลูนิ่งอึ้ง
“ภาดาเขาคงอยากจะเรียนทางลัด เดี๋ยวนี้น่ะ กาน...ทางตรงมันไกล แล้วก็ไม่มีประโยชน์โภชน์ผลให้เห็น นอกจากทำงานสายตัวแทบขาดกว่าจะเก็บออมเงินได้ดังใจหวัง”
ริมฝีปากของกานพลูเม้มเข้าหากัน คำพูดของบุตราสะเทือนใจหล่อนไม่น้อยนักหรอก
“คงจะจริง เพราะฉันไม่มีอะไรสักอย่าง นอกเสียจากผู้หญิงตัวคนเดียว ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีทรัพย์สมบัติ ที่ซุกหัวนอนทุกวันนี้ก็อาศัยพึ่งพิงป้าในบ้านหลังเล็กๆ มีแต่เงินเดือนรายเดือน กับเงินโบนัสอีกก้อนหนึ่งตอนปลายปี กับเฝ้ารอเงินงอกเงยในบัญชีที่เก็บออมไว้ เพื่อเป็นทุนรอนในการสร้างรังรักสักรัง...อนิจจา...มันแค่ความฝันจริงๆ รังที่ว่านั้นไม่มีการสร้างอีกแล้ว”
บุตราตบบ่าหล่อนเบาๆ เหมือนจะให้กำลังใจ
“ถ้าอยากร้องไห้ก็ร้องซะ พรุ่งนี้จะได้เข้มแข็ง มาเชิดหน้าสู้กับเขาได้ เอาอย่างนี้นะ กาน...เศร้าโศกน่ะก็อย่าเพิ่งรีบกลับไปบ้าน”
เพราะบุตรารู้ว่าที่บ้านนั้นไม่มีใครพอจะปลอบขวัญให้กับกานพลูได้ ป้าหล่อนเป็นหญิงม่ายมานานปี มีลูกสาวสองคนที่ล้วนแต่สวยสดและไม่เคยมีกานพลูอยู่ในสายตา ทุกสาวล้วนแล้วแต่เห็นกานพลูเป็นเบี้ยล่าง กับเรื่องนี้บุตราแน่ใจว่าจะหาคนที่เห็นใจกานพลูได้ยากเหลือเกิน
“ไปด้วยกันก่อนนี่มันวันศุกร์วันสุดสัปดาห์...ไปดื่มไปเต้นรำกันดีกว่า หาเรื่องทำไม่ให้ว่างซะ จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน”
กานพลูเงียบไปนานก่อนจะบอกเสียงแห้งๆ
“ก็ดี แต่ขอโทร. กลับไปบอกคุณป้าก่อน เดี๋ยวท่านจะห่วง...”
“แล้วก็จะโดนด่าด้วย”
บุตราต่อเติมให้อย่างรู้รายละเอียดในบ้านของกานพลูได้ดี หญิงสาวเลยยิ่งหน้าจ๋อย หล่อนรู้ว่าหากบอกว่าภาดาจะแต่งงานกับผู้หญิงอื่น ทั้งป้าทั้งพวกพี่ๆ ของหล่อนก็จะพากันพูดเหมือนๆ กันหมดว่า หล่อนไปทำผิดพลาดบกพร่องเข้าแล้ว เขาถึงเมินเลยมองข้ามหล่อนไปเสียฉิบ
“ไม่โทร. ดีกว่า” กานพลูบอกต่อเสียงเบาๆ “กลับไปเมื่อไหร่ก็ได้เห็น โดนด่าเสียทีเดียว ดีกว่าโทร. ไปบอกแล้วท่านไม่อนุญาต แต่ยังดันทุรังไป ก็ยิ่งโดนด่าหนักข้อไปอีก”
“ไปเติมสีสันหน้าตาหน่อยไป”
บุตราออกปากไล่ แต่กานพลูส่ายหัวดิก
“ถือเสียว่าฉันไว้ทุกข์ตั้งแต่วินาทีนี้ก็แล้วกัน...ไม่มีกะจิตกะใจจะไปเติมแต่งให้มันดูดีหรอก...”
“ตามใจ...แต่พอไปโดนไฟแล้วซีดเซียวเหมือนคนไข้หนัก ไม่มีไอ้หนุ่มคนไหนมองแล้ว ‘ปิ๊ง’ อย่ามานั่งเสียใจนะ”
“ฉันคงจะเข็ดผู้ชายไปอีกนาน”
“เฮ้ย...” เสียงนั้นไม่เบานัก เมื่อออกแรงดึงเพื่อนหนุ่มออกมาจากที่นั่งในตอนหลัง “ลงมาก่อนซิวะ จะมานั่งหลบมุมในรถไม่ได้ มาถึงที่แล้วต้องเอาให้เต็มคราบ...”คนถูกดึงทำหน้ายู่ยี่ ลงมาจากรถอย่างไม่สู้จะเต็มใจสักเท่าไร ยิ่งมองกวาดตาเห็นผู้คนคลาคล่ำรวมไปถึงรถยนต์ที่จอดกันเป็นตับก็ยิ่งเบ้ปาก ทำท่าเอือมๆ“คนมากไป”“เออซิวะ” อีกฝ่ายตอบเสียงหนักๆ “นี่มันเธคชื่อดังของกรุงเทพฯ คนมันก็ต้องเยอะหน่อย...นายจะหาที่ไหนวะที่ไม่มีคนเลย ไม่ใช่ป่าช้านี่หว่า”พินิจนัยเงยหน้ามองดูป้ายชื่อบอกสถานที่ที่กะพริบตามแสงไฟวิบๆ วับๆ มองดูผู้คนที่แต่งตัวหลากสไตล์์ ก่อนจะก้มลงมองตัวเองที่เพียงแต่สวมเสื้อเชิ้ตตัวหลวมๆ กับกางเกงทรงหลวม รองเท้าแตะธรรมดาๆ เพื่อนเขาเหมือนจะอ่านใจเขาออก มองตามก่อนจะบอกว่า“สไตล์ง่ายๆ ยังงี้ก็ได้วะ ไม่แปลก...หน้าตานายก็ยังไม่แก่เท่าไหร่ รับรองว่าอย่างมากเด็กในโน้นก็จะเรียกนายว่าพี่ ไม่ถึงกับเรียกลุงหรือเรียกอาให้แสลงใจ”“ท่าทางนายจะเชี่ยว ชำนาญ...”“คนชอบกินไก่...ก็ต้องเสาะหาไก่กินให้ถูกที่ ไก่ที่นี่ไม่แพง รับประกันว่าปลอดโรค แถมยังเป็นไก่ประเภทชอบโก่งคอขันเจื้อยแจ้ว...”“ไก่ตัวเมียที่ไหนวะโก่ง
“แม่กานยังไม่กลับมาเลย”หญิงวัยห้าสิบแปด ร่างท้วมตัดผมสั้น ใบหน้าค่อนข้างดุนั้นมีวี่แววบอกว่า เมื่อสาวจัดได้ว่าเป็นผู้หญิงสวยมากคนหนึ่งทีเดียว เอ่ยบ่นอย่างเคืองๆ“ดูซิ ดูเวลาซะก่อน เข้าไปตั้งจะเที่ยงคืนแล้ว ยังไม่เห็นหัว...หายไปไหน ไม่โทร. มาบอกกล่าวกันก่อน ชักจะเอาใหญ่แล้ว”นางหันหน้าไปทางประตูบ้าน และเลยไปยังรั้วที่เห็นอยู่ไกลๆ พ้นจากแนวไม้ที่ปลูกทึบจนให้ความร่มรื่นแก่ตัวบ้านเป็นอันมาก“กานมันเอาใหญ่มาตั้งแต่ทำงานได้แล้วล่ะค่ะ แม่” พรรณทิพา ลูกสาวคนใหญ่วัยสามสิบเป็นคนตอบ หล่อนเป็นสาวสวยยังประคับประคองความโสดเอาไว้ได้มั่นคง และมีความคิดไม่ค่อยจะเป็นมิตรกับกานพลูญาติผู้น้องผู้ด้อยกว่าสักเท่าไหร่ “นี่คงจะดอดไปพร่ำพลอดรักกับนายภาดากระมังคะ”“แม่ก็เตือนมันแล้วนะว่าอย่าทำอะไรแบบนั้น” แล้วนางก็ถอนใจ “ที่สั่งสอนเอาไว้จะเป็นไงมั่งก็ไม่รู้นะ กลัวอย่างเดียว...ว่าจะเหมือนแม่มัน...”นางหมายถึงน้องสาวที่เสียชีวิตไปแล้ว หลังจากอุ้มท้องกลับมาบ้านหาพ่อเป็นตัวตนให้ลูกไม่ได้ แล้วพอคลอดกานพลูได้ไม่นาน สติสัมปชัญญะที่ค่อนข้างจะบอบบางอยู่แล้วก็สับสน เมื่อตอนกานพลูอายุได้ห้าขวบ แม่ของหล่อนก็ยังอยู่ในวัยสา
“กานหายไป...” บุตราพึมพำ หล่อนกวาดตามองหาเพื่อนเสียทั่ว หลังจากลงทุนไปควานหาในห้องน้ำหญิงทุกแห่งในนี้ แต่ไม่มีแม้เงาของกานพลู หล่อนหายเงียบไปเลย “หายไปไหนนะ” ผู้คนก็มากมายจนบุตราไม่แน่ใจว่าจะตามหาตัวกานพลูพบได้ง่ายๆ หรือไม่ “ดูซิ จนเข้าไปจะตีสองแล้ว”หล่อนมองดูเวลาแล้วก็ยิ่งกระวนกระวายใจ ก่อนไปห้องน้ำ กานพลูแก่ดีกรีไปแล้วไม่ใช่น้อยๆ เลย“เพื่อนคุณโตแล้วนะ บุต...”“โตแต่ตัวกับอายุหรอก เขาเคยมาแบบนี้เสียเมื่อไหร่กัน...แล้วก็เมาแอ๋ไปแล้ว”หล่อนหยิบกระเป๋าถือใบเล็กๆ ของกานพลูมาถือเอาไว้ เปิดดูในนั้นก็พบว่าอยู่ครบ นอกเสียจากกระเป๋าใส่เศษเงินใบเล็กๆ ที่กานพลูนิยมติดตัวไว้ในกระโปรง รองเท้าส้นสูงที่ใส่มาทำงานก็ยังอยู่ในรถ ที่ติดไปกับกานพลูก็คือรองเท้าแตะสานเตี้ยๆ ที่บุตราเอาใส่ไว้ในรถเท่านั้น แล้วกานพลูหายไปแห่งหนใดกันในสถานที่นี้“ถ้าพลัดหลงกับเรา บุตว่ากานพลูต้องแย่แน่ๆ จะกลับบ้านได้ยังไง”ประภัทรแทบจะสำลักเหล้าทีเดียวเมื่อได้ยินแบบนั้น“เพื่อนคุณน่ะโตแล้วนะ หลงทางกลับบ้านไม่ถูกก็อายเด็กสิบสี่สิบห้ามันแย่เลย”“คุณไม่รู้อะไร เอาละ...บุตจะลองลุกเดินๆ หากานเขาอีกสักรอบ ถ้าไม่เจอ...ก็เห็นจะต้อง
เสียงเคาะประตูรัวๆ อยู่ด้านนอกเมื่อเขายังอาบน้ำซู่ๆ อยู่ในห้องน้ำ กว่าเขาจะมาเปิดประตูห้องออกรับ ภูษิตมีดวงหน้างอง้ำเพราะรอนานเกินไปสิ่งแรกที่ภูษิตทำเมื่อก้าวเข้ามาในห้องก็คือกวาดตามองเหมือนจะหาใครสักคน ครั้นไม่พบก็บุ้ยใบ้ไปในห้องน้ำ“อยู่ในนั้นหรือไงวะ”“ใคร...”“เอ๊ ยังมาถาม ก็อีสาวเมื่อคืน ไปไหนแล้ว...”พินิจนัยเดินไปหน้ากระจก ผมเปียกน้ำลู่แนบกับรูปศีรษะรูปทุยสวยเขาใช้ผ้าผืนเล็กที่เป็นของส่วนตัวโปะหัวขยี้แรงๆ ตอบหน้าตาเฉย“ไปแล้ว อย่าถามต่อนะว่าไปไหน ไม่รู้เหมือนกัน”“เท่าไหร่วะ”“อะไร เท่าไหร่”ภูษิตทำเสียงจิ๊กจั๊กอยู่ในคำ“เอ็งนี่มันชอบแกล้งโง่ซะเรื่อย ระวังเหอะ มันจะโง่เอาจริงๆ ของข้ามันเรียกคนละสามร้อย...แล้วรับปากว่าจะมาหาอีก เมื่อคืนน่ะนะ...มันสวยงามพิลึก...ไม่อยากให้ถึงเช้าเลย เด็กเดี๋ยวนี้มันเก่งจริงๆ นับถือว่าฝีมือมันดี นี่ขนาดพวกมือสมัครเล่นหรอกนะของเอ็งล่ะ พอสลัดชุดเชยๆ นั่นออก อีบรรเลงได้ถึงใจไหม”“ข้าว่าอีหนูของข้ามีแววว่าจะเข้าวงออเคสตร้าได้นะ เสียงก็ขนาดนักร้องอาชีพ แก้วหูยังร้าวอยู่เลย”“ถ้าเสียงดี ลำคอก็ต้องดี หมายความว่า...”ภูษิตตาลุก ชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ ทำตามี
เสียงเคาะประตูรัวๆ อยู่ด้านนอกเมื่อเขายังอาบน้ำซู่ๆ อยู่ในห้องน้ำ กว่าเขาจะมาเปิดประตูห้องออกรับ ภูษิตมีดวงหน้างอง้ำเพราะรอนานเกินไปสิ่งแรกที่ภูษิตทำเมื่อก้าวเข้ามาในห้องก็คือกวาดตามองเหมือนจะหาใครสักคน ครั้นไม่พบก็บุ้ยใบ้ไปในห้องน้ำ“อยู่ในนั้นหรือไงวะ”“ใคร...”“เอ๊ ยังมาถาม ก็อีสาวเมื่อคืน ไปไหนแล้ว...”พินิจนัยเดินไปหน้ากระจก ผมเปียกน้ำลู่แนบกับรูปศีรษะรูปทุยสวยเขาใช้ผ้าผืนเล็กที่เป็นของส่วนตัวโปะหัวขยี้แรงๆ ตอบหน้าตาเฉย“ไปแล้ว อย่าถามต่อนะว่าไปไหน ไม่รู้เหมือนกัน”“เท่าไหร่วะ”“อะไร เท่าไหร่”ภูษิตทำเสียงจิ๊กจั๊กอยู่ในคำ“เอ็งนี่มันชอบแกล้งโง่ซะเรื่อย ระวังเหอะ มันจะโง่เอาจริงๆ ของข้ามันเรียกคนละสามร้อย...แล้วรับปากว่าจะมาหาอีก เมื่อคืนน่ะนะ...มันสวยงามพิลึก...ไม่อยากให้ถึงเช้าเลย เด็กเดี๋ยวนี้มันเก่งจริงๆ นับถือว่าฝีมือมันดี นี่ขนาดพวกมือสมัครเล่นหรอกนะของเอ็งล่ะ พอสลัดชุดเชยๆ นั่นออก อีบรรเลงได้ถึงใจไหม”“ข้าว่าอีหนูของข้ามีแววว่าจะเข้าวงออเคสตร้าได้นะ เสียงก็ขนาดนักร้องอาชีพ แก้วหูยังร้าวอยู่เลย”“ถ้าเสียงดี ลำคอก็ต้องดี หมายความว่า...”ภูษิตตาลุก ชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ ทำตามี
“กานหายไป...” บุตราพึมพำ หล่อนกวาดตามองหาเพื่อนเสียทั่ว หลังจากลงทุนไปควานหาในห้องน้ำหญิงทุกแห่งในนี้ แต่ไม่มีแม้เงาของกานพลู หล่อนหายเงียบไปเลย “หายไปไหนนะ” ผู้คนก็มากมายจนบุตราไม่แน่ใจว่าจะตามหาตัวกานพลูพบได้ง่ายๆ หรือไม่ “ดูซิ จนเข้าไปจะตีสองแล้ว”หล่อนมองดูเวลาแล้วก็ยิ่งกระวนกระวายใจ ก่อนไปห้องน้ำ กานพลูแก่ดีกรีไปแล้วไม่ใช่น้อยๆ เลย“เพื่อนคุณโตแล้วนะ บุต...”“โตแต่ตัวกับอายุหรอก เขาเคยมาแบบนี้เสียเมื่อไหร่กัน...แล้วก็เมาแอ๋ไปแล้ว”หล่อนหยิบกระเป๋าถือใบเล็กๆ ของกานพลูมาถือเอาไว้ เปิดดูในนั้นก็พบว่าอยู่ครบ นอกเสียจากกระเป๋าใส่เศษเงินใบเล็กๆ ที่กานพลูนิยมติดตัวไว้ในกระโปรง รองเท้าส้นสูงที่ใส่มาทำงานก็ยังอยู่ในรถ ที่ติดไปกับกานพลูก็คือรองเท้าแตะสานเตี้ยๆ ที่บุตราเอาใส่ไว้ในรถเท่านั้น แล้วกานพลูหายไปแห่งหนใดกันในสถานที่นี้“ถ้าพลัดหลงกับเรา บุตว่ากานพลูต้องแย่แน่ๆ จะกลับบ้านได้ยังไง”ประภัทรแทบจะสำลักเหล้าทีเดียวเมื่อได้ยินแบบนั้น“เพื่อนคุณน่ะโตแล้วนะ หลงทางกลับบ้านไม่ถูกก็อายเด็กสิบสี่สิบห้ามันแย่เลย”“คุณไม่รู้อะไร เอาละ...บุตจะลองลุกเดินๆ หากานเขาอีกสักรอบ ถ้าไม่เจอ...ก็เห็นจะต้อง
“แม่กานยังไม่กลับมาเลย”หญิงวัยห้าสิบแปด ร่างท้วมตัดผมสั้น ใบหน้าค่อนข้างดุนั้นมีวี่แววบอกว่า เมื่อสาวจัดได้ว่าเป็นผู้หญิงสวยมากคนหนึ่งทีเดียว เอ่ยบ่นอย่างเคืองๆ“ดูซิ ดูเวลาซะก่อน เข้าไปตั้งจะเที่ยงคืนแล้ว ยังไม่เห็นหัว...หายไปไหน ไม่โทร. มาบอกกล่าวกันก่อน ชักจะเอาใหญ่แล้ว”นางหันหน้าไปทางประตูบ้าน และเลยไปยังรั้วที่เห็นอยู่ไกลๆ พ้นจากแนวไม้ที่ปลูกทึบจนให้ความร่มรื่นแก่ตัวบ้านเป็นอันมาก“กานมันเอาใหญ่มาตั้งแต่ทำงานได้แล้วล่ะค่ะ แม่” พรรณทิพา ลูกสาวคนใหญ่วัยสามสิบเป็นคนตอบ หล่อนเป็นสาวสวยยังประคับประคองความโสดเอาไว้ได้มั่นคง และมีความคิดไม่ค่อยจะเป็นมิตรกับกานพลูญาติผู้น้องผู้ด้อยกว่าสักเท่าไหร่ “นี่คงจะดอดไปพร่ำพลอดรักกับนายภาดากระมังคะ”“แม่ก็เตือนมันแล้วนะว่าอย่าทำอะไรแบบนั้น” แล้วนางก็ถอนใจ “ที่สั่งสอนเอาไว้จะเป็นไงมั่งก็ไม่รู้นะ กลัวอย่างเดียว...ว่าจะเหมือนแม่มัน...”นางหมายถึงน้องสาวที่เสียชีวิตไปแล้ว หลังจากอุ้มท้องกลับมาบ้านหาพ่อเป็นตัวตนให้ลูกไม่ได้ แล้วพอคลอดกานพลูได้ไม่นาน สติสัมปชัญญะที่ค่อนข้างจะบอบบางอยู่แล้วก็สับสน เมื่อตอนกานพลูอายุได้ห้าขวบ แม่ของหล่อนก็ยังอยู่ในวัยสา
“เฮ้ย...” เสียงนั้นไม่เบานัก เมื่อออกแรงดึงเพื่อนหนุ่มออกมาจากที่นั่งในตอนหลัง “ลงมาก่อนซิวะ จะมานั่งหลบมุมในรถไม่ได้ มาถึงที่แล้วต้องเอาให้เต็มคราบ...”คนถูกดึงทำหน้ายู่ยี่ ลงมาจากรถอย่างไม่สู้จะเต็มใจสักเท่าไร ยิ่งมองกวาดตาเห็นผู้คนคลาคล่ำรวมไปถึงรถยนต์ที่จอดกันเป็นตับก็ยิ่งเบ้ปาก ทำท่าเอือมๆ“คนมากไป”“เออซิวะ” อีกฝ่ายตอบเสียงหนักๆ “นี่มันเธคชื่อดังของกรุงเทพฯ คนมันก็ต้องเยอะหน่อย...นายจะหาที่ไหนวะที่ไม่มีคนเลย ไม่ใช่ป่าช้านี่หว่า”พินิจนัยเงยหน้ามองดูป้ายชื่อบอกสถานที่ที่กะพริบตามแสงไฟวิบๆ วับๆ มองดูผู้คนที่แต่งตัวหลากสไตล์์ ก่อนจะก้มลงมองตัวเองที่เพียงแต่สวมเสื้อเชิ้ตตัวหลวมๆ กับกางเกงทรงหลวม รองเท้าแตะธรรมดาๆ เพื่อนเขาเหมือนจะอ่านใจเขาออก มองตามก่อนจะบอกว่า“สไตล์ง่ายๆ ยังงี้ก็ได้วะ ไม่แปลก...หน้าตานายก็ยังไม่แก่เท่าไหร่ รับรองว่าอย่างมากเด็กในโน้นก็จะเรียกนายว่าพี่ ไม่ถึงกับเรียกลุงหรือเรียกอาให้แสลงใจ”“ท่าทางนายจะเชี่ยว ชำนาญ...”“คนชอบกินไก่...ก็ต้องเสาะหาไก่กินให้ถูกที่ ไก่ที่นี่ไม่แพง รับประกันว่าปลอดโรค แถมยังเป็นไก่ประเภทชอบโก่งคอขันเจื้อยแจ้ว...”“ไก่ตัวเมียที่ไหนวะโก่ง
“ภาดากับลูกสาวเจ้านายนี่เหมาะสมกันดีจริงๆ นะ”เสียงนั้นอยู่ห่างเพียงแค่ประตูห้องน้ำกั้นเอาไว้เท่านั้นเอง กานพลูก็ได้ยินประโยคนั้นชัดก้องเข้าไปในหู อยากจะคิดว่าเป็นเรื่องของคนอื่นที่หล่อนไม่รู้จัก แต่ในออฟฟิศนี้มีผู้ชายกี่คนกันเล่าที่ชื่อ ‘ภาดา’ก็มีเพียงภาดาคนเดียวเท่านั้น ภาดาที่หล่อนรักจับใจหล่อนเสร็จธุระในห้องน้ำแล้ว รวบรวมกำลังใจให้เปิดประตูออกมายืนอยู่ตรงทางเดินแคบๆ ที่เป็นทางเดินระหว่างประตูห้องน้ำกับเคาน์เตอร์ยาวๆ ที่ฝังอ่างล้างหน้าไว้เป็นระยะๆ สามอ่างด้วยกันผู้หญิงสองคนที่ยืนล้างมือตรงเคาน์เตอร์นั้น คุ้นหน้าคุ้นตากับกานพลูดี แต่ไม่เคยพูดกันมาก่อนแล้วก็ทำหน้าเจื่อนๆ ไปด้วยกันทั้งสองคนเมื่อเห็นกานพลู ก็คนในออฟฟิศส่วนมากจะรับรู้กันว่าผู้หญิงที่เดินไปไหนมาไหนกับภาดามีแต่กานพลูนี่คนเดียวเท่านั้น แม้จะไม่มีการยืนยันเป็นทางการ แต่ก็เป็นที่รู้กันอีกนั่นแหละว่ากานพลูกับเขาจะแต่งงานกันเร็วๆ นี้ หลังจากสร้างเนื้อสร้างตัวได้แล้วหล่อนล้างมือเช็ดจนแห้งแล้วจึงเดินออกมาจากห้องน้ำ แข้งขาไม่สั่นมือไม่สั่น แต่กานพลูรู้ดีว่าหน้าของหล่อนปราศจากสีเลือดและใจก็เต้นรัวถี่อยู่ในอก อยากจะแล่นไปหาเขา