เสียงเคาะประตูรัวๆ อยู่ด้านนอกเมื่อเขายังอาบน้ำซู่ๆ อยู่ในห้องน้ำ กว่าเขาจะมาเปิดประตูห้องออกรับ ภูษิตมีดวงหน้างอง้ำเพราะรอนานเกินไป
สิ่งแรกที่ภูษิตทำเมื่อก้าวเข้ามาในห้องก็คือกวาดตามองเหมือนจะหาใครสักคน ครั้นไม่พบก็บุ้ยใบ้ไปในห้องน้ำ
“อยู่ในนั้นหรือไงวะ”
“ใคร...”
“เอ๊ ยังมาถาม ก็อีสาวเมื่อคืน ไปไหนแล้ว...”
พินิจนัยเดินไปหน้ากระจก ผมเปียกน้ำลู่แนบกับรูปศีรษะรูปทุยสวย
เขาใช้ผ้าผืนเล็กที่เป็นของส่วนตัวโปะหัวขยี้แรงๆ ตอบหน้าตาเฉย
“ไปแล้ว อย่าถามต่อนะว่าไปไหน ไม่รู้เหมือนกัน”
“เท่าไหร่วะ”
“อะไร เท่าไหร่”
ภูษิตทำเสียงจิ๊กจั๊กอยู่ในคำ
“เอ็งนี่มันชอบแกล้งโง่ซะเรื่อย ระวังเหอะ มันจะโง่เอาจริงๆ ของข้ามันเรียกคนละสามร้อย...แล้วรับปากว่าจะมาหาอีก เมื่อคืนน่ะนะ...มันสวยงามพิลึก...ไม่อยากให้ถึงเช้าเลย เด็กเดี๋ยวนี้มันเก่งจริงๆ นับถือว่าฝีมือมันดี นี่ขนาดพวกมือสมัครเล่นหรอกนะของเอ็งล่ะ พอสลัดชุดเชยๆ นั่นออก อีบรรเลงได้ถึงใจไหม”
“ข้าว่าอีหนูของข้ามีแววว่าจะเข้าวงออเคสตร้าได้นะ เสียงก็ขนาดนักร้องอาชีพ แก้วหูยังร้าวอยู่เลย”
“ถ้าเสียงดี ลำคอก็ต้องดี หมายความว่า...”
ภูษิตตาลุก ชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ ทำตามีเลศนัย
“เอ็งน่าจะส่งต่อไปให้ข้าบ้าง ไอ้เด็ดๆ ยังงี้น่ะข้าชอบนักเชียว หน้าตาก็เหมือนเด็กมัธยม ไซด์ก็เด็กมัธยม คงจะซาบซ่าน”
เขาขึงตาตอบ พูดด้วยเสียงหนักแน่น
“เอ็งมันมักมากทางนี้ไม่หาย นึกอะไรไปในทางต่ำซะหมด ข้าไม่ได้กินแม่หนูนั่นหรอก แค่นี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะฝันร้ายไปนานอีกแค่ไหน ตอนวิ่งออกไปจากที่นี่เหมือนจะช็อก ข้าก็ยังห่วงๆ วิ่งตามไปก็ไม่ทันซะแล้ว กลับไปบ้านคราวนี้มีหวังต้องทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้สักหน่อย นี่หากเกิดกลับไม่ถึงบ้านช่อง ข้าคงจะรับบาปกรรมหนาเชียว”
ภูษิตได้แต่กะพริบตาปริบๆ เหมือนไม่เชื่อหูกับคุณงามความดีของเพื่อนรัก แล้วก็ได้แค่ครางออกมา
“คนอย่างเอ็งยังมีเหลืออีกหรือวะนี่ ข้านึกว่ามันจะสูญพันธุ์ไปพร้อมกับไดโนเสาร์แล้วซะอีก”
พินิจนัยยกไหล่เล็กน้อย ตอบหน้าตาเฉยนัก
“มันเป็นสมดุลของธรรมชาตินั่นแหละ มีคนเลวแล้วก็ต้องมีคนดี เอาไว้คอยเปรียบเทียบให้เห็นข้อแตกต่างของสีขาวกับสีดำ”
คุณนายจันทร์เพ็ญยังไม่ทันได้สั่งให้เด็กสาวแรกรุ่นเก็บโต๊ะที่เอาออกมาเพื่อตั้งวางของใส่บาตรกลับเข้าไปในบ้าน ก็พอดีกับรถแท็กซี่แล่นมาจอดเลยไปจากตัวนางเล็กน้อย
ประตูตอนหลังเปิดออก แล้วผู้หญิงที่ลงมาอย่างโผเผนั่นก็ทำให้นางแทบจะไม่ได้กะพริบตาเลยทีเดียว
“แม่กาน”
นางอุทาน แต่เสียงแผ่วเบาเหมือนกระซิบ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสารรูปแบบนั้นจะเป็นหลานสาวของนาง กานพลูเองก็หยุดชะงักกึก หน้าซีดขาวอยู่แล้วยิ่งซีดหนักเหมือนศพที่ปราศจากลมหายใจไปแล้ว
“อะไรกัน...” นางเข้ามาถึงตัวหลานสาว จับเนื้อตัวของกานพลูดูให้รู้ว่ามีตัวตนจริงๆ ก่อนจะใช้นิ้วจิ้มหน้าผากเธออย่างแรง “แกหายหัวไปไหนมาทั้งคืน ฮึ...แล้วดูซิ...เหมือนแกไปคลุกอยู่ที่ไหนมาอย่างนั้นแหละ” จมูกของนางฟุดฟิดแล้วก็ได้กลิ่นเหล้าออกหึ่ง
มองดูเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่ ชายเสื้อออกมาจากกระโปรง รองเท้าแตะ...ผมเผ้านั่นไม่ต้องพูดถึงเสียเลยดีกว่า แล้วนางก็ยกมืออีกข้างทาบอก เสียงเกรี้ยวขึ้นมาเต็มที่ทีเดียว
“หายหัวไปนอนกับผู้ชายมาใช่ไหม”
ขาของกานพลูสั่นระริก ริมฝีปากเม้มแน่น อาการช็อกของหล่อนยังไม่เหือดหาย นับจากลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าข้างกายของหล่อนคือผู้ชายแปลกหน้า
“ดูสารรูปแกตอนนี้ก่อนดีกว่า...” นางกระชากแขนหล่อนเข้ามาในบ้านผ่านทางประตูบานเล็กด้านข้าง “ป้าเคยสั่งสอนแกมาเท่าไหร่แล้ว แกก็ไม่เคยจำ แล้วในที่สุดแกก็ไม่พ้นรอยแม่แก”
นางพูด พูดและพูดไปตลอดทาง ไม่ได้สนใจไยดีกับหลานสาวในไส้ของตัวเองเอาเลย
ผลักกานพลูออกไปห่างจากตัว เมื่อเข้ามาถึงใต้ถุนเรือนไม้ แล้วก็ตกใจอยู่เหมือนกันเมื่อกานพลูฟุบลงไป หน้าไร้สีสัน เนื้อตัวก็เย็นเฉียบ แต่ดวงตาของกานพลูยังเบิกกว้าง นางเรียกหลานสาวเสียงหลง
“แม่กาน...แม่กาน...เป็นอะไรไปน่ะ ฮึ...ตอบป้าที...” นางไม่แน่ใจสักเท่าไหร่กับแววตาเลื่อนลอยแบบนั้น จะเอื้อมมือแตะต้องเนื้อตัวของหล่อนก็ชักกลัวๆ ปนกล้าๆ สุดท้ายนางก็หดมือกลับ ได้แต่ส่งเสียงเรียก
อยู่ห่างๆ “แม่กาน แกได้ยินเสียงป้าหรือเปล่า”
“กานปวดหัว...” หล่อนบอก ริมฝีปากแห้งกรังเมื่อคืนหล่อนนอนอยู่ในห้องที่หนาวเหน็บเพราะเครื่องปรับอากาศ และสภาพร่างกายของหล่อนที่ถูกเหล้าแผดเผาเข้าไป “คุณป้า...ช่วยกานด้วย”
หล่อนพูดได้เพียงเท่านั้นเอง เหมือนคนวิ่งมาไกลๆ ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีเหลืออยู่ แล้วพอมาถึงจุดหมายที่คิดว่าปลอดภัยพอ หล่อนก็ล้มฟุบไม่รับรู้ใดๆ อีกเลย
“ไง...กาน” พรรณทิพาส่งเสียงทักด้วยทีท่าหมางเมินเมื่อกานพลูลืมตาขึ้นมา หล่อนยืนพิงอยู่ที่หน้าต่างยกมือขึ้นกอดอก “กลับมาถึงบ้านสำออยว่าเจ็บป่วยซะหน่อย แม่ก็ไม่กล้าที่จะเล่นงานเธอแล้ว ทำได้ดีนี่...จะบอกได้หรือยังว่าทั้งคืนน่ะเธอไปซุกหัวอยู่ในโรงแรมไหนมา
หล่อนส่ายหน้าเกลือกอยู่บนหมอน น้ำตาไหลหยาดรินออกมาเงียบๆ ไม่รู้เหมือนกันว่ามันไปลงเอยที่โรงแรมนั่นได้อย่างไรกัน ตอนวิ่งเซซังออกมาจากที่นั่น ภาพสุดท้ายที่ติดตาหล่อนก็คือ ‘เขา’ ที่ลุกขึ้น ผ้าห่มที่ปิดตัวเอาไว้เลื่อนลงไปหมดแล้ว เขาไม่ได้สวมใส่อะไรเลยสักชิ้น
เขาเปลือยเปล่าไปหมด ภาพนั้นทำให้หล่อนกระเจิดกระเจิง ตอนวิ่งออกมาหล่อนไม่ได้มองด้วยซ้ำว่าโรงแรมไหน สำนึกที่หลอกหลอนหล่อนอยู่ตอนนี้ก็คือว่า เมื่อคืนที่หล่อนไม่รู้สึกรู้สมไปนั้นเกิดสิ่งใดกับหล่อนบ้าง
“เปิดปากพูดเถอะย่ะ มัวอมพะนำเอาไว้ก็เท่านั้น เดี๋ยวหลังจากนี้อีกเดือนสองเดือน คนบ้านนี้จะต้องอายที่เธอท้องป่องขึ้นมาเหมือนแม่เธอ”
แม่หล่อนก็น้าแท้ๆ ของพรรณทิพานั่นแหละ ความอดสูแกมหวาดกลัว กำลังคละเคล้ากันอยู่ในจิตสำนึกของกานพลูเต็มที่
“กานเสียใจ...เสียใจจริงๆ นะคะ...” หล่อนหลุดเสียงแผ่วหวิวออกมา มือกำผ้าห่มเอาไว้แน่น “กานไม่ทราบจริงๆ ว่ามันเกิดได้ยังไง”
แล้วหล่อนก็ร้องไห้โฮออกมา ในขณะที่พรรณทิพาหน้าเครียด แต่ยังไม่ทันเปิดปากพูด คุณนายจันทร์เพ็ญทำท่าบอกใบ้ให้ไปพูดกันข้างนอก
นางเพียงแต่เอ่ยกับหลานสาวว่า
“เอาละ เรื่องนี้ป้าจะต้องสอบสวนแกอีกสักหน ตอนนี้แกกำลังแย่นอนพักไปก่อน”
พอออกมาจากห้อง เสียงพรรณทิพาก็ชัดเจนนัก
“จะจัดการยังไงกันต่อไปล่ะคะ พรรณว่าแม่ท่าทางจะใจอ่อนเสียแล้ว เห็นไม่ค่อยจะแข็งขันสักเท่าไหร่”
คุณนายจันทร์เพ็ญระบายลมหายใจออกมาเพื่อให้ในอกได้โล่งโปร่งขึ้นมาบ้าง
“มันก็ยังเป็นหลานแม่นะ ไม่ใช่คนอื่นคนไกล เห็นสารรูปมันแล้วก็ซ้ำเติมกันไม่ลง” ครั้นเห็นสีหน้าขึงขังของลูกสาว นางก็รีบพูดต่อเหมือนจะเอาใจ “แต่แม่ก็ต้องชำระโทษกันบ้างหรอกที่ทำตัวเหลวไหล นึกจะไม่กลับบ้านก็ไปนอนค้างอ้างแรมที่อื่น”
“ไอ้แค่ไปค้างก็คงจะไม่กระไรหรอกค่ะ แต่ท่าทางแม่กานเหมือนไปนอนกับผู้ชาย สารรูปถึงเป็นแบบนั้น แล้วตอนนี้ก็ทำท่าเหมือนจะไม่ยอมพูด พรรณว่าคุณแม่น่าจะโทร. เรียกตัวนายภาดามานะคะ ก่อนจะเสียไปฟรีๆ แล้วแม่นั่นแหละที่จะต้องรับเลี้ยงกันอีกรุ่น หลังจากเลี้ยงน้องเลี้ยงหลานมาแล้ว”
“ภาดารึ” นางทวนถาม “จริงซินะ เอาละ แม่จะเรียกเขามาวันนี้เลย”
“ภาดากับลูกสาวเจ้านายนี่เหมาะสมกันดีจริงๆ นะ”เสียงนั้นอยู่ห่างเพียงแค่ประตูห้องน้ำกั้นเอาไว้เท่านั้นเอง กานพลูก็ได้ยินประโยคนั้นชัดก้องเข้าไปในหู อยากจะคิดว่าเป็นเรื่องของคนอื่นที่หล่อนไม่รู้จัก แต่ในออฟฟิศนี้มีผู้ชายกี่คนกันเล่าที่ชื่อ ‘ภาดา’ก็มีเพียงภาดาคนเดียวเท่านั้น ภาดาที่หล่อนรักจับใจหล่อนเสร็จธุระในห้องน้ำแล้ว รวบรวมกำลังใจให้เปิดประตูออกมายืนอยู่ตรงทางเดินแคบๆ ที่เป็นทางเดินระหว่างประตูห้องน้ำกับเคาน์เตอร์ยาวๆ ที่ฝังอ่างล้างหน้าไว้เป็นระยะๆ สามอ่างด้วยกันผู้หญิงสองคนที่ยืนล้างมือตรงเคาน์เตอร์นั้น คุ้นหน้าคุ้นตากับกานพลูดี แต่ไม่เคยพูดกันมาก่อนแล้วก็ทำหน้าเจื่อนๆ ไปด้วยกันทั้งสองคนเมื่อเห็นกานพลู ก็คนในออฟฟิศส่วนมากจะรับรู้กันว่าผู้หญิงที่เดินไปไหนมาไหนกับภาดามีแต่กานพลูนี่คนเดียวเท่านั้น แม้จะไม่มีการยืนยันเป็นทางการ แต่ก็เป็นที่รู้กันอีกนั่นแหละว่ากานพลูกับเขาจะแต่งงานกันเร็วๆ นี้ หลังจากสร้างเนื้อสร้างตัวได้แล้วหล่อนล้างมือเช็ดจนแห้งแล้วจึงเดินออกมาจากห้องน้ำ แข้งขาไม่สั่นมือไม่สั่น แต่กานพลูรู้ดีว่าหน้าของหล่อนปราศจากสีเลือดและใจก็เต้นรัวถี่อยู่ในอก อยากจะแล่นไปหาเขา
“เฮ้ย...” เสียงนั้นไม่เบานัก เมื่อออกแรงดึงเพื่อนหนุ่มออกมาจากที่นั่งในตอนหลัง “ลงมาก่อนซิวะ จะมานั่งหลบมุมในรถไม่ได้ มาถึงที่แล้วต้องเอาให้เต็มคราบ...”คนถูกดึงทำหน้ายู่ยี่ ลงมาจากรถอย่างไม่สู้จะเต็มใจสักเท่าไร ยิ่งมองกวาดตาเห็นผู้คนคลาคล่ำรวมไปถึงรถยนต์ที่จอดกันเป็นตับก็ยิ่งเบ้ปาก ทำท่าเอือมๆ“คนมากไป”“เออซิวะ” อีกฝ่ายตอบเสียงหนักๆ “นี่มันเธคชื่อดังของกรุงเทพฯ คนมันก็ต้องเยอะหน่อย...นายจะหาที่ไหนวะที่ไม่มีคนเลย ไม่ใช่ป่าช้านี่หว่า”พินิจนัยเงยหน้ามองดูป้ายชื่อบอกสถานที่ที่กะพริบตามแสงไฟวิบๆ วับๆ มองดูผู้คนที่แต่งตัวหลากสไตล์์ ก่อนจะก้มลงมองตัวเองที่เพียงแต่สวมเสื้อเชิ้ตตัวหลวมๆ กับกางเกงทรงหลวม รองเท้าแตะธรรมดาๆ เพื่อนเขาเหมือนจะอ่านใจเขาออก มองตามก่อนจะบอกว่า“สไตล์ง่ายๆ ยังงี้ก็ได้วะ ไม่แปลก...หน้าตานายก็ยังไม่แก่เท่าไหร่ รับรองว่าอย่างมากเด็กในโน้นก็จะเรียกนายว่าพี่ ไม่ถึงกับเรียกลุงหรือเรียกอาให้แสลงใจ”“ท่าทางนายจะเชี่ยว ชำนาญ...”“คนชอบกินไก่...ก็ต้องเสาะหาไก่กินให้ถูกที่ ไก่ที่นี่ไม่แพง รับประกันว่าปลอดโรค แถมยังเป็นไก่ประเภทชอบโก่งคอขันเจื้อยแจ้ว...”“ไก่ตัวเมียที่ไหนวะโก่ง
“แม่กานยังไม่กลับมาเลย”หญิงวัยห้าสิบแปด ร่างท้วมตัดผมสั้น ใบหน้าค่อนข้างดุนั้นมีวี่แววบอกว่า เมื่อสาวจัดได้ว่าเป็นผู้หญิงสวยมากคนหนึ่งทีเดียว เอ่ยบ่นอย่างเคืองๆ“ดูซิ ดูเวลาซะก่อน เข้าไปตั้งจะเที่ยงคืนแล้ว ยังไม่เห็นหัว...หายไปไหน ไม่โทร. มาบอกกล่าวกันก่อน ชักจะเอาใหญ่แล้ว”นางหันหน้าไปทางประตูบ้าน และเลยไปยังรั้วที่เห็นอยู่ไกลๆ พ้นจากแนวไม้ที่ปลูกทึบจนให้ความร่มรื่นแก่ตัวบ้านเป็นอันมาก“กานมันเอาใหญ่มาตั้งแต่ทำงานได้แล้วล่ะค่ะ แม่” พรรณทิพา ลูกสาวคนใหญ่วัยสามสิบเป็นคนตอบ หล่อนเป็นสาวสวยยังประคับประคองความโสดเอาไว้ได้มั่นคง และมีความคิดไม่ค่อยจะเป็นมิตรกับกานพลูญาติผู้น้องผู้ด้อยกว่าสักเท่าไหร่ “นี่คงจะดอดไปพร่ำพลอดรักกับนายภาดากระมังคะ”“แม่ก็เตือนมันแล้วนะว่าอย่าทำอะไรแบบนั้น” แล้วนางก็ถอนใจ “ที่สั่งสอนเอาไว้จะเป็นไงมั่งก็ไม่รู้นะ กลัวอย่างเดียว...ว่าจะเหมือนแม่มัน...”นางหมายถึงน้องสาวที่เสียชีวิตไปแล้ว หลังจากอุ้มท้องกลับมาบ้านหาพ่อเป็นตัวตนให้ลูกไม่ได้ แล้วพอคลอดกานพลูได้ไม่นาน สติสัมปชัญญะที่ค่อนข้างจะบอบบางอยู่แล้วก็สับสน เมื่อตอนกานพลูอายุได้ห้าขวบ แม่ของหล่อนก็ยังอยู่ในวัยสา
“กานหายไป...” บุตราพึมพำ หล่อนกวาดตามองหาเพื่อนเสียทั่ว หลังจากลงทุนไปควานหาในห้องน้ำหญิงทุกแห่งในนี้ แต่ไม่มีแม้เงาของกานพลู หล่อนหายเงียบไปเลย “หายไปไหนนะ” ผู้คนก็มากมายจนบุตราไม่แน่ใจว่าจะตามหาตัวกานพลูพบได้ง่ายๆ หรือไม่ “ดูซิ จนเข้าไปจะตีสองแล้ว”หล่อนมองดูเวลาแล้วก็ยิ่งกระวนกระวายใจ ก่อนไปห้องน้ำ กานพลูแก่ดีกรีไปแล้วไม่ใช่น้อยๆ เลย“เพื่อนคุณโตแล้วนะ บุต...”“โตแต่ตัวกับอายุหรอก เขาเคยมาแบบนี้เสียเมื่อไหร่กัน...แล้วก็เมาแอ๋ไปแล้ว”หล่อนหยิบกระเป๋าถือใบเล็กๆ ของกานพลูมาถือเอาไว้ เปิดดูในนั้นก็พบว่าอยู่ครบ นอกเสียจากกระเป๋าใส่เศษเงินใบเล็กๆ ที่กานพลูนิยมติดตัวไว้ในกระโปรง รองเท้าส้นสูงที่ใส่มาทำงานก็ยังอยู่ในรถ ที่ติดไปกับกานพลูก็คือรองเท้าแตะสานเตี้ยๆ ที่บุตราเอาใส่ไว้ในรถเท่านั้น แล้วกานพลูหายไปแห่งหนใดกันในสถานที่นี้“ถ้าพลัดหลงกับเรา บุตว่ากานพลูต้องแย่แน่ๆ จะกลับบ้านได้ยังไง”ประภัทรแทบจะสำลักเหล้าทีเดียวเมื่อได้ยินแบบนั้น“เพื่อนคุณน่ะโตแล้วนะ หลงทางกลับบ้านไม่ถูกก็อายเด็กสิบสี่สิบห้ามันแย่เลย”“คุณไม่รู้อะไร เอาละ...บุตจะลองลุกเดินๆ หากานเขาอีกสักรอบ ถ้าไม่เจอ...ก็เห็นจะต้อง
เสียงเคาะประตูรัวๆ อยู่ด้านนอกเมื่อเขายังอาบน้ำซู่ๆ อยู่ในห้องน้ำ กว่าเขาจะมาเปิดประตูห้องออกรับ ภูษิตมีดวงหน้างอง้ำเพราะรอนานเกินไปสิ่งแรกที่ภูษิตทำเมื่อก้าวเข้ามาในห้องก็คือกวาดตามองเหมือนจะหาใครสักคน ครั้นไม่พบก็บุ้ยใบ้ไปในห้องน้ำ“อยู่ในนั้นหรือไงวะ”“ใคร...”“เอ๊ ยังมาถาม ก็อีสาวเมื่อคืน ไปไหนแล้ว...”พินิจนัยเดินไปหน้ากระจก ผมเปียกน้ำลู่แนบกับรูปศีรษะรูปทุยสวยเขาใช้ผ้าผืนเล็กที่เป็นของส่วนตัวโปะหัวขยี้แรงๆ ตอบหน้าตาเฉย“ไปแล้ว อย่าถามต่อนะว่าไปไหน ไม่รู้เหมือนกัน”“เท่าไหร่วะ”“อะไร เท่าไหร่”ภูษิตทำเสียงจิ๊กจั๊กอยู่ในคำ“เอ็งนี่มันชอบแกล้งโง่ซะเรื่อย ระวังเหอะ มันจะโง่เอาจริงๆ ของข้ามันเรียกคนละสามร้อย...แล้วรับปากว่าจะมาหาอีก เมื่อคืนน่ะนะ...มันสวยงามพิลึก...ไม่อยากให้ถึงเช้าเลย เด็กเดี๋ยวนี้มันเก่งจริงๆ นับถือว่าฝีมือมันดี นี่ขนาดพวกมือสมัครเล่นหรอกนะของเอ็งล่ะ พอสลัดชุดเชยๆ นั่นออก อีบรรเลงได้ถึงใจไหม”“ข้าว่าอีหนูของข้ามีแววว่าจะเข้าวงออเคสตร้าได้นะ เสียงก็ขนาดนักร้องอาชีพ แก้วหูยังร้าวอยู่เลย”“ถ้าเสียงดี ลำคอก็ต้องดี หมายความว่า...”ภูษิตตาลุก ชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ ทำตามี
“กานหายไป...” บุตราพึมพำ หล่อนกวาดตามองหาเพื่อนเสียทั่ว หลังจากลงทุนไปควานหาในห้องน้ำหญิงทุกแห่งในนี้ แต่ไม่มีแม้เงาของกานพลู หล่อนหายเงียบไปเลย “หายไปไหนนะ” ผู้คนก็มากมายจนบุตราไม่แน่ใจว่าจะตามหาตัวกานพลูพบได้ง่ายๆ หรือไม่ “ดูซิ จนเข้าไปจะตีสองแล้ว”หล่อนมองดูเวลาแล้วก็ยิ่งกระวนกระวายใจ ก่อนไปห้องน้ำ กานพลูแก่ดีกรีไปแล้วไม่ใช่น้อยๆ เลย“เพื่อนคุณโตแล้วนะ บุต...”“โตแต่ตัวกับอายุหรอก เขาเคยมาแบบนี้เสียเมื่อไหร่กัน...แล้วก็เมาแอ๋ไปแล้ว”หล่อนหยิบกระเป๋าถือใบเล็กๆ ของกานพลูมาถือเอาไว้ เปิดดูในนั้นก็พบว่าอยู่ครบ นอกเสียจากกระเป๋าใส่เศษเงินใบเล็กๆ ที่กานพลูนิยมติดตัวไว้ในกระโปรง รองเท้าส้นสูงที่ใส่มาทำงานก็ยังอยู่ในรถ ที่ติดไปกับกานพลูก็คือรองเท้าแตะสานเตี้ยๆ ที่บุตราเอาใส่ไว้ในรถเท่านั้น แล้วกานพลูหายไปแห่งหนใดกันในสถานที่นี้“ถ้าพลัดหลงกับเรา บุตว่ากานพลูต้องแย่แน่ๆ จะกลับบ้านได้ยังไง”ประภัทรแทบจะสำลักเหล้าทีเดียวเมื่อได้ยินแบบนั้น“เพื่อนคุณน่ะโตแล้วนะ หลงทางกลับบ้านไม่ถูกก็อายเด็กสิบสี่สิบห้ามันแย่เลย”“คุณไม่รู้อะไร เอาละ...บุตจะลองลุกเดินๆ หากานเขาอีกสักรอบ ถ้าไม่เจอ...ก็เห็นจะต้อง
“แม่กานยังไม่กลับมาเลย”หญิงวัยห้าสิบแปด ร่างท้วมตัดผมสั้น ใบหน้าค่อนข้างดุนั้นมีวี่แววบอกว่า เมื่อสาวจัดได้ว่าเป็นผู้หญิงสวยมากคนหนึ่งทีเดียว เอ่ยบ่นอย่างเคืองๆ“ดูซิ ดูเวลาซะก่อน เข้าไปตั้งจะเที่ยงคืนแล้ว ยังไม่เห็นหัว...หายไปไหน ไม่โทร. มาบอกกล่าวกันก่อน ชักจะเอาใหญ่แล้ว”นางหันหน้าไปทางประตูบ้าน และเลยไปยังรั้วที่เห็นอยู่ไกลๆ พ้นจากแนวไม้ที่ปลูกทึบจนให้ความร่มรื่นแก่ตัวบ้านเป็นอันมาก“กานมันเอาใหญ่มาตั้งแต่ทำงานได้แล้วล่ะค่ะ แม่” พรรณทิพา ลูกสาวคนใหญ่วัยสามสิบเป็นคนตอบ หล่อนเป็นสาวสวยยังประคับประคองความโสดเอาไว้ได้มั่นคง และมีความคิดไม่ค่อยจะเป็นมิตรกับกานพลูญาติผู้น้องผู้ด้อยกว่าสักเท่าไหร่ “นี่คงจะดอดไปพร่ำพลอดรักกับนายภาดากระมังคะ”“แม่ก็เตือนมันแล้วนะว่าอย่าทำอะไรแบบนั้น” แล้วนางก็ถอนใจ “ที่สั่งสอนเอาไว้จะเป็นไงมั่งก็ไม่รู้นะ กลัวอย่างเดียว...ว่าจะเหมือนแม่มัน...”นางหมายถึงน้องสาวที่เสียชีวิตไปแล้ว หลังจากอุ้มท้องกลับมาบ้านหาพ่อเป็นตัวตนให้ลูกไม่ได้ แล้วพอคลอดกานพลูได้ไม่นาน สติสัมปชัญญะที่ค่อนข้างจะบอบบางอยู่แล้วก็สับสน เมื่อตอนกานพลูอายุได้ห้าขวบ แม่ของหล่อนก็ยังอยู่ในวัยสา
“เฮ้ย...” เสียงนั้นไม่เบานัก เมื่อออกแรงดึงเพื่อนหนุ่มออกมาจากที่นั่งในตอนหลัง “ลงมาก่อนซิวะ จะมานั่งหลบมุมในรถไม่ได้ มาถึงที่แล้วต้องเอาให้เต็มคราบ...”คนถูกดึงทำหน้ายู่ยี่ ลงมาจากรถอย่างไม่สู้จะเต็มใจสักเท่าไร ยิ่งมองกวาดตาเห็นผู้คนคลาคล่ำรวมไปถึงรถยนต์ที่จอดกันเป็นตับก็ยิ่งเบ้ปาก ทำท่าเอือมๆ“คนมากไป”“เออซิวะ” อีกฝ่ายตอบเสียงหนักๆ “นี่มันเธคชื่อดังของกรุงเทพฯ คนมันก็ต้องเยอะหน่อย...นายจะหาที่ไหนวะที่ไม่มีคนเลย ไม่ใช่ป่าช้านี่หว่า”พินิจนัยเงยหน้ามองดูป้ายชื่อบอกสถานที่ที่กะพริบตามแสงไฟวิบๆ วับๆ มองดูผู้คนที่แต่งตัวหลากสไตล์์ ก่อนจะก้มลงมองตัวเองที่เพียงแต่สวมเสื้อเชิ้ตตัวหลวมๆ กับกางเกงทรงหลวม รองเท้าแตะธรรมดาๆ เพื่อนเขาเหมือนจะอ่านใจเขาออก มองตามก่อนจะบอกว่า“สไตล์ง่ายๆ ยังงี้ก็ได้วะ ไม่แปลก...หน้าตานายก็ยังไม่แก่เท่าไหร่ รับรองว่าอย่างมากเด็กในโน้นก็จะเรียกนายว่าพี่ ไม่ถึงกับเรียกลุงหรือเรียกอาให้แสลงใจ”“ท่าทางนายจะเชี่ยว ชำนาญ...”“คนชอบกินไก่...ก็ต้องเสาะหาไก่กินให้ถูกที่ ไก่ที่นี่ไม่แพง รับประกันว่าปลอดโรค แถมยังเป็นไก่ประเภทชอบโก่งคอขันเจื้อยแจ้ว...”“ไก่ตัวเมียที่ไหนวะโก่ง
“ภาดากับลูกสาวเจ้านายนี่เหมาะสมกันดีจริงๆ นะ”เสียงนั้นอยู่ห่างเพียงแค่ประตูห้องน้ำกั้นเอาไว้เท่านั้นเอง กานพลูก็ได้ยินประโยคนั้นชัดก้องเข้าไปในหู อยากจะคิดว่าเป็นเรื่องของคนอื่นที่หล่อนไม่รู้จัก แต่ในออฟฟิศนี้มีผู้ชายกี่คนกันเล่าที่ชื่อ ‘ภาดา’ก็มีเพียงภาดาคนเดียวเท่านั้น ภาดาที่หล่อนรักจับใจหล่อนเสร็จธุระในห้องน้ำแล้ว รวบรวมกำลังใจให้เปิดประตูออกมายืนอยู่ตรงทางเดินแคบๆ ที่เป็นทางเดินระหว่างประตูห้องน้ำกับเคาน์เตอร์ยาวๆ ที่ฝังอ่างล้างหน้าไว้เป็นระยะๆ สามอ่างด้วยกันผู้หญิงสองคนที่ยืนล้างมือตรงเคาน์เตอร์นั้น คุ้นหน้าคุ้นตากับกานพลูดี แต่ไม่เคยพูดกันมาก่อนแล้วก็ทำหน้าเจื่อนๆ ไปด้วยกันทั้งสองคนเมื่อเห็นกานพลู ก็คนในออฟฟิศส่วนมากจะรับรู้กันว่าผู้หญิงที่เดินไปไหนมาไหนกับภาดามีแต่กานพลูนี่คนเดียวเท่านั้น แม้จะไม่มีการยืนยันเป็นทางการ แต่ก็เป็นที่รู้กันอีกนั่นแหละว่ากานพลูกับเขาจะแต่งงานกันเร็วๆ นี้ หลังจากสร้างเนื้อสร้างตัวได้แล้วหล่อนล้างมือเช็ดจนแห้งแล้วจึงเดินออกมาจากห้องน้ำ แข้งขาไม่สั่นมือไม่สั่น แต่กานพลูรู้ดีว่าหน้าของหล่อนปราศจากสีเลือดและใจก็เต้นรัวถี่อยู่ในอก อยากจะแล่นไปหาเขา