สงคราม ‘ทรายย้อมโลหิต’ องค์รัชายาทเกือบสิ้นชีพในสงครามครั้งนั้น ทว่าเพื่อให้ทหารที่เปรียบเสมือนคนในครอบครัวได้กลับบ้าน จึงบังอาจเรียกปีศาจมังกรเพลิงมาเพื่อใช้ทำสัญญาแลกเปลี่ยน ‘บางสิ่ง’ เปลี่ยนให้กลายเป็นครึ่งคนครึ่งปีศาจ แม้ชนะศึกสงครามแต่ถูกปลดจากตำแหน่งรัชทายาท หากแต่สวรรค์มิได้ทอดทิ้ง ส่งคู่ชีวิตมาให้หัวใจที่เยียบเย็นได้กลับสู่ความเป็นมนุษย์อีกครั้ง เพื่อปกป้องนางในดวงใจ ทำให้อ๋องเฟยเทียนขัดราชโองการ กว่าจะเดินทางจากตุนหวงกลับสู่เมืองหลวงกินเวลานานมากกว่าปกติ กระนั้นเมื่อได้พบพระพักตร์องค์ฮ่องเต้อีกครั้ง คราวนี้ได้สลายความไม่เข้าใจระหว่างพ่อลูกที่มีมานานนับสิบปี องค์รัชทายาทองค์ปัจจุบันมีใจกำจัดอ๋องเฟยเทียนเพราะเกรงกำลังทหารในมือและคิดว่าอีกฝ่ายจะตั้งตนเป็นกบฏโดยอาศัยราชโองการขององค์ฮ่องเต้ จึงยืมมือทหารฝ่ายมองโกลกำจัด ทว่าไม่อาจเอาชีวิตชินอ๋องเฟยเทียนได้ กลับกลายเป็นว่าอ๋องเฟยเทียนได้กำจัดปีศาจมังกรเพลิงในตนเองไปสิ้น และยังรู้ตัวผู้บงการแผนร้าย เพียงแต่ไม่คิดยื่นมือเข้าไปวุ่นวาย ปล่อยให้องค์ฮ่องเต้ทรงตัดสินพระทัยเอง หลังจากกลับจากเมืองหลวงพร้อมข่าวลือแพร่สะบ
หญิงสาวร่างเล็กในชุดของบุรุษเสื้อผ้าเนื้อหยาบวิ่งหน้าตาตื่นมาจากด้านหลังของตำหนักชินอ๋อง ดวงหน้าอ่อนหวานปรากฏเหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นราวกับตากฝน และเพราะนางมุดรอดรอยแยกของกำแพงด้านหลัง ทำให้เส้นผมที่เกล้ามวยเยี่ยงบุรุษนั้นหลุดลุ่ยลงมาเคลียบ่า ทว่ากลับขับเน้นความงามบนใบหน้าจิ้มลิ้มดุจหญิงสาววัยสิบเจ็ดปี “คุณหนู ทางนี้เจ้าค่ะ” “น้าจื่อเหยี่ยน” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นเห็นบ่าวคนสนิทของมารดามายืนรอด้วยอาการกระสับกระส่าย นางยิ้มกว้างแล้วรีบวิ่งเข้าไปหา จื่อเหยี่ยนส่ายหน้าไปมาพลางยื่นมือไปหยิบเศษใบไม้ออกจากศีรษะและลูบผมให้อย่างรวดเร็ว “ไยคุณหนูกลับมาช้านักเจ้าคะ” “ท่านแม่ออกมาจากห้องสวดมนต์แล้วหรือ?” “ยังเจ้าค่ะ ตอนนี้ปี้เอ๋อร์คอยดูต้นทางให้อยู่ คุณหนูรีบกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่า” “อืม” หญิงสาวพยักหน้ารับอย่างโล่งอก ทันใดนั้นเอง นางเสียวสันหลังวาบจนไม่กล้าหันไปมองไอเย็นที่แผ่มากระทบแผ่นหลังของนาง “ดูต้นทาง? ดีมาก ดีจริงๆ” “ทะ...ท่านแม่” หญิงสาวโอดครวญในใจไม่กล้าหันกลับไปมองเจ้าของเสีย
หญิงสาวในชุดบุรุษทำหน้างุนงงแล้วยกแขนขึ้นดมกลิ่นกายตัวเอง นางถึงกับทำหน้าแหย เพราะเกรงว่าจะกลับมาไม่ทันเวลา นางถึงกับมุดรอดรูทางหมารอดตรงกำแพงด้านหลังตำหนัก ท่าทางของนางทำให้บุรุษทั้งหมดส่งเสียงหัวเราะพรืดอย่างไม่เกรงใจ หญิงสาวหันมาขึงตาใส่แต่ดูเหมือนไม่อาจหยุดเสียงหัวเราะนั้นได้ นางจึงเชิดใบหน้าขึ้นยืดแผ่นหลังตรงแล้วเดินอย่างสง่ารีบกลับเรือนของตนเองทันที บุรุษวัยสี่สิบห้าลอบถอนหายใจเบาๆ เมื่อเห็นภรรยาสุดที่รักยอมลดความโกรธเคืองในตัวลูกสาวคนเดียวลง แม้เวลานี้ภรรยาของเขาจะอายุสามสิบหกแล้วและเป็นมารดาของบุตรสามคน ทว่ายังคงใบหน้าอ่อนเยาว์และอ่อนโยนไม่ต่างจากวันวาน ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าของผู้เป็นสามี นางกลับขึงตาใส่ พาลเอาความโมโหมาลงที่ตัวผู้เป็นบิดาแทน “เพราะท่านพี่ตามใจนางนัก นางจึงเอาแต่ใจตัวเอง ทำอะไรไม่คิดถึงผู้อื่นเลยสักนิด” “ได้ๆ เป็นข้าที่ผิดเอง” มือใหญ่หยาบกร้านลูบไหล่ภรรยาอย่างเอาอกเอาใจ ยามนี้ไม่มีผู้อื่นอยู่ หากใครมาเห็นเข้าคงนึกไม่ถึงว่า ชินอ๋องเฟยเทียนผู้เคยได้ชื่อว่าเป็นครึ่งปีศาจในอดีตนั้น เพียงแค่เอ่ยชื่อเขาก็ทำให้ผู้คนหวาด
ชื่อของปวงเทพมิใช่สิ่งที่สมควรกล่าวเล่นพร่ำเพรื่อ แต่ซิ่นฮวามิได้สนใจเรื่องนั้น ตั้งแต่ห้าขวบ นางก็เรียก ‘พี่ชายผมเงิน’ มาเป็นเพื่อนเล่นของนาง เรื่องนี้เกิดความคาดหมายของนางนัก ในคืนหนึ่ง เทพมังกรปรากฏตัวเบื้องหน้านางด้วยสีหน้าฉาบความไม่พอใจอยู่หลายส่วนแต่ไม่ได้โกรธเกรี้ยวถึงขนาดจะเผาเมือง ‘เจ้าให้ลูกสาวของเจ้ารู้ชื่อของข้า’ ‘เรื่องนั้น...’ ยังไม่ทันจะอธิบายอะไร เทพมังกรดินผู้แสนสง่างามองอาจเดินวนไปมาเหมือนหนูติดจั่น คล้ายเจอคู่ปรับที่ไม่อาจต่อกรได้ ‘นางเป็นเด็กแต่เจ้าเล่ห์มากกลอุบายนัก ข้าจะทำอะไรก็มิได้ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็ก’ เทพมังกรเดินพร่ำบ่นเดินวนไปวนมาเบื้องหน้านาง ยามนี้เขามองนางมิใช่ด้วยสายตาของบุรุษที่มองหญิงสาวอีกแล้ว แต่เป็นสายตาที่มองกันอย่างมิตรสหายมากกว่า ‘ท่านมิได้ใช้เวทมนตร์พรางกายกับนางหรือ?’ ‘เคยแล้ว ปกติข้าใช้เวทพรางกายย่อมไม่มีผู้ใดมองเห็น แต่เด็กนั่นกลับยังเห็นข้าแถมโบกไม้โบกมือให้ข้าอีก’ เขาถูกเด็กห้าขวบปั่นหัวจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน เด็กคนนี้ช่าง! ไม่เหมือนมารดาที่เรียบร้อยอ่อนหวานเลยสักน
“อ้อ! อีกสามวันถึงพิธีบวงสรวงเทพมังกรดินนี่เอง ท่านแม่จึงโกรธเจ้าที่หนีออกไปนอกตำหนักเช่นนี้” ซิ่นหลิงแย่งถั่วเคลือบน้ำตาลในจานของน้องชายมากิน “ข้าเป็นผู้เชิญดอกไม้บูชาเทพมังกรดินทุกปี เรื่องแค่นี้ไม่มีวันทำผิดพลาด” นางเบ้ปากเล็กน้อยแล้วแหงนหน้าขึ้น “กันอี๋ เจ้าแกว่งแรงอีกหน่อยซิ” กันอี๋นิ่งงันไป เขาไม่กล้าออกแรงมากนัก เกรงว่าจะทำให้นางบาดเจ็บ แต่เสียงหัวเราะของซาโม่ทำให้เขาหงุดหงิด “นางไม่ตกชิงช้าง่ายดายหรอก” ซาโม่หัวเราะ เขารู้ว่ากันอี๋กังวลเรื่องใดอยู่ “แกว่งแรงอีกนิดเถิด ถ้านางร่วงลงไปข้าจะกระโดดไปรับให้เอง” “อย่าเลย หน้านางยิ่งขี้เหร่อยู่ เผลอตกชิงช้าหน้าคว่ำคะมำไป ความงามที่มีอยู่น้อยนิดนี่จะจมหายไปกับพื้นดินเสียหมด” “ซิ่นหลิง! ปากเจ้านี่มันปากสุนัขชัดๆ!” ซิ่นหลิงตวาดออกมาด้วยความโมโห หากไม่เพราะพวกเขาทั้งหมดเกิดและเติบโตพร้อมกัน คงไม่มีใครเชื่อว่าเทพธิดาน้อยๆ ผู้นี้จะมีอีกด้านที่เกรี้ยวกราดเอาแต่ใจ “เฮ้! คนปากสุนัขต้องเป็นซาโม่ต่างหากไม่ใช่ข้า” ซิ่นหลิงโบ้ยไปทางซาโม่ เพราะความสนิทสนมนั่นแหละที่ทำให้พวกเขากล้า
ซิ่นหลิงไม่คิดว่า... ซิ่นฮวาจะกล้าดูหนังสือแบบนั้น ซิ่นฮวาเข้าใจสายตาของซิ่นหลิง นางทำจมูกย่นเหมือนแมวน้อย ท่าทางน่าเอ็นดูแต่หารู้ไม่ว่าใช้ไม้นี้กับซิ่นหลิงมิได้ “ถ้าข้าไม่ช่วย เจ้าก็ให้คนอื่นช่วยอยู่ดีใช่หรือไม่” ซิ่นฮวาพยักหน้ารับ นั่นทำให้ซิ่นหลิงหลับตาโอดครวญในใจ ที่เขาเห็นนางแต่งกายเป็นบุรุษถูกมารดาวิ่งไล่หมายทำโทษในวันนี้ คงเพราะความคิดแปลกประหลาดเช่นนี้เป็นแน่ “เอาเถอะ ข้าจะหาทางให้ก็แล้วกัน” “เร็วๆ ด้วย ข้าอยากไปก่อนวันบวงสรวงเทพมังกรดิน” “หา!” ใช้งานผู้อื่นแล้วยังมีการมาเร่งอีก “ไยรีบร้อนถึงเพียงนี้ นี่เจ้าวางแผนร้ายอันใดอยู่หรือไม่” “ไม่ใช่แผนร้ายเสียหน่อย” นางลูบปลายจมูกตัวเอง “เอาเป็นว่าเจ้ารับปากแล้ว ต้องช่วยให้ถึงที่สุด” ซิ่นหลิงได้แต่ถอนหายใจหนักหน่วง ที่เขาไปร่ำเรียนมาไม่มีกลวิธีรับมือหญิงดื้อและซุกซนอย่างนางเลย แล้วนี่ชายใดหนอที่จะถูกนางรังแกกลั่นแกล้งเอา หรือว่าจะเป็น... ป่านนี้แล้ว นางยังไม่ตัดใจอีกหรือ? ร่างบอบบางเร้นกายในความมืดกลับเข้ามาในห้องนอนของตน
“พี่ชาย!” ซิ่นฮวาลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้ววิ่งไปทางบุรุษหนุ่มเจ้าของเส้นผมสีเงินยวง เพราะนางเป็นแค่เด็กห้าขวบจึงได้แต่แหงนหน้าคอตั้งบ่าเพื่อได้เห็นแววตาประหลาดใจของเขา “เจ้ามองเห็นข้ารึ” ชายหนุ่มถามแล้วค่อยๆ นั่งลงบนส้นเท้า ทำให้เด็กหญิงไม่ต้องแหงนหน้าขึ้นมองเขา “ข้ามีสองตาย่อมมองเห็นพี่ชาย” เด็กหญิงยิ้มกว้างดวงตาเป็นประกายวาววับ “ข้าเห็นพี่ชายหลายครั้งแล้ว ไยพี่ชายชอบทำเป็นมองไม่เห็นข้า” บุรุษหนุ่มไม่รู้ว่าควรทำหน้าอย่างไร เขามองเห็นนางตั้งแต่วันที่นางกับพี่ชายฝาแฝดของนางลืมตาแล้ว คอยเฝ้ามองนางเติบโตเช่นเดียวกับที่มองดูมารดาของนาง แต่เขาไม่รู้เลยว่า เด็กหญิงตัวเล็กผู้นี้มองเห็นเขาเช่นกัน เด็กหญิงยื่นมือไปจับเส้นผมนุ่มสลวยของเขาขึ้นดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เหมือนที่ท่านแม่เล่าให้ฟังเลย” เด็กหญิงส่งยิ้มกว้าง “ท่านแม่บอกว่าพี่ชายเป็นสหายของท่านแม่” “ฮืม” เขาเพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น “คนอื่นมองไม่เห็นท่าน มีแต่ข้าที่มองเห็น” ราวกับค้นพบของล้ำค่า เด็กหญิงตัวน้อยแสดงความดีใจเป็นรอยยิ้มจนแก้มของนางเหมือนก้อนแป้ง
“พี่ชาย” นางคลี่ยิ้มอ่อนหวานแล้วรีบลุกขึ้นยืน แม้ตอนนี้จะอายุสิบห้าแล้ว แต่เมื่อยื่นใกล้เขานางก็ยังดูตัวเล็กไม่ต่างจากตอนที่นางห้าขวบนัก “ข้าบอกกี่ครั้ง นามของข้ามิใช่จะให้เจ้าเรียกพร่ำเพรื่อ” “ข้ามิได้พร่ำเพรื่อเสียหน่อย” นางย่นจมูกใส่ “เมื่อสองวันก่อนเจ้าก็เรียกข้า” เขาขมวดคิ้วแต่ใบหน้ายังเรียบนิ่งเช่นเคย “ก็คราวนั้นไฟไหม้ที่ตลาดนี่ ข้าก็ต้องเรียกพี่ชายให้มาช่วยดับไฟสิ” พี่ชายเป็นเทพมังกรดินผู้เป็นใหญ่ในหมู่มังกร นางก็แค่ขอให้มีฝนมาช่วยดับไฟ สิ่งที่นางทำล้วนมีเหตุผลแล้วจะเรียกว่านางเรียกเขาพร่ำเพรื่อได้อย่างไรเล่า “แล้วคราวนี้เจ้าเรียกข้ามาเพื่อสิ่งใด” เขาแสร้งทำหน้าเบื่อหน่าย ซ่อนความรู้สึกภายใน ต่อให้นางไม่เรียกเขา เขาคอยติดตามดูแลนางเสมออยู่แล้ว นางรีบยื่นหลังมือให้เขา ชายหนุ่มจ้องมองแต่ไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติจึงย้ายสายตามาสบตากับดวงตาสุกใสของนาง “พี่ชายไม่เห็นรึ” “เห็นมือของเจ้า” “มือของข้าบวมแดงเพราะถูกผึ้งต่อย ท่านยังแกล้งทำเป็นไม่เห็นอีก” นางทำหน้างอง้ำ “ผึ้งต
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ” ซิ่นฮวายกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากของตนเอง พยายามบอกเขาว่านางไม่มีเสียง คนที่เข้าใจคนแรกกลับเป็นซาโม่ “เจ้าพูดไม่ได้?” ซิ่นฮวาส่ายหน้าแล้วหัวเราะน้อยๆ เอ่ยปากช้าๆ ‘ข้า-ไม่-มี-เสียง-เจ้า-ต้อง-อ่าน-ปาก-ข้า’ ซาโม่พยักหน้าหงึกหงักแล้วหันมาทางซิ่นหลิงหมายใจจะอธิบายแต่อีกฝ่ายชิงยกมือห้ามไว้ก่อน เพราะเข้าใจในสิ่งที่ซิ่นฮวาสื่อสารออกมา สองพี่น้องสบตากัน ซิ่นหลิงรู้สึกจุกในอกไม่คิดว่าจะได้เห็นนางในสภาพเช่นนี้ สาวใช้คนสนิทของมารดารีบเดินเร็วๆ เข้ามาโดยไม่สนใจมารยาทใดทั้งสิ้น ยามนี้ใจของปี้เอ๋อร์กังวลเพียงเรื่องของท่านหญิงซิ่นฮวาเท่านั้น เมื่อนางมาถึงก็แทบแทรกทุกคนเข้าไปจับมือเรียวเล็กของหญิงสาว ปี้เอ๋อร์อ้าปากเหมือนจะเอ่ยถามแล้วเปลี่ยนใจ นางยืนตัวขึ้นแล้วหมุนตัวหันไปโบกมือโบกไม้ไล่ทุกคนในห้องให้ออกไปให้หมด “พวกท่านเป็นบุรุษออกไปก่อน ท่านหญิงต้องผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า” แม้เป็นบุรุษตัวโตแต่ซิ่นหลิง กันอี๋ และซาโม่ แต่ยังคงเป็นเด็กในสายตาของปี้เอ๋อร์ นางเลี้ยงดูเด็กๆ เหล่านี้รวมทั้งคุณชายน้อยซิ่น
ซิ่นหลิงระบายลมหายใจบางเบา ยามนี้ได้แต่ช่วยเหลือแคว้นหานให้กลับคืนสู่สภาวะปกติ เขาไม่แน่ใจว่าเมื่อไหร่ซิ่นฮวาจะกลับมา เดิมทีเขามีภารกิจที่ได้รับมอบหมายเช่นกัน และคิดว่า ‘คีตาบำบัด’ ของซิ่นฮวาอาจพอช่วยรักษา ‘คนผู้หนึ่ง’ ได้ แต่เมื่อรู้ว่านางเองบาดเจ็บสาหัสในเวลานี้คงมิอาจรักษาใครได้ เขาจึงได้แต่พยายามสงบใจและใคร่ครวญหาวิธีการแก้ไขปัญหาของตนต่อไป ยังไม่ทันที่ซ่งเหว่ยหนานจะเอ่ยอะไรออกไป ซาโม่หันหน้าไปทางหนึ่งทำจมูกสูดดมกลิ่นในอากาศ ใบหน้าไร้อารมณ์นั้นปรากฏรอยยิ้มกว้าง ท่าทางตื่นเต้นดีใจนั้นทำให้ซิ่นหลิงและกันอี๋หันมองด้วยความสนใจ ลักษณะเด่นของซาโม่ที่ ‘จมูกดี’ วิหคตัวหนึ่งโบกบินในอากาศและเมื่อเห็นว่าบุรุษทั้งสี่เบื้องหน้าเป็นคนรู้จักที่เขาไม่จำเป็นต้องปกปิดเรื่องใดอีก วิหคตนนั้นกระพือปีกอยู่สองสามครั้งก่อนร่อนลงมากลายร่างเป็นมนุษย์ในร่างเด็กชายอายุราวสิบสี่ปี “ส่านเตี้ยน?” ซิ่นหลิงทักทันที เด็กหนุ่มประสานมือคารวะทุกท่าน เขาส่งยิ้มเล็กน้อยแล้วเบี่ยงตัวหลบเหมือนรอคอยใครผู้หนึ่ง คล้ายมีกลุ่มเมฆลอยต่ำลงมาใกล้จนกระทั่งกลุ่มเมฆนั้นสลายไป บุรุษเจ้าของเส้น
ซ่งเหว่ยหนานยืนมองร่างงูสีดำที่นอนขดสงบนิ่งในกรงเหล็กที่แข็งแรง งูน้อยยังคงสงบนิ่งหลับใหลคล้ายจำศีล ตั้งแต่วันที่สตรีแปลกหน้าที่เรียกตนเองว่าเมิ่งหย่าจิ้งคืนร่างกลับเป็นงูดำตนนี้ งูตัวนั้นขดตัวสงบนิ่งเช่นนี้มาตลอด แม้ผู้อื่นกล่าวเตือนให้เขาระวังแต่เขายังคงประคองงูตัวนี้ใส่ตะกร้าและให้คนจัดหากรงที่แข็งแรงมาใส่งูดำตัวนี้ไว้ ‘นางจะอยู่ในร่างงูดำจำศีลเช่นนี้ ไม่อาจทำร้ายผู้ใดได้อีก’ ชายหนุ่มยังจำน้ำเสียงของเทพมังกรผู้กลายร่างเป็นมนุษย์เอ่ยขึ้น ซิ่วอิ่งคืนร่างเดิมเป็นงูเขียวตัวน้อยถูกส่งตัวไปรอรับโทษทัณฑ์ขัดเกลาจิตใจที่อารามนักพรตหญิงแห่งหนึ่ง เดิมทีเมิ่งหย่าจิ้งเองต้องโทษทัณฑ์เช่นเดียวกัน แต่ซ่งเหว่ย-หนานกลับร้องขอที่จะดูแลนางเอง ‘ในเมื่อนางไร้พิษภัยใด ก็กักขังนางไว้ที่นี่เถิด เผื่อว่านางจะสำนึกผิดและบำเพ็ญเพียรอีกครา’ จวิ้นอี้นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้ารับ ยื่นมือไปจับมือของซ่งเหว่ยหนานให้หงายขึ้นแล้วเขียนอักขระที่กลางฝ่ามือร่ายมนตร์ให้ ‘ข้าร่ายมนตร์ไว้หากจำเป็นเจ้าสามารถจัดการนางได้ทันที’ จวิ้นอี้ถอนหายใจบางเบา ‘แต่การละเว
นางแหงนหน้ามองเห็นเพียงปลายคางของเขา ความรู้สึกวิงเวียนตาลายเข้ามาแทนที่ รู้สึกเจ็บร้าวทั่วแผ่นอก ร่างกายร้อนวาบราวกับถูกเพลิงเผาไหม้อยู่ภายใน นางได้แต่เอียงหน้าซบแผ่นอกของเขา ได้ยินเสียงหัวใจเต้นรัวใต้ใบหูของนาง “เจ้าต้องไม่เป็นอะไร” น้ำเสียงลอดไรฟันนั้นทำให้คนฟังปวดใจไม่น้อย “เจ้าต้องอยู่ข้างกายข้า!” ฮวงหลงสะท้อนใจจนหัวใจปวดร้าว หากไม่มีนางอยู่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาจะมีความหมายอะไรกัน! เพียงพยายามเคี่ยวยาสารพัดที่มีสรรพคุณถอนพิษโลหิตปีศาจงูดำ เหลือเพียงแค่บุกแดนสวรรค์ชิงโอสถทิพย์เท่านั้น ส่านเตี้ยนที่มุ่งหน้ามาหมายพบผู้เป็นนาย แต่เมื่อเห็นหญิงสาวในอ้อมอกใบหน้าซีดขาวราวไร้โลหิต มุมปากมีคราบเลือดสีดำเปื้อนเปรอะทำให้ผู้พบเห็นถึงกับผงะไป “ท่านหญิง..” ส่านเตี้ยนเองก็ค่อยดูแลซิ่นฮวาแทนผู้เป็นนายยามที่ท่านเทพมังกรดินลงมือเคี่ยวยาด้วยตนเอง แม้เขาเคยระอานิสัยเอาแต่ใจที่ทำให้นายของเขาต้องพลอยลำบากใจอยู่บ่อยครั้ง ซ้ำยังใช้งานเทพมังกรดินราวคนรับใช้ แต่เมื่อเห็นท่าทางเจ็บปวดของนางเพราะรับพิษแทนนายของตน เขาเองชื่นชม ห่วงใย และสำนึกในบุญคุณขอ
“เวลาพูดกับข้าเจ้าต้องสบตาข้า” ฮวงหลงเอ่ยเหมือนดุเด็กเล็กๆ หารู้ไม่ว่าลมหายใจของตนที่รินรดนั้นทำให้ใบหน้าของหญิงสาวแดงระเรื่อ “ข้าต้องอ่านปากเจ้าจึงจะเข้าใจความหมายที่เจ้าพูด” คล้ายถูกดวงตาคมเข้มคู่นั้นสะกดจิตใจ นางได้แต่พยักหน้ารับอย่างว่าง่ายในชั่วเวลาต่อมาถ้วยยาที่เทพมังกรหนุ่มถือมาก็ถูกยื่นมาจ่อตรงริมฝีปากของหญิงสาว นางเม้มปากแน่นไม่มีท่าทียินยอมให้ยารสขมนั้นไหลผ่านคอ ผู้เคี่ยวยาเลิกคิ้ว ใบหน้าน้อยๆ มีแววต่อต้านจริงจังกลับทำให้มุมปากของเขายกยิ้ม “ได้” น้ำเสียงเหมือนเกียจคร้านเอ่ยพร้อมเงยตัวขึ้น “ข้าป้อนยาให้เจ้าเองก็ได้” ‘ไม่! ไม่ต้อง!’ มือเล็กรีบยื่นไปคว้าถ้วยยามาถือไว้ด้วยตนเอง ให้เขาป้อนยาให้นางนะหรือ? ทรมานยิ่งนัก มิใช่เพียงต้องกล้ำกลืนยารสขมแต่เพราะเรียวลิ้นของเขาที่ปลุกปั่นจิตใจของนางให้ยิ่งงุนงง นางจ้องมองยาเข้มข้นในถ้วยหยก แม้มีกรุ่นอายลอยบางเบาแต่เมื่อประคองถ้วยยาไว้ในมือกลับไม่รู้สึกร้อนเลยสักนิด นางหลับตาแล้วกลั้นใจยกถ้วยยาขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดแล้วยื่นถ้วยยาที่ว่างเปล่าส่งคืน ทว่ามือใหญ่ไม่ได้ยื่นไปถ้วยยาจากมือนาง แต่กลั
ครั้งนี้ เขาไม่ลังเลที่จะ ‘รัก’ นางอีกแล้ว ไม่ว่าจะมีเวลาสำหรับเขาและนางมากน้อยเพียงใด เขาจะถนอมเวลาที่ได้อยู่กับนาง ยอมรับทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้นไม่หวั่นเกรงสิ่งใดอีกแล้ว ผ้าห่มที่ถูกดึงมาจนปิดใบหน้าค่อยๆ ถูกเลื่อนออกจนเห็นดวงหน้าแดงระเรื่อของหญิงสาว ซิ่นฮวาเห็นเขาส่ายหน้าไปมาแล้วพึมพำเหนือใบหน้าของนาง “หน้าเจ้าแดงอีกแล้ว ไข้ขึ้นแล้วหรือ?” เขากระซิบใกล้ริมฝีปากของนาง ลมหายใจอุ่นรินรดใบหน้าของหญิงสาว นางตกตะลึงไม่ทันตั้งสติ เขาก็ประทับจูบลงที่ริมฝีปากอ่อนนุ่มของนางอีกครั้ง ครั้นนางได้จังหวะหอบหายใจ เขาก็ฉวยโอกาสแทรกลิ้นเปียกร้อนเข้าไปลิ้มรสความหวานในปากของนาง คล้ายลมหายใจร้อนของเขาไหลเวียนในกายนาง ร่างกายของนางร้อนรุ่มโดยเฉพาะช่องท้องที่เคร่งเครียดและหวามไหว ความปรารถนาแสนหวานก่อตัวขึ้นอีกระลอกทำให้ร่างกายบิดเร่าไปมาโดยไม่รู้ตัว รสจูบของเขาทวีความร้อนแรงขึ้น ดูดดื่มมากขึ้น จนนางแทบหมดเรี่ยวแรง สมองขาวโพลน เรียวลิ้นยั่วเย้าของเขาเรียกร้องให้นางตอบรับ ความไม่ประสีประสาทำให้นางเงอะงะ แต่นั่นยิ่งทำให้บุรุษหนุ่มเพลิดเพลินกับการสอนนางให้เรียนรู้การจ
ข้อเสนอของเขาทำให้นางพยักหน้ารับ ฮวงหลงเห็นบุปผาน้อยยินดีทำตามกฎก็โน้มหน้าลงยื่นปลายจมูกกดที่แก้มเนียนของหญิงสาว ‘ท่าน!’ ดวงตาเป็นประกายฉายแววตื่นตระหนก สองแขนของเขาคร่อมร่างของนางไว้ ร่างเล็กเอนหลังหนีปลายจมูกที่ยื่นมาซุกไซ้ใบหน้าของนางแต่กลายเป็นว่านางหงายหลังลงบนเตียงนอนโดยมีร่างของบุรุษหนุ่มตามลงไปทาบทับ ‘หยุดนะ! ท่านทำอะไร!’ สองมือยื่นไปยันกายของเขาไว้ แต่พอเจอสายตาจริงจังของเขาแล้ว นางกลับลืมถ้อยคำของตนไปหมดสิ้น “คราวนี้เข้าใจหรือไม่ แต่ก่อนที่เจ้าร้องขอให้ข้าพาเจ้ามาตำหนักแล้วข้าไม่สามารถพามาได้เพราะอะไร” ชายหนุ่มแสร้งทำเสียงตำหนิ “เจ้าไม่คิดหรือว่าข้าเป็นผู้คุมกฎต้องมาละเมิดกฎเสียเองเป็นเรื่องไม่สมควร” ถูกตำหนิต่อว่าเช่นนี้แล้ว นางจึงไม่กล้าขยับตัวอีกแต่มิอาจสบตาดวงตาลึกล้ำของอีกฝ่ายได้ นางจึงกลอกตาไปทางอื่นยอมให้ ‘กำจัด’ กลิ่นอายมนุษย์ของนาง เพราะนางหลบตาจึงไม่อาจเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเขาได้ ฮวงหลงเพียงแค่อยากหยอกล้อนางเล่น ทว่าเมื่อตนเองก้มลงกดปลายจมูกดอมดมกลิ่นอายของหญิงสาวกลับเป็นฝ่ายถอนใจมิได้ ผิวกายเนียนนุ่มและกลิ่นหอมอ
‘ฮวงหลง’ นางอ้าปากที่ไร้เสียงเรียกชื่อเทพมังกรดิน ห้องที่นางนอนอยู่ตกแต่งงดงามราวกับนางนิทราในสวนดอกไม้ แต่นางกลับไม่มีสายตาเหลือไว้ชื่นชมสิ่งรอบข้างเพราะใจของนางพะวงถึงบุรุษเจ้าของเส้นผมสีเงินยวงที่นางมักใช้นิ้วเกี่ยวพันไว้อยู่เสมอ ‘ฮวงหลง’ นางเรียกเขาอีกทั้งที่รู้ว่าไม่มีเสียงใดหลุดรอดจากริมฝีปากของนาง หญิงสาวหมุนตัวมองรอบกาย นางกลัวว่าตนเองฝันไป หรือนางยังไม่ตื่น อาจยังอยู่ในกระท่อมใต้สระน้ำนั้นก็เป็นได้ จิตใจที่ว้าวุ่นทำให้นางไม่รู้ว่ามีคนก้าวเข้ามาใกล้และยืนซ้อนอยู่ด้านหลังจนกระทั่งนางหมุนตัวกลับมา ใบหน้าเกือบปะทะกับแผ่นอกกำยำ นางผงะไปด้านหลังครึ่งก้าว มือแกร่งข้างหนึ่งยื่นมาโอบแผ่นหลังของนางไว้ไม่ให้หงายหลังและดันร่างนางกลับเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดใบหน้าของนาง บุรุษหนุ่มกวาดสายตามองหญิงสาวตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า เขาส่ายหน้าไปมาส่งเสียงตำหนิไม่จริงจังนัก “เหตุใดเจ้าไม่สวมรองเท้า” ฮวงหลงเอ่ยถาม มือข้างหนึ่งของเขาถือถ้วยยานำเข้ามาให้นาง แม้ว่ามืออีกข้างจะโอบประคองแผ่นหลังของนางอยู่ แต่ยาในชามก็ไม่กระฉอกออกมาแม้แต
เขากำลังรักษาบาดแผลให้นาง ทว่าช่องท้องที่รู้สึกวะหวิวจนอยากจะส่งเสียงครวญครางออกมา นางไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้แต่นางก็อับอายจนต้องยกมือปิดปากตนเอง สายตาของนางมองเห็นจุดแดงเล็กๆ ที่โคนขาด้านในจึงรีบหนีบขาไว้ก่อนแต่ยังช้าเกินกว่าสายตาช่างสำรวจของเขามองเห็นก่อนแล้ว นางฝืนหนีบขาตัวเองไว้แน่นทำให้บุรุษหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีเงินยวงเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่พอใจพร้อมกล่าวตำหนินาง “อย่าดื้อ ข้าต้องรักษาบาดแผลให้เจ้า” ซิ่นฮวาส่ายหน้าไปมาไม่ว่าอย่างไรนางไม่อยากอ้าเรียวขาออกเด็ดขาด “ข้าทำเช่นนี้ให้เจ้าตั้งแต่เจ้าเป็นเด็กเล็กๆ” มือแกร่งยื้อเรียวขาของนางไว้ แล้วแยกขางามออกอย่างใจเย็น กลิ่นกายของนางหอมหวานชวนให้มึนเมายิ่งนัก เขาต้องทุ่มเทสมาธิเพื่อรักษาบาดแผลบนร่างกายของนางมิให้ทิ้งรอยตำหนิใดไว้ ร่างหญิงสาวอ่อนระทวยดุจเดียวกับขี้ผึ้งต้องความร้อน ริมฝีปากของเขากดลงบนโคนขาด้านใน จุดอ่อนนุ่มบนร่างถูกสัมผัสอย่างตั้งใจ สองขาถูกเขาแยกออกจากกันและร่างของเขาอยู่ตรงกลางหว่างขาของนาง หญิงสาวพยายามกระถดตัวถอยหนีแต่มือแกร่งรั้งจับสะโพกนางไว้มั่น มุ่งมั่นก