ปี้เอ๋อร์หันไปมองทางประตูทันทีที่ได้ยินเสียงผลักเข้ามา นางเผลอจ้องมองบุรุษที่ก้าวเข้ามา แม้อีกฝ่ายไม่เอ่ยแนะนำตนเอง แต่นางคาดเดาได้ว่าคนผู้นี้เป็นใคร “ฝากท่านหญิงน้อยด้วยเจ้าค่ะ” ปี้เอ๋อร์กลั้นน้ำตาทรุดตัวลงคุกเข่าแล้วโขกศีรษะเป็นการขอร้อง “ออกไปเถิด ข้าจะดูแลนางเอง” ฮวงหลงรอจนเสียงปิดประตูห้องดังขึ้นแล้ว เขาจึงย้ายสายตามาที่เจ้าของร่างบอบบางกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียง นางเงยหน้าขึ้นเห็นร่างคุ้นตาจึงส่งรอยยิ้มให้พลางซ่อนผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเลือดของตนไว้ไม่ให้เขาเห็น หญิงสาวรับรู้ถึงสภาพร่างกายที่อ่อนแรงลงไปทุกขณะ เมื่อครู่จึงให้ปี้เอ๋อร์ช่วยผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ นางต้องการให้ผู้อื่นจดจำนางที่เป็นซิ่นฮวาผู้สดใสร่าเริง ยิ้มรับแม้สิ่งที่เผชิญหน้าคือความตายอันเป็นนิรันดร์ ‘เป็นอย่างไรบ้าง รู้วิธีทำให้แคว้นหานกลับคืนสู่ความอุดมสมบูรณ์หรือไม่’ ฮวงหลงจ้องมองรอยยิ้มของหญิงสาว รอยยิ้มของนางสลายความขุ่นมัวในใจของเขามลายหายไปสิ้น ร่างสูงค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งข้างเตียงยื่นหน้าเข้าไปใกล้คล้ายจดจำทุกรายละเอียดบนใบหน้านี้ เมื่อเขาเข้ามาใกล้ นางจึงยื่นมือไป
ดวงตากลมเบิกกว้าง สองมือพยายามไขว่คว้าร่างที่กำลังสูญสลายเป็นเพียงหมอกสีเงินบางเบา ดวงตาของเขายังจ้องมองนาง เขาโน้มใบหน้าลงหมายแตะริมฝีปากที่เปล่งเสียงเรียกชื่อของเขา ในที่สุดเขาก็ได้ยินเสียงนางเรียกขานชื่อของเขาอีกครั้ง “ฮวงหลง!” ซิ่นฮวายื่นมือไปเปะปะหมายกอบเอาร่างที่สลายเป็นหมอกสีเงินเข้าไว้ด้วยกัน ทว่านางกลับไขว่คว้าได้เพียงความว่างเปล่า มือเรียวยื่นแตะที่ลำคอของเขา เกล็ดย้อนนั้นหลุดร่วงลงฝ่ามือของนาง หญิงสาวก้มมองสิ่งนั้นที่กำลังจะสลายไป นางจึงรีบส่งเกล็ดของเขาเข้าปากแล้วกลืนลงท้อง เพียงหวังให้ชิ้นส่วนของเขา แม้เพียงสักชิ้นหนึ่งยังหลงเหลืออยู่ให้นางได้ระลึกถึงเขา “ฮวงหลง!” นางตะโกนเรียกราวหญิงเสียสติ เห็นเพียงกลุ่มหมอกสีเงินลอยระลิ่วคล้ายมีกระแสลมนำทาง มือเรียวรวบสาบเสื้อเข้าด้วยกันแล้ววิ่งเท้าเปล่าตามกลุ่มหมอกสีขาวเงินนั้น นางผลักบานประตูออกมาไม่สนใจว่าผู้คนที่ยืนรออย่างกระสับกระส่ายนั้นจะจ้องมองนางเช่นไร นางวิ่งไปสุดฝีเท้าหลงลืมไปว่าตนอยู่บนชั้นสอง มือแกร่งคว้าเอวนางไว้ได้ทันก่อนที่ร่างของนางจะวิ่งชนราวรั้วของระเบียง นางพยายามไข
“จริงรึ” นางไม่มั่นใจจึงหันไปทางซาโม่ “จริง” ซาโม่ยืนยัน แล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้ เพ่งดูรอยช้ำใต้ดวงตาของหญิงสาวแล้วส่ายหน้าไปมา ยังไม่ทันพูดอะไร มือของกันอี๋ก็เอื้อมมาดึงไหล่ของซาโม่ให้ออกห่างจากใบหน้าของซิ่นฮวา “เจ้าทำอะไร” ซาโม่แสร้งทำเป็นโวยวาย “ที่นี่ไม่ใช่ตุนหวง เจ้าจะทำกิริยาเช่นนี้กับท่านหญิงไม่ได้” กันอี๋อดรนทนไม่ได้ หากใครมาเห็นเข้าจะมองไม่ดีนัก ยิ่งเห็นหญิงสาวทำผมแบบสตรีที่ออกเรือนแล้ว เขาได้แต่สูดลมหายใจลึก เหตุใดจะไม่เข้าใจความหมายของนาง หัวใจของนางเป็นของเทพผู้นั้น นางเอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้องมาห้าวันเต็ม มีแต่ปี้เอ๋อร์ที่คอยส่งข่าวให้พวกเขารู้ว่านางเป็นเช่นไร ห้าวันที่นางเอาแต่ร้องไห้ ราวกับน้ำตาของนางกับสายฝนที่พร่างพรมในยามนี้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน บางทีเขาอดคิดไม่ได้ว่า หากนางไม่หยุดร้องไห้ บางทีฝนอยากจะตกไม่หยุดและแคว้นหานที่เคยแห้งแล้งอาจจมใต้บาดาลก็เป็นได้ “เช่นนั้นเราจะเดินทางกลับได้เมื่อใด” นางถามเหมือนไม่เร่งรีบ แต่ในส่วนลึกนางต้องการไปจากที่นี่ นางไม่เห็น ‘เขา’ แล้ว แม้แต่ ‘ส่านเตี้ยน’ นางก็มองไม่เห็น ราวกับที่ผ่านมาไม่ม
“พี่สาว” ซ่งซีเหมยฝืนยิ้ม “พี่สาวจะอยู่ที่นี่ต่อใช่ไหม ท่านไม่ทอดทิ้งข้ากับพี่ชายนะ” “ซีเหมย” นางลูบผมของเด็กหญิงอย่างเอ็นดู “ข้าเองก็รักเจ้า เอ็นดูเจ้าดุจน้องสาวแท้ๆ แต่ข้ามิอาจรั้งอยู่ที่นี่ได้อีก หน้าที่ของข้าเสร็จสิ้นลงแล้ว ให้ข้ากลับไปเถิดนะ” “แต่ว่า...” เด็กน้อยบีบมือหญิงสาวแน่นขึ้น “ซีเหมยเด็กดี ไม่สิ เจ้าไม่ใช่เด็กน้อยอีกแล้ว เจ้าต้องช่วยพี่ชายแบ่งเบาภาระหน้าที่การงานต่างๆ ได้แล้ว” “ข้ารู้...แต่ข้าก็ยังอยากให้พี่สาวอยู่ที่นี่” นางช้อนตามองแต่กลับมั่นใจว่าไม่อาจเปลี่ยนความคิดของหญิงสาวคนนี้ได้ นางจึงเปลี่ยนคำถาม “พี่สาวจะกลับเมื่อไหร่” “ข้าให้ซิ่นหลิงตระเตรียมเรื่องเดินทางกลับ คิดว่าอีกสองวันคงออกเดินทางได้แล้ว” นางพลิกมือของเด็กหญิงขึ้นมาตบหลังมือเบาๆ “มิใช่ตายจากกันเสียหน่อย อย่างไรต้องได้พบกันในวันหน้าแน่นอน” “เช่นนั้น” เด็กหญิงเอียงคอครุ่นคิดหาเหตุผลให้นางอยู่ต่อ แต่ขนาดพี่ชายยังรั้งนางไว้ไม่ได้ แล้วนางเล่าจะเอาเหตุผลใดมาเหนียวรั้ง “เอ่อ... พี่สาวจะกลับแล้ว อยากไปที่ไหนก่อนหรือไม่” ซิ่นฮวานิ่งคิ
ฮวงหลงมองใบหน้าของเด็กรับใช้ที่เข้ามาประคองเขา เขาจำเด็กหนุ่มคนนี้ได้ “เจ้า...เสี่ยวสี่” “ขอรับคุณชายใหญ่ “ขอน้ำให้ข้าหน่อย” “ขอรับคุณชายใหญ่” เสี่ยวสี่หมุนตัวไปรินน้ำดื่มให้คุณชายใหญ่ ท่านหมอเขียนเทียบยาเสร็จแล้วจึงขอตัวออกไป หลังจากค่อยๆ จิบน้ำเข้าไปทีละน้อย ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกชุ่มคอดีแล้วจึงเอ่ยปากถามเสี่ยวสี่ “ข้าหมดสติไปนานเพียงใด” “ห้าวันขอรับ” เสี่ยวสี่ตอบตามจริง “นายท่านใหญ่เพิ่งกลับมาถึงเมื่อสองวันก่อน” ฮวงหลงพยักหน้ารับรู้ ครอบครัวของเยี่ยนหรงเหยาเดินทางหลบหนีภัยแล้ง จำได้ว่าส่านเตี้ยนเคยเล่าให้เขารับรู้อยู่บ้าง คงเพราะช่วงเวลาที่ผ่านมาอาการของเยี่ยนหรงเหยาทรุดลงมาก แม้ช่วงที่เขามาอาศัยในร่างของเพ่ยหลาง สภาพร่างกายของเยี่ยนหรงเหยาก็มิสู้ดีนัก เขากำลังจะอ้าปากถามเพื่อจะมีใครพอทราบข่าวท่านหญิงซิ่นฮวาบ้าง แต่บิดาของเยี่ยนหรงเหยาและภรรยารองเข้ามาดูอาการบุตรชายที่เรียกได้ว่า ‘ฟื้นจากความตาย’ อีกครั้ง ฮวงหลงได้แต่รู้สึกเห็นใจบิดาของเยี่ยนหรงเหยา มนุษย์เหล่านี้มิรู้ว่าเยี่ยนหรงเหยาได้จากโลกนี้ไปแล้ว แต่ในยามนี้ดวงจิตของเขา
หญิงสาวก้าวลงจากลงจากรถม้า เป็นครั้งแรกที่มาเยี่ยมเยือนทางประตูหน้า มิใช่ลอบเข้ามาเช่นครั้งก่อน นางลอบระบายลมหายใจเบาๆ ยังคงวางมืออยู่บนฝ่ามือของปี้เอ๋อร์ รอให้กันอี๋เข้าไปรายงานการมาเยือนของนาง “ท่านหญิงนี่นะ ซุกซนเหลือเกิน” “น้าปี้เอ๋อร์อย่าฟ้องท่านแม่นะ” หญิงสาวทำน้ำเสียงออดอ้อน หากไม่สารภาพความจริงว่านางเคยแอบหนีออกจากตำหนักมาถึงที่นี่ ปี้เอ๋อร์จะไม่ยินยอมให้นางไปที่ใดทั้งสิ้น นางจึงได้เล่าความจริงให้ปี้เอ๋อร์รับรู้ หากนางไม่ได้กลับมาที่แคว้นหานอีก ก็ไม่รู้สึกติดค้างเรื่องใด ครู่ต่อมานางกับปี้เอ๋อร์ก็เห็นชัดว่ามีชายวัยกลางคนกุลีกุจอออกมาต้อนรับ เขาแนะนำตัวว่าเป็นพ่อบ้านตระกูลเยี่ยน และเชื้อเชิญให้นางเข้าไปนั่งรอที่ห้องรับรองแขก ซิ่นฮวานั่งรออย่างสงบเสงี่ยมอย่างที่แขกควรทำ ด้านหลังของนางคือปี้เอ๋อร์และกันอี๋ สาวใช้รินน้ำชาให้อย่างมีมารยาท กลิ่นชาหอมกรุ่นเข้ากับบรรยากาศหลังฝนหยุดตก ห้าวันที่ผ่านมาฝนตกทั้งคืนและทั้งวัน วันนี้เข้าสู่วันที่หก เช้านี้ท้องฟ้าไร้ม่านฝนอีกแล้ว นางจึงตัดสินใจมาที่บ้านสกุลเยี่ยนเพื่อกล่าวคำลาคุณชายเยี่ยน-หรง
“นางเคยพบคุณชายเยี่ยนมาก่อนรึ” “เคยพบขอรับ” กันอี๋ตอบพลางระบายลมหายใจ ‘แต่ไม่คิดว่าจะยอมรั้งอยู่แคว้นหานเพื่อคนที่พบหน้าเพียงครู่เดียว’ ซิ่นหลิงได้แต่พยักหน้ารับ “นางเป็นคนใจอ่อน เห็นผู้อื่นเดือดร้อนย่อมยื่นมือช่วยเหลือ และในเวลาเช่นนี้ หากนางทำสิ่งใดแล้วสบายใจก็ปล่อยให้นางทำเถิด อย่างไรเจ้าช่วยดูแลนางด้วย เข้าใจหรือไม่ กันอี๋” “รับทราบ” กันอี๋รับคำหนักแน่นแต่ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอไม่พอใจของซาโม่ “เจ้ามันก็ตามใจนางนัก” ซาโม่พ่นลมออกทางจมูก “เจ้าไม่ได้เป็นแค่องครักษ์ของนาง แต่ยังเป็นสหายอีกด้วย สหายที่ดีย่อมค่อยตักเตือนกันมิใช่หรือ” ซาโม่ตำหนิต่อหน้าและรู้ดีว่ากันอี๋ไม่โต้ตอบ เขาโคลงศีรษะอย่างหงุดแล้วก้าวออกไปอย่างรวดเร็วราวกับภูติผีวิญญาณที่ไร้ร่องรอย ซิ่นหลิงยื่นมือไปแตะไหล่กันอี๋เป็นเชิงปลอบใจ เขารู้ดีว่ากันอี๋คิดอย่างไรกับซิ่นฮวาและความรู้สึกของกันอี๋นั้นเขาเชื่อเหลือเกินว่ากันอี๋จะไม่มีวันให้ซิ่นฮวารับรู้ เพราะสหายผู้นี้เจียมเนื้อเจียมตนยิ่งกว่าผู้ใด เขาไม่ได้สนับสนุนหรือส่งเสริมและไม่ได้ขัดขวาง แต่ด้วยนิสัยของกันอี๋ เข
ซิ่นฮวาออกจะแปลกใจที่เห็นอาหารเบื้องหน้ามีแต่ของที่นางโปรดปราน นางชอบกินของทอดเป็นที่สุด ชอบมากพอๆ กับกินเนื้อแพะตุ๋นเครื่องยาจีนดีๆ ที่ทำให้เนื้อนุ่มจนแทบละลายในปาก และนางชอบกินผลไม้สดมากกว่าผลไม้ที่นำไปทำเป็นของหวาน เมื่อครั้งที่ลอบหลบหนีไปเที่ยวเล่นกับเทพมังกรดิน เขาจะนำผิงกั๋ว (แอปเปิ้ล) สีแดงสุกให้นางกัดกินบนหลังมังกรเสมอ แคว้นหานเพิ่งผ่านภัยแล้งมาได้ไม่กี่วัน แต่บ้านสกุลเยี่ยนดูจะไม่ขาดแคลนอาหารการกิน แน่นอนว่ายอมมีพอเหลือแจกจ่ายในช่วงเวลาที่ผ่านมา ก่อนหน้าที่ถูกเชื้อเชิญในมานั่งกินอาหารมื้อเที่ยงกับเยี่ยนหรงเหยา บิดาของเขาได้เข้ามาพูดคุยกับนางเล็กน้อยแต่ท่าทางเกรงอกเกรงใจเสียจนนางรู้สึกย่ำแย่เสียเอง กระนั้นนางย่อมเข้าใจดี ลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูลเพิ่งฟื้นจากอาการเจ็บป่วยหนักที่เรียกว่าได้ไปก้าวเท้าข้างหนึ่งข้ามประตูปรโลกแล้วนั้น คนเป็นบิดาย่อมต้องเอาใจใส่มากเป็นพิเศษ นางเองไม่คิดว่าการกินอาหารมื้อเที่ยงร่วมกันจะเป็นเรื่องสลักสำคัญอันใด จึงมิได้ปฏิเสธ นัยต์ตาดำขลับคู่นั้นทอดมองอย่างอ่อนโยน ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดในใจของหญิงสาวไม่น้อย ไม่ใช่สิ่งท
ยังไม่ทันเอ่ยถามสิ่งใด นางรู้สึกว่าร่างของตนถูกส่งขึ้นบนหลังม้า คล้ายได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายของซาโม่ ตามด้วยเสียงของซิ่นหลิงห้ามไม่ให้ติดตามนางมา ม้าควบทะยานไปในความมืดมีแสงจันทราเต็มดวงส่องนำทาง สายลมปะทะร่างของนางแต่ไม่ได้ทำให้นางเหน็บหนาวเพราะผู้ที่บังคับม้านั้นกระชับเสื้อคลุมห่อหุ้มนางไว้มิดชิด นางแนบหน้ากับอกอุ่นวางความไว้ใจไว้ในอุ้งมือของชายที่ตนรัก ไม่ถึงครึ่งชั่วยามม้าก็ชะลอฝีเท้าลงจนหยุดนิ่ง ร่างของนางถูกประคองลงจากหลังม้าแล้วจึงแกะผ้าผูกตาของนางออก ซิ่นฮวาประหลาดใจกับภาพกระโจมเบื้องหน้า นางกวาดตามองไปรอบๆ กระโจมหลังใหญ่ตั้งใกล้สระน้ำขนาดใหญ่คล้ายจันทร์เสี้ยวที่ยามนี้ผิวน้ำสะท้อนแสงจันทรางดงาม “อ๊ะ!” ซิ่นฮวาหลุดปากหวีดร้องด้วยความตกใจที่จู่ๆ ร่างของนางก็ถูกแบกขึ้นบ่า นางเห็นรอยยิ้มและเสียงอวยพรของผู้คนที่ก้มศีรษะให้ระหว่างที่บุรุษหนุ่มแบกร่างเจ้าสาวเข้ากระโจมที่ถูกเตรียมไว้ ใบหน้าของชายหนุ่มเปี่ยมรอยยิ้มแห่งความสุข เขาพานางเข้ามาด้านในแล้ววางนางลงบนเตียงที่ปูด้วยผ้าไหมเรียบรื่น ภายนอกเป็นกระโจมที่แลดูเรียบง่ายแต่ด้านในมีเครื่องใช้หรูหราและอบอุ่
“ข้าไม่ปรารถนาพิธีใหญ่โต ขอแค่ท่านพ่อท่านแม่ยอมรับก็พอ” ความปรารถนาของเจ้าสาวคือพิธีแต่งงานอย่างเรียบง่าย ทว่าในเวลาเพียงเจ็ดวันตระกูลได้แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งร่ำรวยจัดงานแต่งงานขึ้นที่ตุนหวงตามคำร้องขอของบิดาเจ้าสาว เมื่อเสร็จพิธีจึงเดินทางกลับแคว้นหาน เจ็ดวันที่ตระเตรียมงานมงคล หญิงสาวไม่ได้รับอนุญาตให้พบหน้าบุรุษที่จะเป็นสามีในอนาคต ซิ่นหลิง ซิ่นสือ กันอี๋ และซาโม่ที่คอยส่งข่าวให้นางรู้ว่าเขาสบายดี ว่านหนิงเหมยมองดูบุตรสาวที่ยามนี้สวมชุดเจ้าสาวสีแดงมงคล หากจะกล่าวว่านางเตรียมชุดมงคลนี้ไว้ให้บุตรสาวนานแล้วก็เกรงว่าจะเป็นที่หัวเราะ คนเป็นมารดาหวังเพียงเห็นลูกๆ มีความสุขในชีวิตคู่ ครั้งที่นางแต่งงานนั้นเป็นสมรสพระราชทาน มารดาของนางไม่ได้ช่วยเหลือใดๆ ไม่มีสินเดิมให้ติดตัวมากนัก เมื่อถึงคราวลูกสาวของตนแต่งงาน นางจัดเตรียมไว้เต็มที่ มิใช่เพื่ออวดความร่ำรวยแต่เพื่อให้ลูกสาวไม่ลำบากในภายภาคหน้า ทว่านางมั่นใจว่าเจ้าบ่าวหรือว่าที่ลูกเขยคนนี้จะรักและดูแลแก้วตาดวงใจนางอย่างดียิ่ง นางเชื่อใจว่าเพราะคนผู้นั้นได้ยอมสละลมหายใจของตนเองเพื่อรักษาชีวิตของซิ
“อย่ากลัว มันจะปกป้องเจ้า” ดวงตางดงามเบิกตากว้าง น้ำตาที่เหือดแห้งไปหลั่งออกมาอีกระลอก “เป็นท่าน” ซิ่นฮวาจ้องมองเขา ระหว่างที่นางคลุกคลีในบ้านตระกูลเยี่ยน นางลอบถามบรรดาบ่าวไพร่ รับรู้มาว่าเยี่ยนหรงเหยาหมดสติไปนานห้าวัน ท่านหมอไม่อาจรั้งชีวิตได้ พลันจู่ๆ เขาก็ฟื้นขึ้นมา และร่างกายเกือบจะแข็งแรงดี ห้าวันที่เขาหมดสติไปคือวันที่เทพมังกรดินสูญสลายกลายเป็นหมอกสีเงินสลายมนตร์ดำที่ปกคลุมแคว้นหาน “ใจร้าย!” นางต่อว่าแล้วทำมือทุบแผ่นอกของเขาหลายครั้ง “ไยท่านไม่บอกข้าตั้งแต่แรก” ฮวงหลงเพิ่งรู้ว่ามือเรียวของนางมีน้ำหนักไม่น้อย แต่เขายอมให้นางทุบตีอยู่เช่นนั้นโดยไม่ปัดป้อง “สภาพข้าเช่นนี้ เจ้ายอมรับได้หรือ?” “ข้าเคยพูดแล้ว” นางฝืนกลั้นเสียงสะอื้น “ข้ารักท่านไม่ว่าท่านจะเป็นอย่างไรก็ตาม ข้ารักที่จิตใจของท่าน...แต่ท่าน...ท่านอยู่ตรงหน้าข้าแท้ๆ แต่ไม่ยอมเปิดเผยตัวเองแก่ข้า” “ฮวาเอ๋อร์ เขาเรียกนางอย่างอ่อนโยน รวบมือน้อยๆ ของนางไว้แล้วถอนหายใจแผ่วเบา “ข้ากำลังรับเคราะห์กรรมที่ทำไว้กับเจ้า ข้าเห็นเจ้า จดจำเจ้าได้ แต่เจ้ามองข
“ข้าจะไม่วันลืม” “อืม” ซ่งซีเหมยพยักหน้าและยิ้มรับถ้อยคำของเขา หัวใจเด็กหญิงพองโตอย่างน่าประหลาดใจ นางกลอกตาไปมาแล้วคิดได้ว่าเสร็จสิ้นภารกิจของตนแล้ว จึงหมุนตัวเดินออกมา แต่เดินจากมาได้ไม่กี่ก้าว นางก็นึกได้ว่าลืมกล่าวลาเขาจึงหมุนตัวกลับไปโบกไม้โบกมือ แล้วรีบหมุนตัวกลับออกวิ่งทันที กันอี๋ลุกขึ้นยืนช้าๆ มองร่างเล็กวิ่งไปจนสุดสายตา เขากังวลว่านางจะหกล้มอีก แต่ครั้งนี้นางวิ่งไปทางบุรุษผู้หนึ่งที่เหมือนจะยืนรออยู่นานแล้ว แม้จะเห็นไกลๆ แต่กันอี๋ก็เห็นสายตาของซ่งเหว่ยหนานจ้องมองมาทางเขา ก่อนจะยื่นมือไปรับน้องสาวให้เดินไปพร้อมกัน เด็กคนนั้นอายุเท่าไรกันนะ อายุสิบสองใช่ไหม? อายุน้อยกว่าเขาตั้งห้าปี เขาตบอกตัวเองเบาๆ ปิ่นหยกธรรมดาแต่เมื่อคนที่มอบให้เขานั้นไม่ธรรมดาเอาเสียเลย หรือว่าเขาควรจะสมัครเป็นองครักษ์ของเด็กน้อยคนนั้นดีนะ “เราไม่ได้เดินเล่นกันแบบนี้นานแค่ไหนแล้วนะ” ซ่งซีเหมยส่งเสียงเจื้อยแจ้วถามซ่งเหว่ยหนานที่จูงมือนางเดินดูโคมไฟหลากสีสันและน่าตาแปลกประหลาด “นั่นสินะ นานเพียงใดกันหนอ” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ “พี่ช่างเป็นพี่ชายที่ไม่
“พบสหายรู้ใจถือเป็นวาสนา” ฮวงหลงยิ้มบางๆ เขาไม่กล้าหาญพอที่จะเอ่ยกับนางว่าเขาคือ ‘ฮวงหลง’ และด้วยสภาพร่างกายที่อาศัยอยู่นี้ เส้นผมสีขาวโพลนเหมือนคนแก่ชรา ร่างกายยังอ่อนแอ และฐานะด้อยกว่านางมาก แม้รู้ว่านางไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยเรื่องเหล่านี้ ทว่า นางคิดว่าเขาจากนางไปแล้ว นางมีคนให้เลือกเคียงข้างมากนัก เขาได้แต่หวังว่าจะ...มีเยื่อใยใดบ้างที่นางจะสัมผัสถึงตัวเขาได้ ซ่งซีเหมยนั่งใกล้ๆ ซิ่นฮวา นางจิบน้ำชาและกินของว่างอย่างเพลิดเพลิน ช่วงเวลาที่นางป่วยอยู่นั้นกินอะไรไม่ค่อยได้มากนัก ซ้ำยังรู้สึกขมปลายลิ้นตลอดเวลาทำให้เบื่ออาหารไปด้วย แต่หลังจากปีศาจงูดำตายไป ร่างกายของนางก็ดีขึ้นหลายส่วน นางกลับมากินอาหารได้ปกติ อีกไม่นานร่างกายผ่ายผอมเหมือนเด็กโตไม่เต็มวัยนั้นคงสมบูรณ์ดีแลเป็นหญิงสาวกับคนอื่นบ้างกระมัง เด็กหญิงคิดในใจแอบลอบมองทางองครักษ์ของซิ่นฮวาหลายครั้ง เมื่อครู่นางแย่งปิ่นที่ซื้อมาจากมือแม่นมเก็บไว้ในอกเสื้ออย่างดี หวังใจว่าตัวเองจะมีความกล้าพอที่จะมอบให้... ซ่งเหวยหนานเดินเข้ามา สีหน้าอิดโรยอยู่บ้างแต่ยังคงประดับรอยยิ้ม ในฐานะผู้ปกครองแคว้นหาน แม้รับหน้า
“หายตกใจแล้วหรือไม่” กันอี๋เอ่ยขึ้นแต่ยังยืนนิ่ง ใบหน้าและน้ำเสียงเรียบเฉย เขาคว้าเอวบางของเด็กหญิงไว้ได้ทันก่อนที่หน้าคว่ำลงพื้นไป “อืม” ซ่งซีเหมยพยักหน้าหงึกหงัก คำตอบของนางทำให้สองมือที่จับเอวของนางอยู่นั้นยกตัวนางให้ปลายเท้ายืนบนพื้นดินแล้วค่อยคลายมือออก แต่ยังคงรอจนนางยืนได้มั่นคงแล้วจึงถอยออกไป เด็กหญิงทำตาปริบๆ นอกจากพี่ชายและท่านพ่อแล้ว นางไม่เคยใกล้ชิดบุรุษใดเช่นนี้มาก่อน กันอี๋ถอยห่างออกมารอจนเด็กหญิงตัวน้อยยืนได้มั่นคง ทว่าดวงตาคู่นั้นที่จ้องมองเขาและตามด้วยพวงแก้มที่แดงระเรื่อขึ้นมาอย่างช้าๆ ทำให้เขาเผลอขมวดคิ้ว ‘นางบาดเจ็บหรือไร?’ ขยับตัวเข้าไปใกล้หมายจะเอ่ยถาม แต่เด็กหญิงถอยหลังแล้ววิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังของซิ่นฮวา ทำให้เขาได้แต่อ้าปากค้างอย่างงุนงง “เป็นอะไรไปรึซีเหม่ย” ซิ่นฮวากลั้นหัวเราะ เข้าใจว่าเด็กน้อยคงเขินอายที่ตัวเองซุ่มซ่ามต่อหน้าผู้อื่น “ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ” นางส่ายหน้าไปมาเร็วๆ ไม่กล้ามองไปทางองครักษ์ของซิ่นฮวา “ได้ยินว่าพี่สาวจะไปงานเลี้ยง ข้าจึงมาขอติดตามไปด้วย” “พี่ชายเจ้ารู้หรือไม่ที่จะไปกับข้า”
“ข้าเดินกับสหายผู้หนึ่ง” เขาเอ่ยตอบไม่ได้โกหก เขาชอบเดินหมาก นอกจากมารดาของซิ่นฮวาที่เขาเองก็ไม่ได้เดินหมากกับนางมาหลายสิบปี เขาก็บังเอิญพบเยี่ยนหรงเหยาที่กลายเป็นสหายร่วมเดินหมาก เขาเอ่ยตอบแล้วประคองไหล่กลมมนให้นั่งลงที่เก้าอี้กลม เยี่ยนหรงเหยามิให้ใครแตะต้องหมากกระดานนี้ เฝ้ารอเพียงเดินหมากกับเขาเท่านั้น “ท่านหญิง เดินหมากกับข้าสักกระดานได้หรือไม่” นางเงยหน้าขึ้นมองเขา น้ำเสียงราบเรียบแต่ฟังแล้วชวนให้รู้สึกใจอ่อน นางพยักหน้ารับกวาดตามองหมากขาวดำบนหมากกระดาน กลวิธีเดินหมากวางเม็ดหมากตีวงล้อมก่อนค่อยๆ กินพื้นที่อีกฝ่ายอย่างใจเย็น ใบหน้าหวานระบายยิ้มอย่างไม่รู้ตัว หลายวันมานี้นางร้องไห้จนแทบหลงวันคืน นางไม่ได้ถามเขาว่าสหายที่เขาเดินหมากด้วยเป็นใคร แต่นางไม่แปลกใจถ้าสหายที่เคยเดินหมากกระดานนี้คือคนเดียวกับที่สอนนางจับเม็ดหมาก “เจ้าอยากเดินต่อจากหมากกระดานนี้หรือ?” เขาถามแล้วหันไปพยักหน้าเรียกบ่าวรับใช้ให้นำน้ำชาเข้ามา “จะดีหรือ?” “เจ้าเดินหมากขาว ข้าเดินหมากดำ” “ได้!” นางเงยหน้าขึ้นยิ้มด้วยดวงตาพราวระยับ นางรู้ว่ามันไม่เหมาะไม่ควร แต่การได้เดินหมากกระดานเดียวกับคนที่นางคิดถ
ซิ่นฮวาออกจะแปลกใจที่เห็นอาหารเบื้องหน้ามีแต่ของที่นางโปรดปราน นางชอบกินของทอดเป็นที่สุด ชอบมากพอๆ กับกินเนื้อแพะตุ๋นเครื่องยาจีนดีๆ ที่ทำให้เนื้อนุ่มจนแทบละลายในปาก และนางชอบกินผลไม้สดมากกว่าผลไม้ที่นำไปทำเป็นของหวาน เมื่อครั้งที่ลอบหลบหนีไปเที่ยวเล่นกับเทพมังกรดิน เขาจะนำผิงกั๋ว (แอปเปิ้ล) สีแดงสุกให้นางกัดกินบนหลังมังกรเสมอ แคว้นหานเพิ่งผ่านภัยแล้งมาได้ไม่กี่วัน แต่บ้านสกุลเยี่ยนดูจะไม่ขาดแคลนอาหารการกิน แน่นอนว่ายอมมีพอเหลือแจกจ่ายในช่วงเวลาที่ผ่านมา ก่อนหน้าที่ถูกเชื้อเชิญในมานั่งกินอาหารมื้อเที่ยงกับเยี่ยนหรงเหยา บิดาของเขาได้เข้ามาพูดคุยกับนางเล็กน้อยแต่ท่าทางเกรงอกเกรงใจเสียจนนางรู้สึกย่ำแย่เสียเอง กระนั้นนางย่อมเข้าใจดี ลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูลเพิ่งฟื้นจากอาการเจ็บป่วยหนักที่เรียกว่าได้ไปก้าวเท้าข้างหนึ่งข้ามประตูปรโลกแล้วนั้น คนเป็นบิดาย่อมต้องเอาใจใส่มากเป็นพิเศษ นางเองไม่คิดว่าการกินอาหารมื้อเที่ยงร่วมกันจะเป็นเรื่องสลักสำคัญอันใด จึงมิได้ปฏิเสธ นัยต์ตาดำขลับคู่นั้นทอดมองอย่างอ่อนโยน ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดในใจของหญิงสาวไม่น้อย ไม่ใช่สิ่งท
“นางเคยพบคุณชายเยี่ยนมาก่อนรึ” “เคยพบขอรับ” กันอี๋ตอบพลางระบายลมหายใจ ‘แต่ไม่คิดว่าจะยอมรั้งอยู่แคว้นหานเพื่อคนที่พบหน้าเพียงครู่เดียว’ ซิ่นหลิงได้แต่พยักหน้ารับ “นางเป็นคนใจอ่อน เห็นผู้อื่นเดือดร้อนย่อมยื่นมือช่วยเหลือ และในเวลาเช่นนี้ หากนางทำสิ่งใดแล้วสบายใจก็ปล่อยให้นางทำเถิด อย่างไรเจ้าช่วยดูแลนางด้วย เข้าใจหรือไม่ กันอี๋” “รับทราบ” กันอี๋รับคำหนักแน่นแต่ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอไม่พอใจของซาโม่ “เจ้ามันก็ตามใจนางนัก” ซาโม่พ่นลมออกทางจมูก “เจ้าไม่ได้เป็นแค่องครักษ์ของนาง แต่ยังเป็นสหายอีกด้วย สหายที่ดีย่อมค่อยตักเตือนกันมิใช่หรือ” ซาโม่ตำหนิต่อหน้าและรู้ดีว่ากันอี๋ไม่โต้ตอบ เขาโคลงศีรษะอย่างหงุดแล้วก้าวออกไปอย่างรวดเร็วราวกับภูติผีวิญญาณที่ไร้ร่องรอย ซิ่นหลิงยื่นมือไปแตะไหล่กันอี๋เป็นเชิงปลอบใจ เขารู้ดีว่ากันอี๋คิดอย่างไรกับซิ่นฮวาและความรู้สึกของกันอี๋นั้นเขาเชื่อเหลือเกินว่ากันอี๋จะไม่มีวันให้ซิ่นฮวารับรู้ เพราะสหายผู้นี้เจียมเนื้อเจียมตนยิ่งกว่าผู้ใด เขาไม่ได้สนับสนุนหรือส่งเสริมและไม่ได้ขัดขวาง แต่ด้วยนิสัยของกันอี๋ เข