[3] [พักผ่อนก่อนออกสำรวจ]
“ไอ้แก่นั่นสักวันฉันจะเตะหน้ามันให้ได้” สโนว์สาปแช่งด้วยความแค้นขณะเดียวกันก็ยัดอาหารเข้าปากไม่หยุดราวกับคนอดอยากมานาน “อาหารของโรงอาหารก็ยังห่วยแตกไม่เปลี่ยน!” แม้จะบ่นอย่างนั้นสโนว์ก็ยังกินมันเข้าไปอยู่ดีเพราะไม่มีทางเลือก หลายปีแล้วที่มนุษย์เริ่มขาดแคลนอาหารจนแทบไม่มีอะไรจะกิน ถึงจะไม่อร่อยแต่ถ้ากินได้เธอก็ต้องกินเพื่อความอยู่รอด อันที่จริงทหารอย่างเธอได้กินอาหารอย่างนี้มาตั้งแต่เกิดจึงน่าจะควรชินได้แล้ว แต่เธอดันเป็นมนุษย์วิวัฒนาการที่ประสาทสัมผัสที่ดีมาก การกินอาหารที่ไม่สะอาดจึงยากที่จะทำให้รู้สึกคุ้นชินหรืออร่อยได้
“อย่าอารมณ์เสียไปเลยน่า” วินเตอร์ตบหลังปลอบใจเพื่อนสาว
“หึ!” สโนว์พ้นหายใจแรง อารมณ์ไม่ได้ดีขึ้นมาเลย วินเตอร์ก็ได้แต่เกาหัวอย่างจนปัญญาปลอบใจ
ฟรอสต์มองทั้งสองคนสลับกันก่อนจะถอนหายใจ เขาตัดสินใจหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋ามิติของตัวเอง “ฉันเก็บลูกอมเม็ดสุดท้ายไว้”
“ลูกอม!?” อารมณ์ขุ่นมัวเหมือนถูกเป่าทิ้งทันทีที่ได้ยินคำว่าลูกอม สโนว์หันขวับไปมองฟรอสต์ตาวาว
“ลูกอมเหรอ!?” วินเตอร์ก็มีปฏิกิริยาไม่ต่างกันนัก เนื่องจากว่าในสนามรบอาหารจำพวกขนมหวานมันแทบจะไม่มีให้กินแล้ว ทหารที่ส่วนมากอยู่แต่ในสนามรบอย่างพวกเขาก็เลยแทบไม่มีโอกาสได้กินเลย นานทีปีหนถึงจะได้ลิ้มรสสักครั้ง ลูกอมจึงถือว่าเป็นของหายากมาก
“ฟรอสต์ให้ฉัน” สโนว์ถลึงตาดุวินเตอร์และรีบคว้าลูกอมจากมือของฟรอสต์ความเร็วแสง เธอรีบยัดมันเข้าปากทันทีและทันทีที่ได้รอบความหวานสโนว์ก็เหมือนจะอารมณ์สดใสขึ้นมาทันใด
ขณะที่สโนว์เพลิดเพลินกับความหวานในปากวินเตอร์ก็มองตามลูกอมที่อยู่ปากของสโนว์ตาละห้อย ดวงตาสีเหลืองอำพันของวินเตอร์คล้ายจะมีน้ำตาคลอ ความรู้สึกผิดพุ่งเข้ามาในใจของสโนว์ สโนว์เหงื่อตกอย่างตัดสินใจไม่ได้ว่าระหว่างหน้าตาหมาหงอยของวินเตอร์และความหวานในปาก เธอควรเลือกอันไหนดี
“สโนว์…” เจ้าลูกหมาร้องหงิง
สโนว์ยอมแพ้ เธอคว้าท้ายทอยของวินเตอร์และดึงหน้าเขาเข้ามาใกล้ “ฉันแค่จะแบ่งให้ชิม อย่ากินหมดเชียวล่ะ!”
แม้จะถูกขู่เสียงเหี้ยมวินเตอร์ก็พยักหน้ารั่วๆ ด้วยหน้าตาดีใจมากและรีบอ้าปากรอ สโนว์จึงประกอบปากกับวินเตอร์และใช้ลิ้นดันลูกอมเข้าไปในปากของวินเตอร์
“รู้สึกอยากร้องไห้เลย” พอได้ลิ้มรสความหวานที่นานครั้งได้ลิ้มรสวินเตอร์ก็ปลื้มใจมากจนแทบร้องไห้
“อย่าเคี้ยวล่ะ” เธอก็ดีใจที่เพื่อนมีความสุขอยู่หรอก แต่เธอหวงลูกอมที่เธอเพิ่งลิ้มรสได้แค่ครู่เดียวมากกว่า
“ว่าแต่ฟรอสต์ได้ลูกอมมาจากไหน? เราก็อยู่ในสนามรบด้วยกันมาตลอด” วินเตอร์ถามขึ้นมา
“…” ฟรอสต์ไม่ได้ตอบคำถาม
สโนว์และวินเตอร์มองหน้าฟรอสต์ทันใดนั้นพวกเขาก็จำขึ้นมาได้ว่าเมื่อเดือนก่อนพวกเขาเจอถุงลูกอมในสนามรบ ของทหารที่ตายนั่นล่ะ พวกเขาก็เลยเก็บมาและแบ่งให้กันคนละเท่าๆ กัน ซึ่งลูกอมพวกนั้นสโนว์และวินเตอรก็กินหมดภายในสองวันแรกแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าฟรอสต์จะเก็บเม็ดสุดท้ายไว้จนกระทั่งถึงตอนนี้
ทันใดนั้นสโนว์และวินเตอร์ก็มีภาพมโนเกี่ยวกับลูกอมเม็ดสุดท้ายขึ้นมา… เด็กหนุ่มผู้กลัวที่จะกินลูกอมเม็ดสุดท้ายเพราะเกรงว่าจะไม่ได้มีโอกาสได้ลิ้มรสลูกอมอีกครั้งจึงเก็บมันไว้อย่างดี แต่สุดท้ายก็ไม่อาจได้มีโอกาสลิ้มรสลูกอมเม็ดสุดท้ายนั่น…
เป็นเรื่องราวที่น่าเศร้าเกินไปแล้ว!
สโนว์สะกิดวินเตอร์ด้วยศอก วินเตอร์พยักหน้าหงึกหงักอย่างรับรู้
“ลูกอมมันเป็นของนาย นายก็ต้องได้ชิมด้วยสิ” วินเตอร์เอ่ยหน้าจริงจัง
“ไม่ต้องก็ได้” ฟรอสต์ปฏิเสธหน้านิ่ง แต่วินเตอร์ก็จับฟรอสต์ประกบปากและดันลูกอมเข้าไปในปากฟรอสต์ “นี่!” ฟรอสต์ทำเสียงดุและทำเหมือนจะโวยวายแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาอมลูกอมที่ถูกยัดเข้ามาในปากเงียบๆ ด้วยหน้าตาบึ้งตึง แต่เขาก็ไม่สามารถซ้อนสีหน้าดีใจของตัวเองจากสายตาของสโนว์และวินเตอร์ได้อยู่ดี
สโนว์และวินเตอร์แอบหัวเราะเบาๆ ฟรอสต์ถลึงตาดุเพื่อกลบเกลื่อนความอายและหลังจากลิ้มรสชาติของลูกอมได้สักพักฟรอสต์ก็ส่งลูกอมปากต่อปากไปให้สโนว์ต่อ วนเวียนอยู่อย่างนั้นสองรอบจนมันหมด
“รสชาติลูกอมยังติดลิ้นอยู่เลย” ก่อนที่รสชาติจะหายไปสโนว์ก็พยายามลิ้มรสของพวกมันให้มากที่สุด
“ไหนๆ” วินเตอร์เลียปากสโนว์ราวกับจะลิ้มรส
“นายคิดจะแย่งรสชาติลูกอมไปจากฉันเรอะ!?” สโนว์รู้สึกเหมือนถูกยั่วยุ เธอสอดลิ้นเข้าไปในปากของเขาเพื่อลิ้มรสชาติลูกอมจากลิ้นของเขา วินเตอร์ก็ไม่คิดจะยอมแพ้ มันจึงกลายเป็นว่าทั้งสองคนต่อสู้กันด้วยลิ้น
ฟรอสต์ที่นั่งมองอยู่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนกับเหตุทะเลาะอันไร้สาระของทั้งสองคน แต่ในขณะที่เขาคิดว่าจะไม่ยุ่งสโนว์และวินเตอร์ก็ร่วมมือกันช่วงชิงรสชาติลูกอมจากปากเขาไปด้วย
ในขณะนั้นเองการกระทำอย่างเป็นธรรมชาติราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติของพวกเขาทั้งสามคนก็ตกอยู่ในสายตาของเหล่าทหารทั้งหมดในโรงอาหารแล้ว
เจ้าพวกนี้มันสนิทกันเกินไปแล้ว!
หลังอาหารก็ต้องนอนพัก สโนว์ วินเตอร์ และฟรอสต์กลับห้องพักทหารของพวกเขา แน่นอนว่าพวกเขานอนห้องเดียวกันเนื่องจากว่าพื้นที่มันมีจำกัดทหารแถวล่างก็เลยต้องนอนเบียดกัน แต่ถึงจะมีห้องว่างเพราะทหารคนอื่นตายไปหมดแล้วในสนามรบ พวกเขาทั้งสามคนก็ไม่เต็มใจที่จะแยกกันอยู่ดี
พวกเขาคุ้นเคยกับการนอนด้วยกันเพราะมันให้ความรู้สึกปลอดภัยมากกว่า
“แผลดีขึ้นรึยัง?” ฟรอสต์ถามขึ้นมาขณะที่สโนว์นั่งเล่นอยู่บนเตียงในชุดนอนที่มีเพียงเสื้อกล้ามและกางเกงขาสั้น ข้างๆ ก็มีวินเตอร์ที่มีแค่กางในเพียงตัวเดียวนอนกลิ้งอยู่
ไม่มีความอายระหว่างพวกเขาหรอก ก็อยู่ในสนามรบด้วยกันมานานแล้วนี่นา
“ดีขึ้นแต่ก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่” สโนว์ตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“ทำแผลอีกรอบรึยัง?”
“ทำแล้ว”
“ฟรอสต์! ฟรอสต์! มานอนตรงนี้เร็ว” วินเตอร์เอ่ยเรียกขณะที่มือตบลงบนเตียงที่พวกเขาเอามาต่อกันเพื่อให้ได้เตียงที่ใหญ่พอสำหรับนอนสามคน ฟรอสต์เห็นดังนั้นจึงเปลี่ยนเสื้อและขึ้นไปนั่งข้างๆ สโนว์
พวกเขาเงียบกันสักพักก่อนที่สโนว์จะเป็นคนพูดขึ้นมา “ถ้าฉันนับเลขถูกต้อง เดือนหน้าจะครบห้าปีที่เราได้รับการวิวัฒนาการร่างกายและอายุของเราน่าจะถึงสิบแปดปีแล้วด้วย”
ฟรอสต์และวินเตอร์อดไม่ได้ที่จะทำหน้าเคร่งเครียดนั่นเพราะว่าห้าปีหลังจากที่ได้รับยาวิวัฒนาการร่างกาย ข้อเสียของการรับยาวิวัฒนาการก็จะแสดงผลออกมา ถึงข้อเสียของมันจะไม่ได้เลวร้ายนักแต่ก็ไม่เป็นประโยชน์เลย ถ้าโชคร้ายมันอาจจะมีผลต่อการสู้รบของพวกเขาในสนามรบและอาจมีสิทธิ์เอาชีวิตไม่รอด นั่นทำให้พวกเขาหวาดหวั่นใจ
“ฉันหวังว่าเพศรองฉันจะเป็นเบต้า” วินเตอร์พึมพำ
ข้อเสียหลังจากที่ร่างกายได้รับยาวิวัฒนาการครบห้าปีมันก็คือการได้รับเพศรองมานั่นเอง
โอเมก้า อัลฟ่า เบต้า คือชื่อเรียกของเพศรอง ไม่ว่าชายหรือหญิงที่ได้รับเพศรองเป็นโอเมก้าพวกเขาจะมีอาการหนึ่งที่เรียกว่า ฮีท ในทุกๆ เดือน อาการฮีทมันจะทำให้ร่างกายของพวกเขารู้สึกร้อนและอ่อนแรงและมีความต้องการทางเพศสูง ขณะเดียวกันร่างกายก็ปล่อยฟีโรโมนหอมหวานเพื่อดึงดูดอัลฟ่า หากมีเพศสัมพันธ์ไม่ว่าชายหรือหญิงก็อาจตั้งท้องได้
ส่วนเพศรองอัลฟ่าปัญหาน้อยกว่าโอเมก้าเพราะพวกเขาไม่มีอาการฮีททุกเดือน แต่เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาได้กลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าพวกเขาก็จะคลั่งและสูญเสียสติไปชั่วคราว ซึ่งเรียกว่าอาการ รัท และในช่วงเวลาธรรมดาพวกเขาอาจจะปล่อยกลิ่นฟีโรโมนอัลฟ่าออกมาโดยไม่รู้ตัวจนทำให้เพศรองอย่างโอเมก้าเกิดอาการฮีทได้ เพศรองทั้งสองนี้จึงต้องอยู่ห่างกันสักหน่อยและต้องหมั่นตรวจร่างกายตัวเองเพื่อไม่ให้ฟีโรโมนไปสร้างปัญหาให้คนอื่น
เนื่องจากว่าทหารมีจำนวนน้อย ไม่ว่าจะได้เพศรองที่เป็นปัญหาแบบไหนพวกเขาก็ไม่มีทางถูกปลดจากการเป็นทหาร พวกเขาก็เลยต้องทนกับปัญหาเพศรองพวกนี้ต่อไป
ส่วนเพศรองเบต้านั้นถือว่าดีที่สุดแล้วเพราะไม่มีอาการฮีท ไม่มีการปล่อยฟีโรโมน ไม่สามารถรัทได้ ไม่คลุ้มคลั่งเมื่อได้กลิ่นฟีโรโมน สรุปแล้วก็คือมันไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเพศดั้งเดิมของมนุษย์ที่มีแค่เพศหญิงและชาย ทุกคนจึงอยากได้เพศรองเป็นเบต้ามากกว่า ทว่าน่าเสียดายที่พวกเขาเลือกเพศรองเองไม่ได้ คงต้องหวังพึ่งดวงเอาเท่านั้น
“ถ้าโชคร้ายได้เป็นโอเมก้าฉันจะขอให้อัลฟ่าสักคนบอนด์” สโนว์
บอนด์ ก็คือการจับคู่กันระหว่างอัลฟ่าและโอเมก้า หากโอเมก้าถูกบอนด์แล้วอาการฮีทก็จะอ่อนลงและฟีโรโมนของโอเมก้าก็จะไม่มีผลกับอัลฟ่าคนอื่นอีกออกต่อไปนอกจากอัลฟ่าที่เป็นคู่ ในขณะเดียวกันฟีโรโมนของโอเมก้าคนอื่นก็จะไม่ค่อยมีผลกับอัลฟ่ามากนักเช่นกัน เพราะงั้นการบอนด์จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดเพื่อจบปัญหาของคนที่โชคร้ายได้เพศรองเป็นอัลฟ่าและโอเมก้า ตราบใดที่โอเมก้าและอัลฟ่าที่เป็นคู่กันไม่ปล่อยฟีโรโมนใส่กันพวกเขาก็จะไม่เกิดอาการหน้ามืดตามัวอยากผสมพันธุ์กันกลางสนามรบจนจบลงด้วยการโดนปรสิตกะซวกไส้แน่นอน
“ฉันไม่เห็นด้วยที่เธอจะไปบอนด์กับคนอื่นมัวซัว” ฟรอสต์เอ่ยห้ามปรามไว้ก่อน
“ไม่รู้สิ นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคตว่าฉันจะได้เพศรองเป็นอะไร” สโนว์ไหวไหล่อย่างปลงชีวิตและล้มตัวนอน
“ช่างเรื่องอนาคตมันเถอะ เรานอนกันดีกว่า” วินเตอร์โยนเรื่องปวดหัวทิ้งอย่างไม่สนใจไยดีแล้วล้มตัวลงนอนเหมือนกับสโนว์
ฟรอสต์ถอนหายใจปลงกับความไร้กังวลและการปล่อยวางเรื่องปวดหัวได้อย่างง่ายดายของสโนว์และวินเตอร์ แต่เอาเถอะ นอกสนามรบก็ควรปล่อยวางเรื่องปวดหัวบ้าง ไม่อย่างนั้นคงได้กลายเป็นบ้าตายแทนที่จะถูกพวกปรสิตฆ่า พอถอนหายใจปลงได้สามวินาทีฟรอสต์ก็พบว่าเพื่อนทั้งสองคนของเขาได้นอนหลับไปแล้ว
เพื่อให้ร่างกายอยู่ในสถานะที่พร้อมที่สุดการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอก็ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญต่อการสู้รบ ทหารจึงมีเทคนิคที่จะทำให้นอนหลับเร็ว แต่หลับภายในสามวินาทีนี่มันก็เร็วไปหน่อยนะ
คงเหนื่อยกันมากสินะ…
ฟรอสต์ห่มผ้าให้สโนว์และวินเตอร์ก่อนที่เขาจะล้มตัวลงนอนตามไป
.
.
สามวันแห่งการพักผ่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว รู้ตัวอีกทีก็ต้องเตรียมตัวเข้าสู่สนามรบอีกครั้ง ถึงเป้าหมายของภารกิจในครั้งนี้จะบอกว่าแค่เข้าไปสำรวจถ้ำใต้ดินก็เถอะ แต่สถานที่ที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยของพวกปรสิตมันไม่มีทางที่จะเป็นสถานที่ปลอดภัยแน่นอน พวกเขาจึงต้องเตรียมตัวกันให้ดี ชุดป้องกันต้องพร้อม อาวุธต้องพร้อม เสบียงต้องพร้อมเพราะไม่รู้ว่าจะต้องติดอยู่ในนั้นอีกนานแค่ไหน
“พร้อมนะ” ขณะที่ยืนอยู่หน้าปากหลุมระเบิดขนาดใหญ่สโนว์ก็ถามความพร้อมของสมาชิกทีมทุกคน
“พร้อมอยู่แล้ว” วินเตอร์เป็นคนเดียวที่ตอบ
แต่ไม่ว่าคนอื่นจะตอบหรือไม่อย่างไรทันทีที่ได้รับสัญญาณพวกเขาก็ต้องโรยตัวลงไปในหลุมระเบิดและเข้าไปในรูอุโมงค์ที่ปรากฏอยู่ตามผนังหลุม ทีมสำรวจแต่ละทีมแบ่งหน้าที่กันไปสำรวจคนละอุโมงค์และหวังว่าตัวเองจะไม่ใช่ทีมที่โชคร้ายไปเจอพวกปรสิตที่อาจยังหลงเหลืออยู่
สโนว์ วินเตอร์ และฟรอสต์ที่ยังเป็นสมาชิกทีมเดียวกันเหมือนเดิมพร้อมกับสมาชิกทีมชั่วคราวอีกสี่คนเข้ามาในอุโมงค์แล้ว หน้าทางเข้าพวกเขาไม่พบอะไรผิดปกติจึงมุ่งหน้าเดินเข้าไปต่อทันที เส้นทางในอุโมงค์นั้นลากยาวลงไปข้างล่างทีละนิด พวกเขาไม่พบทางแยกในอุโมงค์เลย
“ดูเหมือนมันจะยาวมาก” วินเตอร์ส่องไฟฉายไปยังเส้นทางข้างหน้า ในอุโมงค์นั้นยาวและมืดมาก ไฟฉายที่พวกเขาคิดว่าดีที่สุดก็ยังส่องไปไม่ถึงปลายอุโมงค์เลยด้วยซ้ำ
“จนกว่าจะพบอะไรสักอย่างเราก็จะต้องไปต่อ…สงสัยฉันคิดถูกที่เอาเสบียงมาเยอะ” สโนว์คาดไว้ว่าพวกเธอคงต้องอยู่ในนี้อีกนานจนกว่าจะเสร็จภารกิจที่ไม่มีแม้แต่จะกำหนดเวลามาให้
พวกเขาเดินสำรวจลึกลงโดยไม่คิดจะหยุดพักจนลืมเวลา การที่ต้องอยู่ในอุโมงค์ที่มืดและแคบสร้างความสับสนทางด้านเวลาให้สมองไม่น้อย รู้สึกตัวอีกทีพวกเขาก็เดินกันมาทั้งวันแล้วและที่น่าเศร้าก็คือพวกเขาก็ยังไปไม่ถึงปลายทางของอุโมงค์และยังไม่เจออะไรเลย พวกเขาเจอทางแยกระหว่างทางบ้างแต่ทางแยกพวกนั้นก็เหมือนจะมุ่งลงข้างล่างเหมือนกัน พวกเขาจึงเลือกเดินลงเส้นทางตรงเหมือนเดิม ซึ่งเป็นทางตรงที่ยาวไกลช่วยให้รู้สึกย่อท้อมาก
ทุกคนจึงเริ่มเหนื่อยล้าและหมดกำลังใจหลังจากเดินมาทั้งวันก็ยังไม่ถึงปลายทาง พวกเขาตัดสินใจหยุดพักเอาแรงก่อน
“เราต้องเข้าไปอีกไกลแค่ไหน?” ทหารร่วมทีมคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นมา ความรู้สึกหมดกำลังใจปรากฏขึ้นมาในใจเล็กน้อยเพราะต้องมาอยู่ในที่มืดมิดและแคบเป็นเวลานาน และต้องมาคอยหวาดระแวงว่าจะมีศัตรูโผล่ออกมาโจมตีตลอดเวลา มันสร้างความกดดันและความเหน็ดเหนื่อยในใจมากไม่น้อย
“ฉันขอแนะนำว่านายไม่ควรถามหรือคิดเกี่ยวกับมันนะ” สโนว์เอ่ย “ถ้าคิดเกี่ยวกับพวกมันมากเกินไปมันจะไปบั่นทอนจิตใจของนายซะเปล่า อีกอย่างมันคือภารกิจ”
จากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรอีก ต่างคนต่างก็พักผ่อนแต่ก็ไม่มีใครลดความระมัดระวังตัวของตัวเองลงเพราะพวกเขารู้ตัวดีว่าถ้าลดกำแพงลงแค่นิดเดียวมันอาจจะหมายถึงการสูญเสียชีวิตของตัวเองไป แต่ถ้าจะให้มีสติเต็มร้อยตลอดเวลาเพื่อระวังอันตรายพวกเขาก็คงไม่ได้พักผ่อนกันพอดี พวกเขาจึงสลับกันเฝ้ายามทุกชั่วโมงเพื่อเฝ้าระวังอันตรายและเพื่อให้ทุกคนได้พักผ่อนกันอย่างเพียงพอ
สโนว์ใช้ไหล่ของฟรอสต์เป็นหมอนและหลับฝันไป แต่พอตื่นขึ้นมาสโนว์ก็ลืมไปแล้วว่าเธอฝันถึงอะไร
“ฉันทำเธอตื่นรึเปล่า?” วินเตอร์ก้มหน้าลงมาถามเมื่อเห็นคนที่ใช้ตักของเขาเป็นหมอนตื่นนอนแล้ว
สโนว์ไม่ได้แปลกใจนักว่าทำไมตัวเองไม่รู้สึกตัวเลยว่าหมอนจำเป็นของเธอเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่
“ไม่หรอก” เป็นเรื่องปกติที่ทหารในสนามรบจะตื่นตัวตลอดเวลาจนมักจะตื่นอย่างง่ายดายเมื่อมีบางสิ่งมารบกวนตอนนอน แต่ด้วยความคุ้นเคยและไว้ใจสโนว์ก็เลยไม่รู้สึกตัวเลยว่าฟรอสต์และวินเตอร์เปลี่ยนท่านอนให้เธอตอนไหน “กี่โมงแล้ว”
“อีกสามสิบนาทีก็หมดเวลาพัก” วินเตอร์ตอบคำถามของสโนว์ที่เหมือนจะยังไม่อยากตื่นก็เลยนอนซุกตักเขาต่อ
“ฉันฝากปลุกด้วย” พอรู้ว่ายังเหลือเวลาพักสโนว์ก็เลยนอนหลับต่อภายในสิบวินาทีต่อมาโดยมีวินเตอร์ช่วยลูบหัวกล่อมให้หลับสนิท แต่พอโดนลูบหัวไปได้สักพักสโนว์ก็เหมือนจะรำคาญ เธอละเมอคว้ามือของวินเตอร์ไปและกำไว้แน่นเพื่อไม่ให้เขามาก่อกวนอีก
วินเตอร์ที่ถูกยึดมือไปข้างหนึ่งยิ้มชอบใจและใช้มือข้างที่ว่างจิ้มแก้มของสโนว์และลูบวนไปจนสโนว์ละเมอจับมือเขาไว้อีกข้าง แต่ครั้งนี้เขาชักมือกลับได้ทันก็เลยไม่โดนยึดมือไปอีกข้าง วินเตอร์ยิ้มกว้างและเลิกแกล้งเพราะถ้าแกล้งมากกว่านี้สโนว์อาจจะตื่นขึ้นมาข่วนหน้าเขาแน่ ไม่สิ ชกหน้าต่างหากล่ะ
แย่ล่ะสิ เขาเผลอมองสโนว์เป็นแมวไปอีกแล้ว วินเตอร์คิดพลางหัวเราะแห้งในใจ ถ้าเกิดสโนว์รู้ว่าเขาคิดว่าเธอน่ารักเหมือนแมวเธอจะต้องโกรธแน่เลย ทั้งที่แมวออกจะน่ารัก วินเตอร์ไม่เข้าใจเลย
[4] [สิ่งที่ไม่คาดฝัน]ในวันที่สองของการสำรวจอุโมงค์พวกเขาตัดสินใจที่จะเร่งฝีเท้าเพื่อเข้าไปให้ถึงปลายทางให้เร็วที่สุด แม้มันจะเสี่ยงที่พวกเขาจะขาดการตรวจสอบที่ละเอียดจนพลาดที่จะสังเกตเห็นพวกปรสิตจนทำให้พวกปรสิตรับรู้ถึงตัวตนของพวกเขาก่อนและเข้ามาฆ่าพวกเขาก่อนที่พวกเขาจะได้ตั้งตัว แต่จะเป็นการดีกว่าที่ภารกิจนี้จะจบลงโดยเร็วที่สุดแทนที่จะปล่อยให้มันยืดยาวเป็นเดือนซึ่งก็ไม่มีใครปฏิเสธแผนการใหม่นี้หลังจากตัดสินใจจะเร่งเดินทางให้เร็วขึ้นเป็นสองเท่าของเมื่อวาน พวกเขาจึงใช้เวลาเดินทางเพียงครึ่งหนึ่งของเมื่อวานเพื่อให้เท่ากับระยะทางของเมื่อวาน และในการเดินทางเข้ามาสำรวจอุโมงค์ของปรสิตในวันที่สาม ในที่สุดพวกเขาก็เจออย่างอื่นนอกจากอุโมงค์อันยาวเหยียดแล้วพวกเขาเจอโพรงขนาดใหญ่ แต่พวกเขาก็ยังไม่พบศัตรู พวกเขาพบเพียงทางแยกมากมาย…“เราไปจะทางไหนดี” นั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาคิดหนักแบบสุดๆ อุตส่าห์มาถึงตรงนี้ได้แล้ว ถ้าไปผิดทางมันก็เท่ากับว่าการเดินท
[1] [ตายตอนนี้ก็คงมีแค่นรกที่เปิดรับ]เสียงระเบิด เสียงปืน และเสียงกรีดร้องทั้งจากมนุษย์และจากปรสิตต่างดาว เสียงพวกนี้บ่งบอกว่าสถานการณ์ในสนามรบตอนนี้กำลังโกลาหลได้ที่ แต่ถึงจะมีเสียงพวกนี้ดังเข้ามาในโสตประสาทเพื่อย้ำเตือนถึงสถานการณ์รอบตัวในตอนนี้แล้วพลทหารหญิงสโนว์ก็ยังนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นสนามรบราวกับยอมแพ้ที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วซึ่งสโนว์ก็ยอมแพ้ที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วจริงๆ เพราะตั้งแต่จำความได้เธอก็ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดอยู่ในสนามรบระหว่างมนุษย์และปรสิตต่างดาวมาตลอด ตอนนี้สโนว์ตัดสินใจแล้วว่ามันถึงขีดจำกัดของเธอแล้ว ทั้งร่างกายและจิตใจ…“หวังว่าเจ้าพวกนั้นจะไม่โกรธถ้าฉันไปสวรรค์ก่อน…”เพียะ! “ตื่น สวรรค์ของโลกนี้ไม่ต้อนรับคนในตอนนี้หรอก มีแต่นรกเท่านั้นล่ะที่ต้อนรับคนในตอนนี้”สั่งเสียเสร็จก็ตั้งใจจะไปเข้าเฝ้าพระเจ้าเลยแต่กลับโดนบางอย่างตบหน้าเรียกสติก่อนและยังโดนบอกว่าสวรรค์ไม่ต้อนรับอีกเธอไม่ได้เลวขนาดที่สวรรค์รับไม่ได้สักหน่อย!ตั้งใจจะลืมตาขึ้นมาโวยวายใส่คนที่บังอาจมาขัดขวางการนอนพักผ่อนตลอดกาลของตัวเอง แต่ความคิดนั้นก็ต้องพับเก็บไปเมื่อสโนว์ได้เห็นสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าเธอ มันคือ
[2] [ตายตอนนี้ก็คงมีแค่นรกที่เปิดรับ]โลกมันช่างโหดร้าย สาเหตุที่ทำให้โลกตกอยู่ในสภาพนี้มันเกิดมาจากอุกกาบาตปริศนามากมายที่ตกลงมาบนโลกเมื่อห้าสิบปีก่อน อุกกาบาตไม่เพียงสร้างความเสียหายให้กับพื้นโลกและสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่โดยรอบ มันยังได้พาปรสิตต่างดาวมาด้วย ปรสิตพวกนั้นจะเข้าไปควบคุมสมองของทุกสิ่งมีชีวิตและทำให้สิ่งมีชีวิตพวกนั้นกลายพันธุ์จากนั้นพวกมันก็จะฆ่าล้างทุกสิ่งมีชีวิตไม่เลือกหน้ารวมถึงทำให้สิ่งมีชีวิตพวกนั้นกลายเป็นพวกของมันด้วยปัญหาที่เกิดขึ้นกะทันหันทั่วโลกเกือบทำให้อารยธรรมของมนุษย์ล่มสลาย แต่มนุษย์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่จะยอมสูญพันธุ์ง่ายๆ พวกเขารวมตัวกันและต่อสู้กับผู้บุกรุกจากต่างดาว เริ่มแรกมนุษย์เสียเปรียบมากเพราะไม่ได้มีร่างกายที่แข็งแกร่งเหมือนพวกปรสิตจนกระทั่งหลายสิบปีให้หลังมนุษย์ได้ค้นพบสารพิเศษบางอย่างที่สามารถกระตุ้นร่างกายของมนุษย์ให้วิวัฒนาการจนแข็งแกร่งเทียบเท่ากับปรสิตได้แต่มนุษย์ที่ได้รับเซรุ่มซึ่งเป็นสารกระตุ้นทำให้ร่างกายวิวัฒนาการจะไม่เพียงได้รับร่างกายที่แข็งแกร่งกว่ามนุษย์ปกติถึงห้าเท่าเท่านั้น พวกเขายังได้รับพลังพิเศษตามแต่ความพิเศษของแต่ละคนได้ด้วย