ร็อบบี้น้อยดูไม่ยินยอมอย่างชัดเจน เขายกหัวขึ้นมามองพ่อของเขาอย่างใสซื่อ "คุณพ่อ ผมอยากกลับบ้าน ที่เมืองงอกงาม" เขากล่าวเสียงเบาเจย์ไม่สบายใจเลยเมื่อเห็นสายตาอ้อนวอนของร็อบบี้น้อย แต่เขายังคงนิ่งสงบ "ร็อบบี้น้อย ทวดของลูก และพวกปู่ของลูกนั้นมาพาตัวลูกกลับบ้านด้วยตัวเอง ทำไมลูกไม่ไปกับพ่อที่บ้านตระกูลอาเรสสักสองสามวันล่ะ?"ร็อบบี้น้อยไม่ค่อยชอบใจความคิดนี้ แต่เขาก็ไม่อยากให้ทวดของเขาคิดว่าเขาเป็นเด็กที่หยาบคาย เขาจึงพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจแต่ยังต่อรองกับพ่อของเขา "เต็มที่สองวันเท่านั้น คุณพ่อ หลังจากสองวัน ผมจะกลับไปที่เมืองงอกงามไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ไม่อย่างนั้น คุณแม่จะกังวล""ได้เลย" เจย์พยักหน้าเป็นการสัญญาและด้วยเหตุนี้ร็อบบี้น้อยจึงถูกพาขึ้นรถแล้วเคลื่อนย้ายไปที่อสังหาริมทรัพย์ ทัวร์มาลีนอสังหาริมทรัพย์ ทัวร์มาลีน นั้นครองพื้นที่กว่าหลายพันเอเคอร์ อาคารของที่นี่ถูกสร้างจากหินธรรมชาติ มันดูยิ่งใหญ่และหรูหรามาก งานหินสไตล์ยุโรปนั้นดูพิเศษสุด ๆ งานตกแต่งภายในนั้นดูร่ำรวยเหมือนอยู่ในพระราชวัง ภายในพื้นที่นี้มีทั้งลานบิน, สระว่ายน้ำ, สนามกีฬา, และแม้กระทั่งโรงเรียนส่วนตัว โครงสร้
คุณทวดอาเรสถอนหายใจ "ทำไมเด็กสองคนนี้ถึงกลัวนัก? ทวดของพวกเธอไม่ใช่เสือดุร้ายนะ ฉันไม่กินพวกเธอหรอก! มาสิ ทวดเตรียมของขวัญต้อนรับไว้ให้พวกเธอแล้ว ถ้าพวกเธอไม่กล้ามารับมันไป ฉันจะเปลี่ยนใจไม่ให้ของขวัญแล้วนะ"เหล่าลุงป้าหัวเราะ แต่เสียงหัวเราะนั้นฟังดูแปลก เพราะพวกเขาหัวเราะเพื่อให้เกียรติทวดอาเรสเท่านั้นร็อบบี้และเจนสันไม่ตอบสนองทวดอาเรส ซึ่งนั่นทำให้เขาดูไม่พอใจ"พ่อ เด็กสองคนนี้หัวอ่อนชะมัด พวกเขาไม่เหมือนพ่อของพวกเขาเลยสักนิด ไม่ใช่ว่าเจย์นั้นเป็นเด็กก้าวร้าวในตอนที่เขาเด็กเหรอ?" จอห์นกล่าวคำพวกนั้นดูเหมือนเรื่องตลก แต่มันหมายถึงว่าเด็กทั้งสองคนอาจไม่ใช่ลูกของเจย์จริง ๆท่าทางของเจย์มืดมนลงทันทีร็อบบี้น้อยสังเกตเห็นท่าทางที่หงุดหงิดของพ่อเขา เขาไหลลงมาจากตัวของโจเซฟิน ก่อนจะเดินกร่างเข้าไปหาคุณทวดของเขาด้วยขาสั้นป้อมของเขา "ผมไม่ใช่คนขี้ขลาด คุณทวดครับ ผมแค่ไม่ต้องการเงินของคุณทวดเท่านั้น" เขากล่าวอย่างอ่อนหวานใครก็รู้ว่าของขวัญต้อนรับของหัวหน้าตระกูลที่มอบให้เด็กของตระกูลอาเรสแต่ละคนนั้นมากมายขนาดไหน เงินที่เขาให้นั้นมากพอที่จะใช้ได้สามชั่วคนต่อให้พวกเขาไม่ทำงานเลยทั้งชี
ทวดอาเรสเอื้อมมือออกไปวางบนปึกธนบัตรหนาอย่างแรง ดวงตาที่เคยแหลมคมดุดันของเขาฉายประกายความยินดีแบบเด็ก ๆ ออกมา"ถ้าเธอรู้ว่าเงินมันสามารถซื้อของดี ๆ มากมายได้ แล้วทำไมเธอถึงยังปฏิเสธมัน?" เขากล่าวอย่างรักใคร่เอ็นดู"ทวดต้องรู้ว่าเธอและแม่ของเธออยู่ในห้องเช่า ร็อบบี้น้อย ด้วยเงินนี้ เธอสามารถซื้อบ้านหลังใหญ่ให้แม่ได้ แล้วเธอก็จะดีใจมาก มาก ๆ"ร็อบบี้น้อยเงยหน้าขึ้น "คุณทวดครับ คุณแม่กับผมนั้นไม่ได้ร่ำรวยเหมือนกับคุณทวดก็จริง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะรับของขวัญจากใครก็ได้ง่าย ๆ คุณแม่สอนผมว่าผมควรใช้ชีวิตด้วยความสามารถของตนเอง ถ้าผมอยากมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ผมต้องทำงานให้หนักขึ้นเพื่อสำเร็จเป้าหมายของตัวผมเอง" เขากล่าวอน่างมั่นใจกับทวดอาเรส"คุณแม่ยังกล่าวว่า วิกฤตสามารถกลายเป็นโอกาสได้ และโอกาสก็สามารถกลายเป็นวิกฤตได้เช่นกัน คุณทวดให้เงินผมจำนวนมากอาจดูเป็นเรื่องดี แต่หากคิดดูให้ดี ๆ มันก็มีอันตรายร้ายแรงซ่อนอยู่ด้วย"ทวดอาเรสชื่นชมในความเฉลียวฉลาดของร็อบบี้น้อยอย่างไรก็ตาม ประโยคสุดท้ายของร็อบบี้น้อยทำให้ทุกคนสะดุ้งย่าสามกล่าวกับเขาทันที "ร็อบบี้น้อย คุณทวดมอบของขวัญให้หลานด้
ร็อบบี้น้อยเอื้อมมือออกไปหยิบธนบัตรหกใบออกจากปึกเขายิ้มหวาน "คุณทวดครับ หกร้อยก็เพียงพอแล้วสำหรับขอขวัญต้อนรับ"ทุกคนตะลึงกับการกระทำของเขาทั้งปู่ ย่า ลุง ป้าต่างก็เตรียมของขวัญต้อนรับที่มากมายไว้ ตอนนี้ทวดอาเรสไม่สามารถมอบของขวัญต้อนรับให้เด็กชายได้ พวกเขามองหน้ากันไปมาและไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อจอห์นเป็นคนแรกที่เก็บถุงสีแดงเข้ากระเป๋า "ถ้าเด็กน้อยคนนี้ไม่ต้องการมัน แล้วเราจะไปฝืนเขาทำไม ไม่คิดงั้นเหรอ เจย์?""มันไม่เป็นไรถ้าเราจะข้ามของวัญต้อนรับไป เราไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินอยู่แล้ว" เจย์กล่าวทวดอาเรสโบกมือให้คนอื่น "ทุกคนออกจากโถงได้แล้ว ฉันมีบางอย่างต้องคุยกับเจย์"คนอื่นได้ออกจากโถงไปโจเซฟินออกจากโถงในขณะที่อุ้มเจนสันในมือแล้วจูงมือร็อบบี้ด้วยมืออีกข้างเจย์มองปู่ของเขา เขาเศร้าเล็กน้อยเมื่อเห็นผมของปู่เขาเริ่มขาวมากกว่าเก่า"คุณปู่!"ทวดอาเรสตรวจสองเจย์อย่างรอบคอบ ความภาคภูมิใจของเจย์, ความทะนงตน, และจิตวิญญาณนักสู้ของเขาล้วนอยู่ในสายเลือดของเจนสันและร็อบบี้น้อย และนั่นทำให้เขาสบายใจมาก"เด็ก ๆ เหมือนแกเลยนะ" ทวดอาเรสกล่าวอย่างมีความรู้สึก"ต้องขอบคุณการเลี้ยงดูของ
ทวดอาเรสสังเกตใบหน้าที่หล่อเหลาทว่าเรียบเฉยของเจย์ เจย์นั้นดูหงุดหงิดตอนที่พูดถึงโรส แม้ว่าเขาจะดูไร้ความรู้สึก นั่นแสดงให้เห็นว่าเขายังคงปฏิเสธตัวตนของโรสอยู่"เฮ้อ!" ทวดอาเรสพลันกลายเป็นเศร้าสร้อย "หลานดูจะลืมเธอไม่ได้เลย ใช่ไหม?"แม้จะแทบมองไม่ออก แต่เงาอันมืดมิดนั้นปรากฏอยู่บนใบหน้าเรียบนิ่งของเจย์หลังจากพักใหญ่ เขาก็พยักหน้าเล็กน้อย "ผมติดหนี้เธอไว้มาก คำพูดพวกนั้นที่ผมเคยพูดกับเธอสมัยยังเด็ก เธอปฏิบัติต่อพวกมันอย่างจริงจัง แต่ผมไม่ได้ตอบสนองต่อการกระทำของเธอเลย… หากผมรู้ว่าเธอจะจบชีวิตตัวเองแบบนั้น ผมคงบอกเธอว่า คำสัญญาที่ผมให้ไว้ว่าจะแต่งงานกับเธอนั้นเป็นคำสัญญาที่จริงใจและจริงที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ในชีวิตของผม"ทวดอาเรสพยักหน้า "ปู่เชื่อแก แกรักแองเจลีนจากก้นบึ้งของหัวใจ เธอเป็นผู้หญิงที่ดี และปู่เองก็คิดว่ามีเพียงเธอที่มีความรู้และความงดงามเหมาะสมกับแก โชคร้าย ชะตาลิขิตช่างโหดเหี้ยม!"เมื่อชื่อของ แอลเจลีน เซเวียร์ ถูกกล่าวถึง ร่องรอยของรอยยิ้มอันอบอุ่นก็ปรากฏบนใบหน้าเย็นชาของเจย์แองเจลีน เซเวียร์ ครองพื้นที่ที่ไม่มีวันถูกสั่นคลอนในหัวใจของเจย์ เธอต้องอ่อนโยนและเข้มแข็
"นายมีเวลาไหม?"เจย์เงียบในขณะเดียวกัน โจเซฟินพาเจนสันและร็อบบี้ไปที่เรือนกลิ่นขจร นั่นเป็นชื่อบ้านของเจย์ในอสังหาริมทรัพย์ ทัวร์มาลีนพื้นที่นี้ไม่ได้มีชีวิตชีวาแบบแต่ก่อน คนรับใช้ส่วนใหญ่ถูกย้ายไปที่อื่นแล้ว แต่สิ่งที่เหลือไว้ไม่ใช่อะไรนอกจากสิ่งที่แสดงถึงความร่ำรวย: ภารโรงหกคน และเชฟสองคนที่ทำอาหารตะวันออกและตะวันตกตามลำดับ สำหรับคนทำความสะอาดและคนสวน พวกเขาเป็นคนของพื้นที่อื่นคนรับใช้เปิดประตูออกกว้างเมื่อเจนสันและร็อบบี้มาถึง พวกเขายืนอยู่สองฝั่งที่ทางเข้าแล้วโค้งคำนับอย่างที่ได้ซักซ้อมมาก่อนหน้านี้เพื่อเป็นพิธีต้อนรับเด็ก ๆ "ยินดีต้อนรับกลับบ้าน นายน้อยหนึ่ง, นายน้อยรอง"โจเซฟินหอบอย่างหนักจากการอุ้มร็อบบี้น้อยมาตลอดทางหลังจากออกจากโถงประชุม "นายช่วยลงจากฉันก่อนได้ไหม เจนส์?" เธอกล่าวเจนสันไม่ยอม ร็อบบี้ยืดแขนของเขาออก "เจนสัน ถ้านายกลัว นายจับมือฉันก็ได้ ฉันจะปกป้องนายเอง!"เจนสันไหลลงมาจากแขนของโจเซฟินทันที แล้วจับมือของร็อบบี้ ทั้งสองวิ่งจับมือขึ้นบันไดไป...เจนสันรีบพาร็อบบี้ไปที่ป้อมปราการส่วนตัว จากนั้นก็ปิดประตูอย่างเร่งรีบร็อบบี้เห็นพฤติกรรมที่ผิดปกติของเจนสั
เจย์มาถึงหน้าประตูทางเข้าปราการส่วนตัวของเจนสัน เมื่อเหล่าคนรับใช้เห็นท่านอาเรส พวกเขาก็หลบออกและไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง เพราะเขาเป็นทรราชที่สามารถส่งพวกเขาขึ้นเขียงได้ตามต้องการมีอีกเหตุผลที่ว่าทำไมเหล่าคนรับใช้ถึงได้กลัวเจย์ นายย้อยเจนสันนั้นเป็นเหมือนปุ่มเปิดปิดอารมณ์ของเจย์ ท่านอาเรสนั้นเหมือนภูเขาไฟเดินได้ หากมีอะไรเกิดขึ้นกับนายน้อยเจนสัน ภูเขาไฟที่สงบแล้วจะปะทุอย่างรุนแรงนายน้อยทั้งสองกำลังต่อสู้กันรุนแรง มีแม้กระทั่งเสียงกระจกและแจกันแตกดังออกมา หากนายน้อยทั้งสองได้รับบาดเจ็บไม่ว่าทางใด ท่านอาเรสจะต้องระเบิดแน่นอน และวันหายนะก็จะมาถึงเหล่าคนรับใช้ท่าทางของเจย์ดูมืดมนและดุร้าย เขายกมือเคาะประตู จากนั้น เสียงตูมที่สั่นสะเทือนทั้งโลกก้ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของเจนสัน "อ๊า..."ความกังวลของเจย์มีจำกัด เขากระแทกประตูอีกครั้งแล้วตะโกน "ร็อบบี้ เจนสัน เปิดประตู!"แทบจะในทันที เด็กทั้งสองก็เปิดประตุเจย์ก้มลงแล้วสำรวจร่างกายของเด็กทั้งสองอย่างละเอียด หลังจากมั่นใจแล้วว่าพวกเขาไม่บาดเจ็บ เขาก็หันสายตาไปที่ป้อมปราการ เขาพูดไม่ออกเลยเมื่อเห็นความเละเทะภายใน"บ
เจย์ยิ่งกว่ามั่นใจว่าร็อบบี้นั้นโกหก"ร็อบบี้น้อย เด็กดีไม่โกหก" เขากล่าวร็อบบี้กะพริบตาอย่าใสซื่อ เขาไม่แก้ตัวเพื่อตัวเขาเอง เพราะเขาทำอะไรผิดจริงเขาเพียงแค่อยากสอนศิลปะการต่อสู้ให้เจนสัน แต่เขาบังเอิญเตะลูกบอลไปโดนชั้นของโบราณซึ่งทำให้พวกมันล้มลงมา จากนั้น มันก็เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ ชั้นวางล้มต่อ ๆ กันไป จนเกิดเป็นดังภาพที่กำลังปรากฏทุกอย่างแตก และชั้นวางก็เละเป็นชิ้นร็อบบี้เคยทำแจกันแตกโดยบังเอิญสมัยที่เขาเรียนอนุบาลปีก่อน ๆ แม่ของเขาต้องทำหน้าที่ทำความสะอาดอยู่สามเดือนเพื่อจัดการปัญหา ตอนนี้ร็อบบี้ทำของโบราณราคาแพงมากมายแตก เขาจะบอกคุณแม่ยังไงถ้าคุณพ่อบอกให้เธอจ่าย?ร็อบบี้ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง"ร็อบบี้น้อย การลงโทษของลูกคือทำความสะอาดห้องนี้ซะ" เจย์กล่าวอย่างโมโหร็อบบี้ไม่ลังเลเลย เขาเจอไม้กวาดและที่ตัก แล้วเริ่มเก็บกวาดของที่แตกหักทันทีดวงตาของเจนสันพลันมองไปที่ดวงตาของช้างในป้อมปราการของเขา มันเป็นหน้าต่างที่สร้างเป็นรูปช้าง และตรงกลางของหน้าต่างเป็นลูกตา และตอนนี้ ดวงตาของช้างกำลังกะพริบเจนสันมุดหัวของเขาในอ้อมแขนของเจย์ด้วยความหวาดผวาเจย์ให้คนรับใช้กลับไป แล้วพ
คุณท่านยอร์กหัวเราะดังลั่น “เจ้าหนูอย่าได้เอาเรื่องวันนี้ไปพูดกับใครเชียวล่ะ”“ทำไมถึงได้โหดร้ายขนาดนี้ คุณท่านยอร์ก…”คุณท่านยอร์กเอามือไขว้หลังและเดินอย่างสบาย ๆ ไปยังห้องสมุดในห้องสมุดตรงส่วน 48 นั้นดูเละเทะมาก บรรณารักษ์พยายามเก็บกวาดมานานมากและตอนนี้ก็กำลังหอบเพราะความเหนื่อยคุณท่านยอร์กพูดด้วยสีหน้าอึมครึมว่า “แค่มาขโมยหนังสือต้องทำให้ที่นี่เละเทะขนาดนี้เลยเหรอ? ดูสิว่าหมอนั่นทำให้ลูกศิษย์ของฉันต้องเหนื่อยแค่ไหน…”หลังจากแสร้งทำท่าเป็นห่วงเป็นใยเสร็จแล้ว คุณท่านยอร์กก็ถาม “มีอะไรหายไปบ้าง?”บรรณารักษ์ตอบอย่างสงบเสงี่ยม “สมุดบันทึกรายชื่อผู้อาศัยหายไปครับคุณท่าน”สีหน้าคุณท่านยอร์กเคร่งเครียดทันที “ดูเหมือนว่าเขาจะมาที่นี่เพราะองค์กรโลกาวินาศ”จากนั้นเขาก็เดินจากไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียดขณะเดียวกันเจย์ก็ตามมาอยู่กับเซย์นขณะที่เขากำลังขุดเม็ดต้นชุมเห็ดและรวบรวมดอกสายน้ำผึ้งก่อนที่จะมุ่งหน้ากลับทันทีที่พวกเขามาถึงสวนสายลมสดชื่น เจย์กับเซย์นก็โดนพวกคอร์เวตต์ของป้อม 48 ล้อมไว้“โคลเป็นคนสั่งเหรอ?” เจย์ถามนิ่ง ๆคาร์สันเดินออกมาจากกลุ่มคอร์เวตต์โดยที่มีมือหนึ่งกุมท้องไว้
คาร์สันกลืนน้ำลาย เขารู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในถ้ำสิงโต เขาตอบไปด้วยเสียงสั่นเทา “พูดตามตรงนะครับคุณเซเวียร์ เรื่องโชคร้ายและการล่มสลายของตระกูลอาเรสเมื่อสามปีก่อน คุณเองก็อยู่ในรายชื่อที่ต้องโดนจัดการด้วยเพราะว่าคุณเป็นลูกสะใภ้ของพวกเขา แต่ว่านายน้อยนั้นหลงรักคุณหัวปักหัวปำจนเขายอมสละนิ้วก้อยของตัวเองเพื่อช่วยคุณไว้”“ส่วนลูก ๆ ของคุณนั้น นายน้อยก็ตั้งใจว่าจะหักนิ้วตัวเองสามนิ้วเพื่อช่วยพวกเขาไว้ แต่ต้องขอบคุณที่คุณบอกความจริงมาในตอนท้าย เพราะว่าในตัวของนายน้อยและคุณหนูพวกนั้นมีสายเลือดของยอร์กไหลเวียนอยู่ ทำให้พวกเขาได้รับการถอดชื่อออกจากรายการสังหาร”“ตอนที่นายน้อยจากมา เขาไม่ได้พาใครกลับมากับเขาด้วย”แองเจลีนสั่นสะท้านเมื่อได้ยินเรื่องที่เขาบอก“ถ้าเป็นแบบนั้น มีคนชื่อปีศาจอยู่ในป้อมตระกูลยอร์กไหม?” แองเจลีนถามอีกครั้งคาร์สันพึมพำ “ปีศาจ” เขาส่ายหน้าอย่างแรง “ไม่มีคนแบบนั้นในป้อมตระกูลยอร์กนะครับ คุณเซเวียร์”มือแองเจลีนที่ซุกอยู่ใต้แขนเสื้อสั่นเทา “ฉันเชื่อนายได้ใช่ไหมคาร์สัน?”คาร์สันสาบาน “ผมไม่มีความกล้าพอที่จะโกหกคุณหรอกครับคุณเซเวียร์ ใครจะรู้ว่าสักวันคุณอาจจะกลายเป็นนาย
หากมีใครต้องการหาหนังสือสักเล่มแบบเฉพาะเจาะจงในนี้ก็คงไม่ต่างอะไรกับงมเข็มในมหาสมุทร โชคดีที่เจย์มีแผนที่ในหัวคอยนำทาง เขารู้ว่าสมุดบันทึกรายชื่อประชากรอยู่ในชั้นหนังสือส่วนของป้อม 48ตอนนั้นมีคนเหมือนตุ๊กแกตัวใหญ่เกาะอยู่ที่ชั้นหนังสือตู้ที่ 48 ขาของเขาเลือดไหลไม่หยุด เขาหยิบชุดปฐมพยาบาลที่พกติดตัวออกมาจากนั้นก็ทายาและพันผ้าพันแผลเพื่อหยุดเลือดเจย์เดินผ่านยามห้องสมุดและแอบเข้ามาด้านในเมื่อเข้ามาถึงตู้หนังสือส่วนของป้อม 48 เจย์ก็เริ่มมองหาสมุดบันทึกรายชื่อประชากรบนชั้นหนังสือ ทันใดนั้นก็มีร่องรอยสีแดงเลือดบนหน้าหนังสือที่สะดุดตาเจย์ เขาแตะรอยสีแดงบนหน้าหนังสือนั้นด้วยนิ้วมือและรู้สึกได้ถึงความชื้น เจย์ตื่นตัวระวังภัยทันใดนักฆ่าที่บาดเจ็บต้องซ่อนอยู่ข้างบนแน่เขาคาดเดาเช่นนั้นทันใดนั้นเจย์ก็มีความคิดดี ๆ แวบเข้ามาในหัว เขารวบรวมกำลังและฟาดมือใส่ชั้นหนังสือทันทีทันใด รังสีสังหารอย่างรุนแรงก็พุ่งตรงเข้ามาใส่เขาเจย์หมุนตัวด้วยความเร็วแสงและหลบพ้นคมมีดของนักฆ่าไปได้เจย์มองนักฆ่าที่ใส่ชุดพรางตัวสีดำพร้อมดึงหมวดฮู้ดขึ้นคลุมศีรษะ ทั้งปาก จมูก และตาต่างก็ปกปิดไว้มิดชิด ความคิดที่ว
จู่ ๆ เซย์นก็ยกมือกุมหน้าผากและบอกว่า “ผมมึนหัว”จากนั้นเขาก็ทรุดลงตรงหน้าเจย์ดังตึงเจย์แหย่ว่า “ชาดีจริง ๆ ตาเฒ่า มันทำคนสลบได้เร็วมากจนผมแปลกใจเลย”ชายชรามองเจย์อย่างพิจารณา ชายหนุ่มคนนี้รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับน้ำชาแต่ว่ายังคงคุยกับตาเฒ่าต่อเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอที่คนกล้าเยาะเย้ยเขาอย่างไม่ร้อนรนในอาณาเขตของตระกูลยอร์กเช่นนี้ชายชราชื่นชมความใจเด็ดและกล้าหาญของเจย์“บุคลิกท่าทางของแกถูกใจฉันมากเจ้าหนุ่ม ฉันชื่นชม แกชื่ออะไร?”เจย์ยิ้มออกมาเล็กน้อย “เบ็น”ชายชราถามอย่างงงงวย “ไม่มีนามสกุลเหรอ?”เจย์พยักหน้าและตอบอย่างไม่แยแส “มี”เขาพูดต่อ “ผมนามสกุลยอร์ก”ชายชรามองเจย์อย่างไม่พอใจ “หากว่าแกอยากจะหลอกฉัน อย่างน้อยก็ต้องทำให้มันถูกหน่อย”เจย์เทน้ำชาเย็นชืดทั้งหมดในกาออก จากนั้นก็เติมเองจากนั้นเขาก็ทำท่าเอาอกเอาใจชายชรา “ชาที่ผมชงนี้สดชื่นกว่าของคุณ อยากจะลองชิมสักถ้วยไหม?”ชายชราคว้าใบชามาเต็มกำ ก่อนหยิบส่วนหนึ่งใส่ในกาน้ำชาและบอกว่า “นี่ไง สมบูรณ์แบบแล้ว”เจย์ยกถ้วยชาขึ้นมา “โชคชะตานำพาเรามาพบกันตาเฒ่า ขอชนแก้วให้กับโชคชะตาอันน่าทึ่ง
เพื่อให้แน่ใจว่าโคลจะไม่เข้ามาขวางทาง แองเจลีนก็บอกกับคาร์สันอีกครั้ง “เข้ามาสิคาร์สัน เข้ามาคุยกันหน่อย”คาร์สันมองเจย์และเซย์นที่ตอนนี้เดินจากไปไกล หลังจากใจลอยไปชั่วครู่ เขาก็เดินตามแองเจลีนเข้าไปในบ้าน“โจเซฟิน ช่วยเอาชามาให้คาร์สันหน่อย”โจเซฟินใช้เวลาพักหนึ่งในการรินชาและส่งถ้วยให้คาร์สัน คาร์สันวางถ้วยชาลงบนโต๊ะและบอกว่า “คุณเก่งเรื่องหันเหความสนใจใช่ไหมครับ คุณเซเวียร์?”แองเจลีนไม่ได้รู้สึกร้อนรนอะไรแม้ว่าคาร์สันจะมองแผนเธอออก เธอบอกว่า “ฉันก็แค่อยากจะคุยกับเพื่อนเก่าเท่านั้นคาร์สัน นายวัดหัวใจของคนที่ยอดเยี่ยมด้วยหัวใจแสนทรามได้ยังไงกัน? ฉันเองก็คงไม่ได้คาดหวังกับคนกระจอกอย่างนายไว้สูงหรอก”คาร์สันทำปากง้ำ เขาคงลืมไหว้ขอความโชคดีก่อนออกจากบ้านมาเมื่อเช้าแน่ เพราะพอตื่นขึ้นมา เขาก็เจอแต่เรื่องแย่ ๆ และคำพูดทิ่มแทงของทั้งเบ็นและแองเจลีน“คุณเซเวียร์ ให้ผมบอกความจริงก็คือว่าในป่านั้นมีสัตว์ป่ามากมาย หากว่าไม่มีคนของผมนำทางไป บอดี้การ์ดของคุณก็อาจจะหาทางออกจากป่าไม่ได้เมื่อเข้าไปแล้ว”ในใจของแองเจลีนนั้นตื่นตระหนกไปวูบหนึ่ง แต่เมื่อเธอจำได้ว่าเจย์บี้มีแผนที่ของโคลอี้เป็นตั
เจ้าชั่วโคลนั่นส่งคนมาคอยเฝ้าที่นี่ไว้โดยทำทีว่ามาคอยเฝ้ายามที่สวนสายลมสดชื่นเจย์เริ่มคิดหาหนทางจะหนีออกไปจากสวนสายลมสดชื่นเพื่อที่ว่าเขาจะได้ไปหาทะเบียนรายชื่อของผู้อาศัยในป้อมยอร์กแองเจลีนเรียกเขาเบา ๆ “เบ็น” เสียงเธอนั้นอ่อนโยนและแฝงความรักใคร่เจย์หันหลังมาและเดินเข้าไปหา“แองเจลีน”แองเจลีนจับสังเกตทิศทางจากเสียงและเดินเข้าไปหาเขาเจย์รีบเร่งฝีเท้าและคว้ามือเธอไว้พร้อมกระซิบว่า “จากที่ฉันเห็นตอนนี้ นายท่านยอร์กคงสงสัยว่าเรามีส่วนเกี่ยวข้องกับนักฆ่าเมื่อคืนนี้ เขาส่งคนมาคอยเฝ้าล้อมสวนสายลมสดชื่นไว้แล้วเช้านี้”แองเจลีนวิเคราะห์สถานการณ์และบอกว่า “นายท่านยอร์กนั้นรับผิดชอบส่วนหน้าของป้อมตระกูลยอร์กแล้วเขาก็ไม่มีเวลามาเฝ้าป้อม 48 หรอก ดังนั้นโคลยังเป็นคนรับผิดชอบที่นี่ ทำไมเราไม่ล่อเขาไปที่อื่นล่ะ? ฉันจะหาวิธีดึงไว้ให้โคลไม่ว่างมาสนใจตอนที่คุณออกไปทำทีเป็นว่าหาสมุนไพรมาให้ฉัน…”เจย์บีบแก้มแดงปลั่งของแองเจลีนเบา ๆ “เธอนี่มันฉลาดขึ้นทุกวันเลยใช่ไหมเนี่ย?”แม้ในใจเขาจะเห็นว่าเธอเป็นเพียงแกะน้อยไม่รู้เรื่องราวใด ๆ ในโลกนี้แองเจลีนยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ “คุณสอนฉันมาดีนี่คะ”
โคลรู้สึกใจคอปั่นป่วนขึ้นมาเมื่อเห็นแววตากระหายเลือดของสเปนเซอร์ “พ่อ แองเจลีนเป็นแค่ผู้หญิงอ่อนแอ พ่อก็เห็นว่าตอนนี้สายตาเธอมองไม่เห็นด้วยซ้ำ”ตอนที่เขาพูดเรื่อง ‘สายตามองไม่เห็น’ โคลก็อารมณ์ท่วมท้นจนสะอึก “มันเป็นความผิดของผมเอง ผมฆ่าสามีของเธอ แล้วเธอก็ร้องไห้จนตาบอด ผมติดค้างเธอมากเหลือเกิน”สเปนเซอร์พูดอย่างโกรธเกรี้ยว “แกมันใจอ่อนไป แกเองก็เห็นว่าบอดี้การ์ดของเธอไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน ดูจากทักษะของผู้ชายที่ชื่อเบ็นนั่น เขาสามารถก่อยิ่งกว่าหายนะให้กับป้อมตระกูลยอร์กแน่”โคลอธิบาย “เธอตาบอด เธอก็ต้องมีคนแบบนั้นไว้คอยปกป้องสิ”สเปนเซอร์บอกว่า “ฉันคิดว่าความรักทำให้แกตาบอดแล้ว ลองคิดดูสิ ผู้ชายชื่อเบ็นนั่นด้วยความสามารถของเขาสามารถไปได้ไกลมากแน่ แต่ทำไมเขาถึงเลือกที่จะอยู่ข้างกายผู้หญิงเหมือนพวกขี้ขลาดไร้ประโยชน์ด้วย?”โคลบอกว่า “ถ้าผมเดาไม่ผิด เบ็นอาจจะเป็นบอดี้การ์ดที่หลานชายคนโตของตระกูลอาเรส เจย์ อาเรส มอบไว้ให้แองเจลีน เจย์นั้นเป็นคนก่อตั้งหน่วยภูติผี หลังจากที่เขาตายพวกสมาชิกหน่วยภูตผีก็สาบานว่าจะภักดีและทุ่มเทให้แองเจลีน”สเปนเซอร์นั้นโมโหมากจนเขาคว้ากาน้ำชาปาใส่โคล “แก ไอ
พวกคอร์เวตต์หากันทั้งคืนแต่ว่าก็หานักฆ่าไม่เจอ ราวกับว่าเขาระเหยหายตัวไปในอากาศวันต่อมาสเปนเซอร์ก็มาที่ป้อม 48เขาเรียกโคลไปที่ห้องลับและถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า “โคล นักฆ่าเมื่อคืนมันผ่านกับดักหลายชั้นที่เราติดตั้งไว้ในเขามุกเข้ามาได้ เห็นได้ชัดว่าเป็นนักสู้ที่ฝึกมาเป็นอย่างดี พอมาคิดเรื่องนี้แล้ว นักฆ่าโผล่มาทันทีหลังจากที่แองเจลีนมา เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาร่วมมือกันประสานจากด้านใน?”โคลยังคงนิ่งเงียบ…สเปนเซอร์ดูงงงวย “แองเจลีนก็เป็นแค่นักธุรกิจหญิงเก่งฉกาจจากเมืองอิมพีเรียล แต่ว่าบอดี้การ์ดของเธอก็เก่งพอที่จะคว้ามีดสั้นของฉันได้ ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเธอถึงต้องมีคนเก่งกาจขนาดนั้นอยู่ข้างกายด้วย?”โคลก็ยังคงนิ่งเงียบ…เมื่อสเปนเซอร์เห็นว่าโคลไม่ยอมพูดอะไรสักคำ ดวงตาเขาก็ยิ่งฉายแววสงสัย “นี่แกกำลังปิดบังอะไรฉันอยู่หรือเปล่าโคล?”มีแววอ่อนล้าในน้ำเสียงของโคล “ผมบอกเรื่องที่ควรบอกไปหมดแล้ว”สเปนเซอร์มองโคลอย่างไม่พอใจ “หมายความว่ายังไงที่ว่าบอกเรื่องที่ควรบอกไปหมดแล้ว? แกอยู่ที่เมืองอิมพีเรียลตั้งครึ่งปี แล้วพอแกกลับมาบ้านแกก็พูดแค่สามเรื่อง แกบอกว่าทำลายตระกูลอาเรสกับอสังหาริมทร
เด็กหนุ่มซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเธอร็อบบี้น้อยก็ทำแบบเดียวกันเวลาที่เขาทำอะไรผิดมา เขามักจะกอดเอวเธอแน่นที่สุดเท่าที่ทำได้และทำท่าเป็นเด็กขี้อ้อนเอาแต่ใจ ‘ผมผิดไปแล้วแม่จ๋า อย่าโกรธผมเลยนะ’ เขาจะพูดแบบนี้จากนั้นเธอก็ตัดสินใจอย่างบุ่มบ่ามโดยการฉีกเสื้อเธอออกเผยให้เห็นหน้าอกเปลือยเปล่า เธอยื่นแขนออกมานอกผ้าห่มแล้วเธอก็แสร้งทำเป็นร้องถามเสียงงัวเงีย “เกิดอะไรขึ้นเหรอเบ็น?”พอเจย์ได้ยินเสียงแองเจลีน เขาก็เปิดประตูเข้ามาเมื่อได้เห็นหน้าอกและแขนของเธอยื่นออกมานอกผ้าห่อม เจย์ก็ปิดประตูอย่างรวดเร็วแต่ถึงอย่างนั้นโคลก็ยังแอบเห็นภาพน่าตื่นตาภายในห้องอยู่ดีเจย์จ้องโคลราวกับจะกินเลือดกินเนื้อโคลครุ่นคิดว่าหากแองเจลีนไม่ได้ตาบอด เมื่อกี้เธอจะต้องกรีดร้องออกมาเพราะความอับอายเป็นแน่โคลถามอย่างสงสัย “เกิดอะไรขึ้นกับดวงตาเธอกันแน่?”“เธอร้องไห้มากจนตาบอด” เจย์ตอบห้วน ๆน้ำเสียงเขาแฝงโทสะและความรู้สึกโทษตัวเองโคลอี้งไปเล็กน้อย จากนั้นสีหน้าเขาก็ฉายความรู้สึกผิดจังหวะนั้นพวกคอร์เวตต์ที่ค้นหาบริเวณบ้านก็เดินส่ายหน้าออกมา “เราไม่เจออะไรผิดปกติ”โคลสั่ง “ไปหาที่อื่นต่อ”เมื่อพวกคอร์เ