แชร์

บทที่ 4

เสียงน้ำที่ดังมาจากภายในห้องน้ำก้องอยู่ในหัวของราตรีดาว บ่งบอกว่าตอนนี้มีคนใช้ห้องน้ำอยู่ เธอลืมตาขึ้นแล้วมองเพดานห้องที่ไม่มีความคุ้นตาเลยแม้แต่น้อยก่อนจะเด้งตัวขึ้นมากึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียง แม้จะเจ็บตรงท้องก็กัดฟันข่มความเจ็บไว้ ก่อนที่ภาพเหตุการณ์ต่างๆ จะกรูเข้ามาในความคิดนั่นทำให้ราตรีดาวชาวูบไปทั้งตัว

ดวงตาทั้งสองข้างของเธอเวลานี้แดงก่ำ ความกลัวรวมถึงความเสียใจเข้าครอบงำจนแทบหายใจไม่ออกด้วยซ้ำ เธอก้มมองร่างกายตัวเองด้วยม่านน้ำตาที่กำลังไหล แม้เสื้อผ้าจะยังอยู่บนตัวครบทุกชิ้นแต่มันก็ไม่ได้การันตีว่าเธอยังไม่ได้ถูกล่วงเกิน และก่อนที่สมองจะได้คิดอะไรประตูห้องน้ำก็เปิดออกและคนที่ก้าวออกมาก็เป็นคนละคนกับเมื่อคืน

“ตื่นแล้วเหรอครับ เป็นไงบ้าง ยังเจ็บอยู่ไหม” เสียงทุ้มของดาวฤกษ์เอ่ยถามเพราะเป็นห่วงแผลฟกช้ำตรงบริเวณท้องของเธอนั่นเอง

แต่ทว่าคำถามนั้นกลับคล้ายมีดปลายแหลมที่พุ่งเข้าใส่หัวใจของราตรีดาว เธอเจ็บปวดจึงสบตาอีกฝ่ายได้แค่ไม่กี่วินาทีก็หลบสายตาเขาแล้วมองไปที่จุดอื่นแทน มือของเธอเย็นเฉียบเพราะกำลังช็อค ร่างกายเหมือนตายไปแล้ว 

“เมื่อคืน…”

“อ้อ…คือว่า” จังหวะที่ดาวฤกษ์กำลังจะอธิบาย เสียงโทรศัพท์มือถือของหมอหนุ่มก็ดังขึ้นเสียก่อนซึ่งมันเป็นเสียงเฉพาะที่เขาตั้งไว้สำหรับเคสฉุกเฉินของทางโรงพยาบาล นั่นทำให้เขาต้องรีบคว้าโทรศัพท์มากดรับสายและสีหน้าของชายหนุ่มเครียดขึ้นมาทันที

“ครับ…ผมจะรีบไปตอนนี้” แม้จะอยากอธิบายให้คนบนเตียงฟังถึงเหตุการณ์เมื่อคืนว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่สถานการณ์ที่โรงพยาบาลเวลานี้ก็บีบบังคับให้เขาต้องรีบไป

“คุณช่วยรอผมที่นี่เดี๋ยวผมจะกลับมาอธิบายทุกอย่างให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าคุณไม่สะดวกช่วยเก็บเบอร์โทรของผมไว้ แล้วเราค่อยนัดเจอกัน” เอ่ยบอกเสร็จดาวฤกษ์ก็คว้ากระดาษขึ้นมาจดหมายเลขโทรศัพท์ของตัวเองแล้ววางไว้บนโต๊ะจากนั้นก็กลับออกไปอย่างรีบร้อน ไว้ค่อยมาอธิบายทุกอย่างกันภายหลัง

ซึ่งทันทีที่ประตูห้องปิดลง ราตรีดาวที่จิตใจเตลิดไปไกลแสนไกลค่อยๆ ทิ้งตัวลงนอนตะแคงบนเตียงแล้วกอดตัวเองไว้จากนั้นก็ร้องไห้ออกมาอย่างหนัก ร้องจนแทบไม่มีน้ำตาให้ร้องด้วยซ้ำแต่มันกลับเทียบไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอแม้แต่น้อย ร่างกายของเธอเป็นของผู้ชายคนเมื่อครู่ไปแล้วคนที่เธอไม่รู้แม้กระทั่งชื่อเขาด้วยซ้ำ

ราตรีดาวใช้มือตบตีร่างกายของตัวเองจนช้ำไปหมด เสียงร้องไห้โฮยังคงดังขึ้นต่อเนื่อง เอ่ยขอโทษตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่ปล่อยให้เหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้น ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บปวดและความเจ็บปวดก็ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นน้ำตาที่ไหลรินเป็นสายตลอดเวลา 

แต่ก่อนที่สติของเธอจะเตลิดไปมากกว่านี้เสียงโทรศัพท์มือถือส่วนตัวก็ดังขึ้น ราตรีดาวรีบเช็ดน้ำตาออกจากแก้มพร้อมกับกวาดสายตามองหากระทั่งเห็นกระเป๋าสะพายใบเล็กของเธอวางอยู่บนโซฟาจึงลงจากเตียงแล้วเดินไปหยิบขึ้นมากดรับสาย 

ทันทีที่วางสายจากทางโรงพยาบาลราตรีดาวก็ออกไปจากห้องทันที ไม่สนใจกระดาษแผ่นนั้นที่ผู้ชายคนเมื่อครู่ทิ้งไว้ให้ด้วยซ้ำ เพราะหลังจากนี้เธอไม่มีความจำเป็นต้องคุยอะไรกับเขาอีก ขอให้ต่างคนต่างอยู่ชาตินี้หรือชาติไหนๆ ก็อย่าได้พบอย่าได้เจอกันอีกเลย นั่นคือคำภาวนาของราตรีดาว 

“แม่คะ กลับมาอยู่กับตรีก่อนนะคะ อย่าพึ่งทิ้งตรีไปเลยนะ” ราตรีดาวเฝ้าวิงวอนอยู่หน้าห้องไอซียู วันนี้อาการของแม่เธอนั้นย่ำแย่เป็นตายเท่ากัน แต่สุดท้ายแม่ของเธอก็สู้จนกลับมาได้อีกครั้ง นั่นทำให้ราตรีดาวโล่งไปอีกเปราะแต่หลังจากนี้เหตุการณ์อะไรจะเกิดขึ้นบ้านก็ยากจะคาดเดาได้จริงๆ

เมื่อเรื่องของแม่คลี่คล้ายไปในทางที่ดีขึ้นแม้จะชั่วคราวแต่ก็ยังดีกว่าไม่เกิดขึ้นเลย ราตรีดาวก็กลับมานั่งจิตตกอีกครั้ง ก่อนจะจะสะดุ้งเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น

“เมื่อคืนเป็นยังไงบ้าง กลับถึงบ้านกี่โมง”

“เอ่อ…เกือบตีสองได้”

“ดึกเลย” ไปรยาเอ่ยถาม เพราะเมื่อคืนเธอก็ยุ่งๆ กับคุณป๊าที่ไม่ได้แปลว่าพ่อผู้ให้กำเนิดทั้งคืนจนแทบไม่ได้ลงจากเตียงจึงไม่ได้โทรศัพท์หาราตรีดาว 

“ไม่ดึกเท่าไหร่หรอก ยังไงก็ขอบใจมากนะที่ช่วยหางานให้” แม้จะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเธอแต่ราตรีดาวก็ไม่กล้าเล่าให้ไปรยาฟังแต่อย่างใด เพราะเล่าไปสิ่งที่เธอสูญเสียก็เรียกคืนไม่ได้ 

“อือ…งั้นแค่นี้ก่อนนะตรี เราง่วงอยากนอนสักงีบ”

“จ้ะ” ราตรีดาวเอ่ยรับพอวางสายจากไปรยาได้เธอก็ถอนหายใจออกมาหนักๆ ก่อนที่เหตุการณ์บ้าๆ จะตามมาหลอกหลอนอยู่ในหัวทั้งๆ ที่พยายามสลัดมันทิ้งเท่าไหร่ก็ไม่เคยทำสำเร็จ แม้จะจำเหตุการณ์หรือความรู้สึกอะไรไม่ได้แต่ราตรีดาวก็มั่นใจว่าร่างกายเธอถูกแตะต้องจนสกปรกไปแล้ว 

แต่เพราะชีวิตต้องเดินต่อไปราตรีดาวจึงสลัดความรู้สึกหม่นหมองออกไปจากสมอง ทำได้บ้างไม่ได้บ้างสลับกันอยู่แบบนี้ ในขณะที่ดาวฤกษ์ก็รอสายเธอเช่นกัน หมอหนุ่มไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมเขาต้องรอและไปดักพบอีกฝ่ายที่หน้าห้องไอซียู ทว่ากลับไม่เคยเจอเธอแม้แต่วันเดียว

ดาวฤกษ์อยากตามหาเธอเพื่ออธิบายทุกอย่างแต่เขาก็ยุ่งจนแทบไม่มีเวลาจะไปทำอะไร เพราะระยะนี้เขากำลังทำเรื่องย้ายโรงพยาบาล ไหนจะงานที่รับเป็นอาจารย์พิเศษสอนนักศึกษาแพทย์อีก เวลาจึงค่อนข้างรัดตัว หวังว่าเจ้าของร่างกายจะรู้ว่ามีหรือไม่มีความผิดปกติเกิดขึ้นกับตัวเอง แต่คนหนึ่งที่ไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหนหมอหนุ่มก็ต้องมีเวลาให้นั่นคือผู้เป็นแม่ ที่วันนี้นัดกันออกไปกินข้าวนอกบ้าน 

“จะบอกแม่เมื่อไหร่”

“บอกอะไรหรือครับ” คนถูกถามที่กำลังจะตักข้าวเข้าปากแกล้งเฉไฉทั้งๆ ที่พอจะเดาได้ว่าผู้เป็นแม่หมายถึงอะไร 

“เรื่องที่ฤกษ์จะย้ายไปประจำที่โรงพยาบาลต่างจังหวัด” น้ำเสียงและสีหน้าของกรองแก้วนั้นบ่งบอกถึงความกังวลได้เป็นอย่างดี

 

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status