เริ่มแรกเฉาเจิ้งฉุนมิได้ยอมรับว่าฉินอวิ๋นฟานจะสามารถเอาชนะในการชิงบัลลังก์ในหมู่องค์ชายได้ เพราะเขาเห็นแจ้งในสถานการณ์ของต้าเฉียนที่สุด ฉินอวิ๋นฟานมีเชาวน์ปัญญาและเชี่ยวชาญในการวางแผน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าตระกูลใหญ่ซึ่งฝังรากหยั่งลึกยังคงไม่พอดังนั้นในสายตาของเขา ความพยายามทั้งหมดทั้งมวลของฉินอวิ๋นฟานคือการลงแรงเปล่า แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉินอวิ๋นฟานแบบหน้ามือเป็นหลังมือ ฉินอวิ๋นฟานนอกจากจะเฉลียวฉลาดวางแผนได้เหนือคน ยังมีฝีมือร้ายกาจและมีความมุ่งมั่น รู้จักรับและให้ท่ามกลางการชิงอำนาจราชวงศ์อันโหดเหี้ยมเช่นนี้ เขากลับแหวกทางออกภายใต้การบีบคั้นจากเหล่าตระกูลใหญ่ ใช้กฎหมายและระบอบในปัจจุบันของต้าเฉียนควบคุมทุกคน ซ้ำยังจะอยู่เหนือลม ตอบโต้กลับได้ยอดเยี่ยมมากบรรดาองค์ชายผู้สง่างาม เมื่ออยู่หน้าเขาล้วนถูกกลบรัศมี มิใช่คู่ต่อสู้ของเขา...คนประเภทนี้ อายุอานามน้อย ๆ ก็แสดงความสามารถในการปกครอง แสดงสติปัญญาเหนือคนและฝีมือวางหมากกระดานใหญ่ หากเขาสามารถกลายเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ของต้าเฉียน ภายภาคหน้าต้องได้เห็นต้าเฉียนในภาพใหม่ที่ไม่เหมือนกันแน่บัดนี้ไท่ซั่งหวงยังยอมร
“ดังนั้นหน่วยบูรพาที่เจ้าดูแลอยู่ก็ควรรักษาสัญญานี้ด้วยเช่นกัน ต่อไปพวกเจ้าก็คือมือซ้ายแขนขวาที่ประคับประคองฟานเอ๋อร์...” เฉาเจิ้งฉุนอมยิ้มพร้อมเอ่ย “กระหม่อมรับบัญชา!”คำพูดเรียบง่ายของไท่ซั่งหวงแสดงท่าทีชัดเจน ยอมรับฉินอวิ๋นฟานแล้ว ทว่าในใจของไท่ซั่งหวงยังคงมีความกังวลมากมาย เขามองไปทางฉินอวิ๋นฟานและเอ่ยเสียงหนัก “ฟานเอ๋อร์ ข้ามีคำถามบางข้อที่อยากจะถามเจ้า”“เสด็จปู่เชิญตรัสมาได้พ่ะย่ะค่ะ!” ฉินอวิ๋นฟานตอบด้วยสีหน้าขึงขัง“นับแต่โบราณมา ผู้ปกครองทั้งหลายต่างดำเนินนโยบายที่ทำร้ายประชาชน ทำให้ประชาชนอ่อนแอ อ่อนล้าและโง่เขลา มีเพียงเช่นนี้พวกเขาจึงจะเหน็ดเหนื่อยมากขึ้น โง่เขลามากขึ้น วิ่งเต้นเพื่อความอยู่รอดทั้งวัน เช่นนี้ผู้ปกครองจึงจะวางใจและเป็นผลดีต่อการควบคุมใต้หล้ามากขึ้น”ไท่ซั่งหวงเอ่ย “แต่ทุกนโยบายที่เจ้าทำล้วนผิดต่อหลักเหล่านี้ ไม่เพียงแต่ทำให้ประชาชนมีชีวิตที่มีความสุข มั่งมี ยิ่งทำให้พวกเขาได้กรรมสิทธิ์ในการใช้ที่ดิน นี่คือสัญญาณอันตรายอย่างหนึ่งสำหรับการปกครองด้วยอำนาจราชวงศ์”“แน่นอน หากกล่าวจากมุมหัวใจประชาชน เจ้าทำถูกต้อง เพราะการก่อตั้งราชวงศ์หนึ่งจะต้องได้ใจประชา
“ฮ่า ๆ ๆ...”การไต่ถามอย่างต่อเนื่องของฉินอวิ๋นฟานทำให้ไท่ซั่งหวงรู้สึกฮึกเหิมนัก เขาแหงนหน้าหัวเราะกับท้องฟ้าเสียงดัง “เจ้าครองแคว้นและขุนนางใหญ่ ถือกำเนิดมาก็คือโชคดี ก็คือผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่หรือ? เด็ด! การตัดสินใจและปณิธานเพื่อใต้หล้ามาก่อน ดี!”“ฟานเอ๋อร์ เจ้าแน่! เจ้าแน่กว่าจักรพรรดิองค์ใดของต้าเฉียน ข้าอยากเห็นใต้หล้าในอนาคตของเจ้านัก!”ไท่ซั่งหวงจ้องฉินอวิ๋นฟานไม่ละสายตา เขาไม่ปกปิดอะไรอีก ฉินอวิ๋นฟานที่คงเส้นคงวาทำให้ความกังวลเขาสลายไปสิ้นแล้ว ในฐานะที่เป็นราชันแห่งยุคหนึ่ง จำเป็นต้องมีปณิธานแน่วแน่ มีจิตใจเด็ดเดี่ยวในการมุ่งหน้าชัดเจน ฉินอวิ๋นฟานมีคุณสมบัติแน่วแน่เช่นนี้ นี่ยังไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด ที่สำคัญที่สุดคือฉินอวิ๋นฟานมีหัวใจเมตตาต่อสรรพชีวิต ทั้งยังวางนโยบายอันมีประสิทธิภาพ ทุ่มเทพยายามในแบบที่ยอมแลกได้ทุกอย่างให้ผู้ที่มีเป้าหมายชัดเจน มีปณิธานมุ่งนั่นเช่นนี้เป็นฮ่องเต้ในอนาคตของต้าเฉียน เขาตายตาหลับแล้ว...“เสด็จปู่...”ฉินอวิ๋นฟานรู้สึกประหลาดใจมากที่จู่ ๆ ไท่ซั่งหวงก็สนับสนุนเขาโจ่งแจ้งเช่นนี้ ซาบซึ้งใจอย่างหาที่เปรียบมิได้ ความสุขมาอย่างกะทันหันเหลือเก
“ในเมื่อเจ้าเลือกอย่างหลัง เลือกมโนธรรมและความปรารถนาดีของตัวเจ้า เจ้าจะต้องขึ้นนั่งบัลลังก์ของจักรพรรดิต้าเฉียน มิเช่นนั้นทุกอย่างที่เจ้าทำจะสูญเปล่า เพราะผู้ชนะจะได้บันทึกประวัติศาสตร์ ทันทีที่เจ้าล้มเหลว เจ้าก็คือคนบาปของยุคนี้ ต้องรับกับการถ่มน้ำลายของคน กระทั่งประชาชนที่เจ้าปกป้องด้วยชีวิตก็จะถ่มน้ำลายใส่เจ้าด้วยเช่นกัน!”“ดังนั้นนับจากนาทีที่เจ้าเลือกหันหลังให้กับขั้วอิทธิพลใหญ่ทั้งหลาย เจ้าจะต้องเผชิญกับความท้าทายจากบรรดาตระกูลใหญ่และพวกหัวแข็ง อาศัยเพียงวาทศิลป์และแผนการของเจ้ามันยังไม่พอ”“ภายภาคหน้าต้องเป็นภาพเลือดนองเป็นสายน้ำ ศพเกลื่อนกลาดแน่นอน...”“แน่นอน ข้าเชื่อในฝีมือของเจ้า ยิ่งเชื่อเอเคสี่สิบแปดในมือของเจ้า ถ้าเจ้าต้องการ มันเป็นไปได้มากว่าจะประสบความสำเร็จ แต่! ความเป็นจริงมักไม่ราบรื่นเช่นนั้น เพราะวิถียุทธ์จะเป็นตัวแปรตัวสำคัญ!”“ตลอดชีวิตของข้าเรียกได้ว่ามีขึ้นมีลง มองสรรพชีวิตจากจุดสูงสุด เห็นหลุมลึกท่ามกลางความมืดมิด เห็นความอัปลักษณ์ของสันดานมนุษย์ เห็นความอเนจอนาถของชาวบ้าน”“จากก้นบึ้งหัวใจของข้า ข้ายอมรับวิธีการกระทำของเจ้า ยอมรับสามัญสำนึกที่ดีและความ
หลังจากความตกตะลึงในระยะสั้น ๆ ผ่านพ้นไป ฉินอวิ๋นฟานจึงเอ่ยปากถาม “เสด็จปู่ เสด็จอาน่าจะเป็นคนกันเองจึงจะถูก เหตุใดจึงเกิดภาพที่เขาสู้สุดตัวกับเสด็จปู่ได้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”“เหอะ เหตุใดจึงเกิดภาพนี้ได้อย่างนั้นหรือ?”ไท่ซั่งหวงหัวเราะเสียงเย็นก่อนจะตอบ “สาวใช้ต้นห้องคนหนึ่งให้กำเนิดองค์ชายเพราะอุบัติเหตุ ท่ามกลางวังหลวงอันกว้างใหญ่นี้จะได้รับความนิยมชมชอบได้ยังไง? อีกอย่าง มารดาของเขาคือคนรับใช้ของตระกูลเหอ ย่อมถูกกีดกันในวังหลวงเป็นเรื่องธรรมดา”“เอ๋ เสด็จปู่ ต่อให้เขาเกี่ยวข้องกับตระกูลเหอ แต่ก็เป็นโอรสของพระองค์เหมือนกัน แม้มารดาของเขาจะมีชาติกำเนิดต่ำต้อย แต่อย่างไรก็เป็นสายพระโลหิตแท้ ๆ ของพระองค์ เหตุใดพระองค์จึงไม่สามารถมอบพระเมตตาอย่างเท่าเทียมเล่าพ่ะย่ะค่ะ?”ฉินอวิ๋นฟานไม่เข้าใจกับการทำเช่นนี้ของไท่ซั่งหวงเอาเสียเลย ไม่ว่ายังไงก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา ถึงจะลำเอียงไปบ้าง แต่ก็คงไม่ถึงกับแตกต่างกันมากขนาดนี้กระมัง?“วังหลวงไม่เหมือนกับที่อื่น ปกติข้ายุ่งงวดกับราชกิจ แม้แต่ลูกตัวเองก็ยังรู้จักไม่ครบ กระทั่งว่ามีบางคนสิบกว่าปียังไม่เคยปะหน้าสักหน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมตตาอย่างเ
โรงน้ำชาเสียงเซิงมีทั้งหมดห้าชั้น ที่นั่งอยู่ชั้นหนึ่งส่วนมากจะเป็นนักศึกษาทั่วไป โดยมากแล้วจะรูปร่างผอมบาง แต่งตัวเรียบง่าย ทั้งยังคลุมด้วยชุดที่ซักจนซีดเซียว ส่วนคนที่สวมผ้าไหมแพรพรรณนับได้ด้วยมือเดียว ชั้นสองโดยรวมคือผู้สูงศักดิ์มีอำนาจ ชั้นที่สาม สี่และห้าคือห้องพักของบรรดานักศึกษาแน่นอน นักศึกษาทั่วไปย่อมพักที่โรงน้ำชาเสียงเซิงไม่ไหว พวกเขาจึงได้แต่พักห้องระดับล่างในโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ ละแวกนี้“เสี่ยวเอ้อร์ เอาชามากาหนึ่ง เอาของดีนะ ของกินเล่นก็ต้องดีที่สุดด้วย!”ตอนนี้เอง จู่ ๆ ก็มีเสียงวางอำนาจดังมาจากชั้นสองเมื่อทุกคนหันไปมองก็เห็นชายหนุ่มหน้าตาดีอ้วนท้วนสมบูรณ์คนหนึ่ง กำลังยิ้มตาหยีไปทางที่นั่งชั้นดีทางหนึ่ง ก่อนจะค้อมตัวกำหมัดแล้วพูด “ไม่ทราบว่าพี่ชายทั้งสี่ใช่คุณชายเหลียงจากตระกูลเหลียงแห่งเมืองลั่ว คุณชายหลี่จากตระกูลหลี่แห่งเมืองจาง คุณชายอู๋จากตระกูลอู๋แห่งเมืองอวิ้นและคุณชายจ้าวจากตระกูลจ้าวแห่งเมืองเสียงหยางหรือไม่?”ชายหนุ่มทางที่นั่งชั้นดีเลิกคิ้ว แลกสายตากันแวบหนึ่งด้วยความฉงนใจ จากนั้นชายหนุ่มผู้นั่งตำแหน่งหลักละเมียดลิ้มรสน้ำชาก่อนจะตอบอย่างไม่สนใจสักเท่าไร “เจ
“คุณชายเหลียงตำหนิได้ถูกต้อง เป็นข้าที่ทะเล่อทะล่ารบกวนทุกท่านเอง”เมื่อถูกทุกคนหยามเหยียดต่อหน้ามวลชน ถานเฟิงสีหน้าปั้นยากอย่างยิ่ง แต่ต่อหน้าความสูงศักดิ์และอำนาจ อย่างไรก็ยังต่ำกว่าคนหนึ่งขั้น เพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีกลับมาสักหน่อย เขาจึงฝืนยิ้มหน้าระรื่น “แม้ฐานะของข้าจะมิสูงส่งเท่าทุกท่าน แต่อย่างไรบิดาข้าก็คือขุนนางระดับสี่ของสำนักศึกษาหลวง ถือว่ามีเส้นมีสายประมาณหนึ่งในเมืองหลวง”“หากทุกท่านต้องการการแนะนำอะไร ข้าผู้แซ่ถานต้องช่วยอย่างสุดความสามารถแน่นอน”เพื่อสร้างภาพจำที่ดีต่อเหลียงจ่านและคนอื่น ๆ ถานเฟิงจึงทุ่มสุดตัว ละทิ้งศักดิ์ศรี ในสังคมแห่งความสัมพันธ์นี้ การก้มหัวอย่างเหมาะสมมันคุ้มค่า หากสามารถช่วยเหลือพวกเหลียงจ่านได้ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับความก้าวหน้าในอนาคตของเขาน่าเสียดาย เขาประเมินความดูแคลนที่พวกเหลียงจ่านมีต่อเขาต่ำเกินไป...“ฮ่า ๆ ๆ...”ทุกคนพลันชะงัก จากนั้นก็ตลกขบขันกับคำพูดของถานเฟิง“เฮอะ ขุนนางระดับสี่เล็ก ๆ ในสำนักศึกษาหลวงก็กล้าอวดโอ้ตีสนิทกับคุณชายเหลียงของเรา?”เด็กรับใช้ข้างหลังเหลียงจ่านก้าวออกมาอีกครั้ง กล่าววาจาทั้งหน้าตาเสียดสี “คุณชายเหลี
ขณะได้ยินนามคุณชายเหล่านี้ เหล่านักศึกษาพากันสิ้นหวัง เดิมการสอบมืดมนอย่างหาที่เปรียบมิได้อยู่แล้ว แล้วยังให้คุณชายพวกนี้มาร่วมวงอีก พวกเขาหมดโอกาสแล้ว“เมื่อครู่ถานเฟิงทำท่าอยากจะตีสนิทกับพวกเหลียงจ่าน เห็นชัดว่าต้องมีอะไรแอบแฝง แต่พวกเจ้ารู้ไหมว่าผลเป็นยังไง? เหลียงจ่านไม่สนใจไยดีเลยสักนิด หยามหน้าเขาอย่างหนักแล้วตะเพิดออกไปเลย!”อวี๋เฉียงพูดอย่างจนใจ “พ่อของถานเฟิงคือขุนนางใหญ่ระดับสี่ของสำนักศึกษาหลวง กลับไม่เข้าสายตาพวกเหลียงจ่าน ชัดเจน ผลการสอบครั้งนี้คงถูกกำหนดภายในแล้ว พวกเราจะร่วมไม่ร่วมก็ไม่มีความหมาย”“เฮ้อ! ดูท่าปีนี้คงจบเห่จริง ๆ แล้ว...”ยามนี้ ทุกคนพากันหน้าละห้อยคอตก ใบหน้าจนปัญญา ความมุ่งมั่นทั้งหมดสูญสลาย ปีแล้วปีเล่า ปีไหน ๆ ก็ไม่ผ่าน ปีไหน ๆ ก็มาเสียเที่ยว ชีวิตช่างไม่มีความหวังเอาเสียเลย ทันใดนั้นเอง หวังป๋อชายหนุ่มในชุดขาดรุ่งริ่งดูมีบุคลิกบางส่วนตรงตำแหน่งหลักของโต๊ะแปดเหลี่ยมก็เอ่ยปากขึ้นว่า “ข้าเข้าใจความรู้สึกของทุกคนในเวลานี้ดี แม้เราจะจนด้วยหนทาง แต่ปีนี้พวกเราอาจได้ติดอันดับก็ได้”“ข้าเชื่อนะ ขอเพียงพวกเราพยายามกันต่อไป สักวันฟ้าของต้าเฉียนจะต้องสดใส
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ