“ฉินอวิ๋นฟานมีฝีมือในการปกครองมิใช่หรือ? ลูกน้องแต่ละคนจงรักภักดีกันหมดมิใช่หรือ? ถ้าจู่ ๆ ก็เกิดปัญหาซับซ้อนขึ้นมากมายเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเขาจะรับมือยังไงสิน่า?!”“ยอด ยอดมาก! ยังเป็นท่านอ๋องที่ล้ำเลิศ ชี้ช่องทางเล็กน้อยก็ทำให้ฉินอวิ๋นฟานหัวหมุนได้แล้ว นอกจากจะไม่ได้แล้วยังจะเสียอีก เพราะทันทีที่เกิดเรื่องหยุมหยิมเช่นนี้ ฉินอวิ๋นฟานต้องบ้าแน่”ครั้นถังเจิ้นไห่ได้ยินก็ตาโต ราวกับค้นพบแผ่นดินใหม่ก็มิปาน ไม่สามารถใช้อุบายร้ายซึ่งหน้ากับฉินอวิ๋นฟานได้ก็จริง แต่การใช้ลูกไม้นิดหน่อยกับการดำเนินงานปกติก็ทำให้ฉินอวิ๋นฟานรับมือไม่ทันเหมือนกัน“แค่มีปณิธานยาวไกล มีฝีมือร้ายกาจ มีเชาวน์ปัญญาเหนือคน มีเสน่ห์เหลือร้ายแค่นั้นยังไม่พอหรอก การปกครองบ้านเมืองหนึ่งจำเป็นต้องมีระบบที่สมบูรณ์แบบในการปกครองจึงจะสำเร็จ”ฉินอ้าวเอ่ยเสียงเย็น “ช่วงเวลานี้ต้าเฉียนอยู่ในช่วงผลัดเปลี่ยนระหว่างระบบเก่าและระบบใหม่ ต้องเกิดปัญหามากมายแน่นอน รวมถึงสถานการณ์ที่ดูแลได้ไม่ทั่วถึง อีกอย่าง สภาพแวดล้อมของแต่ละท้องที่ก็ไม่เหมือนกัน ย่อมหลีกเลี่ยงความขัดแย้งไม่ได้เป็นธรรมดา”“นี่ก็คือพนังน้ำพันลี้พลังทลายเพียงเพราะรูมดท
“เอ่อ ในเมื่อเจ้าหอหวงมีน้ำใจเช่นนี้ ข้าผู้เป็นแขกก็สุดแล้วแต่เจ้าบ้านจะจัดการก็แล้วกัน!”น้ำใจงามยากจะปฏิเสธ ฉินอวิ๋นฟานได้แต่ทำท่าฝืนใจเหลือเกิน ฉินอวิ๋นฟานรู้ดีว่าสุราดองประเภทนี้มีฤทธิ์เป็นอย่างไร นี่คือสุราบำรุงร่างกายชั้นยอด เสริมกำลัง กับการรักษาอาการเมื่อยเอวได้ผลมหัศจรรย์นักแล“บรรเลงเพลง!”เพิ่งย่างเท้าเข้าห้องส่วนตัว หวงต้าหยวนก็ให้นักสังคีตเริ่มการแสดงขับกล่อม จะรับรองฉินอวิ๋นฟานต้องทำอย่างยิ่งใหญ่ นี่คือบุรุษที่นางให้ความสำคัญที่สุด ชื่นชมที่สุด ต้องบริการอย่างดีเยี่ยม!“ไม่จำเป็น ออกไปให้หมดเถอะ!”ฉินอวิ๋นฟานโบกมือออกคำสั่งไล่แขกกับทุกคนโดยตรง ก่อนจะหันไปมองอู่จ้าน “อาจ้าน ท่านก็ไปพักผ่อนข้างนอกสักเดี๋ยวเถอะ ข้ามีธุระจะหารือกับเจ้าหอหวง”ฉินอวิ๋นฟานรู้ท่าทางลึกลับของหวงต้าหยวนดี หลังจากทั้งสองร่วมมือลึกซึ้งมากขึ้น การที่หวงต้าหยวนเชื้อเชิญมาด้วยไมตรีจิตในเวลาสำคัญนี้ จะเพื่อแค่ความสำราญกินเที่ยวได้อย่างไร?พอดีเลย เขาก็มีปัญหาและธุระบางเรื่องอยากคุยกับหวงต้าหยวนอยู่เหมือนกันบรรดาสาวใช้ต่างทำหน้างงงันหันมองไปทางหวงต้าหยวน แม้ฉินอวิ๋นฟานจะสูงศักดิ์ถึงรัชทายาท แต่ที
หวงต้าหยวนพูดหน้าเครียด “แต่เมื่อนำมารวมกับการแสดงฝีมือของท่านในระยะนี้ เห็นชัดว่าล่วงเกินคนมาก ใช่จะเป็นไปไม่ได้ว่าจะมีคนจ่ายค่าหัวท่านในราคาสูง แม้ผิดต่อสัญญาระหว่างราชวงศ์และขั้วอิทธิพลยุทธภพ แต่ต้องมีคนดาหน้าไปทำอยู่ดี”“อีกอย่าง ต้าเฉียนในปัจจุบันราชสำนักสั่นคลอน เหล่าตระกูลใหญ่ต่างมีแผนการของตัวเอง ต่อให้ลอบสังหารท่านจริง เกรงจะไม่มีใครออกหน้าให้ท่าน ดังนั้น...”นาทีนี้ ฉินอวิ๋นฟานเหงื่อกาฬไหลพราก ความรู้สึกถึงวิกฤตผุดขึ้นในใจอย่างรุนแรง ดูท่าต่อไปต้องระวังความปลอดภัยมากขึ้น ไม่อย่างนั้นอาจถูกยอดฝีมือพวกนั้นฆ่าตายจริง ๆ ก็ได้“บ้าเอ๊ย!”ฉินอวิ๋นฟานพูดทั้งสีหน้าอึมครึม “สูงไม่สู้หนาวจริง ๆ ข้าแซงโค้งมาเร็วก็ทำให้คนนั่งไม่ติดแล้วหรือ?”“ระยะนี้ข้าขอแนะนำให้ท่านอย่าออกวังหลวงเลยจะดีกว่า ความปลอดภัยเป็นอันดับหนึ่ง!” หวงต้าหยวนเตือนด้วยความกังวลเล็กน้อย“ไม่ออกเมืองหลวง? คงเป็นไปไม่ได้กระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานส่ายหน้าพูดอย่างอมทุกข์ “ตอนนี้กำลังสร้างเมืองการค้าสามแห่ง การปฏิรูปการเกษตรก็กำลังดำเนินไปอย่างขมีขมัน การสอบจอหงวนจวนจะมาถึง ข้าจะละเลยไม่ได้ เพราะไม่ว่าจะเกิดปัญหากับส่วนไห
ฉินอวิ๋นฟานจ้องสีหน้าระแวงของหวงต้าหยวน ก่อนจะฉีกยิ้มพูด “เจ้าหอหวง เจ้าไม่ต้องระแวงไปหรอก ในฐานะที่เป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดมากที่สุด การทำความเข้าใจกันและกันเชิงลึกก็คือการกระชับความสัมพันธ์ขั้นพื้นฐาน”“ก็อย่างครั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยของข้า เจ้าหอหวงเจาะจงเชิญข้ามาที่หอวั่งเจียงเพื่อบอกเรื่องสำคัญ ข้ารู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก ดังนั้นข้าคิดว่าข้ามีความจำเป็นต้องรู้จักกับหอวั่งเจียงของพวกเจ้ามากขึ้น”หลังจากเรื่องนี้ ฉินอวิ๋นฟานเคารพและให้ความสำคัญกับหวงต้าหยวนมากขึ้นหลายส่วน ระดับความรู้สึกดีเพิ่มเป็นเส้นตรง เพราะนี่คือเรื่องสำคัญอันเกี่ยวพันถึงชีวิต ทว่าหวงต้าหยวนกลับบอกเขาอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อยขณะเดียวกัน ฉินอวิ๋นฟานรู้สึกสนใจหอวั่งเจียงอันลึกลับนี้อย่างมาก นี่ต้องมีความสามารถเพียงใดจึงข่าวไวเช่นนี้?ก่อนหน้านี้เขารู้สึกดีต่อหวงต้าหยวนจริง แต่รักษาระยะห่างเสมอ อย่างมากก็แค่พูดจาหยอกเอินสักหน่อย แต่หากจะก้าวหน้ามากกว่านี้ เขากลับเกิดความกลัวในเสี้ยววินาที เพราะหวงต้าหยวนมิใช่สตรีธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นวิธีการหรือจิตใจล้วนมิอาจเทียบคนทั่วไปหวงต้าหยวนคือพันธมิตรที่สำคัญที่สุดของฉินอวิ๋
หวงต้าหยวนเอ่ย“เช่นนั้นข้าก็รู้สึกแปลกแล้ว ทำไมเจ้าหอที่ราชวงศ์ต้าเซี่ยถึงได้ช่วยฉินอวิ๋นฮุย? หรือว่าพวกเขาจะมีความร่วมมือพิเศษอะไรต่อกัน?”ฉินอวิ๋นฟานขมวดคิ้วพูดนี่คือครั้งแรกที่ฉินอวิ๋นฟานทำความรู้จักกับหอวั่งเจียง แต่ให้เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึง สายป่านของฉินอวิ๋นฮุยจะกว้างขวางปานนี้ ยังมีความสัมพันธ์กับเจ้าหอที่ราชวงศ์ต้าเซี่ยชั้นนี้อีก?หวงต้าหยวนกล่าวสีหน้าจริงจัง “ข้าไม่รู้ว่าระหว่างพวกเขาเป็นยังไง แต่อย่างไรพวกเราเจ้าหอทั้งเก้าก็เป็นพวกเดียวกัน ล้วนฟังคำสั่งจากคนคนเดียวกัน หากมีคำขอร้องหรือช่วยเหลือเล็กน้อยอะไรบางอย่างย่อมปฏิเสธไม่ได้”“แต่เหตุผลของเจ้าหอที่ต้าเซี่ยคือเคยติดค้างน้ำใจของตระกูลเหอ ดังนั้นจึงเอ่ยปาก มิเช่นนั้นไม่ว่าองค์ชายรองจะให้เงินเท่าไร ข้าก็ไม่มีทางให้ต้าซวงกับเสี่ยวซวงเข้าร่วมศึกชิงบัลลังก์ระหว่างองค์ชายของพวกท่านแน่”“อื่ม อย่างนี้นี่เอง”เมื่อได้ยินคำตอบของหวงต้าหยวน ฉินอวิ๋นฟานพลันมีสีหน้าหนักใจ ในโลกที่เต็มไปด้วยความยั่วยวนทางผลประโยชน์ เหตุผลเช่นนี้ทำให้ฉินอวิ๋นฟานรู้สึกว่าไม่เพียงพอ แต่ขนาดหวงต้าหยวนก็ยังไม่รู้อะไรมาก ถึงถามต่อไปก็ไม่มีความหมาย
เมื่อได้รับการตอบกลับจากหวงต้าหยวน ฉินอวิ๋นฟานจึงเอ่ยเป็นการเป็นงาน “เจ้าหอหวง เจ้าก็รู้นิสัยของข้าฉินอวิ๋นฟานดี ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ข้าจะไม่ขอให้เจ้าช่วย”“อื่ม ข้าเข้าใจ”หวงต้าหยวนพยักหน้าพูด “ด้วยนิสัยของท่าน สามารถขอความช่วยเหลือจากข้าอย่างจริงจังเช่นนี้ได้ แสดงว่าคงมีแต่ข้าที่ช่วยท่านได้แล้วกระมัง? อีกอย่างเรื่องนี้นอกจากข้า ท่านคงไม่เชื่อใจคนอื่น”“ถูกต้อง เจ้าพูดไม่ผิด”ฉินอวิ๋นฟานไม่ปฏิเสธ เขาเอ่ยต่อ “ท่ามกลางการต่อสู้อันซับซ้อนในราชวงศ์ แค่มีสติปัญญาความฉลาด มีทรัพย์มหาศาลยังไม่พอ ต้องตั้งขั้วอิทธิพลของตัวเองด้วยจึงจะสำเร็จ”“ด้วยสถานการณ์ของข้าในเวลานี้มิอาจสร้างขั้วอิทธิพลขนาดใหญ่เหมือนตระกูลเหอได้ก็จริง แต่ถ้าได้ความช่วยเหลือจากเจ้าและหน่วยประจิม นั่นจะต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง!”“หน่วยประจิม?”เมื่อได้ยินชื่อนี้อีกครั้ง หวงต้าหยวนพลันนัยน์ตาหดเล็ก มองฉินอวิ๋นฟานด้วยความตกตะลึง หากประสานเข้ากับความทะเยอทะยานใหญ่หลวงของฉินอวิ๋นฟาน นางก็พอค้นพบคำตอบในใจแล้วเหตุใดบรรดาฮ่องเต้ต้าเฉียนจึงสามารถครองบัลลังก์ได้อย่างมั่นคง เหตุใดตระกูลใหญ่ต่าง ๆ จึงมิกล้าลุกฮือง่าย ๆ ทั้งหมดก
แม้หวงต้าหยวนจะทึ่งมาก แต่นางจำต้องสาดน้ำเย็นให้ฉินอวิ๋นฟานหนึ่งกะละมัง เพราะต่อให้นางมีใจช่วยฉินอวิ๋นฟานก็เกรงว่าจะทำให้เป็นความจริงไม่ได้กับถ้อยคำเช่นนี้ของหวงต้าหยวน ฉินอวิ๋นฟานเพียงหัวเราะราบเรียบ เขาเอ่ยปากลอย ๆ “ไม่ไปทำ แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเป็นจริงไม่ได้? แล้วถ้ามันสำเร็จเล่า?”“หือ...”เห็นฉินอวิ๋นฟานมั่นใจเพียงนี้ หวงต้าหยวนไม่รู้จะตอบกลับอย่างไรชั่วขณะ ฉินอวิ๋นฟานในอดีตก็ยิ้มอย่างหน้ามั่น มีแผนในใจเช่นนี้เหมือนกัน หรือว่าเขาจะมีแผนการอื่นอีก?“หน่วยประจิมในอนาคตจะเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรลึกลับของข้า หน่วยบูรพาก็เช่นเดียวกัน”ฉินอวิ๋นฟานยิ้มอย่างมั่นใจ “ผนวกกับตระกูลเซี่ยง ตระกูลเจียงและยอดฝีมือในยุทธภพที่เจ้ารวบรวม เจ้าคิดว่าองค์กรลับของเราจะแย่หรือ?”“ท่าน ท่านเล็งหน่วยบูรพาและหน่วยประจิมแล้ว?!”หวงต้าหยวนตกตะลึงหนักกว่าเดิม ฉินอวิ๋นฟานขอให้ไท่ซั่งหวงตั้งหน่วยประจิม ที่แท้ยังมีความหมายเชิงลึกชั้นนี้? เป้าหมายท้ายที่สุดของเขาก็คือหน่วยบูรพา? แล้วไหนไท่ซั่งหวงยังให้ความสำคัญกับฉินอวิ๋นฟานมากอย่างนี้อีก น่ากลัวว่าเรื่องนี้จะมีความเป็นไปได้จริง ๆ!หากเป็นเช่นนั้นจริง นั่นจ
หลังจากพูดคุยกับหวงต้าหยวนเป็นเวลานาน ฉินอวิ๋นฟานระโหยโรยแรงนานแล้ว ไม่มีใจสนุกอีก กว่าจะออกจากหอวั่งเจียงก็เป็นยามดึก รอบทิศมืดตึ๊ดตื๋อ ฉินอวิ๋นฟานอดสั่นสะท้านไม่ได้ ภาพถูกลอบสังหารเมื่อครึ่งปีก่อนผุดขึ้นในใจฉับพลัน ทำให้เขาระแวดระวังไม่รู้ตัวอู่จ้านย่อมมองเห็นการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจของฉินอวิ๋นฟานออก จึงพูดปลอบใจว่า “เสี่ยวฟาน เจ้าไม่ต้องห่วงนะ เซี่ยงเส้าเหยียนอยู่ คงไม่มีใครกล้าทำอะไรเจ้าในเมืองหลวงแน่ อีกอย่าง การลาดตระเวนในเมืองหลวงก็เพิ่มกำลังเป็นเท่าตัวเหมือนกัน!”“อื่ม!”ฉินอวิ๋นฟานผงกศีรษะ ในฐานะที่เป็นทหารหน่วยรบพิเศษคนหนึ่ง เมื่อเจอกับสภาพแวดล้อมเช่นนี้ เขามักระแวดระวังอยู่เสมอ“ช้าก่อน!”ไม่นานฉินอวิ๋นฟานละคนอื่น ๆ ก็ผ่านมาถึงจวนของไท่เว่ยจางเต้าหลิน ฉินอวิ๋นฟานหยุดฝีเท้าฉับพลัน นึกถึงว่าจางเต้าหลินช่วยเหลือตนเมื่อเช้า หัวใจก็อบอุ่นขึ้นมาทันทีเพราะจางเต้าหลินกำลังจะเป็นว่าที่พ่อตาของเขา ผ่านประตูบ้านท่านผู้เฒ่าแต่ไม่เข้าไป มากน้อยคือไม่มีเหตุผลอยู่บ้าง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเข้าไปทักทายแสดงความขอบคุณสักหน่อย“เสี่ยวฟาน เจ้าคิดจะเยี่ยมเยือนจางไท่เว่ยหรือ?” อู่จ้านถาม“อ
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ