“องค์หญิงสาม อย่าวู่วามเด็ดขาดนะ ถ้ากำลังของต้าเยียนเรา สามารถไม่เห็นเดิมพันนี้อยู่ในสายตาได้เลย หากท่านทำตามเดิมพันนี้จริง เช่นนั้นจะเป็นความอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวงของต้าเยียนทันที”“ก็นั่นนะสิ! อย่างมากพวกเราก็ยกทัพไปต้าเฉียนก็ได้ ไยท่านต้องถือเป็นจริงเป็นจังเช่นนี้ด้วย? ขอเพียงพวกเราไม่ให้ พวกมันต้าเฉียนจะทำอะไรเราได้? เชื่อถือหรือจะมีเมือง ศักดิ์ศรีสำคัญยิ่งกว่า!”......เหล่าขุนนางต้าเยียนต่างก้าวออกมายับยั้งการตัดสินใจอย่างวู่วามของเยียนอวี่เฉินกันใหญ่ เมื่อทำตามเดิมพันก็จะเท่ากับฉีกหน้าต้าเยียนพวกเขาแคว้ก ๆ นี่ทำให้พวกเขารับไม่ได้ตอนนี้เอง รัชทายาทต้าเยียนเยียนอวี้หลงที่อยู่ด้านข้างก็ก้าวเท้าออกมา ขมวดคิ้วพูดว่า “น้องสาม นี่มิใช่เรื่องที่ตระบัดสัตย์กับใต้หล้าหรือไม่ แต่นี่คือจุดยืนทางการเมืองระหว่างสองแคว้น คือเรื่องกรรมสิทธิ์ดินแดน จะเฉือนให้ง่าย ๆ เพราะการพนันได้อย่างไร?”“อีกอย่าง น้องสามเจ้างามปานเซียนสวรรค์ ยิ่งเป็นไข่มุกบนมือของต้าเยียนเรา จะเป็นอนุของเจ้าโง่ฉินอวิ๋นฟานได้หรือ? คิดยังไม่ต้องคิด! ข้าซึ่งเป็นพี่ใหญ่คัดค้านคนแรกเลย! ขอแค่มันกล้ามา ข้าก็กล้าฆ่ามันซะ อย่าง
หลังจากได้ฟังการวิเคราะห์อย่างละเอียดของเยียนอวี้หลง ยามนี้เหล่าขุนนางจึงรู้แจ้ง เช่นเดียวกับแผนการขององค์หญิงสาม ทันทีที่ประสบความสำเร็จ จะสามารถควบคุมต้าเฉียนได้แบบไม่ต้องเสียทหารแม้แต่คนเดียว“องค์หญิงสามอายุอานามน้อย ๆ ก็มีสติปัญญาและการวางแผนล้ำลึกเช่นนี้แล้ว พวกเราเลื่อมใสนัก!”เหล่าขุนนางเปลี่ยนสีหน้าบูดเบี้ยวเมื่อครู่ทันที เปลี่ยนท่าทีเป็นเคารพเยียนอวี่เฉิน ยิ่งรู้สึกเลื่อมใสต่อแผนการของนาง ยิ่งหมอบราบคาบแก้วแต่ความมั่นใจและสติปัญญาเหนือบุรุษของนาง“เลิกประชุม!”หลังจากเสียงแหลมของขันทีดังขึ้น บรรดาขุนนางทั้งหลายแยกย้าย เยียนอวี่เฉิน เยียนอวี้หลง แม่ทัพใหญ่พิทักษ์แดนหลัวอิงสง หลัวเทียนเป้าและคนอื่น ๆ ก็มาถึงห้องทรงพระอักษรของจักรพรรดิต้าเยียน“เฉินเอ๋อร์ ในการประชุมเช้าข้ารู้ว่าเจ้าไม่สะดวกจะพูดบางเรื่อง ตอนนี้พูดได้แล้ว”เยียนจ้านเทียนจ้องธิดาเยียนอวี่เฉินและเอ่ยเรียบ“น้องสาม? แผนการเมื่อกี้ของเจ้าก็ยอดเยี่ยมมากแล้ว หรือว่าเจ้ายังมีแผนอื่นที่ยังไม่ได้พูดอีกหรือ?”เยียนอวี้หลงเบิกตาโพลง ในดวงตามีความตะลึงดาษดื่น น้องสามจะเก่งกาจไปแล้วกระมัง แผนการเล็ก ๆ ของนางสามารถทำใ
“พวกเราแค่เปลี่ยนคนในตำแหน่งสำคัญของอู่โจวให้เป็นคนของเรา แล้วกำจัดคนของฉินอวิ๋นฟานให้หมดก็พอ อู่โจวเป็นของต้าเฉียนแล้วจะยังไง? ก็ยังอยู่ในกำมือเราอยู่ดีมิใช่หรือ?”“สำหรับเมืองหานกู่ นั่นต้องดูว่าฉินอวิ๋นฟานมาต้าเยียนแล้วแสดงออกยังไง ถ้าเขาไม่รับปากเงื่อนไขของข้า เช่นนั้นก็คือเขาไม่รู้จักดีชั่ว พวกเราจะมอบเมืองสำคัญเช่นนี้ให้เขาได้หรือ?” “ที่สำคัญที่สุดคือ พวกเราสามารถรับปากช่วยเขาขึ้นนั่งบัลลังก์ได้ แต่ข้อแลกเปลี่ยนคือเมื่อเขาได้นั่งตำแหน่งนั้นแล้ว ต้าเฉียนต้องรวมกับต้าเยียน แต่งตั้งเขาเป็นเจ้าเมืองประเทศราช ตำแหน่งกับผลประโยชน์ของเขาก็ยังจะเหมือนเดิม”“ถ้าฉินอวิ๋นฟานปฏิเสธ นั่นเท่ากับเขาฉีกสัญญาก่อน ทั้งยังดูหมิ่นต้าเยียน พวกเราจะมีข้ออ้างสมบูรณ์แบบที่จะรี้พล ไม่ว่าผลจะเป็นยังไงก็เป็นผลดีกับเราทั้งนั้น”“ถึงตอนนั้น ต้าเยียนครองโลกก็จะราบรื่นแล้วมิใช่หรือ?”......ถ้อยคำของเยียนอวี่เฉินทำให้ทุกคนต่างเลือดร้อนพลุ่งพล่าน ต่างตบโต๊ะเรียกว่าดี ให้พวกเขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึง แผลชนการสมบูรณ์แบบเช่นนั้นกลับออกมาจากปากขององค์หญิงสาม?ปัญญาและการคิดแผนการระดับนี้ช่างน่าทึ่งปานมีเพียงช
ข่าวที่ราชวงศ์ต้าเยียนประกาศออกมาราวกับติดปีก แพร่สะพัดไปทั่วทุกแคว้นบนโลกใบนี้ ก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนอย่างหนัก จู่ ๆ สองราชวงศ์ใหญ่ก็จะเกี่ยวดองกันด้วยรูปแบบนี้ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ บัดนี้ต้าเฉียนอยู่ในภาวะระส่ำระสาย การที่ต้าเยียนสอดมือเข้ามาจะเป็นไปได้มากว่าจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ภายในของต้าเฉียน ครั้นทั้งสองแคว้นเกี่ยวดองกัน มันจะเป็นฝันร้ายของแคว้นอื่น ๆ!ในเมืองหลวงแคว้นเหมียว เหมียวชิงอีกำลังนั่งอยู่ในห้องนอนซึ่งตกแต่งด้วยสีชมพูอ่อน ครั้นได้ยินเติ้งซูหมิงองครักษ์หญิงคนสนิทรายงานรายละเอียด สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นขมึงทึงฉับพลัน“ฮือ ๆ เจ้าว่า ก่อนหน้านี้ข้าผิดไปจริงหรือไม่?”ด้วยหน้าพิไลลักษณ์ของเหมียวชิงอีถามอย่างตึงเครียด“ฝ่าบาท แม้ฉินอวิ๋นฟานจะแสดงออกได้ยอดเยี่ยมมาก และเป็นผู้ที่เด่นล้ำในบรรดาองค์ชาย แต่อย่างไรเขาก็หัวเดียวกระเทียมลีบ หากนั้นพระองค์ตัดสินพระทัยทันที จะเป็นการไม่รับผิดชอบต่อประชาชนแคว้นเหมียว และไม่รับผิดชอบต่อขุนนางผู้เฒ่าที่ติดตามพระองค์ด้วยเพคะ” เติ้งซูหมิงกล่าวอย่างจริงจัง “ทรงประทับอยู่ในจุดยืนของบ้านเมือง มิได้ทำผิดประการใด ทั้งหมดอย่างขึ้นอยู่กับวาส
“อวิ๋นฮุย ข้ามักรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดาอย่างนั้น”เหอเหวินเย่าที่อยู่ด้านข้างขมวดคิ้วพูด“ไม่ธรรมดาอย่างนั้น? น้าสาม ท่านหมายความว่ายังไง?”ความสงสัยเดียวของเหอเหวินเย่าคือการสาดน้ำเย็นใส่ฉินอวิ๋นฮุยอย่างมิต้องสงสัย ทำให้เขาสงบลงทันทีเหอเหวินเย่าขมวดคิ้วพูด “ไม่ว่าเรื่องนี้เป็นจริงหรือไม่ พวกเราก็จะจัดการฉินอวิ๋นฟานจริง ๆ แต่ทำไมต้องเป็นพวกเราที่นำด้วยเล่า?”“เอ่อ น้าสาม... ท่านหวังจะให้พี่ใหญ่ออกหน้าหรือ? แล้วพวกเราเสริม?”ฉินอวิ๋นฮุยขมวดคิ้วเอ่ย“อวิ๋นฮุย เจ้าต้องรู้นะ เวลานี้ต้าเฉียนเรากำลังอยู่ในช่วงเวลาพิเศษ อยู่ในช่วงชิงบัลลังก์ การต่อสู้ไม่เหมาะจะดุเดือดเกินไป ถ้าเผอเรอไปเพียงนิดเดียว หมื่นเคราะห์มิอาจหวงคืน”เหอเหวินเย่าวิเคราะห์ “อีกอย่าง ตอนนี้ระหว่างเจ้ากับองค์ชายใหญ่ก็แตกหักกันแล้ว ต่อให้เจ้าอยากออกหน้า เจ้าคิดว่าองค์ชายใหญ่ยังจะร่วมมือกับเจ้าหรือ?”“เห็นชัดว่าองค์ชายใหญ่มีอคติต่อเจ้าหนักหนา ทันทีที่เขากลับลำ โยนหินลงบ่อ เจ้าจะทำยังไง? เจ้ามิต้องกลายเป็นคนชั่วที่ทำลายต้าเฉียนหรือ?”ครั้นเหอเหวินเย่าวิเคราะห์เช่นนี้ ฉินอวิ๋นฮุยสีหน้าปั้นยาก สุดท้ายเขายังใจร้อน
“ท่านกุนซือ นี่ท่านหมายความว่ายังไง?”ในใจของฉินอวิ๋นคังเต็มไปด้วยความฉงน ถามด้วยใบหน้าสงสัย“ในเมื่อข่าวนี้มาจากการประกาศในรูปแบบที่เป็นทางการที่สุดของต้าเยียน มันจะมีความเป็นไปได้หรือไม่ว่านี่คือการเล่นงานต้าเฉียนอย่างหนึ่ง? ทำให้ต้าเฉียนเราซึ่งกำลังต่อสู้ภายในราชวงศ์ต้องวิกฤติกว่าเดิม?”หวังจื้อเอ่ย“ข้า นี่...”หากเป็นเช่นหวังจื้อกล่าวจริง นี่จะไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ฉินอวิ๋นคังพูดด้วยสีหน้าปั้นยาก “จะใช้เป็นข้ออ้างโจมตีโค่นฉินอวิ๋นฟานสักหน่อยมิได้หรือ?”“ได้สิ แต่ท่านแน่ใจหรือว่าจะโค่นเขาได้จริง? มิใช่ถูกเขาฟาดกลับมา? เรื่องพรรค์นี้องค์ชายรองทำมาไม่น้อย แล้วผลเล่า?”หวังจื้อเอ่ย “ยามนี้ฉินอวิ๋นฟานคือขุนนางผู้สร้างคุณงามความดีของต้าเฉียนเรา ไม่เพียงแต่ควักเงินตัวเองงดการเก็บภาษีรายหัวของประชาชน ยังขายอู่เหลียงเย่ไปยังทุกแคว้นทั่วโลก เครือโรงแรมห้าดาวก็กำลังจะดำเนินการแล้ว ต้องเป็นโครงการที่ได้กำไรงามแน่ โค่นเขาแล้วจะมีประโยชน์อันใดต่อท่าน? มีประโยชน์อันใดต่อต้าเฉียน?”“หากฉินอวิ๋นฟานล้มแล้ว ทั้งหมดนี้ก็จะไม่คงอยู่ และเหตุผลกลับเพราะข่าวเดียวจากต้าเยียน? นี่มิรู้สึกว่ามันเหลวไหล
“เรื่องราวเป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ หลายวันก่อนองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองรวมหัวกันเล่นตุกติกกับอู่เหลียงเย่ของรัชทายาท แต่เนื่องจากกลัวว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นจึงอยากหยั่งเชิงดู ผลลัพธ์คือถูกคนของหน่วยบูรพาพบเข้า รัชทายาทจึงวางแผนซ้อนแผน เอายาระบายไปใส่อยู่ในอาหารแทน”“เรื่องหลังจากนั้นพระองค์ทรงทราบแล้ว องค์ชายใหญ่ปล่อยออกกลางถนนอย่างไม่เป็นท่า โกรธแค้นถึงขีดสุด สุดท้ายองค์ชายใหญ่กลับนึกว่านี่คือแผนการร้ายที่องค์ชายรองวางแผนร่วมกับรัชทายาท จงใจเล่นงานเขา จึงคิดแค้นองค์ชายรองและแตกหักกันด้วยเหตุนี้พ่ะย่ะค่ะ”“และเรื่องที่ต้าเยียนประกาศในหนนี้ยังเกี่ยวข้องกับรัชทายาทอีก ระหว่างองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองเดิมก็ต่อกรด้วยยากอยู่แล้ว ดังนั้นเพื่อป้องกันอีกฝ่าย ทั้งสองจึงไม่กล้าบุ่มบ่าม เลือกที่จะอยู่นิ่ง ว่าแล้วก็บังเอิญนะพ่ะย่ะค่ะ”“อ้อ ยังมีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?”เมื่อได้ฟังการอธิบายจากเฉาเจิ้งฉุน ไท่ซั่งหวงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นี่นับว่าฉินอวิ๋นฟานดวงเฮงสุด ๆ หรือเพราะตัวพวกเขาเองมีปัญหาใหญ่อยู่แล้ว?เดิมควรเป็นเรื่องที่โจมตีฉินอวิ๋นฟานทั้งวาจาและการขีดเขียน สุดท้ายกลับกลายเป็นว่
“อะไรนะ? ฆ่าคน?”จู่ ๆ ก็มีเสียงร้องอุทานดังขึ้นในจุดที่ไม่ไกล ฉินอวิ๋นฟานใบหน้าเปลี่ยนสีฉับพลัน รีบพูด “ไป เรารีบไปดูกันเถอะ!”ฉินอวิ๋นฟานสามคนขี่ม้าเร็ว ชั่วครู่เดียวก็มาถึงจุดเกิดเหตุ เห็นเพียงชายในชุดปุปะนอนอยู่กับพื้นและถูกชายในชุดเจ้าหน้าที่สามคนรุมซ้อม แม้เขายังพยายามดิ้นรนสุดชีวิต กลับไร้กำลังต่อต้าน หายใจรวยรินยามนี้ รอบด้านมีผู้คนมามุงล้อมเต็มไปหมด ทุกคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์ กลับไม่มีใครกล้าเข้าไป“หยุดเดี๋ยวนี่นะ! นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันแน่?”ฉินอวิ๋นฟานตวาด ชาวบ้านที่กำลังส่งเสียงเซ็งแซ่เงียบในพริบตา สายตาของทุกคนต่างรวมศูนย์อยู่ที่ตัวฉินอวิ๋นฟาน ชายในชุดเจ้าหน้าที่เห็นชายหนุ่มตรงหน้ามีท่วงทำนองไม่ธรรมดา ทั้งยังจูงม้างามชั้นดีมากอีก เกรงว่าจะมีฐานะพิเศษ จึงหยุดการกระทำมือเดี๋ยวนั้น“เจ้าคือใคร?”ชายในชุดเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นผู้นำเอ่ยปากสอบถามด้วยใบหน้าระแวง“ข้า? พ่อค้าผ่านทาง”ที่แรกฉินอวิ๋นฟานอยากจะเปิดเผยตัวตน แต่คิดแล้วก็ช่างเถอะ ขุนนางสุนัขพวกนี้เลือกปฏิบัติกับคนตามฐานะ มิสู้เรียกร้องความเป็นธรรมด้วยฐานะพ่อค้า ดูสิว่าคนในชุดเจ้าหน้าที่พวกนี้จะมีท่าทีอย่างไร“เหอ
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ