“ตบปาก!”ท่ามกลางบรรยากาศอึดอัด จู่ ๆ ก็มีเสียงทุ้มหนักและเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามสายหนึ่งดังขึ้น ท่านผู้เฒ่าตระกูลเริ่นสายตาคมกริบดั่งอินทรี จ้องฉินอวิ๋นคังแบบบ่อน้ำโบราณไร้คลื่น แล้วพูดขึ้นกะทันหันคำสั่งที่มาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทำให้ทุกคนในที่นั้นหนังตากระตุกรัว ๆ ใบหน้าคือความตื่นตระหนก ฉินอวิ๋นคังคือองค์ชายใหญ่นะ กลับต่ำต้อยเช่นนี้เลยหรือ?ผู้ที่ตอบสนองก่อนเป็นคนแรกคือเริ่นซีหยวนมารดาขององค์ชายใหญ่ นางพูดด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “ท่านพ่อ นี่ นี่จะไม่ดีกระมัง?”“เจ้าถอยไป!”ท่านผู้เฒ่าตระกูลเริ่นไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้บุตรสาวขอร้อง ตวาดให้ถอยออกไปทันที สายตาไม่มีคลื่น พลังแข็งกร้าว ทำให้ทุกคนในที่นั้นล้วนสูดลมเย็นท่านผู้เฒ่าไม่โกรธเช่นนี้มานานมากแล้ว วันนี้เกิดอะไรขึ้น?แม้แต่ฮั่วเจิ้นหลงผู้มีฐานะสูงส่ง ยามนี้ก็ยังไม่กล้าขัดสักนิด ท่าทีเคารพนบนอบ เขาเคยติดตามท่านผู้เฒ่าเริ่นยี่สิบกว่าปี รู้นิสัยของอีกฝ่ายชัดเจน เรื่องที่เขาตัดสินใจแล้วจะไม่อนุญาตให้สงสัย!ฉินอวิ๋นคังในเวลานี้สับสนไปหมดแล้ว เขาถามด้วยใบหน้าฉงน “ท่านตา นี่มันเพราะอะไร? ข้าออกหน้าแทนตระกูลเริ่นชัด ๆ แล้วข้าก็พยายาม
เริ่นจื้อเย่ามองไปทางฮั่วเจิ้นหลงและเอ่ยเสียงหนัก “ฮั่วหลง คังเอ๋อร์คือคนที่บ่มเพาะเพื่อเป็นผู้สืบทอดต้าเฉียน เช่นนี้ต่อไปจะได้อย่างไร? พวกเรามีเวลาไม่มากแล้ว ถ้าการต่อสู้ล้มเหลง พื้นที่ในการเอาตัวรอดของเราก็จะยิ่งลำบากมากขึ้น เจ้าต้องให้ความสำคัญแล้วนะ”ถูกท่านผู้เฒ่าเริ่นตักเตือน ฮั่วเจิ้นหลงสีหน้าตึงเครียด แสดงท่าทีทันที “ฮั่วหลงเข้าใจขอรับ ฮั่วหลงต้องเห็นเป็นสำคัญแน่นอน จะอบรมอย่างดี”“เรื่องนี้ก็พอเท่านี้เถอะ ต่อไปต้องเน้นความสุขุม จะบุ่มบ่ามไม่ได้!”เริ่นจื้อเย่าโบกมือแล้วจึงออกไป ทิ้งทุกคนที่ยังขวัญหาย พอท่านผู้เฒ่าระเบิดโทสะขึ้นมาน่ากลัวเหลือเกิน ตั้งแต่ต้นจนจบ ถึงฉินอวิ๋นคังจะมีศักดิ์สูงส่งเป็นองค์ชายใหญ่ก็ไม่กล้าเถียงในตำหนักเหยียนเหนียน ไท่ซั่งหวงกำลังนอนอยู่บนเก้าอี้ฟังการบรรเลงเพลงของนางกำนัลอย่างผ่อนคลาย เฉาเจิ้งฉุนส่ายหน้าไม่อยากรบกวน แต่สถานการณ์พิเศษ เขาจึงได้แต่ส่งสัญญาณให้นางกำนัลออกไป“เฮ้อ! ไท่ซั่งหวง รัชทายาทเพิ่งไปได้ครึ่งวันก็เกือบทำฟ้าต้าเฉียนถล่มแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”เฉาเจิ้งฉุนถอนหายใจเอ่ย“หือ? มีเรื่องอะไร?”ไท่ซั่งหวงขมวดคิ้ว ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ขอเพียงเป
“พ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ตระกูลใหญ่สามารถควบคุมผู้ที่จะขึ้นเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ได้ สำหรับราชวงศ์ ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปจะเป็นสัญญาณอันตรายจริง ๆ”เฉาเจิ้งฉุนพยักหน้าพูด “รัชทายาทไม่เพียงแต่มีสติปัญญาล้ำเลิศเหนือคน ยังกล้าหาญมากแผนการ นอกจากนั้นยังกล้าต่อต้านทานอำนาจตระกูลใหญ่ ไม่เกรงกลัวมหาอำนาจ ถ้าเขาสามารถเปิดศักราชใหม่ของต้าเฉียนได้จริง บางทีอนาคตของต้าเฉียนอาจจะรุ่งโรจน์นะพ่ะย่ะค่ะ”เขาติดตามฮ่องเต้สองสมัยสี่สิบกว่าปี เรียกได้ว่ารอบรู้สภาพการณ์โดยรวมของทั้งต้าเฉียน ตามการพัฒนาของยุคสมัย ตระกูลใหญ่ต่าง ๆ มีผลกระทบต่อราชวงศ์ต้าเฉียนมากขึ้นทุกขณะการจะออกกฤษฎีกาหลาย ๆ ฉบับจำต้องคำนึงถึงผลประโยชน์พื้นฐานของตระกูลใหญ่ทั้งหลาย ตำแหน่งสำคัญต่าง ๆ ที่กุมอำนาจจริงของต้าเฉียน เพื่อให้ได้เข้าร่วมแล้วตระกูลใหญ่ต่างแย่งชิงกันอย่างบ้าคลั่ง แบ่งฝักฝ่ายรุนแรงมากขึ้นทุกทีในตอนที่อดีตฮ่องเต้ชิงบัลลังก์ก็ได้รับความช่วยเหลือสนับสนุนจากตระกูลใหญ่มากมาย แม้ยี่สิบกว่าปีมานี้ทรงอยากบั่นทอนกำลังพวกเขาให้ลดลงบ้าง แต่สุดท้ายกลับพบว่าอีกฝ่ายหยั่งรากฝังลึกกับแคว้นนี้นานแล้ว มีลูกศิษย์และอดีตผู้ใต้บังคับบัญชากระจายทั่
องค์ชายใหญ่ฉินอวิ๋นคังนั่งลง สีท่าหน้าตาเหมือนวิญญาณหลุดลอย ซึมกะทือไปทั้งคน ร่างกายราวกับถูกสูบออกไปหมด“คังเอ๋อร์ ยังเจ็บหน้าหรือไม่?”เริ่นกุ้ยเฟยเป็นห่วงสภาพจิตใจของบุตรชายจึงตามมาที่จวนตระกูลฮั่วด้วย เห็นบุตรชายห่อเหี่ยวใจเช่นนี้ เริ่นซีหยวนผู้เป็นมารดาจึงปวดใจอย่างหาที่เปรียบมิได้ รีบเข้ามาปลอบ“เหอะ เจ็บแล้วจะยังไง ไม่เจ็บแล้วจะยังไง?”ฉินอวิ๋นคังส่ายหน้า พูดเหมือนใจไม่อยู่กับตัว“คังเอ๋อร์ ท่านตาเจ้าทำอย่างนี้ก็เพราะหวังดีต่อเจ้า หวังว่าเจ้าจะไม่เก็บใส่ใจนะ”เริ่นซีหยวนรีบอธิบายนางอยู่ในวังลึกมายี่สิบกว่าปี รู้ซึ้งถึงความโหดร้ายในการต่อสู้ ยิ่งรู้กำลังและฝีมือของบิดา ถ้าไม่มีการทุ่มเทของเขา บุตรชายคิดจะขึ้นตำแหน่งฮ่องเต้ โดยรวมแล้วคือไม่มีความเป็นไปได้และนี่ก็คือสาเหตุที่ทำไมนางถึงไม่กล้าออกหน้าปกป้องบุตรชาย แต่ไหนมาบิดาทำงานเด็ดขาด พูดหนึ่งไม่เป็นสอง เรื่องที่เขาตัดสินใจ เขาต้องมีเหตุผลแน่นอน ดังนั้นนางจึงได้แต่ปฏิบัติตาม“เหอะ หวังดีต่อข้า?”ฉินอวิ๋นคังหัวเราะเวทนา “ตบหน้าข้าต่อหน้าคนมากมายเช่นนั้น นี่เรียกว่าหวังดีต่อข้า? ยังไงข้าก็เป็นถึงองค์ชายใหญ่ของต้าเฉียนนะ
เวลานี้ฮั่วเจิ้นหลงขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าอึมครึมจนน่ากลัว ท่าทีของท่านผู้เฒ่าในวันนี้ทำให้เขาตกใจอย่างหนัก แต่ความผิดที่องค์ชายใหญ่ทำในวันนี้แทบจะเป็นความผิดระดับสงคราม ไม่ว่าใครก็ต้องหัวเสียกว่าปกติเขาเอ่ยเสียงหนัก “คังเอ๋อร์ เจ้ายังจำแผนการที่เจ้ากับองค์ชายรองจะร่วมกันใส่ร้ายฉินอวิ๋นฟานได้หรือไม่?”“แผนใส่ร้ายฉินอวิ๋นฟาน?”เมื่อฉินอวิ๋นคังตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องก็กระตือรือร้นขึ้นมาชัดเจน เขาเลิกคิ้วถาม “ก็ต้องจำได้อยู่แล้ว เสด็จพ่อเพิ่งสวรรคตได้หนึ่งอาทิตย์ ถ้าไม่วางแผนกำจัดฉินอวิ๋นฟาน วันถัดไปคนที่จะขึ้นครองราชย์ก็ต้องเป็นมันแน่ ข้ากับน้องรองคงไม่มีโอกาสแม้แต่น้อยแล้ว”“ถูกต้อง ฉินอวิ๋นฟานในตอนนั้นเป็นแค่ไอ้โง่ตัวหนึ่ง ต่อให้เขาได้ขึ้นครองราชย์แล้วจะยังไง? ยังจะส่งผลต่อพวกเจ้าสองพี่น้องได้แค่ไหนกันเชียว? อำนาจใหญ่ยังอยู่ในมือพวกเจ้าพี่น้อง”ฮั่วเจิ้นหลงเอ่ยเสียงหนัก “แต่ถึงจะอย่างนั้น พวกเจ้าสองคนก็ยังเลือกที่จะเสี่ยง วางแผนต่ำช้ามากแผนการหนึ่งก็ต้องกำจัดฉินอวิ๋นฟานให้ได้ ว่ากันตามตรงก็มิใช่เพื่อกำจัดเขาที่เป็นก้างชิ้นนี้หรือ?”“เอ่อ...มันก็ถูกต้อง”ฉินอวิ๋นคังพยักหน้าด้
ฮั่วเจิ้นหลงถอนหายใจเอ่ย “แม้จะเป็นอดีตฮ่องเต้ที่ขึ้นครองราชย์เมื่อยี่สิบปีก่อน ก็ยังมีตระกูลเหอ ตระกูลเริ่นกับเงาของตระกูลอื่น ๆ ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุนอันทรงพลังจากตระกูลใหญ่เหล่านี้ ใครจะขึ้นนั่งเก้าอี้มังกรตัวนั้นได้ง่าย ๆ บ้าง?”ถ้อยคำนี้ของพ่อตาทำให้ฉินอวิ๋นคังหน้าเปลี่ยนสีไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง ฝีมือและความสามารถของเสด็จพ่อในอดีตเป็นที่รู้กันทั่ว เด่นล้ำในบรรดาองค์ชายยี่สิบกว่าองค์ ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดในสุดท้ายคิดไม่ถึงว่าเบื้องหลังจะมีความลับยิ่งใหญ่ปานนี้?“แม้วรยุทธ์องค์ชายสี่จะเทียบเจ้าไม่ได้ พรสวรรค์ด้านบุ๋นสู้องค์ชายรองไม่ได้ แต่เขาคือองค์ชาย! คือสายเลือดสืบราชสันตติวงศ์!”ฮั่วเจิ้นหลงเอ่ยเสียงหนัก “แค่ว่าคนของตัวเองได้ขึ้นครองราชย์ ก็จะความมั่นคงและผลประโยชน์ของตระกูลจะได้รับการประกัน ใครขึ้นแล้วจะยังไง? อีกอย่าง องค์ชายสี่ควบคุมง่ายกว่าเจ้านัก!”คำอธิบายของฮั่วเจิ้นหลงทำให้สีหน้าฉินอวิ๋นคังปั้นยากผิดปกติ เขาคิดมาตลอดว่าตัวเองคือองค์ชายผู้สูงส่ง คือบุตรที่คนทั้งตระกูลเริ่นต้องเอาใจพะเน้าพะนอ ถึงท่านตาจะเข้มงวด แต่โดยรวมกลับไม่ได้ควบคุมเขาสักเท่าไรให้เขาคิดอย่างไรก็ค
“ท่านพ่อตา ข้า ข้าเข้าใจแล้ว!”ถูกพ่อตาสั่งสอนยกหนึ่ง ฉินอวิ๋นคังราวกับตื่นขึ้นจากความฝัน ในที่สุดก็เข้าใจว่าตัวเองผิดถนัดแค่ไหน เคราะห์ดีที่ไม่ได้ช่วยเริ่นซวี่ มิเช่นนั้นความผิดของเขาจะหนักกว่าเดิมก่อนหน้านี้กว่าจะได้สร้างภาพจำและชื่อเสียงดีงามในใจประชาชนขึ้นมาได้หน่อยหนึ่ง สงสัยว่าจะถูกเขาทำลายไม่มีชิ้นดีแล้ว ฝ่ามือฉาดนั้นที่เขาได้รับ คิดแล้วช่างสมควรอย่างยิ่ง!ช่วยคนย่อมไม่ผิด แต่วิธีการและรูปแบบผิด!“เฮ้อ! เจ้าไม่คิดดูเล่า ด้วยนิสัยของฉินอวิ๋นฟาน เขาจะปล่อยเริ่นซวี่คนถ่อยเช่นนั้นได้ยังไง?”ฮั่วเจิ้นหลงพูดอย่างหนักใจ “ว่ากันตามหลัก ฉินอวิ๋นฟานน่าจะตัดหัวเริ่นซวี่ไปเลยจึงจะระบายความแค้นในใจถึงจะถูก แต่ทำไมเขาไม่ทำอย่างนั้น? หรือว่าเจ้าไม่ควรสงบใจพิจารณาสักหน่อย?”“หา ท่านพ่อตา ทะ ท่านหมายความว่า ฉินอวิ๋นฟานจงใจ? เขาทำไปเพื่อรอข้ามา? ใช้ความอยากช่วยคนของข้าเป็นโอกาส จะได้ใช้เรื่องนี้กดข้า เพิ่มภาพลักษณ์ในใจประชาชนของเขา?”ฉินอวิ๋นคังพูดอย่างเหลือเชื่อ“ยังไม่นับว่าโง่นัก อย่างน้อยยังคิดถึงเรื่องนี้ได้!”ฮั่วเจิ้นหลงใบหน้าปลื้มใจ ถือว่าไม่ได้เสียแรงตบหน้าเปล่า หลังจากเขาวิเคร
“อื่ม!”ฉินอวิ๋นฟานสองมือไพล่หลัง พยักหน้าน้อย ๆ จากนั้นจึงย่างเท้าขึ้นชั้นบนไปด้วยมาดสูงส่งจริงจัง หวงต้าหยวนตามอยู่ด้านข้างฉินอวิ๋นฟาน แสดงภาพลักษณ์สูงศักดิ์ของฉินอวิ๋นฟานออกมาจนสิ้นเซี่ยงเทียนเวิ่นที่อยู่ด้านข้างเห็นภาพนี้แล้วสองตาเบิกโพลง ท่าทางสูงส่งเย็นชามักปฏิเสธคนอยู่นอกพันลี้ของหวงต้าหยวน คนทั่วไปมิอาจเข้าตานาง และเขาก็ไม่รู้ว่าตามตื๊อมากี่ครั้งกี่หนแล้วแต่ก็ยังถูกหวงต้าหยวนปฏิเสธให้อยู่นอกประตูคิดไม่ถึง สตรีแกร่งผู้เต็มไปด้วยท่วงทำนองขนาดนี้กลับอ่อนน้อมถ่อมตนเช่นนี้ต่อหน้าฉินอวิ๋นฟาน ครานี้พลิกโฉมความรู้ความเข้าใจของเซี่ยงเทียนเวิ่นโดยสิ้นเชิงแล้ว เขาตกตะลึงทอดถอนใจอยู่ในใจ การที่บิดาให้เขาติดตามฉินอวิ๋นฟาน มันคือการตัดสินใจที่ถูกต้องขนาดไหน!“รัชทายาท เหนื่อยแล้วกระมัง? จะให้เรียกนางรำมา แล้วให้แม่นางต้าซวงกับแม่นางเสี่ยวซวงบรรเลงเพลงให้ท่านผ่อนคลายสักหน่อยก่อนหรือไม่?”หวงต้าหยวนยิ้มพราวเสน่ห์ฉินอวิ๋นฟานเชยตาเล็กน้อย เคลื่อนสายตาไปถึงตัวสองดรุณี อดสั่นระริกไม่ได้ ช่างเป็นกุหลาบหนามคู่หนึ่งแท้ ๆ ดูงดงามไร้ที่ติ กลับมิอาจเด็ดดอมพอนึกถึงประสบการณ์ในคืนวันนั้น ฉินอว
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ