“เสียงดังจัง พวกเจ้าจะเงียบกันหน่อยได้ไหม!”ฉินอวิ๋นฟานที่กำลังสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาจากเสียงเซ็งแซ่ข้างนอก แต่จังหวะที่เห็นไท่ซั่งหวงกำลังนั่งอยู่ข้างเตียงพลันตะลึง เขารีบลุกขึ้นนั่ง ทว่าร่างกายหนักอึ้งดังศิลาลุกไม่ขึ้น จึงรีบเอ่ยปาก “เสด็จปู่...”“เอาละ เจ้ารีบนอนดี ๆ เถอะ ไม่ต้องคำนับแล้ว!”ไท่ซั่งหวงเอ่ยด้วยใบหน้ามีเมตตา “พอประมาณแล้ว พวกเจ้าพี่น้องออกไปเถอะ ฟานเอ๋อร์บาดเจ็บหนักมาก ต้องพักผ่อนเงียบ ๆ”“พ่ะย่ะค่ะ!”องค์ชายใหญ่บรรลุเป้าหมายจึงนำบรรดาองค์ชายออกนอกห้องฉินอวิ๋นฟานด้วยความแช่มชื่น“ฟานเอ๋อร์ ตอนนี้เจ้ารู้สึกเป็นยังไงบ้าง?”ไท่ซั่งหวงกุมมือของฉินอวิ๋นฟาน ถามด้วยความห่วงใยหนักหนา“ขอบพระทัยเสด็จปู่ที่ทรงเป็นห่วง ตอนนี้หม่อมฉันรู้สึกดีขึ้นมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ฉินอวิ๋นฟานหันไปมองมู่หรงจิ่นอย่างไร้เรี่ยวแรง “จริงสิจิ่นเอ๋อร์ อาจ้านเป็นยังไงบ้าง? เขายังดีอยู่ไหม?”ภาพระทึกขวัญเมื่อคืนยังปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาถึงตอนนี้ อาจ้านบังอยู่หน้าเขาด้วยชีวิต ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ย่อถอยแม้แต่น้อย ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ถึงอาจ้านจะสู้ไม่ได้แต่จะเอาตัวรอดกลับไม่เป็นปัญหาแต่เพื่อให้เขามีโอกาสเศษเ
“พ่ะย่ะค่ะ!”เฉาเจิ้งฉุนยิ้มน้อย ๆ และเอ่ย “รัชทายาท ต่ำกว่าวิถียุทธ์ระดับเก้าจัดอยู่ในจำพวกพลังแห่งวิถียุทธ์ ภายใต้การฝึกฝนและวิธีการที่ถูกต้อง จะเพิ่มระดับความเร็วและกำลังอย่างก้าวกระโดด การจะไปถึงขั้นนั้นกลับมิยาก หากไม่มีพรสวรรค์ก็ใช้ความอุตสาหะก็พอ”“หลาย ๆ แคว้นจะจัดตั้งกองทัพระดับเช่นนี้ขึ้น ฝีมือน่าสะพรึงกลัว กำลังการรบยิ่งน่าทึ่ง ก็อย่างเช่นค่ายหู่เปินของแคว้นต้าเยียนก็คือกองทัพเช่นนี้”“ค่ายหู่เปินของตระกูลหลัวต้าเยียน? ตัวตนที่หนึ่งค่ายสามารถล้มล้างหนึ่งแคว้น?” ฉินอวิ๋นฟานนัยน์ตาหดเล็กพลางพูดเมื่อวานเขาเพิ่งได้ยินหลิวเป้ยพูดถึงเรื่องของค่ายหู่เปินต้าเยียน คิดไม่ถึงว่าจะเป็นตัวตนน่ากลัวระดับนี้ พอคำพูดนี้ออกมาจากปากของเฉาเจิ้งฉุน ฉินอวิ๋นฟานพลันเชื่อสนิทใจ“ถูกต้อง! ค่ายหู่เปินก็คือไพ่ตายของตระกูลหลัว”เฉาเจิ้งฉุนยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อ “เหนือพลังวิถียุทธ์ก็จะถึงอีกระดับหนึ่ง เป็นพลังเหนือขั้นที่สามารถล้ำหน้าปุถุชน ความเร็วเฉกเช่นเงาสายหนึ่ง วิสัยทัศน์และการรับรู้จะว่องไวมากกว่าเดิม ฆ่าคนไร้รูป”“เอ่อ นั่นมันระดับอะไรหรือ?”ฉินอวิ๋นฟานฟังแล้วเหมือนอยู่ในเมฆกลางหมอก เ
“เสด็จปู่ จะให้หัวหน้าขันทีเฉาฝึกฝนเฉินม่อเพื่อนเรียนของหม่อมฉันหน่อยได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? เขามีลักษณะไม่เลว และเป็นคนที่เชื่อถือได้มากที่สุด”ฉินอวิ๋นฟานเอ่ยปาก“เจ้าเด็กนี่คิดจะฉวยโอกาสทำตัวน่าสงสารต่อหน้าข้าละสิ จะสอดมือเข้าหน่วยบูรพา ดีดลูกคิดดังแปะ ๆ เชียวนะ! เจ้าคิดว่าข้าจะรับปากเรื่องนี้รึ?!”พอได้ยินเรื่องที่ฉินอวิ๋นฟานร้องขอ ไท่ซั่งหวงก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก หน่วยบูรพาคือไพ่ตายในมือของเขา จะให้คนอื่นแตะต้องได้อย่างไร?เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึง ฉินอวิ๋นฟานกลับมีคำขอเช่นนี้ได้“เสด็จปู่ ทรงอุทิศกายใจทั้งชีวิตเพื่อต้าเฉียน ในยามที่ควรได้เสพสุขกับบั้นปลาย กลับถูกบีบให้ต้องออกมาควบคุมสถานการณ์ พูดง่าย ๆ ก็คือไม่วางใจพวกเราที่เป็นองค์ชายเหล่านี้มิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ?”ฉินอวิ๋นฟานเริ่มใช้ลิ้นสามนิ้วไม่เน่า[1]และน้ำเสียงท่าทางประทับใจคนของเขาทันที ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเกลี้ยกล่อมไท่ซั่งหวงให้ได้ การให้เฉินม่อเข้าหน่วยบูรพาสำคัญอย่างยิ่งยวดจริง ๆ นี่ทำให้เขากลายเป็นอาวุธลับอีกชิ้นในมือของเขาเขาเอ่ยต่อ “คาดว่าพระองค์คงทอดพระเนตรเห็นสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว พวกพี่ใหญ่พี่รองต่างมีขุมกำ
เซี่ยงเส้าหลงเป็นคนร่างใหญ่กำยำ หากความคิดละเอียดรอบคอบ ครั้นได้ยินว่าฉินอวิ๋นฟานถูกลอบสังหารก็ออกเดินทางมายังตำหนักรัชทายาททันที อย่างไรเสีย ฉินอวิ๋นฟานก็คือผู้มีพระคุณของตระกูลเซี่ยง“คารวะรัชทายาท!”เซี่ยงเส้าหลงพ่อลูกมาถึงในห้องของฉินอวิ๋นฟานพลันคุกเข่าลงหน้าเตียง ท่าทีเคารพนบนอบอย่างยิ่งภาพนี้ทำให้ฉินอวิ๋นฟานประหลาดใจเล็กน้อย จึงรีบพูด “ผู้นำตระกูลเซี่ยงรีบลุกขึ้นเถิด ไม่ต้องเกรงใจ!”“รัชทายาท ตอนนี้ท่านรู้สึกดีขึ้นบ้างแล้วหรือ?”เซี่ยงเส้าหลงลุกขึ้น ถามอย่างห่วงใยอย่างหาที่เปรียบมิได้“ขอบคุณผู้นำตระกูลเซี่ยงที่เป็นห่วง ตอนนี้ข้าไม่เป็นอะไรมากแล้ว แผลดาบไม่ลึกมาก เพียงแต่อวัยวะภายในบอบช้ำหนัก พักระยะหนึ่งก็หายดีแล้ว”ฉินอวิ๋นฟานตอบ“เฮ้อ รัชทายาทคือผู้มีพระคุณใหญ่หลวงของตระกูลเซี่ยงเรา กลับเจอกับเรื่องไม่คาดฝันเช่นนี้ เสียทีที่ตระกูลเซี่ยงเราเป็นตระกูลวิถียุทธ์ชื่อดัง พูดออกไปยังทำให้ข้ารู้สึกขายหน้านัก”เซี่ยงเส้าหลงถอนหายใจ ทำหน้ารู้สึกผิด ส่ายหน้าด้วยความจนใจมาก“ภัยพิบัติฟ้าเคราะห์คน ใครจะกำหนดได้เล่า? ผู้นำตระกูลเซี่ยงมิต้องใส่ใจหรอก”ฉินอวิ๋นฟานพูดด้วยใบหน้าอมทุ
“ความหมายของรัชทายาทคือ อยากให้ตระกูลเซี่ยงเราฝึกทหารให้ท่านหรือ?”เซี่ยงเส้าหลงขมวดคิ้วเล็กน้อย คำขอนี้ของฉินอวิ๋นฟานทำให้เขามิอาจปฏิเสธได้จริง ๆ เพราะนอกจากฉินอวิ๋นฟานจะช่วยบิดาของเขากลับมาจากประตูนรก ยังมอบสัดส่วนช่องทางอู่เหลียงเย่ให้ตระกูลเซี่ยงอีก บุญคุณและไมตรีนี้ยากจะเอ่ยด้วยวาจาที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ฉินอวิ๋นฟานไม่เคยมีคำขอเกินเหตุต่อตระกูลเซี่ยงมาก่อน ยิ่งไม่มีท่าทีจะดึงพวกเขาเข้าพวก หลังจากคลุกคลีกันก็เหมือนกับสหายคนหนึ่งคำขอครั้งนี้ของฉินอวิ๋นฟานไม่ถือว่าเกินเลยเหมือนกัน กระนั้นอาจทำให้คนเข้าใจผิดได้ เพราะพวกเขาคือตระกูลวิถียุทธ์ชื่อดัง เดิมสมควรรักษาระยะห่างกับราชวงศ์อยู่แล้ว“ถูกต้อง แต่ข้าจะเชิญและให้ค่าตอบแทนเป็นสองเท่าของตลาด เชิญยอดฝีมือของพวกท่านตระกูลเซี่ยงช่วยพัฒนาค่ายทานหลางและค่ายทัพหน้าของข้า”ฉินอวิ๋นฟานพูดจริงจัง “แต่ท่านไม่ต้องกังวลไป ข้าแค่ต้องการให้พวกทหารมีฝีมือถึงแค่พลังแห่งวิถียุทธ์ก็พอ สำหรับยุทธ์แท้ขึ้นไปมันคือเป็นไปไม่ได้ อีกอย่างการจะพัฒนาฝีมือด้านวิถียุทธ์จำเป็นต้องมีความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ประมาณหนึ่ง ส่วนคนที่ไม่เหมาะสมข้าจะวางแผนตามความสามา
“พี่อวิ๋นฟาน ดื่มน้ำแกงไก่บำรุงสักหน่อยเถอะ!”มู่หรงจิ่นยกน้ำแกงไก่มาถ้วยหนึ่ง น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลมากขึ้น นางนั่งอยู่ข้างเตียงฉินอวิ๋นฟานเบา ๆ ก่อนจะตักน้ำแกงไก่ส่งถึงริมฝีปากฉินอวิ๋นฟานด้วยมือของตัวเองเห็นดวงหน้ามู่หรงจิ่นซีดเซียวเล็กน้อย ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย เห็นชัดว่าอยู่กับเขาทั้งคืน หนำซ้ำยังตุ๋นน้ำแกงไก่ให้เขาเองอีก ฉินอวิ๋นฟานเกิดความรู้สึกประทับใจอย่างไม่มีสาเหตุ ภาพแห่งความสุขผ่อนคลายเช่นนี้คือสิ่งที่เขาคาดหวังมาตลอด ไม่นึกว่าจะเป็นความจริงแล้วฉินอวิ๋นฟานแสบจมูกพลางพูด “จิ่นเอ๋อร์ เจ้าดีจริง ๆ!”“พี่อวิ๋นฟานบาดเจ็บหนักยังพยายามขนาดนั้น ข้าละอายใจนักที่ทำให้ท่านได้เพียงเท่านี้ ถึงข้าจะปวดใจกับท่านมาก แต่ข้าก็รู้ถึงความโหดเหี้ยมในศึกระหว่างองค์ชาย นับจากท่านย่างเท้าขึ้นสู่เส้นทางนี้ก็หันหลังกลับไม่ได้แล้ว”มู่หรงจิ่นพูดด้วยใบหน้าอ่อนโยน “เป็นคนรักของท่าน ที่ข้าทำได้เพียงอย่างเดียวก็คือสนับสนุนท่านอย่างไม่มีเงื่อนไข อยู่เป็นเพื่อนท่าน ไม่เป็นตัวถ่วงของท่าน ทำให้ท่านชิงใต้หล้ามาอย่างสบายใจ นี่คือปณิธานของท่าน และเป็นเป้าหมายในความอุตสาหะของท่านด้วย ข้ารู้สึกโช
“อื้ม!”เพื่อปลอบประโลมจิตวิญญาณที่ได้รับบาดเจ็บของฉินอวิ๋นฟาน มู่หรงจิ่นจึงจุมพิตลงบนหน้าผากของเขาทีหนึ่ง จากนั้นก็กอดแขนของฉินอวิ๋นฟานแล้วพูดขึ้นว่า “พี่อวิ๋นฟาน ข้าอยากกอดท่านไว้อย่างนี้ตลอดไปจังเลย อบอุ่นใจนัก”“อื่ม ข้าก็เหมือนกัน!”ฉินอวิ๋นฟานลูบเส้นผมของมู่หรงจิ่นด้วยใบหน้าละมุน รู้สึกปลื้มใจนัก จากนั้นทั้งสองก็พูดถ้อยคำหวานชื่นและเข้าสู่ห้วงแห่งความฝันช้า ๆ ทั้งอย่างนี้......“องค์ชายใหญ่ นี่ท่านจะทำอะไรน่ะ? ข้าน้อยเป็นหัวหน้าพิทักษ์เมืองหลวงและกำลังลาดตระเวนพิทักษ์เมืองอยู่นะ ทำไมจู่ ๆ ท่านก็ลงไม้ลงมือกับข้าเล่า?”ก็ขณะที่เยียนเป่ยกำลังลาดตระเวนไปตามประตูเมืองทั้งหลาย จู่ ๆ ก็ถูกองครักษ์ขององค์ชายใหญ่กลุ่มหนึ่งขวางเอาไว้ จังหวะที่เยียนเป่ยเห็นคนที่มา นัยน์ตาพลันหดเล็ก สีหน้าเปลี่ยนเป็นปั้นยากฉับพลัน“เหอะ ข้าจะจับเยียนเป่ยหัวหน้าหน่วยพิทักษ์เมืองหลวงเจ้านั่นแหละ! สำหรับทำไมต้องลงไม้ลงมือ? ถึงคุกหลวงเจ้าก็จะรู้เอง!”องค์ชายใหญ่โจมตีด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ เขาพูดด้วยท่าทีแข็งกร้าวที่สุด “นี่คือพระบัญชาจากไท่ซั่งหวง ข้าขอเตือนให้เจ้าทำตามพระบัญชาแต่โดยดี ไม่อย่างนั้น ใ
ทันทีที่ซุนหั่ววั่งเห็นชัดว่าคนที่มาคือใคร รูม่านตาหดเล็กฉับพลัน ตกใจจนปัสสาวะราดเดี๋ยวนั้น ตะลีตะลานสวมใส่เสื้อผ้าแล้วคุกเข่าตรงหน้าฉินอวิ๋นคังด้วยใบหน้าตื่นตระหนก“หึ! เจ้าสุนัข! พวกเจ้าพ่อลูกช่างรู้จักสนุกกันจริง ๆ นะ!”ฉินอวิ๋นคังแค่นฮึเสียงเย็น ถีบเท้าไปบนตัวของซุนหั่ววั่ง ไม่นึกว่าวิธีการสนุกของพ่อลูกคู่นี้จะประหลาดพันลึกเช่นนี้ ลบล้างทัศนคติทั้งสามของเขาโดยสิ้นเชิง“เอ่อ หาความแปลกใหม่เป็นครั้งคราวขอรับ ทำให้องค์ชายใหญ่เห็นเรื่องขายหน้าแล้ว”ซุนหั่ววั่งกระดากใจถึงที่สุด แทบอยากแทรกแผ่นดินหนี ให้เขาคิดจนหัวร้างข้างแตกก็คิดไม่ถึงว่าองค์ชายใหญ่จะปรากฏตัวที่นี่ เขาจึงถามเสียงอ้อมแอ้ม “ไม่ทราบองค์ชายใหญ่มาเยือนกะทันหันด้วยเรื่องอันใดหรือขอรับ? หากท่านอยากเข้าร่วมด้วย อันที่จริงก็ได้นะขอรับ”ซุนหั่ววั่งคิดจนหัวแตกแล้ว แต่ก็ยังคิดไม่ตกว่าฉินอวิ๋นคังมาปรากฏตัวที่นี่ทำไม ดังนั้นการอธิบายเพียงหนึ่งเดียวคือ หรือว่าเขาก็มีรสนิยมนี้เหมือนกัน?“ไสหัวไป!”ใบหน้าฉินอวิ๋นคังแข็งทื่อไปในบัดดล ถีบบนตัวของซุนหั่ววั่งอีกครั้ง แล้วพูดด้วยสีหน้าดำทะมึน “ใครก็ได้ จับตัวพ่อลูกคู่นี้เอาไว้!”“หา?