“อวิ๋นฮุย ทั้งหมดเป็นความคิดของข้าคนเดียว เจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นฟืนเป็นไฟเช่นนี้”เหอเหวินเย่าพูดด้วยหน้าตาเข้มขรึม “ข้าเป็นคนออกความคิดเปลี่ยนตัวอู๋อีฝานเอง เพราะยอดฝีมือวิถียุทธ์ระดับเก้าสิบห้าคน ฆ่าฉินอวิ๋นฟานง่ายดังพลิกฝ่ามือ ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังของยุทธภพ แบบนี้ยังพอเหลือช่องทางให้พวกเราบ้าง”“ความจริงพิสูจน์แล้ว ที่ข้าทำเช่นนี้มันถูกต้อง! จังหวะสำคัญในการลอบฆ่าดันโผล่ผู้หญิงที่มีวรยุทธ์สูงส่งคนหนึ่ง ถึงอู๋อีฝานจะออกโรงก็ล้มเหลวเหมือนกัน ถึงตอนนั้นเรื่องนี้จะไม่มีทางให้หวนกลับ!”พอได้ฟังการอธิบายของเหอเหวินเย่า สีหน้าของฉินอวิ๋นฮุยดำทะมึนจนน่ากลัว ระยะนี้เดิมเขาก็เก็บกดไฟโกรธไร้รูปอยู่แล้ว แถมไม่ว่าอะไรก็ไม่เป็นดังหวัง นี่ทำให้เขาอึดอัดใจอย่างหาที่เปรียบมิได้ไม่นึกว่าภารกิจลอบฆ่าง่าย ๆ นี้ยังจะล้มเหลวอีก ซวยชะมัด!“งั้นตอนนี้จะทำยังไงดี? จะให้ฉินอวิ๋นฟานขี่อยู่บนหัวข้า อึฉี่ใส่หัวข้าอย่างนี้ตลอดไปรึ?! ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ข้ายังจะชิงบัลลังก์ยังไง?! พวกท่านช่วยนึกถึงหัวอกของข้าในตอนนี้บ้างได้ไหม?!”จิตใจฉินอวิ๋นฮุยพังทลายสิ้นแล้ว ในฐานะที่เป็นองค์ชายผู้สูงศักดิ์ ทุกสิ่งทุกอย่าง
“ท่าน ท่านความหมายว่าหน่วยบูรพาเคลื่อนไหวแล้วหรือ?”องค์ชายรองมุมปากกระตุก เวลานี้เขาตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องแล้ว เขาเคยได้ยินท่านตาบอกว่าอย่าผูกศัตรูกับหน่วยบูรพาง่าย ๆ ความน่าสะพรึงกลัวของหน่วยบูรพาอยู่เหนือจินตนาการของพวกเขานักหลายปีอย่างนี้ เขาแทบไม่เคยเห็นหน่วยบูรพาเคลื่อนไหวมาก่อน ไม่คิดว่าพอลงมือจะรวดเร็วปานสายฟ้าเช่นนี้ อยู่เหนือความคาดหมายของเขาโดยสิ้นเชิง!“นี่ยังต้องให้บอกอีกรึ?!”เหอเหวินเย่าสีหน้าอึมครึม “ดูท่าครั้งนี้ไท่ซั่งหวงจะกริ้วแล้วจริง ๆ รีบคิดหาทางแก้ไขเถอะ ข้าต้องรีบกลับไปขอความช่วยเหลือจากท่านพ่อแล้ว หวังว่าเรื่องราวจะไม่ถึงจัดการให้เรียบร้อยไม่ได้”ช่วงเวลาคับขัน เหอเหวินเย่าไม่กล้าให้เสียเวลาสักนิด รีบวิ่งโร่ไปยังตระกูลเหอทันที“ท่านลิ่งหู พวกเรา พวกเราจะทำยังไงดี?!”ฉินอวิ๋นฮุยจ้องลิ่งหูชงแบบวิญญาณออกจากร่าง ตอนนี้เขานึกเสียใจที่สุด แต่ทุกอย่างมันสายไปแล้ว ให้เขาคิดยังไงก็คิดไม่ถึง ไท่ซั่งหวงกลับให้หน่วยบูรพาออกโรง หนำซ้ำยังลงมือได้ฉับไวนักทีแรกเขาคิดว่าลองทุ่มหมดหน้าตักเสี่ยงดูสักครั้ง กลับพบว่านี่อาจเป็นหนทางที่ไม่สามารถหวนคืน“เหอะ ทำยังไง
ไท่ซั่งหวงพึงพอใจพยักหน้า การแสดงออกของฉินอวิ๋นคังในครั้งนี้สุดตาเขาทันที ในฐานะที่เป็นขุนศึกคนหนึ่ง ทั้งยังมีประสาทสัมผัสว่องไวที่สุด ครั้นประสบกับเรื่องใหญ่และสำคัญพลันตัดสินใจเด็ดขาด แสดงท่วงทำนองขององค์ชายคนหนึ่งออกมาจนสิ้น ไท่ซั่งหวงจำต้องตะลึงและทอดถอนใจ เกรงว่าองค์ชายใหญ่จะมีผู้เก่งกาจชี้แนะอยู่ข้างหลัง“ขอบพระทัยเสด็จปู่ที่ทรงชม ล้วนเป็นสิ่งที่หม่อมฉันสมควรทำอยู่แล้ว หม่อมฉันจะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง แม้ต้องสู้จนลมเฮือกสุดท้ายก็ต้องพิทักษ์ต้าเฉียนอย่างดี รักษาอำนาจราชวงศ์ต้าเฉียนมิให้ถูกเหยียบย่ำพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินอวิ๋นคังเอ่ยอย่างจริงจังที่สุด“ดี! ดีมาก!”สิ้นเสียงไท่ซั่งหวง องค์ชายหกและองค์ชายองค์อื่น ๆ ก็มาถึงนอกตำหนักเหยียนเหนียนและกำลังรอไท่ซั่งหวงเรียกเข้าเฝ้า“คังเอ๋อร์ ไป ตามข้าไปตำหนักรัชทายาทร่วมกันองค์ชายองค์อื่น ๆ เถอะ”ไท่ซั่งหวงเจาะจงแสดงให้เห็นถึงตำแหน่งสำคัญขององค์ชายใหญ่ เช้ามาเขามีแขกแค่คนเดียว นั่นก็คือฉินอวิ๋นคัง จะว่าไปท่าทีขององค์ชายใหญ่คือเรื่องดีสำหรับเขาอย่างมิต้องสงสัย ดังนั้นเขาต้องทำให้เห็นถึงตำแหน่งสำคัญของอีกฝ่ายในเวลานี้“ถวายบังคมไท่ซั่งหวง!”
“เสียงดังจัง พวกเจ้าจะเงียบกันหน่อยได้ไหม!”ฉินอวิ๋นฟานที่กำลังสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาจากเสียงเซ็งแซ่ข้างนอก แต่จังหวะที่เห็นไท่ซั่งหวงกำลังนั่งอยู่ข้างเตียงพลันตะลึง เขารีบลุกขึ้นนั่ง ทว่าร่างกายหนักอึ้งดังศิลาลุกไม่ขึ้น จึงรีบเอ่ยปาก “เสด็จปู่...”“เอาละ เจ้ารีบนอนดี ๆ เถอะ ไม่ต้องคำนับแล้ว!”ไท่ซั่งหวงเอ่ยด้วยใบหน้ามีเมตตา “พอประมาณแล้ว พวกเจ้าพี่น้องออกไปเถอะ ฟานเอ๋อร์บาดเจ็บหนักมาก ต้องพักผ่อนเงียบ ๆ”“พ่ะย่ะค่ะ!”องค์ชายใหญ่บรรลุเป้าหมายจึงนำบรรดาองค์ชายออกนอกห้องฉินอวิ๋นฟานด้วยความแช่มชื่น“ฟานเอ๋อร์ ตอนนี้เจ้ารู้สึกเป็นยังไงบ้าง?”ไท่ซั่งหวงกุมมือของฉินอวิ๋นฟาน ถามด้วยความห่วงใยหนักหนา“ขอบพระทัยเสด็จปู่ที่ทรงเป็นห่วง ตอนนี้หม่อมฉันรู้สึกดีขึ้นมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ฉินอวิ๋นฟานหันไปมองมู่หรงจิ่นอย่างไร้เรี่ยวแรง “จริงสิจิ่นเอ๋อร์ อาจ้านเป็นยังไงบ้าง? เขายังดีอยู่ไหม?”ภาพระทึกขวัญเมื่อคืนยังปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาถึงตอนนี้ อาจ้านบังอยู่หน้าเขาด้วยชีวิต ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ย่อถอยแม้แต่น้อย ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ถึงอาจ้านจะสู้ไม่ได้แต่จะเอาตัวรอดกลับไม่เป็นปัญหาแต่เพื่อให้เขามีโอกาสเศษเ
“พ่ะย่ะค่ะ!”เฉาเจิ้งฉุนยิ้มน้อย ๆ และเอ่ย “รัชทายาท ต่ำกว่าวิถียุทธ์ระดับเก้าจัดอยู่ในจำพวกพลังแห่งวิถียุทธ์ ภายใต้การฝึกฝนและวิธีการที่ถูกต้อง จะเพิ่มระดับความเร็วและกำลังอย่างก้าวกระโดด การจะไปถึงขั้นนั้นกลับมิยาก หากไม่มีพรสวรรค์ก็ใช้ความอุตสาหะก็พอ”“หลาย ๆ แคว้นจะจัดตั้งกองทัพระดับเช่นนี้ขึ้น ฝีมือน่าสะพรึงกลัว กำลังการรบยิ่งน่าทึ่ง ก็อย่างเช่นค่ายหู่เปินของแคว้นต้าเยียนก็คือกองทัพเช่นนี้”“ค่ายหู่เปินของตระกูลหลัวต้าเยียน? ตัวตนที่หนึ่งค่ายสามารถล้มล้างหนึ่งแคว้น?” ฉินอวิ๋นฟานนัยน์ตาหดเล็กพลางพูดเมื่อวานเขาเพิ่งได้ยินหลิวเป้ยพูดถึงเรื่องของค่ายหู่เปินต้าเยียน คิดไม่ถึงว่าจะเป็นตัวตนน่ากลัวระดับนี้ พอคำพูดนี้ออกมาจากปากของเฉาเจิ้งฉุน ฉินอวิ๋นฟานพลันเชื่อสนิทใจ“ถูกต้อง! ค่ายหู่เปินก็คือไพ่ตายของตระกูลหลัว”เฉาเจิ้งฉุนยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อ “เหนือพลังวิถียุทธ์ก็จะถึงอีกระดับหนึ่ง เป็นพลังเหนือขั้นที่สามารถล้ำหน้าปุถุชน ความเร็วเฉกเช่นเงาสายหนึ่ง วิสัยทัศน์และการรับรู้จะว่องไวมากกว่าเดิม ฆ่าคนไร้รูป”“เอ่อ นั่นมันระดับอะไรหรือ?”ฉินอวิ๋นฟานฟังแล้วเหมือนอยู่ในเมฆกลางหมอก เ
“เสด็จปู่ จะให้หัวหน้าขันทีเฉาฝึกฝนเฉินม่อเพื่อนเรียนของหม่อมฉันหน่อยได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? เขามีลักษณะไม่เลว และเป็นคนที่เชื่อถือได้มากที่สุด”ฉินอวิ๋นฟานเอ่ยปาก“เจ้าเด็กนี่คิดจะฉวยโอกาสทำตัวน่าสงสารต่อหน้าข้าละสิ จะสอดมือเข้าหน่วยบูรพา ดีดลูกคิดดังแปะ ๆ เชียวนะ! เจ้าคิดว่าข้าจะรับปากเรื่องนี้รึ?!”พอได้ยินเรื่องที่ฉินอวิ๋นฟานร้องขอ ไท่ซั่งหวงก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก หน่วยบูรพาคือไพ่ตายในมือของเขา จะให้คนอื่นแตะต้องได้อย่างไร?เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึง ฉินอวิ๋นฟานกลับมีคำขอเช่นนี้ได้“เสด็จปู่ ทรงอุทิศกายใจทั้งชีวิตเพื่อต้าเฉียน ในยามที่ควรได้เสพสุขกับบั้นปลาย กลับถูกบีบให้ต้องออกมาควบคุมสถานการณ์ พูดง่าย ๆ ก็คือไม่วางใจพวกเราที่เป็นองค์ชายเหล่านี้มิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ?”ฉินอวิ๋นฟานเริ่มใช้ลิ้นสามนิ้วไม่เน่า[1]และน้ำเสียงท่าทางประทับใจคนของเขาทันที ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเกลี้ยกล่อมไท่ซั่งหวงให้ได้ การให้เฉินม่อเข้าหน่วยบูรพาสำคัญอย่างยิ่งยวดจริง ๆ นี่ทำให้เขากลายเป็นอาวุธลับอีกชิ้นในมือของเขาเขาเอ่ยต่อ “คาดว่าพระองค์คงทอดพระเนตรเห็นสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว พวกพี่ใหญ่พี่รองต่างมีขุมกำ
เซี่ยงเส้าหลงเป็นคนร่างใหญ่กำยำ หากความคิดละเอียดรอบคอบ ครั้นได้ยินว่าฉินอวิ๋นฟานถูกลอบสังหารก็ออกเดินทางมายังตำหนักรัชทายาททันที อย่างไรเสีย ฉินอวิ๋นฟานก็คือผู้มีพระคุณของตระกูลเซี่ยง“คารวะรัชทายาท!”เซี่ยงเส้าหลงพ่อลูกมาถึงในห้องของฉินอวิ๋นฟานพลันคุกเข่าลงหน้าเตียง ท่าทีเคารพนบนอบอย่างยิ่งภาพนี้ทำให้ฉินอวิ๋นฟานประหลาดใจเล็กน้อย จึงรีบพูด “ผู้นำตระกูลเซี่ยงรีบลุกขึ้นเถิด ไม่ต้องเกรงใจ!”“รัชทายาท ตอนนี้ท่านรู้สึกดีขึ้นบ้างแล้วหรือ?”เซี่ยงเส้าหลงลุกขึ้น ถามอย่างห่วงใยอย่างหาที่เปรียบมิได้“ขอบคุณผู้นำตระกูลเซี่ยงที่เป็นห่วง ตอนนี้ข้าไม่เป็นอะไรมากแล้ว แผลดาบไม่ลึกมาก เพียงแต่อวัยวะภายในบอบช้ำหนัก พักระยะหนึ่งก็หายดีแล้ว”ฉินอวิ๋นฟานตอบ“เฮ้อ รัชทายาทคือผู้มีพระคุณใหญ่หลวงของตระกูลเซี่ยงเรา กลับเจอกับเรื่องไม่คาดฝันเช่นนี้ เสียทีที่ตระกูลเซี่ยงเราเป็นตระกูลวิถียุทธ์ชื่อดัง พูดออกไปยังทำให้ข้ารู้สึกขายหน้านัก”เซี่ยงเส้าหลงถอนหายใจ ทำหน้ารู้สึกผิด ส่ายหน้าด้วยความจนใจมาก“ภัยพิบัติฟ้าเคราะห์คน ใครจะกำหนดได้เล่า? ผู้นำตระกูลเซี่ยงมิต้องใส่ใจหรอก”ฉินอวิ๋นฟานพูดด้วยใบหน้าอมทุ
“ความหมายของรัชทายาทคือ อยากให้ตระกูลเซี่ยงเราฝึกทหารให้ท่านหรือ?”เซี่ยงเส้าหลงขมวดคิ้วเล็กน้อย คำขอนี้ของฉินอวิ๋นฟานทำให้เขามิอาจปฏิเสธได้จริง ๆ เพราะนอกจากฉินอวิ๋นฟานจะช่วยบิดาของเขากลับมาจากประตูนรก ยังมอบสัดส่วนช่องทางอู่เหลียงเย่ให้ตระกูลเซี่ยงอีก บุญคุณและไมตรีนี้ยากจะเอ่ยด้วยวาจาที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ฉินอวิ๋นฟานไม่เคยมีคำขอเกินเหตุต่อตระกูลเซี่ยงมาก่อน ยิ่งไม่มีท่าทีจะดึงพวกเขาเข้าพวก หลังจากคลุกคลีกันก็เหมือนกับสหายคนหนึ่งคำขอครั้งนี้ของฉินอวิ๋นฟานไม่ถือว่าเกินเลยเหมือนกัน กระนั้นอาจทำให้คนเข้าใจผิดได้ เพราะพวกเขาคือตระกูลวิถียุทธ์ชื่อดัง เดิมสมควรรักษาระยะห่างกับราชวงศ์อยู่แล้ว“ถูกต้อง แต่ข้าจะเชิญและให้ค่าตอบแทนเป็นสองเท่าของตลาด เชิญยอดฝีมือของพวกท่านตระกูลเซี่ยงช่วยพัฒนาค่ายทานหลางและค่ายทัพหน้าของข้า”ฉินอวิ๋นฟานพูดจริงจัง “แต่ท่านไม่ต้องกังวลไป ข้าแค่ต้องการให้พวกทหารมีฝีมือถึงแค่พลังแห่งวิถียุทธ์ก็พอ สำหรับยุทธ์แท้ขึ้นไปมันคือเป็นไปไม่ได้ อีกอย่างการจะพัฒนาฝีมือด้านวิถียุทธ์จำเป็นต้องมีความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ประมาณหนึ่ง ส่วนคนที่ไม่เหมาะสมข้าจะวางแผนตามความสามา
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ