“เรียนเสด็จอา จากสถานการณ์ในปัจจุบันของต้าเฉียน ข้าคิดว่าเป็นฝีมือของพี่รอง เรื่องหัวหนูเมื่อก่อนหน้านี้มีเงาของเขาอยู่เบื้องหลัง และเขาคือคนที่แค้นฉินอวิ๋นฟานที่สุด มีความมั่นใจกล้าเอาชีวิตฉินอวิ๋นฟานที่สุดด้วย”องค์ชายหกฉินอวิ๋นกว่างตอบคำถาม“อื่ม เจ้าทายถูก ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ น่าจะเป็นผลงานขององค์ชายรองอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เจ้าคิดว่าไท่ซั่งหวงจะเปิดศึกใหญ่กับองค์ชายรองเพราะเรื่องนี้หรือไม่?”ฉินอ้าวถามต่อ“ข้าคิดว่าไท่ซั่งหวงจะไม่ทำเช่นนั้น”ฉินอวิ๋นกว่างตั้งใจวิเคราะห์ “ประการแรก พี่รองคือคนที่มีอิทธิพลแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาองค์ชาย และเป็นคนที่เชี่ยวชาญการวางแผนใช้อุบายที่สุด ประการที่สอง พี่รองมีผู้ติดตามในต้าเฉียนมาก ตระกูลเหอยิ่งเป็นตระกูลเก่าแก่สี่ศตวรรษ มีกำลังน่ากลัวมาก ไม่มีทางแตะต้องเขาได้”“ทันทีที่เปิดศึกใหญ่ ต้าเฉียนต้องพังทลายแน่ ความโกลาหลภายในเพิ่มระดับ สถานการณ์หลุดจากการควบคุมโดยสิ้นเชิง!”ฟังการวิเคราะห์ของฉินอวิ๋นกว่าง ฉินอ้าวหัวเราะเบา ๆ พลางพยักหน้าพึงพอใจจากนั้นจึงถามขึ้นอีกครั้ง “โบราณว่าไว้กำแพงล้มคนยากจะดัน ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง องค์ชายรองก็คง
“อวิ๋นฮุย ทั้งหมดเป็นความคิดของข้าคนเดียว เจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นฟืนเป็นไฟเช่นนี้”เหอเหวินเย่าพูดด้วยหน้าตาเข้มขรึม “ข้าเป็นคนออกความคิดเปลี่ยนตัวอู๋อีฝานเอง เพราะยอดฝีมือวิถียุทธ์ระดับเก้าสิบห้าคน ฆ่าฉินอวิ๋นฟานง่ายดังพลิกฝ่ามือ ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังของยุทธภพ แบบนี้ยังพอเหลือช่องทางให้พวกเราบ้าง”“ความจริงพิสูจน์แล้ว ที่ข้าทำเช่นนี้มันถูกต้อง! จังหวะสำคัญในการลอบฆ่าดันโผล่ผู้หญิงที่มีวรยุทธ์สูงส่งคนหนึ่ง ถึงอู๋อีฝานจะออกโรงก็ล้มเหลวเหมือนกัน ถึงตอนนั้นเรื่องนี้จะไม่มีทางให้หวนกลับ!”พอได้ฟังการอธิบายของเหอเหวินเย่า สีหน้าของฉินอวิ๋นฮุยดำทะมึนจนน่ากลัว ระยะนี้เดิมเขาก็เก็บกดไฟโกรธไร้รูปอยู่แล้ว แถมไม่ว่าอะไรก็ไม่เป็นดังหวัง นี่ทำให้เขาอึดอัดใจอย่างหาที่เปรียบมิได้ไม่นึกว่าภารกิจลอบฆ่าง่าย ๆ นี้ยังจะล้มเหลวอีก ซวยชะมัด!“งั้นตอนนี้จะทำยังไงดี? จะให้ฉินอวิ๋นฟานขี่อยู่บนหัวข้า อึฉี่ใส่หัวข้าอย่างนี้ตลอดไปรึ?! ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ข้ายังจะชิงบัลลังก์ยังไง?! พวกท่านช่วยนึกถึงหัวอกของข้าในตอนนี้บ้างได้ไหม?!”จิตใจฉินอวิ๋นฮุยพังทลายสิ้นแล้ว ในฐานะที่เป็นองค์ชายผู้สูงศักดิ์ ทุกสิ่งทุกอย่าง
“ท่าน ท่านความหมายว่าหน่วยบูรพาเคลื่อนไหวแล้วหรือ?”องค์ชายรองมุมปากกระตุก เวลานี้เขาตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องแล้ว เขาเคยได้ยินท่านตาบอกว่าอย่าผูกศัตรูกับหน่วยบูรพาง่าย ๆ ความน่าสะพรึงกลัวของหน่วยบูรพาอยู่เหนือจินตนาการของพวกเขานักหลายปีอย่างนี้ เขาแทบไม่เคยเห็นหน่วยบูรพาเคลื่อนไหวมาก่อน ไม่คิดว่าพอลงมือจะรวดเร็วปานสายฟ้าเช่นนี้ อยู่เหนือความคาดหมายของเขาโดยสิ้นเชิง!“นี่ยังต้องให้บอกอีกรึ?!”เหอเหวินเย่าสีหน้าอึมครึม “ดูท่าครั้งนี้ไท่ซั่งหวงจะกริ้วแล้วจริง ๆ รีบคิดหาทางแก้ไขเถอะ ข้าต้องรีบกลับไปขอความช่วยเหลือจากท่านพ่อแล้ว หวังว่าเรื่องราวจะไม่ถึงจัดการให้เรียบร้อยไม่ได้”ช่วงเวลาคับขัน เหอเหวินเย่าไม่กล้าให้เสียเวลาสักนิด รีบวิ่งโร่ไปยังตระกูลเหอทันที“ท่านลิ่งหู พวกเรา พวกเราจะทำยังไงดี?!”ฉินอวิ๋นฮุยจ้องลิ่งหูชงแบบวิญญาณออกจากร่าง ตอนนี้เขานึกเสียใจที่สุด แต่ทุกอย่างมันสายไปแล้ว ให้เขาคิดยังไงก็คิดไม่ถึง ไท่ซั่งหวงกลับให้หน่วยบูรพาออกโรง หนำซ้ำยังลงมือได้ฉับไวนักทีแรกเขาคิดว่าลองทุ่มหมดหน้าตักเสี่ยงดูสักครั้ง กลับพบว่านี่อาจเป็นหนทางที่ไม่สามารถหวนคืน“เหอะ ทำยังไง
ไท่ซั่งหวงพึงพอใจพยักหน้า การแสดงออกของฉินอวิ๋นคังในครั้งนี้สุดตาเขาทันที ในฐานะที่เป็นขุนศึกคนหนึ่ง ทั้งยังมีประสาทสัมผัสว่องไวที่สุด ครั้นประสบกับเรื่องใหญ่และสำคัญพลันตัดสินใจเด็ดขาด แสดงท่วงทำนองขององค์ชายคนหนึ่งออกมาจนสิ้น ไท่ซั่งหวงจำต้องตะลึงและทอดถอนใจ เกรงว่าองค์ชายใหญ่จะมีผู้เก่งกาจชี้แนะอยู่ข้างหลัง“ขอบพระทัยเสด็จปู่ที่ทรงชม ล้วนเป็นสิ่งที่หม่อมฉันสมควรทำอยู่แล้ว หม่อมฉันจะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง แม้ต้องสู้จนลมเฮือกสุดท้ายก็ต้องพิทักษ์ต้าเฉียนอย่างดี รักษาอำนาจราชวงศ์ต้าเฉียนมิให้ถูกเหยียบย่ำพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินอวิ๋นคังเอ่ยอย่างจริงจังที่สุด“ดี! ดีมาก!”สิ้นเสียงไท่ซั่งหวง องค์ชายหกและองค์ชายองค์อื่น ๆ ก็มาถึงนอกตำหนักเหยียนเหนียนและกำลังรอไท่ซั่งหวงเรียกเข้าเฝ้า“คังเอ๋อร์ ไป ตามข้าไปตำหนักรัชทายาทร่วมกันองค์ชายองค์อื่น ๆ เถอะ”ไท่ซั่งหวงเจาะจงแสดงให้เห็นถึงตำแหน่งสำคัญขององค์ชายใหญ่ เช้ามาเขามีแขกแค่คนเดียว นั่นก็คือฉินอวิ๋นคัง จะว่าไปท่าทีขององค์ชายใหญ่คือเรื่องดีสำหรับเขาอย่างมิต้องสงสัย ดังนั้นเขาต้องทำให้เห็นถึงตำแหน่งสำคัญของอีกฝ่ายในเวลานี้“ถวายบังคมไท่ซั่งหวง!”
“เสียงดังจัง พวกเจ้าจะเงียบกันหน่อยได้ไหม!”ฉินอวิ๋นฟานที่กำลังสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาจากเสียงเซ็งแซ่ข้างนอก แต่จังหวะที่เห็นไท่ซั่งหวงกำลังนั่งอยู่ข้างเตียงพลันตะลึง เขารีบลุกขึ้นนั่ง ทว่าร่างกายหนักอึ้งดังศิลาลุกไม่ขึ้น จึงรีบเอ่ยปาก “เสด็จปู่...”“เอาละ เจ้ารีบนอนดี ๆ เถอะ ไม่ต้องคำนับแล้ว!”ไท่ซั่งหวงเอ่ยด้วยใบหน้ามีเมตตา “พอประมาณแล้ว พวกเจ้าพี่น้องออกไปเถอะ ฟานเอ๋อร์บาดเจ็บหนักมาก ต้องพักผ่อนเงียบ ๆ”“พ่ะย่ะค่ะ!”องค์ชายใหญ่บรรลุเป้าหมายจึงนำบรรดาองค์ชายออกนอกห้องฉินอวิ๋นฟานด้วยความแช่มชื่น“ฟานเอ๋อร์ ตอนนี้เจ้ารู้สึกเป็นยังไงบ้าง?”ไท่ซั่งหวงกุมมือของฉินอวิ๋นฟาน ถามด้วยความห่วงใยหนักหนา“ขอบพระทัยเสด็จปู่ที่ทรงเป็นห่วง ตอนนี้หม่อมฉันรู้สึกดีขึ้นมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ฉินอวิ๋นฟานหันไปมองมู่หรงจิ่นอย่างไร้เรี่ยวแรง “จริงสิจิ่นเอ๋อร์ อาจ้านเป็นยังไงบ้าง? เขายังดีอยู่ไหม?”ภาพระทึกขวัญเมื่อคืนยังปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาถึงตอนนี้ อาจ้านบังอยู่หน้าเขาด้วยชีวิต ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ย่อถอยแม้แต่น้อย ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ถึงอาจ้านจะสู้ไม่ได้แต่จะเอาตัวรอดกลับไม่เป็นปัญหาแต่เพื่อให้เขามีโอกาสเศษเ
“พ่ะย่ะค่ะ!”เฉาเจิ้งฉุนยิ้มน้อย ๆ และเอ่ย “รัชทายาท ต่ำกว่าวิถียุทธ์ระดับเก้าจัดอยู่ในจำพวกพลังแห่งวิถียุทธ์ ภายใต้การฝึกฝนและวิธีการที่ถูกต้อง จะเพิ่มระดับความเร็วและกำลังอย่างก้าวกระโดด การจะไปถึงขั้นนั้นกลับมิยาก หากไม่มีพรสวรรค์ก็ใช้ความอุตสาหะก็พอ”“หลาย ๆ แคว้นจะจัดตั้งกองทัพระดับเช่นนี้ขึ้น ฝีมือน่าสะพรึงกลัว กำลังการรบยิ่งน่าทึ่ง ก็อย่างเช่นค่ายหู่เปินของแคว้นต้าเยียนก็คือกองทัพเช่นนี้”“ค่ายหู่เปินของตระกูลหลัวต้าเยียน? ตัวตนที่หนึ่งค่ายสามารถล้มล้างหนึ่งแคว้น?” ฉินอวิ๋นฟานนัยน์ตาหดเล็กพลางพูดเมื่อวานเขาเพิ่งได้ยินหลิวเป้ยพูดถึงเรื่องของค่ายหู่เปินต้าเยียน คิดไม่ถึงว่าจะเป็นตัวตนน่ากลัวระดับนี้ พอคำพูดนี้ออกมาจากปากของเฉาเจิ้งฉุน ฉินอวิ๋นฟานพลันเชื่อสนิทใจ“ถูกต้อง! ค่ายหู่เปินก็คือไพ่ตายของตระกูลหลัว”เฉาเจิ้งฉุนยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อ “เหนือพลังวิถียุทธ์ก็จะถึงอีกระดับหนึ่ง เป็นพลังเหนือขั้นที่สามารถล้ำหน้าปุถุชน ความเร็วเฉกเช่นเงาสายหนึ่ง วิสัยทัศน์และการรับรู้จะว่องไวมากกว่าเดิม ฆ่าคนไร้รูป”“เอ่อ นั่นมันระดับอะไรหรือ?”ฉินอวิ๋นฟานฟังแล้วเหมือนอยู่ในเมฆกลางหมอก เ
“เสด็จปู่ จะให้หัวหน้าขันทีเฉาฝึกฝนเฉินม่อเพื่อนเรียนของหม่อมฉันหน่อยได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? เขามีลักษณะไม่เลว และเป็นคนที่เชื่อถือได้มากที่สุด”ฉินอวิ๋นฟานเอ่ยปาก“เจ้าเด็กนี่คิดจะฉวยโอกาสทำตัวน่าสงสารต่อหน้าข้าละสิ จะสอดมือเข้าหน่วยบูรพา ดีดลูกคิดดังแปะ ๆ เชียวนะ! เจ้าคิดว่าข้าจะรับปากเรื่องนี้รึ?!”พอได้ยินเรื่องที่ฉินอวิ๋นฟานร้องขอ ไท่ซั่งหวงก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก หน่วยบูรพาคือไพ่ตายในมือของเขา จะให้คนอื่นแตะต้องได้อย่างไร?เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึง ฉินอวิ๋นฟานกลับมีคำขอเช่นนี้ได้“เสด็จปู่ ทรงอุทิศกายใจทั้งชีวิตเพื่อต้าเฉียน ในยามที่ควรได้เสพสุขกับบั้นปลาย กลับถูกบีบให้ต้องออกมาควบคุมสถานการณ์ พูดง่าย ๆ ก็คือไม่วางใจพวกเราที่เป็นองค์ชายเหล่านี้มิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ?”ฉินอวิ๋นฟานเริ่มใช้ลิ้นสามนิ้วไม่เน่า[1]และน้ำเสียงท่าทางประทับใจคนของเขาทันที ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเกลี้ยกล่อมไท่ซั่งหวงให้ได้ การให้เฉินม่อเข้าหน่วยบูรพาสำคัญอย่างยิ่งยวดจริง ๆ นี่ทำให้เขากลายเป็นอาวุธลับอีกชิ้นในมือของเขาเขาเอ่ยต่อ “คาดว่าพระองค์คงทอดพระเนตรเห็นสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว พวกพี่ใหญ่พี่รองต่างมีขุมกำ
เซี่ยงเส้าหลงเป็นคนร่างใหญ่กำยำ หากความคิดละเอียดรอบคอบ ครั้นได้ยินว่าฉินอวิ๋นฟานถูกลอบสังหารก็ออกเดินทางมายังตำหนักรัชทายาททันที อย่างไรเสีย ฉินอวิ๋นฟานก็คือผู้มีพระคุณของตระกูลเซี่ยง“คารวะรัชทายาท!”เซี่ยงเส้าหลงพ่อลูกมาถึงในห้องของฉินอวิ๋นฟานพลันคุกเข่าลงหน้าเตียง ท่าทีเคารพนบนอบอย่างยิ่งภาพนี้ทำให้ฉินอวิ๋นฟานประหลาดใจเล็กน้อย จึงรีบพูด “ผู้นำตระกูลเซี่ยงรีบลุกขึ้นเถิด ไม่ต้องเกรงใจ!”“รัชทายาท ตอนนี้ท่านรู้สึกดีขึ้นบ้างแล้วหรือ?”เซี่ยงเส้าหลงลุกขึ้น ถามอย่างห่วงใยอย่างหาที่เปรียบมิได้“ขอบคุณผู้นำตระกูลเซี่ยงที่เป็นห่วง ตอนนี้ข้าไม่เป็นอะไรมากแล้ว แผลดาบไม่ลึกมาก เพียงแต่อวัยวะภายในบอบช้ำหนัก พักระยะหนึ่งก็หายดีแล้ว”ฉินอวิ๋นฟานตอบ“เฮ้อ รัชทายาทคือผู้มีพระคุณใหญ่หลวงของตระกูลเซี่ยงเรา กลับเจอกับเรื่องไม่คาดฝันเช่นนี้ เสียทีที่ตระกูลเซี่ยงเราเป็นตระกูลวิถียุทธ์ชื่อดัง พูดออกไปยังทำให้ข้ารู้สึกขายหน้านัก”เซี่ยงเส้าหลงถอนหายใจ ทำหน้ารู้สึกผิด ส่ายหน้าด้วยความจนใจมาก“ภัยพิบัติฟ้าเคราะห์คน ใครจะกำหนดได้เล่า? ผู้นำตระกูลเซี่ยงมิต้องใส่ใจหรอก”ฉินอวิ๋นฟานพูดด้วยใบหน้าอมทุ