กับการเย้ยหยันของมู่หรงซื่อควาน ซุนหั่ววั่งมุมปากกระตุก เมื่อก่อนล้วนเป็นเขาที่เยาะเย้ยมู่หรงซื่อควาน ไหนเลยจะมีส่วนที่อีกฝ่ายจะได้หยามเขา? ตอนนี้กลับตาลปัตรไปหมดแล้ว นี่ทำให้เขาคับแค้นใจมากแต่ที่สำคัญในตอนนี้คือจัดการฉินอวิ๋นฟานที่มาด้วยมาดใหญ่โต เขารีบทำหน้างุนงงถาม “รัชทายาท ท่านมาหาเชาเอ๋อร์มีธุระอะไรหรือ? วันนี้เชาเอ๋อร์ไม่อยู่บ้าน”“เขาจะอยู่หรือไม่ก็ไม่เป็นไร เจ้าดูนี่ก่อนเถอะ”ฉินอวิ๋นฟานยิ้มน้อย ๆ แล้วโยนหนังสือสัญญาพนันที่ลงชื่อเมื่อเจ็ดวันก่อนใส่หน้าซุนหั่ววั่ง จังหวะที่ซุนหั่ววั่งเห็นฉินอวิ๋นฟานหยิบหนังสือสัญญาออกมา ใบหน้าพลันเปลี่ยนสี วิญญาณนักแสดงเจ้าบทบาทเข้าสิงเดี๋ยวนั้น สองมือสั่นระริก ความตื่นตระหนักเปื้อนอยู่เต็มใบหน้าซุนหั่ววั่งรีบถาม “นี่ นี่ นี่มันยังไงกัน? ปกติเชาเอ๋อร์ไม่สนใจเรื่องธุรกิจที่บ้าน ทำไมถึงลงชื่อในข้อตกลงไร้หัวสมองเช่นนี้กับรัชทายาทได้ นี่จะมีความเข้าใจผิดอะไรหรือไม่?”เพื่อกอบกู้สิ่งที่เสียไป เพื่อแสดงฝีมือต่อหน้าองค์ชายรอง ซุนหั่ววั่งคิดจนหัวร้างข้างแตก เตรียมจะไม่ยอมรับท่าเดียว ดูสิว่าจะให้เรื่องนี้ผ่านไปได้หรือไม่ ถึงอย่างไรก็เป็นลูกชายลงช
และต่อให้ได้ขายและขายดีทุกวันก็ไม่มีทางได้ยอดขายสี่สิบแปดล้านตำลึงเด็ดขาด นี่คือยอดขายของภัตตาคารเซิ่งหลงทุกสาขารวมกันสามปีเชียวนะ!“พ่อลูกเขย ของ ของขวัญชิ้นโตที่เจ้าว่า หรือจะเป็นเรื่องนี้?”นึกถึงที่ฉินอวิ๋นฟานพูดเมื่อเจ็ดวันก่อนว่าจะมอบของขวัญชิ้นโตให้เขา ไม่นึกว่าจะเป็นสัญญาเดิมพันนี้ นี่คือการเดิมพันซึ่งมีมูลค่าควรเมืองเชียวนะทุกคนต่างรู้ดู สาเหตุจากหอนางคณิกาชั้นสูงวั่งเจียง ไม่เพียงแต่ชักนำธุรกิจละแวกนั้น ยิ่งเป็นแถบพื้นที่ทองคำของเมืองหลวง ดังนั้นธุรกิจที่นั่นขายดีระเบิดระเบ้อแต่เดิมภัตตาคารต้าเฉียนและภัตตาคารเซิ่งหลงก็มีฐานะประมาณหนึ่งในเมืองหลวง ถ้าได้ภัตตาคารเซิ่งหลงมาก็เท่ากับผูกขาดอาหารและที่พักแถบนั้นยิ่งมีความหมายสำคัญที่สุดกับการเลื่อนตำแหน่งของภัตตาคารต้าเฉียน แถมยังสามารถข่มภัตตาคารเซิ่งหลงที่เป็นคู่แข่งนี้อีกฉินอวิ๋นฟานตอบ “ถูกต้อง!”“เยี่ยมไปเลย ภัตตาคารต้าเฉียนข้าได้ระบายความแค้นแล้ว” มู่หรงซื่อควานดีใจจนกระโดดโลดเต้น สำหรับเขาแล้วนี่คือข่าวดีที่สุด“เอ่อ รัชทายาท ตามหนังสือสัญญาฉบับนี้ ยอดขายเจ็ดวันของภัตตาคารเซิ่งหลงเทียบภัตตาคารต้าเฉียนไม่ได้ก็จริง
ในฐานะที่เป็นรัชทายาทผู้ว่าราชการแผ่นดินของต้าเฉียน ยังจะถูกคนหน้าด้านรังแกได้หรือ? เขาฉินอวิ๋นฟานคือคนที่ยอมเสียเปรียบ?“รัชทายาท ด้วยฐานะสูงศักดิ์เช่นนี้ของท่าน ใช้อำนาจรังแกประชาชน เกรงว่าจะไม่เหมาะสมกระมัง?” ซุนหั่ววั่งยิ้มพูดแบบย่ามใจชิ้ง!!!ฉินอวิ๋นฟานคร้านจะไร้สาระกับซุนหั่ววั่ง คนประเภทนี้ก็คือหน้าด้าน จะจัดการเขามีแค่วิธีเดียว นั่นก็คือมาไม้แข็ง จากนั้นฉินอวิ๋นฟานก็ชักกระบี่ออกมาแล้วฟาดลงบนโต๊ะแรง ๆ เอ่ยเสียงหนาว “ไม่มีใครมีสิทธิ์ท้าทายข้า ยิ่งไม่มีใครสามารถท้าทายเส้นต่ำสุดของข้าได้!”“วิธีการของข้าฉินอวิ๋นฟาน คาดว่าเจ้าคงเคยได้ยิน องค์ชายห้าตายด้วยน้ำมือข้า เจ้าคิดว่าพี่รองจะสู้กับข้าตายไปข้างหนึ่งเพื่อปกป้องเจ้า? ไม่อยากตายก็รีบทำตามสัญญาเร็ว ๆ คำพูดแบบนี้ข้าไม่อยากพูดเป็นครั้งที่สองนะ!”ความดุดันของฉินอวิ๋นฟานและเจตนาสังหารหนักอึ้งทำซุนหั่ววั่งตกใจจนหดหัว สีหน้าเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดขึ้นมาในพริบตา เขารู้วิธีการของฉินอวิ๋นฟานดี ไม่นึกว่าพอพูดไม่เข้าหูก็จะฆ่าล้างบาง ใครบ้างไม่กลัว?“เอ่อ ทำ ทำขอรับ รัชทายาทโปรดรอสักครู่”แต่ไหนมาซุนหั่ววั่งก็เป็นคนขี้ขลาด เล็งแต่ผลประโย
“ไอ้หยา ท่านอาจารย์ ท่าน ท่านจะซุกซนเกินไปแล้วนะ”เสี่ยวซวงเอามือปิดหน้าเขินอาย อยู่ที่หอวั่งเจียงนานหลายปีอย่างนั้น นางมีวิธีการและรูปแบบหลอกล่อผู้ชายมากมายนัก ดังนั้นมีหรือที่นางจะไม่เข้าใจความหมายแฝงในคำพูดของฉินอวิ๋นฟาน?“ฮ่า ๆ ๆ ไป!”ฉินอวิ๋นฟานอารมณ์ดี โบกมือใหญ่ พาอู่จ้านตรงไปยังหอวั่งเจียงทันทีนาทีที่ย่างเข้าฉินอวิ๋นฟานก็ถูกภาพบรรยากาศตรงหน้าทำให้ทึ่งไปเลย ทั้งหลังมีทั้งหมดสามชั้น ล้วนทำมาจากไม้หนานทองทั้งหมด อยู่บนเกาะเพียงลำพัง อลังการมาก กลิ่นหอมจรุงขจรขจายอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งไม่ว่าพนักงานคนไหนก็หน้าตาได้มาตรฐานมาก อยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นคนไหนก็เป็นดาวเด่นในไนต์คลับได้ทั้งนั้นในห้องซูเปอร์วีไอพียิ่งมีกลิ่นหอมในแบบโบราณ ให้คนรู้สึกสดชื่น ฉินอวิ๋นฟานเพิ่งนั่งก็มีนางฟ้าในชุดสีฟ้าอ่อนลอยมาเริงระบำราวกับผีวิญญาณ“เอ่อ...”ภาพนี้ทำเอาฉินอวิ๋นฟานมุมปากกระตุก สมกับที่เป็นสถานบันเทิง รู้ความจริง ๆ เพิ่งจะเข้ามาก็จัดสาวมาให้แล้วต้าซวงหัวเราะเสียงเบาพลางพูด “ท่านอาจารย์ ท่านพอใจกับการจัดการของซวงเอ๋อร์หรือไม่?”“พอใจ พอใจมาก”ฉินอวิ๋นฟานไม่ได้ผลักใจ ในความเป็นจริง สถานที
“รัชทายาท ไม่ขอปิดบัง พี่หยวนให้พวกเรานัดหมายท่านจริง ๆ แต่พวกเราพี่น้องเลื่อมใสความสามารถของท่านจากใจ อยากศึกษากับให้ท่านผู้เป็นอาจารย์ท่านนี้ให้มาก!”ต้าซวงเห็นฉินอวิ๋นฟานมองแผนการของนางออกจึงอธิบายทันที“ในเมื่อพวกเจ้าพี่น้องก็มีความคิดนี้ ไม่ว่ายังไงคืนนี้ข้าก็ต้องหาเวลาสักสองสามชั่วยาม พวกเราสามคนมาจับเข่าคุยกันเป็นอย่างไร? ระดับภาษาต่างประเทศของข้าเจ๋งมากนะ!”ฉินอวิ๋นฟานยิ้มร้ายพลางพูด“หา? ภาษาต่างประเทศคืออะไรหรือ?”แม่นางต้าซวงและแม่นางเสี่ยวซวงประกอบการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของฉินอวิ๋นฟานและคำสำคัญเข้าด้วยกัน จับเข่าคุยกันอะไรนี่ยังพอเข้าใจ แต่ประโยคนี้ของเขาต้องมีปัญหาแน่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าภาษาต่างประเทศตกลงคือท่าไหน หรือจะเป็นรูปแบบการละเล่นแบบใหม่ “ภาษาต่างประเทศ ความจริงเป็นท่วงทำนองที่ไพเราะมาก ขอแค่พวกเจ้าอยากเรียน ข้าต้องสอนอย่างเต็มที่แน่นอน ประเดี๋ยวคุยธุระจบก่อนพวกเขาค่อยว่ากันนะ”ฉินอวิ๋นฟานไม่อยากอธิบายมาก เพราะนี่คือมุกของยุคปัจจุบัน ไม่สามารถอธิบายได้ในเวลาสั้น ๆ มีแต่ขึ้นเตียงแล้วจึงจะเข้าใจทั้งหมด“ในเมื่อท่านกล่าวเช่นนี้ พวกเราพี่น้องจะรอทุกเมื่อ เจ้าห
หวงต้าหยวนสีหน้าประหลาดใจ เพื่อไม่สะกิดอารมณ์เกลียดและล่วงเกินฉินอวิ๋นฟาน นับจากนาทีที่เข้าห้องมาก็ระวังมารยาทมาก พูดกับฉินอวิ๋นฟานด้วยความเกรงใจเป็นพิเศษ ไม่นึกว่าแค่สองประโยคจะทำให้นายท่านท่านนี้ไม่พอใจแล้ว? ทำเสียจนหวงต้าหยวนสับสนไปหมด“ข้าฉินอวิ๋นฟานก็เป็นคนมีหน้ามีตาคนหนึ่ง ในเมื่อเจ้าไม่เคารพข้า เช่นนั้นเราก็ไม่มีความจำเป็นต้องคุยกัน!”พูดจบ ฉินอวิ๋นฟานก็ลุกขึ้นเตรียมจะไป“เอ่อ? ไม่เคารพรัชทายาท? นี่ นี่จะเป็นไปได้อย่างไร?”การกระทำเหนือความคาดหมายของฉินอวิ๋นฟานทำให้หวงต้าหยวนงงเป็นไก่ตาแตก ไม่เคารพ? ไม่เคารพตรงไหน? ตั้งแต่เข้าประตูมานางก็รักษากิริยามารยาทตลอด ผลคือทำให้ฉินอวิ๋นฟานไม่พอใจ?ยามนี้หัวใจหวงต้าหยวนพังทลายโดยสิ้นเชิง นางทำถึงขึ้นนี้แล้ว กลับเป็นเรื่องที่จบแบบไม่สวย“ในเมื่อมีธุระหารือ ข้าก็ต้องรู้ว่าคนที่คุยธุระกับข้าคือใครกระมัง? เจ้าปิดหน้าเช่นนี้ แม้แต่โฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้าข้าก็ยังไม่รู้ แล้วจะให้ข้าคุยเรื่องสำคัญเช่นนี้กับเจ้าได้อย่างไร?”ฉินอวิ๋นฟานพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ถ้าข้าก็ใส่หน้ากากมาคุยธุระกับเจ้า เจ้าคิดว่าข้ามีความเคารพต่อเจ้ากี่ส่วน? ถ้ายังค
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หวงต้าหยวนแสดงจุดยืนพร้อมพยายามให้เหตุผล ฉินอวิ๋นฟานย่อมไม่บีบคั้นคนอีก มิเช่นนั้นจะไม่ดีกับทุกฝ่ายฉินอวิ๋นฟานพูดอย่างจริงจัง “ลองว่าความคิดของเจ้ามาดู!”หวงต้าหยวนยกยิ้มมุมปาก แย้มยิ้มกระหยิ่มใจเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย “ไม่ขอปิดบัง ขาดแคลนอู่เหลียงเย่จริง ๆ เบียดเสียดแย่งมาแต่ละวันเพิ่งจะได้ร้อยกว่าไห ซึ่งมันไม่พอเลย”“ท่านก็ทราบว่าหอวั่งเจียงเราทำการค้า ขุนนางใหญ่โตพวกนั้นไม่เพียงชอบดูการแสดงของหญิงงาม ยิ่งนิยมดื่มสุราไปพลาง หากไม่มีอู่เหลียงเย่ ทุกคนก็ไม่อยากมาอุดหนุนแล้ว สำหรับเรา มันคือการโจมตีอย่างรุนแรง”หวงต้าหยวนไม่หมกเม็ด และไม่บอกความต้องการของนางและสถานการณ์ในปัจจุบันของหอวั่งเจียงโดยตรง หอวั่งเจียงให้บริการขุนนางใหญ่ของแคว้นต่าง ๆ มิขาดเงิน แต่ขาดอู่เหลียงเย่ในเมื่อฉินอวิ๋นฟานทำให้ตลาดหิวโหย ย่อมมองสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของพวกนางออก“อู่เหลียงเย่เข้าตลาดระยะหนึ่งแล้ว ผลลัพธ์ไม่เลว แน่นอน ข้าก็ทำไปเพื่อธุรกิจ เพื่อแสวงหาผลกำไร จะเปิดทางสะดวกให้ก็ใช่ว่าจะยาก แต่...ข้ามีเงื่อนไข”ฉินอวิ๋นฟานพูดเปิดอก“เชิญท่านกล่าวมาได้เลย ขอเพียงเป็นเรื่องที่หอ
“ได้ข้อมูล?”หวงต้าหยวนขมวดคิ้ว เหมือนกับที่นางสันนิษฐานจริง ๆ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก นางถามด้วยสีหน้าสับสน “ไม่ทราบท่านต้องการข้อมูลอะไร? พวกเราหอวั่งเจียงแค่ทำการค้า ไม่ทราบความหมายของท่าน”“เราต่างเป็นคนฉลาด ไยเจ้าหอหวงต้องแสร้งเป็นไม่เข้าใจต่อหน้าข้าด้วย?”ฉินอวิ๋นฟานยิ้มบางพลางพูด “ในเมื่อเจ้าเชิญข้ามา ย่อมรู้จุดประสงค์ของข้า ถ้าเจ้ารับไม่ได้ เราคงไม่ได้นั่งคุยกันที่นี่ เจ้าว่าอย่างไร?”ฉินอวิ๋นฟานกล่าวเปิดโปง ปิดโอกาสทำไขสือของหวงต้าหยวนโดยตรง และฉินอวิ๋นฟานก็รู้ดีถึงวิธีการแล้วปัญญาของหวงต้าหยวน เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้จุดประสงค์การมาขอเขาถ้าหวงต้าหยวนไม่รู้จริง เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะร่วมมือกัน แต่ถ้ารู้ นั่นคือจัดการง่าย“ขออภัยรัชทายาท พวกเราหอวั่งเจียงทำการค้าเป็นหลัก ไม่ร่วมการต่อสู้ใด ๆ ในราชสำนัก และไม่เลือกที่จะอยู่ฝ่ายไหน นี่คือหลักการของเรา และเป็นเส้นต่ำสุดของเราเช่นกัน”หวงต้าหยวนไม่ทำไขสืออีก แต่แสดงจุดยืนของตัวเองอย่างจริงจัง อย่าว่าแต่ฉินอวิ๋นฟานที่ตอนนี้หัวเดียวกระเทียมลีบเลย ต่อให้องค์ชายรองมา พวกเขาก็ไม่สนับสนุนบอกข่าวอยู่ดีฉินอวิ๋นฟ
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ