ลิฟต์แรงงานมนุษย์เพิ่งเปิดออก พรมสีแดงที่ปูตลอดระเบียงทางเดินก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าหยางมี่เดินบิดเอวนำอยู่ข้างหน้า ฉินอวิ๋นฟานรับกับกลิ่นหอม เดินตามตลอดระเบียงทางเดินจนไปถึงหน้าห้องสุดท้ายจึงจะหยุดลงก๊อก ๆ ๆ...หลังจากเสียงเคาะประตูดังขึ้นก็มีเสียงขานรับจากข้างใน“เข้ามาเถอะ”คือเสียงผู้หญิง ทุ้มต่ำและเย็นชา มีความกดดันและแรงดึงดูดที่ไม่ทราบสาเหตุ“รบกวนแล้ว”หยางมี่พยักหน้าและผลักประตูเปิดออกสายลมเย็นลอดออกมาจากช่องแคบเล็ก เผยให้เห็นห้องหรูหรากว้างขวางเงาสวยสายหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าหน้าต่างบานใหญ่ กำลังรับกับแสงแดด ภายใต้ดวงอาทิตย์อันอบอุ่น เค้าโครงนั้นแทบจะเป็นเส้นอ่อนช้อยสวยงามประหนึ่งงานศิลปะสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ทำให้ฉินอวิ๋นฟานมองแวบเดียวก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้ให้ตายเถอะ!จะสวยเกินไปแล้ว!“เช่นนั้นข้าน้อยไม่รบกวนพวกท่านแล้ว”หยางมี่กล่าวและหมุนตัวออกไปอย่างรู้สถานการณ์ นางรู้ว่าตัวเองบรรลุภารกิจแล้ว สถานะของนางในเวลานี้ไม่มีคุณสมบัติจะฟังเรื่องที่พวกเขาจะคุยกัน นางออกจากห้องไปพร้อมปิดประตูกระแสลมหยุดนิ่ง ภายในห้องโอ่อ่าเหลือเพียงพวกเขาสองคนกลิ่นหอมที่ชวนให้หัวใจคนหวั่น
“เจ้าหอชวีอยากถามอะไรก็พูดตามตรงเถอะ ขอเพียงสามารถตอบได้ ข้าจะไม่หมกเม็ดแม้แต่น้อย” ฉินอวิ๋นฟานกล่าวอย่างจริงจังชวีถิงแกว่งจอกสุราในมือและยิ้มพูดราบเรียบ “ได้ยินว่ารัชทายาทเชี่ยวชาญโคลงกลอนเพลง พิณหมากพู่กันภาพ ด้านดนตรียิ่งได้รับความชื่นชมจากเจ้าหอหวง ทำให้เจ้าหอหวงสตรีแกร่งไม่เห็นสิ่งใดอยู่ในสายตายินดีช่วยท่าน”บนดวงหน้ารูปไข่ห่านประณีตของชวีถิง มีความงามที่แตกต่างอย่างหนึ่ง นางเลียมุมปากและยิ้มสวยพูด “ก่อนจะเริ่มคุยธุระ ข้าก็อยากเห็นสักหน่อยว่ารัชทายาทที่ร่ำลือจะเก่งอย่างนั้นจริงหรือไม่?”นางเกิดความอยากรู้กับฉินอวิ๋นฟานมานานแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยามหวงต้าหยวนชมเชยฉินอวิ๋นฟานไม่หยุดปาก นางมักรู้สึกแปลกใจหวงต้าหยวนที่ไม่เคยชมบุรุษใด หวงต้าหยวนผู้เห็นบุรุษดังมดปลวก...กลับคลี่ยิ้มหัวใจวสันต์หวั่นไหวยามพูดถึงฉินอวิ๋นฟานเหมือนดรุณีแรกแย้มหวั่นไหวแล้วชัดเจน!ด้วยเหตุนี้ นางอยากเห็นกับตาว่าฉินอวิ๋นฟานจะมีเสน่ห์มากจริงหรือไม่ดังนั้นถ้าอยากได้ข้อมูลจากทางก็ต้องเติมเต็มความ ‘ปรารถนา’ ของนางก่อน“เจ้าหอชวี หมายความว่ายังไง?” ฉินอวิ๋นฟานรู้สึกแปลกประหลาดจึงเอ่ยปากถามนี่มิใช่กา
ชวีถิงยกยิ้มตรงมุมปาก มองฉินอวิ๋นฟานด้วยความดูถูก นางก็อยากดูสิว่าฉินอวิ๋นฟานซึ่งเป็นฉินอวิ๋นฟานอายุสิบกว่าคนนี้จะรู้จักความรักที่ว่าจริงหรือไม่? ยิ่งอยากรู้ว่าความสามารถของฉินอวิ๋นฟานที่กล่าวขานเป็นจริงหรือเท็จ ถึงกับทำให้หวงต้าหยวนลุ่มหลงได้เพียงนั้นชวีถิงพยักหน้ามองไป แววตาสวยเย็นชาต้องฉินอวิ๋นฟานที่ยืนอยู่ใต้แสงอาทิตย์...“พบพานคือลึกซึ้ง แค้นที่พบกันสาย รู้คนพันหมื่น ดาษดื่นไร้ใครเทียมเคียง จากเจ้าสู่แดนไกล หัวใจโศกศัลย์ นั่งรั้วบนหอแดง ดวงตาแลเห็นเพียงพฤกษา”น้ำเสียงอ่อนโยนของฉินอวิ๋นฟานเจือความเศร้าน้อย ๆ ท่องบทกลอนแห่งรักอันมีความงามเป็นเอกลักษณ์บทนี้ออกมาช้า ๆในบทกลอนอ้อมค้อม กลับไม่เสียอรรถรส ทำให้คนหมองใจ “...”สิ้นเสียง เส้นสายในหัวใจของชวีถิงราวกับกระตุก นางยืนอยู่ข้างหน้าต่างเงียบ ๆ ในใจเกิดเสียงสะท้อนที่ไม่เคยปรากฏมาเนิ่นนานสีหน้าของนางชะงักไปเล็กน้อย ร่างกายขยับไปด้านหน้ากำหมัดเบา ๆ ฟันขาวขบริมฝีปากอมชมพูไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แววตาที่มองฉินอวิ๋นฟานกลับมีความอ่อนโยนบางส่วนความดุร้ายในแต่เดิมบางเบาลงเงียบ ๆ“ท่าน...เป็นคนแต่งกลอนบทนี้เองจริงหรือ?”ครู่
“อื่ม ดีมาก เยี่ยม!”ชวีถิงหายใจอย่างระมัดระวัง กลัวว่าเคลื่อนไหวมากเกินไปจะทำให้ฉินอวิ๋นฟานเห็นความผิดปกติของตนเห็นได้ชัดว่านางหวั่นไหวแล้วและไม่ใช่เพียงครั้งเดียว“ในเมื่อเจ้าหอชวีพอใจ เช่นนั้นข้าจะต่อแล้วนะ”ฉินอวิ๋นฟานหยัดตัวตรง ท่องกลอนบทที่สามออกมาท่ามกลางสายตาประหลาดใจอย่างหนักของชวีถิง“ตื่นจากนิทราด้วยผ้าห่มบางหนาวเหน็บ อารมณ์พลัดพลาดพลันพรั่งพรู”“พลิกตัวไปมานับเสียงโมงยาม ลุกขึ้นนอนอีกมิอาจสู่ห่วงแห่งฝัน หนึ่งราตรียาวนานปานหนึ่งปี”“เคยคิดทรงอาชาหวนกลับ หากจนใจด้วยต้องละเพื่อสงคราม”“พันคิดหมื่นคะนึง มากวิธีอธิบาย สุดท้ายได้แต่จบลงอย่างเงียบเหงา ห่วงหาชั่วชีวัน กลับทรยศเจ้าน้ำตานอง”เป็นไปได้อย่างไร? ร่ายมาก็คือผลงานชั้นยอด? ชวีถิงสยบต่อฉินอวิ๋นฟานโดยสิ้นเชิงแล้วหากบอกว่ากลอนสองบทแรกทำให้นางสะเทือนใจครั้งแล้วครั้งเล่า เช่นนั้นกลอนบทที่สามก็คือสั่นคลอนจิตวิญญาณส่วนลึกของนางอย่างหนักหน่วงนางที่ไม่เคยมีความใฝ่ฝันกับรัก ๆ ใคร่ ๆ ยามนี้กลับเกิดความปรารถนาในความหมายบางอย่างจากโลกในจินตนาการนั้น“เจ้าหอชวีอย่าเพิ่งร้อนใจ ข้ายังมีอีกบท”ตอนนี้ฉินอวิ๋นฟานจมจ่อมอยู่ก
ต่อให้ชวีถิงไม่บอก ฉินอวิ๋นฟานก็รู้เหมือนกันว่านี่คือหลุมพรางหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะเป็นแผนลับหรือแผนแจ้ง ล้วนมีคนผลักดันอยู่เบื้องหลัง เขาต้องการรู้ความจริงใช้ชื่อเสียงและเสน่ห์ของนางคณิกาชั้นสูงอันดับหนึ่งของต้าเหลียงล่อปลาอย่างเฉินเหมี่ยนให้มาติดเบ็ดขอเพียงเพิ่มตัวกระตุ้นจากภายนอกเล็ก ๆ ก็ได้ผลที่ไม่ต้องใช้กำลังก็ทำให้ตระกูลเฉินเกิดรอยร้าวกับเหลียงเทียนอี้ สลายขั้วของเหลียงเทียนอี้ทีละน้อย“เหมือนกับที่ข้าบอกเมื่อครู่ น้ำนี้ลึกมาก ใช่ว่าจะแก้ไขได้ง่ายอย่างนั้น” ชวีถิงเม้มริมฝีปากจิบสุรา แววตาพราวเสน่ห์ไม่เคยละออกจากตัวของฉินอวิ๋นฟานราวกับต้องการดูว่าพูดถึงขนาดนี้แล้ว รัชทายาทตรงหน้าท่านนี้จะมีปฏิกิริยาอย่างไรทว่าฉินอวิ๋นฟานกลับใจเย็นเหมือนเดิม ซ้ำยังจะยิ้มด้วยความมั่นใจ“ในเมื่อข้ามาวันนี้ก็ต้องเตรียมใจไว้อยู่แล้ว หวังว่าเจ้าหอชวีจะบอกข้อมูลได้”สำหรับจะแก้ไขเรื่องยุ่งนี้อย่างไรยังต้องตรึกตรองให้ดีเมื่อได้ยินดังนั้นชวีถิงก็ยิ้มอย่างมีความหมายเชิงลึกนางรู้แต่แรกแล้วว่าฉินอวิ๋นฟานไม่ใช่คนที่เจออุปสรรคแล้วจะยอมถอยง่าย ๆ“เหอะ ๆ ดูท่ารัชทายาทต้าเฉียนจะสมคำร่ำลือจริง มั่นใจยิ่ง
“ไปไหน?” เซี่ยงเส้าเหยียนถามด้วยความสงสัย“ไปหาต้นตอเรื่องยุ่งทั้งหมด”......บนถนนสายหลักอันคึกคักรุ่งเรืองของเมืองหลวงต้าเหลียงเสียงผู้คนเซ็งแซ่เอ็ดอึงเมื่อเลี้ยวเข้ามุมหนึ่ง ที่นั่นมีโรงบ่อนใหญ่ที่สุดตั้งอยู่ไม่ว่าจะเป็นเวลาใดก็มีนักพนันรวมตัวอยู่ในนั้นไม่น้อย พยายามพลิกสถานการณ์จากบนโต๊ะพนันทว่าจนแล้วจนลอดก็ยังดวงจู๋ มักมีคนหมดตัวอยู่ภายในห้องเล็ก ๆ มากขึ้นทุกที“ลงแน่แล้วก็เอามือออก แน่ใจแล้วก็เอามือออก!”โต๊ะพนันตัวหนึ่งในนั้น คนทอยลูกเต๋ากำลังตะเบ็งเสียงอยู่ มือขวาถือชามกระเบื้องแน่น ๆ เสียงลูกเต๋ากระทบกันในนั้นเบาลงทุกทีอาหลงที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะพนันเหงื่อโทรมกาย ดวงตาที่มีเส้นเลือดฝอยกระจายอยู่เต็มไปหมดจ้องขอบชามกระเบื้อง ราวกับต้องการมองทะลุแต้มในนั้นเขาหอบหายใจไม่หยุด กลืนน้ำลายลงคอเป็นครั้งคราวนี่คือโอกาสพลิกตัวสุดท้ายของเขาแล้วก่อนหน้านี้แพ้ไปหลายตา เงินในตัวถูกกินเรียบ แล้วยังถึงกับยืมเงินจากผู้ดูแลโรงบ่อนสามพันตำลึงรวมกับครั้งก่อน ๆ ก็จวนจะหมื่นตำลึงแล้วแต่ผลลัพธ์แค่คิดก็รู้ได้ เขาเสียเงินตลอดช่วงบ่ายทว่าเขาไม่คิดจะล้มเลิก ในฐานะที่เป็นนักพนันคนหน
“พวก พวกเจ้าคือใคร?!”อาหลงเห็นฉินอวิ๋นฟานเข้ามาใกล้จึงถามอย่างตื่นตระหนกทว่าเสียงนั้นกลับถูกบุคลิกน่ากลัวที่แผ่ออกมาจากตัวฉินอวิ๋นฟานข่ม ดังนั้นฟังดูแล้วจึงเบาหวิวราวกับยุง“เจ้านี่ไม่เปลี่ยนสันดานจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานใบหน้าขมึงทึง สาวเท้าไปข้างหน้า คว้ามือขวาของอาหลงแล้วกระชากไปข้างหลังเห็นเนื้อชินโตถูกลากออกไป คนทอยลูกเต๋าจึงไม่พอใจ “มาทำเสียเรื่องใช่ไหม?”สิ้นเสียง ชายกำยำดุดันสิบกว่าคนก็ออกมาจากทางซ้ายและทางขวาของโรงบ่อน เข้ามาใกล้ด้วยท่าทางน่ากลัวทว่าไม่รอให้พวกเขากระทำการใด ลมเย็นเยียบคมกริบก็ผ่านมา เพียงหนึ่งอึกลมหายใจ ชายกำยำเหล่านั้นส่งเสียงโอดครวญทันทีครั้นคนทอยลูกเต๋ามองไป เห็นเพียงสองคนร่างสูงบึกที่ยืนอยู่ข้างหลังฉินอวิ๋นฟานเผยกลิ่นอายสังหารออกมาจากทั่วตัว“ข้าจะดูสิว่าวันนี้ใครจะกล้าลงมือ!”อู่จ้านและเซี่ยงเส้าเหยียนออกลีลาซ้ายขวา คุ้มครองอยู่ข้างกายฉินอวิ๋นฟาน ไม่ให้นักเลงของโรงบ่อนเข้ามาใกล้พวกเขาส่งจิตสังหารอันน่าเกรงขามออกมา ทำให้คนที่อยู่รอบข้างไม่กล้าเข้ามาใกล้“พวกเขา พวกเขาคือใคร?”ไม่รู้ว่าคนใดในกลุ่มเอ่ยปากขึ้นก่อน จากนั้นคนที่เหลือก็เริ่มกระซุบ
เขาไม่เคยบอกใครมาก่อนเพราะหากขุนนางราชสำนักมีความเกี่ยวข้องกับโรงบ่อนจะถูกครหาได้ กระทั่งจะส่งผลกระทบไม่น้อยดังนั้นที่ผ่านมาจึงดำเนินการอย่างลับ ๆเวลานี้กลับถูกคนนอกรู้เข้า หากแพร่ออกไป เกรงว่าจะรักษาฐานะของเขากับผู้ที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้แล้ว!เหตุนี้ถ้อยคำว่าร้ายที่กำลังจะออกจากหากเหอเฟยจึงติดอยู่ในลำคอ ไม่กล้าพูดออกมาจากปากในที่สุดแต่เรื่องไหนก็ส่วนเรื่องนั้น...“ต่อ...ต่อให้เป็นเช่นนี้...แต่ แต่พวกเจ้านึกจะมาก็มานึกจะไปก็ไปไม่ได้นะ!”ท่าทีของเหอเฟยไม่แข็งกร้าวอีก กลับมีท่าทางไม่ได้รับความเป็นธรรมบางส่วน“เมื่อกี้อาหลงติดเราห้าพันตำลึง บวกกับในมือเขาอีกสามพันตำลึง ทั้งหมดหนึ่งหมื่นตำลึง”“ติดหนี้ต้องใช้ เรื่อง เรื่องธรรมดา”ทั้งที่เป็นคำพูดที่มีเหตุผล แต่พอออกมาจากปากของเหอเฟยกลับไร้กำลังประมาณหนึ่งฉินอวิ๋นฟานกวาดสายตามอง ก่อนจะล้วงตั๋วเงินออกมาจากแขนเสื้อแล้วปาไปที่อกของเหอเฟย “นี่คือสามหมื่นตำลึง!”“อย่าขวางข้าอีก!”ท่าทางเทพขวางฆ่าเทพ พระขวางฆ่าพระนั้นของฉินอวิ๋นฟาน ทำให้เหอเฟยไม่กล้าอาละวาดอีก ได้แต่ก้มตัวลงเก็บตั๋วเงินที่กระจัดกระจายอย่างอึดอัด จากนั้นจึงมองพว
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ