“อื่ม ดีมาก เยี่ยม!”ชวีถิงหายใจอย่างระมัดระวัง กลัวว่าเคลื่อนไหวมากเกินไปจะทำให้ฉินอวิ๋นฟานเห็นความผิดปกติของตนเห็นได้ชัดว่านางหวั่นไหวแล้วและไม่ใช่เพียงครั้งเดียว“ในเมื่อเจ้าหอชวีพอใจ เช่นนั้นข้าจะต่อแล้วนะ”ฉินอวิ๋นฟานหยัดตัวตรง ท่องกลอนบทที่สามออกมาท่ามกลางสายตาประหลาดใจอย่างหนักของชวีถิง“ตื่นจากนิทราด้วยผ้าห่มบางหนาวเหน็บ อารมณ์พลัดพลาดพลันพรั่งพรู”“พลิกตัวไปมานับเสียงโมงยาม ลุกขึ้นนอนอีกมิอาจสู่ห่วงแห่งฝัน หนึ่งราตรียาวนานปานหนึ่งปี”“เคยคิดทรงอาชาหวนกลับ หากจนใจด้วยต้องละเพื่อสงคราม”“พันคิดหมื่นคะนึง มากวิธีอธิบาย สุดท้ายได้แต่จบลงอย่างเงียบเหงา ห่วงหาชั่วชีวัน กลับทรยศเจ้าน้ำตานอง”เป็นไปได้อย่างไร? ร่ายมาก็คือผลงานชั้นยอด? ชวีถิงสยบต่อฉินอวิ๋นฟานโดยสิ้นเชิงแล้วหากบอกว่ากลอนสองบทแรกทำให้นางสะเทือนใจครั้งแล้วครั้งเล่า เช่นนั้นกลอนบทที่สามก็คือสั่นคลอนจิตวิญญาณส่วนลึกของนางอย่างหนักหน่วงนางที่ไม่เคยมีความใฝ่ฝันกับรัก ๆ ใคร่ ๆ ยามนี้กลับเกิดความปรารถนาในความหมายบางอย่างจากโลกในจินตนาการนั้น“เจ้าหอชวีอย่าเพิ่งร้อนใจ ข้ายังมีอีกบท”ตอนนี้ฉินอวิ๋นฟานจมจ่อมอยู่ก
ต่อให้ชวีถิงไม่บอก ฉินอวิ๋นฟานก็รู้เหมือนกันว่านี่คือหลุมพรางหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะเป็นแผนลับหรือแผนแจ้ง ล้วนมีคนผลักดันอยู่เบื้องหลัง เขาต้องการรู้ความจริงใช้ชื่อเสียงและเสน่ห์ของนางคณิกาชั้นสูงอันดับหนึ่งของต้าเหลียงล่อปลาอย่างเฉินเหมี่ยนให้มาติดเบ็ดขอเพียงเพิ่มตัวกระตุ้นจากภายนอกเล็ก ๆ ก็ได้ผลที่ไม่ต้องใช้กำลังก็ทำให้ตระกูลเฉินเกิดรอยร้าวกับเหลียงเทียนอี้ สลายขั้วของเหลียงเทียนอี้ทีละน้อย“เหมือนกับที่ข้าบอกเมื่อครู่ น้ำนี้ลึกมาก ใช่ว่าจะแก้ไขได้ง่ายอย่างนั้น” ชวีถิงเม้มริมฝีปากจิบสุรา แววตาพราวเสน่ห์ไม่เคยละออกจากตัวของฉินอวิ๋นฟานราวกับต้องการดูว่าพูดถึงขนาดนี้แล้ว รัชทายาทตรงหน้าท่านนี้จะมีปฏิกิริยาอย่างไรทว่าฉินอวิ๋นฟานกลับใจเย็นเหมือนเดิม ซ้ำยังจะยิ้มด้วยความมั่นใจ“ในเมื่อข้ามาวันนี้ก็ต้องเตรียมใจไว้อยู่แล้ว หวังว่าเจ้าหอชวีจะบอกข้อมูลได้”สำหรับจะแก้ไขเรื่องยุ่งนี้อย่างไรยังต้องตรึกตรองให้ดีเมื่อได้ยินดังนั้นชวีถิงก็ยิ้มอย่างมีความหมายเชิงลึกนางรู้แต่แรกแล้วว่าฉินอวิ๋นฟานไม่ใช่คนที่เจออุปสรรคแล้วจะยอมถอยง่าย ๆ“เหอะ ๆ ดูท่ารัชทายาทต้าเฉียนจะสมคำร่ำลือจริง มั่นใจยิ่ง
“ไปไหน?” เซี่ยงเส้าเหยียนถามด้วยความสงสัย“ไปหาต้นตอเรื่องยุ่งทั้งหมด”......บนถนนสายหลักอันคึกคักรุ่งเรืองของเมืองหลวงต้าเหลียงเสียงผู้คนเซ็งแซ่เอ็ดอึงเมื่อเลี้ยวเข้ามุมหนึ่ง ที่นั่นมีโรงบ่อนใหญ่ที่สุดตั้งอยู่ไม่ว่าจะเป็นเวลาใดก็มีนักพนันรวมตัวอยู่ในนั้นไม่น้อย พยายามพลิกสถานการณ์จากบนโต๊ะพนันทว่าจนแล้วจนลอดก็ยังดวงจู๋ มักมีคนหมดตัวอยู่ภายในห้องเล็ก ๆ มากขึ้นทุกที“ลงแน่แล้วก็เอามือออก แน่ใจแล้วก็เอามือออก!”โต๊ะพนันตัวหนึ่งในนั้น คนทอยลูกเต๋ากำลังตะเบ็งเสียงอยู่ มือขวาถือชามกระเบื้องแน่น ๆ เสียงลูกเต๋ากระทบกันในนั้นเบาลงทุกทีอาหลงที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะพนันเหงื่อโทรมกาย ดวงตาที่มีเส้นเลือดฝอยกระจายอยู่เต็มไปหมดจ้องขอบชามกระเบื้อง ราวกับต้องการมองทะลุแต้มในนั้นเขาหอบหายใจไม่หยุด กลืนน้ำลายลงคอเป็นครั้งคราวนี่คือโอกาสพลิกตัวสุดท้ายของเขาแล้วก่อนหน้านี้แพ้ไปหลายตา เงินในตัวถูกกินเรียบ แล้วยังถึงกับยืมเงินจากผู้ดูแลโรงบ่อนสามพันตำลึงรวมกับครั้งก่อน ๆ ก็จวนจะหมื่นตำลึงแล้วแต่ผลลัพธ์แค่คิดก็รู้ได้ เขาเสียเงินตลอดช่วงบ่ายทว่าเขาไม่คิดจะล้มเลิก ในฐานะที่เป็นนักพนันคนหน
“พวก พวกเจ้าคือใคร?!”อาหลงเห็นฉินอวิ๋นฟานเข้ามาใกล้จึงถามอย่างตื่นตระหนกทว่าเสียงนั้นกลับถูกบุคลิกน่ากลัวที่แผ่ออกมาจากตัวฉินอวิ๋นฟานข่ม ดังนั้นฟังดูแล้วจึงเบาหวิวราวกับยุง“เจ้านี่ไม่เปลี่ยนสันดานจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานใบหน้าขมึงทึง สาวเท้าไปข้างหน้า คว้ามือขวาของอาหลงแล้วกระชากไปข้างหลังเห็นเนื้อชินโตถูกลากออกไป คนทอยลูกเต๋าจึงไม่พอใจ “มาทำเสียเรื่องใช่ไหม?”สิ้นเสียง ชายกำยำดุดันสิบกว่าคนก็ออกมาจากทางซ้ายและทางขวาของโรงบ่อน เข้ามาใกล้ด้วยท่าทางน่ากลัวทว่าไม่รอให้พวกเขากระทำการใด ลมเย็นเยียบคมกริบก็ผ่านมา เพียงหนึ่งอึกลมหายใจ ชายกำยำเหล่านั้นส่งเสียงโอดครวญทันทีครั้นคนทอยลูกเต๋ามองไป เห็นเพียงสองคนร่างสูงบึกที่ยืนอยู่ข้างหลังฉินอวิ๋นฟานเผยกลิ่นอายสังหารออกมาจากทั่วตัว“ข้าจะดูสิว่าวันนี้ใครจะกล้าลงมือ!”อู่จ้านและเซี่ยงเส้าเหยียนออกลีลาซ้ายขวา คุ้มครองอยู่ข้างกายฉินอวิ๋นฟาน ไม่ให้นักเลงของโรงบ่อนเข้ามาใกล้พวกเขาส่งจิตสังหารอันน่าเกรงขามออกมา ทำให้คนที่อยู่รอบข้างไม่กล้าเข้ามาใกล้“พวกเขา พวกเขาคือใคร?”ไม่รู้ว่าคนใดในกลุ่มเอ่ยปากขึ้นก่อน จากนั้นคนที่เหลือก็เริ่มกระซุบ
เขาไม่เคยบอกใครมาก่อนเพราะหากขุนนางราชสำนักมีความเกี่ยวข้องกับโรงบ่อนจะถูกครหาได้ กระทั่งจะส่งผลกระทบไม่น้อยดังนั้นที่ผ่านมาจึงดำเนินการอย่างลับ ๆเวลานี้กลับถูกคนนอกรู้เข้า หากแพร่ออกไป เกรงว่าจะรักษาฐานะของเขากับผู้ที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้แล้ว!เหตุนี้ถ้อยคำว่าร้ายที่กำลังจะออกจากหากเหอเฟยจึงติดอยู่ในลำคอ ไม่กล้าพูดออกมาจากปากในที่สุดแต่เรื่องไหนก็ส่วนเรื่องนั้น...“ต่อ...ต่อให้เป็นเช่นนี้...แต่ แต่พวกเจ้านึกจะมาก็มานึกจะไปก็ไปไม่ได้นะ!”ท่าทีของเหอเฟยไม่แข็งกร้าวอีก กลับมีท่าทางไม่ได้รับความเป็นธรรมบางส่วน“เมื่อกี้อาหลงติดเราห้าพันตำลึง บวกกับในมือเขาอีกสามพันตำลึง ทั้งหมดหนึ่งหมื่นตำลึง”“ติดหนี้ต้องใช้ เรื่อง เรื่องธรรมดา”ทั้งที่เป็นคำพูดที่มีเหตุผล แต่พอออกมาจากปากของเหอเฟยกลับไร้กำลังประมาณหนึ่งฉินอวิ๋นฟานกวาดสายตามอง ก่อนจะล้วงตั๋วเงินออกมาจากแขนเสื้อแล้วปาไปที่อกของเหอเฟย “นี่คือสามหมื่นตำลึง!”“อย่าขวางข้าอีก!”ท่าทางเทพขวางฆ่าเทพ พระขวางฆ่าพระนั้นของฉินอวิ๋นฟาน ทำให้เหอเฟยไม่กล้าอาละวาดอีก ได้แต่ก้มตัวลงเก็บตั๋วเงินที่กระจัดกระจายอย่างอึดอัด จากนั้นจึงมองพว
หยดฝนกระทบหลังคาส่งเสียงดังใสลมพัดผ่านธรณีประตูถึงลานกว้าง แล้วจึงไปทิศทางอื่นอย่างอิสระตั่วเอ๋อร์มองสำรวจเนื้อตัวอาหลงด้วยความปวดใจ ก่อนจะมองฉินอวิ๋นฟานด้านหน้าด้วยความหวาดกลัว“พวกท่านมาบ้านข้าทำไม?”ฉินอวิ๋นฟานไม่คิดอ้อมค้อม จึงพูดเข้าประเด็นเลย “พวกเรามาด้วยเรื่องของเฉินเหมี่ยน อยากคุยกับแม่นางตั่วเอ๋อร์สักหน่อย”เมื่อได้ยินชื่อเฉินเหมี่ยน ตั่วเอ๋อร์เปลี่ยนสีหน้าฉับพลัน นางขมวดคิ้วสวย ดวงตาระแวง“พวกท่านคือคนของตระกูลเฉินหรือ? ข้าไม่มีอะไรจะพูดกับพวกท่าน! กรุณาออกไปด้วย!”ดวงหน้าไม่ได้รับความเป็นธรรมประทับใจคน แม้จะรู้ว่าทั้งหมดนี้คือแผนการให้ร้ายเฉินเหมี่ยนแต่ยังทำหน้าเหมือนผู้เคราะห์ร้ายคิดแล้วฉินอวิ๋นฟานก็อดหัวเราะดูแคลนในใจไม่ได้ทว่าเขาไม่คิดถอย กลับพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจนยิ่งขึ้น“ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมอีก ข้ารู้สาเหตุทั้งหมดของเรื่องนี้แล้ว คาดว่าเหลียงชินอ๋องคงออกคำสั่งอยู่ข้างหลังเจ้า วางแผนใส่ความเฉินเหมี่ยน จะได้ส่งผลกับรัชทายาทองค์ปัจจุบันของต้าเหลียงสินะ”ตั่วเอ๋อร์สีหน้าแข็งทื่อ ตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูกยิ่งกว่าเดิม “ข้า ข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดเพ้อเจ้ออะไร?
นางกำลังร้องไห้แม้เสียงสายฝนและเสียงฟ้าร้องจะกลบทับเสียงเศร้าโศกที่ส่งมาจากร่างบอบบางนั้น หากปกปิดความอ้างว้างและความอนาถจากแผ่นหลังนางไม่ได้“อาจ้าน เจ้าเด็กนี่มอบให้ท่านจัดการ เฝ้าเขาไว้ให้ดี”ฉินอวิ๋นฟานกำชับกับพวกอู่จ้าน จากนั้นก็เมินอาหลงที่คุกเขานิ่งอยู่บนพื้น แล้วตามตั่วเอ๋อร์เข้าห้องโถงเลย......“เพราะอะไร เพราะอะไรถึงเป็นแบบนี้?!”ตั่วเอ๋อร์นั่งยองอยู่ในมุมอย่างไร้กำลัง ปิดใบหน้าร่ำไห้ ตัวสั่นเทิ้มไม่หยุดหัวใจของนางพังทลายแล้วนับจากใส่ความเฉินเหมี่ยนในวันนั้น นางก็ไม่เคยร้องไห้อีกกับการสอบสวนของใต้เท้ากรมราชทัณฑ์ นางแสร้งทำตัวน่าสงสาร น้ำตาอาบแก้มแต่นั่นจะมีความจริงกี่ส่วน ความเท็จกี่ส่วน แม้แต่นางเองก็มิอาจพูดชัดเจนนางตำหนิตัวเองนัก รู้สึกผิดมากแต่เพื่อให้น้องชายร่วมอุทรอยู่รอดต่อไป นางจำเป็นต้องทำเช่นนี้เพราะหนี้สินที่อาหลงติดค้างมากเกินไปจริง ๆ มันคือจำนวนเงินที่นางไม่สามารถชดใช้ได้!แม้ตกปากรับการเชื้อเชิญจากคนใหญ่คนโตอื่น ทว่าเงินที่ให้หลังจากร่วมหอรวมกับที่เก็บสะสมอยู่ในมือก็ยังขาดอีกมากในตอนที่สิ้นหวังก็มีคนคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ให้นางทำเรื่องหนึ่ง
อารมณ์ของตั่วเอ๋อร์สงบลงแล้ว ไม่ร้องไห้ฟูมฟายเมื่อแรกเริ่มแต่สำหรับฉินอวิ๋นฟาน เรื่องราวทั้งหมดยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างน้อยสำหรับเขา ได้มาแค่ชื่อของเหลียงจ้านอิงคนเดียวยังไม่พอ“เรื่องนี้นอกจากเหลียงจ้านอิงแล้ว ยังมีคนอื่นร่วมอีกหรือไม่?”ฉินอวิ๋นฟานเอ่ยปากถามเหลียงจ้านอิงคือชินอ๋องของต้าเหลียง ไม่ว่าจะฐานะหรือตำแหน่งก็สูงส่งทั้งนั้น ต่อให้รู้ว่าเขาผู้บงการอยู่เบื้องหลัง ฉินอวิ๋นฟานก็ไม่มีปัญญาลงมือกับเขาต้องค่อย ๆ บั่นทอนภูเขาลูกใหญ่นี้จึงจะดี“เฮ้อ!”ตั่วเอ๋อร์นิ่งไป เม้มกลีบปากสีชมพูและพิจารณาอย่างละเอียดครู่หนึ่งจึงเอ่ยชื่อหนึ่งออกมาช้า ๆ “มีอีกคนหนึ่ง เขามากับเหลียงชินอ๋องในวันนั้น...”สายตาของตั่วเอ๋อร์ล้ำลึกมากขึ้น “รองผู้ตรวจการฟู่เส้าป่าย”“ผู้ตรวจการ?”ฉินอวิ๋นฟานไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับชื่อนี้ ทว่าตำแหน่งไม่เล็ก “ขุนนางระดับสาม!”คิดแล้วก็คงใช่ มีความสามารถเช่นนี้ได้ นอกจากจะมีตำแหน่งใหญ่ คล้ายไม่มีใครสามารถควบคุมกรมราชทัณฑ์ได้ตามใจชอบ และสามารถวางกับดักด้วยวิธีการเช่นนี้พูดได้ว่าเหลียงจ้านอิงวางแผนทั้งหมดไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เหยียบย่ำกฎหมายต้าเหลียงร่วม
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ