นางกำลังร้องไห้แม้เสียงสายฝนและเสียงฟ้าร้องจะกลบทับเสียงเศร้าโศกที่ส่งมาจากร่างบอบบางนั้น หากปกปิดความอ้างว้างและความอนาถจากแผ่นหลังนางไม่ได้“อาจ้าน เจ้าเด็กนี่มอบให้ท่านจัดการ เฝ้าเขาไว้ให้ดี”ฉินอวิ๋นฟานกำชับกับพวกอู่จ้าน จากนั้นก็เมินอาหลงที่คุกเขานิ่งอยู่บนพื้น แล้วตามตั่วเอ๋อร์เข้าห้องโถงเลย......“เพราะอะไร เพราะอะไรถึงเป็นแบบนี้?!”ตั่วเอ๋อร์นั่งยองอยู่ในมุมอย่างไร้กำลัง ปิดใบหน้าร่ำไห้ ตัวสั่นเทิ้มไม่หยุดหัวใจของนางพังทลายแล้วนับจากใส่ความเฉินเหมี่ยนในวันนั้น นางก็ไม่เคยร้องไห้อีกกับการสอบสวนของใต้เท้ากรมราชทัณฑ์ นางแสร้งทำตัวน่าสงสาร น้ำตาอาบแก้มแต่นั่นจะมีความจริงกี่ส่วน ความเท็จกี่ส่วน แม้แต่นางเองก็มิอาจพูดชัดเจนนางตำหนิตัวเองนัก รู้สึกผิดมากแต่เพื่อให้น้องชายร่วมอุทรอยู่รอดต่อไป นางจำเป็นต้องทำเช่นนี้เพราะหนี้สินที่อาหลงติดค้างมากเกินไปจริง ๆ มันคือจำนวนเงินที่นางไม่สามารถชดใช้ได้!แม้ตกปากรับการเชื้อเชิญจากคนใหญ่คนโตอื่น ทว่าเงินที่ให้หลังจากร่วมหอรวมกับที่เก็บสะสมอยู่ในมือก็ยังขาดอีกมากในตอนที่สิ้นหวังก็มีคนคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ให้นางทำเรื่องหนึ่ง
อารมณ์ของตั่วเอ๋อร์สงบลงแล้ว ไม่ร้องไห้ฟูมฟายเมื่อแรกเริ่มแต่สำหรับฉินอวิ๋นฟาน เรื่องราวทั้งหมดยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างน้อยสำหรับเขา ได้มาแค่ชื่อของเหลียงจ้านอิงคนเดียวยังไม่พอ“เรื่องนี้นอกจากเหลียงจ้านอิงแล้ว ยังมีคนอื่นร่วมอีกหรือไม่?”ฉินอวิ๋นฟานเอ่ยปากถามเหลียงจ้านอิงคือชินอ๋องของต้าเหลียง ไม่ว่าจะฐานะหรือตำแหน่งก็สูงส่งทั้งนั้น ต่อให้รู้ว่าเขาผู้บงการอยู่เบื้องหลัง ฉินอวิ๋นฟานก็ไม่มีปัญญาลงมือกับเขาต้องค่อย ๆ บั่นทอนภูเขาลูกใหญ่นี้จึงจะดี“เฮ้อ!”ตั่วเอ๋อร์นิ่งไป เม้มกลีบปากสีชมพูและพิจารณาอย่างละเอียดครู่หนึ่งจึงเอ่ยชื่อหนึ่งออกมาช้า ๆ “มีอีกคนหนึ่ง เขามากับเหลียงชินอ๋องในวันนั้น...”สายตาของตั่วเอ๋อร์ล้ำลึกมากขึ้น “รองผู้ตรวจการฟู่เส้าป่าย”“ผู้ตรวจการ?”ฉินอวิ๋นฟานไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับชื่อนี้ ทว่าตำแหน่งไม่เล็ก “ขุนนางระดับสาม!”คิดแล้วก็คงใช่ มีความสามารถเช่นนี้ได้ นอกจากจะมีตำแหน่งใหญ่ คล้ายไม่มีใครสามารถควบคุมกรมราชทัณฑ์ได้ตามใจชอบ และสามารถวางกับดักด้วยวิธีการเช่นนี้พูดได้ว่าเหลียงจ้านอิงวางแผนทั้งหมดไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เหยียบย่ำกฎหมายต้าเหลียงร่วม
นอกจากเฉินเหมี่ยน แต่ยังมีแม่นางตั่วเอ๋อร์!แน่นอน จะปล่อยผู้บงการเบื้องหลังที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดไปอย่างนั้นไม่ได้เช่นกันภายใต้การคุ้มครองของอู่จ้าน หลังจากทุกคนลงจากรถม้าแล้ว ฉินอวิ๋นฟานและตั่วเอ๋อร์ก็มาถึงหน้าประตูจวนตระกูลเฉินยามนี้มีเด็กรับใช้สองสามคนกำลังอยู่หน้าประตูจัดการกับน้ำขังจากฝนพายุเมื่อครู่พอดีเมื่อเห็นว่ามีคนมา บรรดาเด็กรับใช้ตื่นตระหนกเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัดเนื่องจากระยะนี้คนของกรมราชทัณฑ์มาหาเรื่องทุกวี่วัน สารพัดวิธีจะใช้กำลังกุมตัวเฉินเหมี่ยนไปหากมิใช่ผู้นำตระกูลเฉินปกป้องด้วยท่าทีแข็งกร้าว เกรงว่ากรมราชทัณฑ์คงสมหวังนานแล้ว“พวก พวกท่านคือใคร?”เหล่าเด็กรับใช้เอ่ยปากถามด้วยความตื่นกลัวฉินอวิ๋นฟานไม้อ้อมค้อม บอกจุดประสงค์การมาและฐานะของตัวเองโดยตรงทั้งเน้นหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับรัชทายาทต้าเหลียงองค์ปัจจุบันครั้นได้ยินความสัมพันธ์ชั้นนี้ บรรดาเด็กรับใช้ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็มิกล้าเสียมารยาท รีบกลับไปรายงานทันทีผ่านไปครู่หนึ่งจึงเปิดประตูใหญ่ให้ฉินอวิ๋นฟานและคนอื่น ๆ เข้าไปตามลำดับภายในจวนตระกูลเฉินโอ่อ่าหรูหรายิ่งกว่าข้างนอก
การที่จู่ ๆ คนของกรมราชทัณฑ์ก็บุกเข้ามา ผู้นำตระกูลเฉินไม่แปลกใจสักเท่าไรเพราะระยะนี้กรมราชทัณฑ์มาหลายครั้งแล้ว เขาเองก็ทำทุกวิถีทาง ตอนนี้เกรงจะรั้งเอาไว้ยากนี่ทำให้เขาร้อนใจไม่หยุด พวกคนอย่างกรมราชทัณฑ์ใจคอโหดเหี้ยม ทำได้ทุกอย่างหากครั้งแรก ๆ ไม่บรรลุเป้าหมาย เช่นนั้นครั้งต่อไปต้องรุนแรงกว่าเดิมแน่ยากจะบอกว่าวันนี้พวกเขาจะไม่ทำอะไรเมื่อเห็นคนของกรมราชทัณฑ์เดินอาด ๆ เข้ามา ฉินอวิ๋นฟานเงียบ ถอยเข้ามุมไปกับอู่จ้านและคนอื่น ๆ แบบเงียบเชียบตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะออกโรง“ข้าบอกหลายครั้งแล้ว ข้าจะไม่ส่งตัวเหมี่ยนเอ๋อร์ให้พวกเจ้าเด็ดขาด ถ้าพวกเจ้าดึงดันจะเอาตัวคน เช่นนั้นก็ต้องถามก่อนว่าข้าตกลงหรือไม่!”ผู้นำตระกูลเฉินเอ่ยเสียงกร้าว ตบโต๊ะแรง ๆ ทีหนึ่งไม่ว่าอย่างไรเขาก็คือขุนนางราชสำนัก ทั้งยังเคยเป็นขุนนางระดับหนึ่ง ตำแหน่งใหญ่กุมอำนาจสูง ย่อมมีสิทธิ์มีเสียงประมาณหนึ่งดังนั้นเพื่อปกป้องทายาทเพียงคนเดียวของตัวเอง จึงได้แต่ทำทุกวิถีทางกับกรมราชทัณฑ์ที่มาเอาตัวคนกลายครั้ง เขาก็ข่มขู่คนที่มาแบบไม่ได้รับเชิญพวกนี้ด้วยอำนาจบารมีเช่นนี้เหมือนกันครั้งนี้เขาคิดจะทำเหมือนอย่
“เอาละ ในเมื่อคนที่อยู่ในนี้ พวกเจ้ายังไม่รีบไปจับผู้กระทำผิดไปดำเนินคดีอีก!”ฟู่เส้าป่ายเหลือบมองคนของกรมราชทัณฑ์แวบหนึ่งอย่างเย็นชาพลางเอ่ยปากผู้ที่อยู่ข้างหลังพยักหน้า ก่อนจะสาวเท้าเข้าธรณีประตูและไปยังห้องที่อยู่ด้านข้างโดยไม่สนใจการทัดทานอย่างไร้กำลังของผู้นำตระกูลเฉิน“เสี่ยวฟาน...”เห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ อู่จ้านที่อยู่ในมุมคล้ายอยู่เฉยไม่ไหว จึงกระซิบถามทว่าฉินอวิ๋นฟานกลับโบกมือพูด “พวกเราอยู่เฉย ๆ ก่อน”ไพ่สำคัญต้องหยิบยกออกมาช่วงท้ายจึงจะน่าสะพรึงอีกทั้งตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา...ยังมีตัวละครสำคัญอีกหนึ่งที่ยังไม่ปรากฏ......“ท่านพ่อ! อย่านะ ท่านพ่อ!”“อย่าให้พวกเขาเอาตัวข้าไป!”เสียงร้องปานจะขาดใจดังออกมาจากด้านหลัง เฉินเหมี่ยนในชุดนอนที่ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นถูกคนของกรมราชทัณฑ์จับมัดทั้งตัวออกมาแล้วเขาร้องไห้โวยวายและดิ้นรนไม่หยุด แต่จนใจที่อีกฝ่ายมีจำนวนมาก เขาคนเดียวไร้กำลังส่วนผู้นำตระกูลเฉินได้แต่มองดูอยู่ข้าง ๆ ตาปริบ ๆ อย่างไร้ความสามารถที่เรียกว่าขุนนางใหญ่บีบคนตายก็คือเหตุผลเช่นนี้“เอาละ ในเมื่อจับตัวการสำคัญของคดีเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีธุ
ถ้อยคำของฉินอวิ๋นฟานทำให้ทุกคนในที่นั้นสั่นสะท้านแม้แต่ฟู่เส้าป่ายยังเริ่มมีสีหน้าลนลานเล็กน้อยเขารีบพูด “เจ้าพูดเหลวไหลอะไร รัชทายาทย่อมมีสิทธิ์กับเรื่องนี้...แต่เจ้ากลับแอบอ้างพระนามของรัชาทยาต่อต้านข้า นี่ก็คือโทษตาย! ทหาร! จับตัวเจ้าเด็กนี่เอาไว้!”อายุอานามน้อย ๆ ก็ไม่รู้ที่ตายเยี่ยงนี้!แม้ตอนที่ฟู่เส้าป่ายได้ยินชื่อของเหลียงเทียนอี้จะเกิดความกลัวนิด ๆ หากนั่นเรียกว่าเขาสูงกษัตริย์ไกลยามนี้เหลียงเทียนอี้ยุ่งงวดหัวแทบระเบิดกับเรื่องของเฉินเหมี่ยน แล้วจะสอดมือเข้ามายุ่งได้อย่างไรหรือไม่กลัวถูกคนใต้หล้าหัวเราะ? ลำเอียงกับครอบครัวที่กระทำผิด?“วันนี้ข้ารัชทายาทจะดูสิว่าใครกล้าแตะต้องฟานเอ๋อร์!”หนึ่งเสียงผ่าอากาศมา สะกดทุกคนในที่นั้นทันทีชั่วพริบตาเดียว เงาร่างสิบกว่าสายเดินเข้ามาจากประตูใหญ่จวนตระกูลเฉินภายใต้การคุ้มกันของเหล่าองครักษ์ราชวงศ์ เหลียงเทียนอี้เดินเข้าลานเรือนด้วยใบหน้าขึงขัง ที่ตามอยู่ข้างตัวเขายังมีเซี่ยงเส้าเหยียน“รัช รัชทายาท? ท่านมาได้ยังไง?!”การปรากฏตัวของเหลียงเทียนอี้ทำให้ฟู่เส้าป่ายหน้าซีดฉับพลัน ความลำพองหยิ่งผยองเมื่อครู่ถูกขจัดไปสิ้นพร้
แม่นางตั่วเอ๋อร์?ครั้นได้ยินชื่อนี้ ฟู่เส้าป่ายสองขาหมดแรง ราวกับกำลังทั้งตัวถูกสูบออกไปหมดเพราะอะไร?เพราะอะไรฉินอวิ๋นฟานถึงติดต่อกับตั่วเอ๋อร์?หรือว่า...ด้วยการนำของฉินอวิ๋นฟาน ตั่วเอ๋อร์ค่อย ๆ เดินออกมาจากห้องโถงส่วนใน ปลดผ้าคลุมหน้าและคารวะทุกคน“ข้าน้อยตั่วเอ๋อร์ คำนับรัชทายาท คำนับใต้เท้าทุกท่าน”ตั่วเอ๋อร์สีหน้าราบเรียบ ไม่มีความตื่นเต้นอย่างทีแรก เวลานี้นางแค่ทำตามความต้องการของฉินอวิ๋นฟานเท่านั้น เล่าเรื่องทั้งหมดตามความจริงล้างมลทินให้เฉินเหมี่ยนและคืนความเป็นธรรมให้ตัวเองด้วยแน่นอน นางอยากให้คนที่คิดจะเล่นตุกติกข้างหลังพวกนั้นได้รับผลกรรม“เจ้า เจ้า...”ฟู่เส้าป่ายหน้าซีด รู้สึกข้างหูมีเสียงดังวิ้ง ๆ ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น“รัชทายาทต้าเฉียนกล่าวถูกต้อง ทั้งหมดนี้มีคนบงการให้ข้าน้อยทำเช่นนี้ วางยาในเหล้าของคุณชายฉิน จากนั้นก็จงใจทำให้คุณชายฉิน... ตามด้วยผลักความผิดทั้งหมดให้คุณชายฉิน...”ตั่วเอ๋อร์เล่าเรื่องที่เกิดขั้นในวันนั้นออกมาแบบไม่ขาดตกใด ๆรวมถึงขั้นตอนและใครให้นางทำเช่นนี้...เพียงแต่ตอนที่จะกล่าวถึงชื่อคนบงการข้างหลัง ตั่วเอ๋อร์ไม่ได้เอ่ยชื่อของเ
“ดูท่าฉินอวิ๋นฟานไม่ดื่มสุราคารวะแต่จะดื่มสุราลงทัณฑ์”เรือนด้านหลังแห่งหนึ่งในเมืองหลวงเหลียงจ้านอิงนั่งอยู่ในศาลา เดินหมากแบบเอ้อระเหยลอยชายเทียบกับการแข่งขัน มีเพียงตัวเขาเองคนหนึ่งแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ต่อสู้กับตัวเอง“การคลุกคลีกับเสด็จพี่บ่อยครั้งเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใส่ใจกับคำพูดเมื่อคืน”เหลียงจ้านอิงลงหมากเบา ๆ และไตร่ตรองการเดินก้าวต่อไปขณะนี้ ผู้ที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่เบื้องหลังก็คือคนชุดดำสองคนที่เตือนฉินอวิ๋นฟานเมื่อคืนฮัวอวี่ถงคือหนึ่งในนั้น“เมื่อคืนพวกเจ้าพูดชัดแล้วหรือ?”เหลียงจ้านอิงไม่ได้หันกลับไป แต่ใช้น้ำเสียงหนักอึ้งถามชายชุดดำข้างหลังประสานมือ “เรียนท่านอ๋อง พวกเราบอกชัดเจนแล้วขอรับ หากฉินอวิ๋นฟานผู้นั้นมิได้โง่เขลาเกินไปจะต้องเข้าใจความหมายในนั้นแน่”“ฮึ! เช่นนั้นก็น่าสนใจแล้ว!”เหลียงจ้านอิงวางหมากอีกตัวหนึ่ง เริ่มลูบคางที่มีเคราปกคลุมอยู่เต็มไปหมด “บางทีเขาอาจไม่เข้าใจความสำคัญของเรื่องนี้”มิสู้บอกว่าเจ้าฉินอวิ๋นฟานนั่นตั้งตนเป็นปรปักษ์กับเขาชัดเจนแล้วถึงกลับกล้าลงมือกับคนของเขา ทั้งยังร่วมมือกับเหลียงเทียนอี้ใช้ไม้นี้อีกไม่เพียงแต่ช่วยเ
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ