เหลียงเทียนจื้อต้องคุ้นเคยกับชื่อของฉินอวิ๋นฟานที่สุดอยู่แล้ว แล้วยังถึงขั้นอิจฉาด้วยซ้ำ“ดังนั้นเจ้าควรรู้ความกังวลของข้า”เหลียงจ้านอิงหรี่ดวงตา แววตาลุ่มลึกจ้องมุมหนึ่งของโต๊ะไม้แดง ก่อนจะเอ่ยเสียงหนัก “หากฉินอวิ๋นฟานสนับสนุนเหลียงเทียนอี้ เช่นนั้นต้องทำให้ฟ้าที่สมดุลเอนเอียงแน่ ถึงตอนนั้นจุดยืนของเจ้าจะอันตราย”นี่มิใช่การข่มขู่ให้กลัว แต่หลังจากฉินอวิ๋นฟานมาเยือนต้าเหลียงแล้วก็เริ่มเกิดความคิดเช่นนี้ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเรื่องนี้มาจากความตั้งใจของฉินอวิ๋นฟานหรือความประสงค์ของฮ่องเต้ต้าเหลียงหรือไม่แต่ไม่ว่าอย่างไร สุดท้ายก็ต้องมีจุดประสงค์อื่นแฝงอยู่ในนั้นในฐานะที่เป็นชิงอ๋อง เขาย่อมรู้ว่าฮ่องเต้ต้าเหลียงโปรดปรานเหลียงเทียนอี้ซึ่งเป็นโอรสองค์โตเสมอมา ยิ่งกับเรื่องผู้สืบทอดแล้ว การรับช่วงตำแหน่งครั้งนี้เกิดเป็นเรื่องใหญ่โต ทว่าฮ่องเต้ต้าเหลียงกลับรักษาท่าทีมาโดยตลอดดูเหมือนกำลังลังเล ยังตัดสินใจไม่ได้ทว่ากลับมิมีผู้ใดล่วงรู้ความคิดที่แท้จริงของเขาแม้แต่เหลียงจ้านอิงยังทำได้เพียงสันนิษฐานดังนั้นก็ใช่จะเป็นไปไม่ได้ว่าฮ่องเต้ต้าเหลียงคิดจะใช้โอกาสนี้ดึงฉินอวิ๋นฟานให้มา
เหลียงเทียนอี้ฟังถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความมั่นใจแล้วก็พาลให้จิตใจเร่าร้อน อดเลียริมฝีปากแห้งไม่ได้ “เสด็จอา ท่านอย่าอุบไว้อีกเลย” “หรือว่ามีจุดอ่อนอะไรของเจ้าฉินอวิ๋นฟานนั่นหรือ?”อย่างที่เรียกว่ารู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งหากเป็นอย่างที่เสด็จอากล่าวมา ครั้งนี้พวกเขาจะถือว่าเก็บได้สมบัติ!สามารถใช้เรื่องนี้ข่มขู่รัชทายาทต้าเฉียนที่ว่าให้เป็นคนของทางเราได้สำเร็จ!ถึงเวลาพวกเราจะไม่มีอุปสรรคสิ่งกีดขวางอีก กำลังขั้วอิทธิพลของเหลียงเทียนอี้ได้อย่างราบรื่นนี่คือเรื่องดีสุดยอด!“หึ ๆ ๆ...”ทว่าเหลียงจ้านอิงกลับหัวเราะเย็นเหี้ยม ส่งเสียงหัวเราะที่ชวนให้คนขนหัวลุกออกมาจากปาก“ทันทีที่เปิดข่าวนี้ต่อสาธารณะจะต้องสะเทือนเลือนลั่นระลอกหนึ่งแน่”สายตาล้ำลึกนั้นแฝงไว้ด้วยความหนาวเหน็บส่วนความหมายที่อยู่ในถ้อยคำก็จุดชนวนความสนใจของเหลียงเทียนจื้อ“ข่าวนั้นมันร้ายกาจอย่างนั้นเลยหรือขอรับ?” เหลียงเทียนจื้อกลืนน้ำลายลงคอ ไม่ค่อยกล้าเชื่อ“สรุปแล้ว จื้อเอ๋อร์ เจ้าตั้งตารอเถอะ ถ้าทางเหลียงเทียนอี้มีความเคลื่อนไหวหรือเสด็จพี่คิดจะยืนกรานทำตามความคิดตัวเอง เช่นนั้นข่าวในมือของข้าจะสา
ดวงตะวันแผดเผาคล้อยไปทางทิศตะวันตก กลิ่นอายเย็นชื่นปกคลุมทั่วเมืองหลวงต้าเหลียงครั้นกลับถึงวังหลวงก็เกือบจะพลบค่ำแล้ว ตำหนักบรรทมครึกครื้นกว่าก่อนหน้านี้มากชัดเจนบนโต๊ะอาหารอันประณีตมีอาหารโอชาล้ำค่าจัดวางอยู่เต็มไปหมดเพียงพอแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของห้องเครื่องต้าเหลียง สามารถทำอาหารที่แต่เดิมแสนจะธรรมดาให้เป็นงานวิจิตรยากจะลืมเลือนฮ่องเต้ต้าเหลียงก็แต่งตัวเต็มยศออกงานกินมื้อค่ำของวันนี้เหมือนกันงานเลี้ยงมื้อนี้มิได้เปิดแก่บุคคลภายนอก หากมีเพียงสมาชิกส่วนในเท่านั้นนอกจากฮ่องเต้ต้าเหลียงและฉินอวิ๋นฟานที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งแขกแล้ว ก็มีแต่เหลียงจื่อฝูและเหลียงเทียนอี้เท่านั้น...ไม่นับว่าพร้อมหน้า แต่อย่างน้อยคนที่มาก็เป็นคนสนิทของฮ่องเต้ต้าเหลียงทั้งหมดนอกจากนี้ยังมีดรุณีอีกนางหนึ่งฉินอวิ๋นฟานไม่เคยพบเห็นมาก่อน และไม่มีภาพจำอะไรด้วยเห็นดรุณีแต่งตัวงามสง่า อากัปกิริยาล้วนให้เห็นความสูงส่ง สามารถมองออกได้ว่าเป็นบุตรสาวตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่ง“ฟานเอ๋อร์ มา ๆ ๆ”ฮ่องเต้ต้าเหลียงเห็นฉินอวิ๋นฟานเข้าประตูมาก็รีบกวักมือพูด “ท่านนี้ก็คือแม่นางเยว่เอ๋อร์ที่วันนี้ข้าบอกว่าอยากแนะนำให
หลังจากห้องเครื่องเตรียมอาหารทั้งหมดเสร็จ เหลียงเทียนอี้ เหลียงจื่อฝูและคนอื่น ๆ ก็นั่งพวกเขาแต่งตัวเต็มยศออกงานอย่างไรก็ตาม ยากนักที่ฮ่องเต้ต้าเหลียงจะกระปรี้กระเปร่าอารมณ์ดีจัดงานเลี้ยง แล้วจะมาร่วมงานอย่างขอไปทีได้อย่างไรเพียงเทียบกับความเป็นมิตรอันเร่าร้อนของเหลียงจื่อฝู เหลียงเทียนอี้ดูอ่อนล้าประมาณหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด ท่าทางไม่ค่อยมีกำลังดวงตาคล้ำเข้ม แอบหาวเป็นครั้งคราวบุคลิกเรียบง่ายอึดอัดในแต่เดิม เมื่อรวมกับความอ่อนเพลียในเวลานี้ก็ให้ความรู้สึกอ่อนแอขี้โรควันนี้ฮ่องเต้ต้าเหลียงเบิกบานพระทัยเป็นพิเศษ ขจัดท่าทางอ่อนเพลียในวันวาน ใบหน้าเปล่งปลั่งอย่างที่เรียกว่าอารมณ์คือยาวิเศษในการรักษา วันนี้ได้พิสูจน์คำพูดนี้เป็นที่ประจักษ์แล้ว“ฟานเอ๋อร์ กินเยอะ ๆ นะ วันนี้ข้าได้เจอหลานชายน่ารัก อารมณ์ดียิ่ง”ฮ่องเต้ต้าเหลียงดื่มหลายจอก แต่เหลียงจื่อฝูคอยเตือนอยู่ด้านข้าง ไม่กล้าให้ดื่มต่อ ดังนั้นจึงได้แต่ใช้น้ำชาแทนสุราฉินอวิ๋นฟานก็ไม่เกรงใจเหมือนกัน รู้สึกเหมือนกลับบ้านตัวเองอย่างไรอย่างนั้น สุราอาหารเข้าปากอย่างสบายใจทว่าท่ามกลางบรรยากาศสมานฉันท์นี้ กลับมีคนหนึ่งที่ขัด
การต่อสู้ระหว่างองค์ชายจะส่งผลกระทบไปส่วนต่าง ๆบนถึงขุนนางบุ๋นบู๊ในราชสำนัก ล่างถึงราษฎรแทบจะกลายเป็นเรื่องปกติแม้จนถึงปัจจุบันยังไม่ตึงเครียดถึงขั้นชักดาบเข้าหากัน...แต่ศึกใต้น้ำกลับเรียกว่าดุเดือด“ข้าก็เคยได้ยินเรื่องเสี่ยวอี้พูดมาเหมือนกัน”หลังจากฮ่องเต้ต้าเหลียงได้ฟัง ใบหน้าก็ไม่มีรอยยิ้มเมื่อครู่แล้ว เขาเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “สถานการณ์ต้าเหลียงในปัจจุบันค่อนข้างพิเศษ น้องชายข้าคนนั้นสนับสนุนองค์ชายสามเหลียงเทียนจื้ออย่างเปิดเผย เบื้องหลังแอบดึงสมัครพรรคพวก...”“เหมือนการนำพวกองครักษ์ขุนนางใหญ่และราชบัณฑิต...”เท่ากับเริ่มรวมพลังจากทุกภาคส่วนหมอหลวงจากสำนักหมอหลวง ราชบัณฑิตจากวิทยาลัยฮั่นหลิน รองหัวหน้า หัวหน้าทหารอะไรก็ดึงมาเข้าพวกเกือบหมด ควบคุมส่วนสำคัญของต้าเหลียงไปกว่าครึ่งพูดได้ว่าขอเพียงเหลียงเทียนอี้ยังเป็นรัชทายาทผู้ว่าราชการแผ่นดินหนึ่งวัน เช่นนั้นหากเขาคิดจะสะสางราชกิจในราชสำนักหรือโยกย้ายสั่งการทหารจะต้องเจอกับอุปสรรคไม่มากก็น้อยแม้แต่เจ้ากรมจากต่าง ๆ ก็กลายเป็น ‘พวกขององค์ชายสาม’ หมดแล้ว จึงไม่ให้การช่วยเหลือเป็นธรรมดาเช่นนี้ เหลียงเทียนอี้จึงกุมขมับทุกว
“อีกอย่าง ฟานเอ๋อร์ เจ้าจะหมางเมินแม่นางเยว่เอ๋อร์ไม่ได้ ดื่มกับแม่นางเยว่เอ๋อร์สักหน่อยเถอะ”ฮ่องเต้ต้าเหลียงผลักหลี่ว์เยว่ออกไป กล่าวโดยนัยก็คืออยากกระชับความสัมพันธ์ของพวกเขาหลี่ว์เยว่ยิ้มอย่างเขินอาย ยกจอกสุราขึ้นอย่างระมัดระวังตามดำรัสของฮ่องเต้ต้าเหลียง “รัชทายาท หากไม่รังเกียจ จะดื่มกับข้าน้อยสักจอกได้หรือไม่เจ้าคะ?”น้ำเสียงนุ่มนวลนั้น ฉินอวิ๋นฟานได้ยินแล้วพาลให้หัวใจซาบซ่านแม้ว่าหญิงตรงหน้าจะไม่มีท่วงทำนองงามล่มเมืองเหมือนมู่หรงจิ่น แต่ก็มิได้งามเรียบง่ายด้วยแป้งผัดแน่นอน“จะรังเกียจได้ยังไง” ฉินอวิ๋นฟานยกจอกขึ้นเคารพกันและกันอย่างสง่าเหลียงจื่อฝูที่อยู่ด้านข้างมองภาพนี้เงียบ ๆดวงตาสดใสขยับเล็กน้อย จากนั้นจึงก้มหน้าก้มตาดื่มสุราของตัวเอง......เมื่อเสียงหัวเราะครื้นเครงในงานเลี้ยงจบลงฮ่องเต้ต้าเหลียงดื่มสองสามจอก อาจเพราะสุรา แม้ว่ามีสีหน้าดี กลับเดินตัวโคลงเล็กน้อยกลับห้องพักด้วยการประคองของเสี่ยวชุนจื่อก่อนกลับ ฮ่องเต้ต้าเหลียงยังตบบ่าฉินอวิ๋นฟานอย่างจริงใจ“ฟานเอ๋อร์ ข้าจะไปพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้ฟานเอ๋อร์มาตำหนักบรรทมหลังเที่ยง ข้ามีเรื่องจะพูดกับฟานเอ๋อร
จันทร์กระจ่างสาดส่องพื้นผิวเงาพฤกษาทอดตัวอยู่ในลานตำหนักบรรทม เงากลับหัวเหมือนภาพสีน้ำมันที่เงียบสงบฉินอวิ๋นฟานเดินอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ ดื่มด่ำกับสายลมเย็นที่ปะทะใบหน้ามาดรุณีข้างกายเงียบเชียบ ชายตามองดวงหน้าหล่อเหลาอย่างระมัดระวัง“ไม่ทราบว่า รัชทายาท มีความคิดเห็นอย่างไรกับ...ข้าน้อยเจ้าคะ?”หลี่ว์เยว่กระดากเล็กน้อย แต่ก็ยังถามคำถามในใจออกไป แม้นางจะมีชาติกำเนิดในตระกูลสูงศักดิ์ หากมีความคิดเป็นของตัวเอง ต่อต้านการจัดการแต่งงานของบุพการี ถ้าไม่ใช่เพราะฮ่องเต้ต้าเหลียงยื่นมือมา นางต้องค้างกับผู้เป็นปู่แน่แต่ทันทีที่เห็นฉินอวิ๋นฟาน นางกับถลำลึกลงไป ฉินอวิ๋นฟานนอกจากจะรูปงามองอาจ ยังมีท่วงทำนองไม่ธรรมดา มีเสน่ห์พิเศษอย่างหนึ่งที่มองไม่เห็นอยู่กับตัว ทำให้นางไหวหวั่นได้ยินดังนั้นฉินอวิ๋นฟานจึงก้มหน้าลงเล็กน้อยเห็นใบหน้าเขินอายของหลี่ว์เยว่แล้ว ฉินอวิ๋นฟานก็อดหัวเราะไม่ได้ “แม่นางหลี่ว์เยว่งดงามเพียงนี้ ย่อมทำให้ชายนับไม่ถ้วนหวั่นไหว”ฉินอวิ๋นฟานพูดความจริง หลี่ว์เยว่งามอ้อนแอ้น ทำให้ฉินอวิ๋นฟานหวั่นไหวจริง ๆแรกเริ่มเขาไม่เห็นดีกับผู้หญิงที่เสด็จตาจะยัดให้เขา สำหรับความค
จู่ ๆ เสี่ยวชิงก็ทำหน้าจริงจังเปลี่ยนเรื่องพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เพียงแต่มีบางเรื่อง หวังว่าองค์หญิงจะพิจารณาให้ดี” “เสี่ยวชิงเป็นนางกำนัล เดิมไม่ควรพูดมาก แต่ปัจจุบันการเมืองสั่นคลอน ฝ่าบาทพลานามัยไม่แข็งแรง หากแพร่ออกไปเกรงจะส่งผลกระทบอย่างหนัก”เหลียงจื่อฝูได้ยินดังนั้นก็มิอาจสงบแต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ทุกครั้งที่เจอฉินอวิ๋นฟานมักทำให้นางเกิดความรู้สึกหุนหันพลันแล่นยากจะควบคุมบางทีเสี่ยวชิงอาจจะพูดถูก นางแค่กำลังหึงหวงเท่านั้นเหลียงจื่อฝูแหงนหน้ามองดวงจันทร์ คิดอยู่นานจึงยัดเนื้อส้มเข้าปากในที่สุด“เสี่ยวชิง พวกเรากลับตำหนักกันเถอะ”......ฉินอวิ๋นฟานมองหลี่ว์เยว่นั่งรถม้าจากไปไกลแล้วจึงถอนสายตากลับและเดินไปอีกทางหนึ่งเขาไม่เสียใจกับเรื่องที่ตัวเองทำเมื่อครู่ และไม่เสียใจกับถ้อยคำที่พูดกับหลี่ว์เยว่ด้วยแม้การปฏิเสธความหวังดีของฮ่องเต้ต้าเหลียงจะทำให้เขารู้สึกผิดอยู่บ้าง แต่ยามนี้ไม่ใช่เวลารัก ๆ ใคร่ ๆ ระหว่างชายหญิง และต่อให้ไม่มีหลี่ว์เยว่ ขอเพียงเสด็จน้าเจอกับอุปสรรค เขาก็ต้องช่วยเสด็จน้าอย่างเต็มกำลังอยู่แล้ว“รัชทายาท ดึกอย่างนี้แล้ว จะไปที่ใดหรือ?”เสียงหนึ่งด
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ