จันทร์กระจ่างสาดส่องพื้นผิวเงาพฤกษาทอดตัวอยู่ในลานตำหนักบรรทม เงากลับหัวเหมือนภาพสีน้ำมันที่เงียบสงบฉินอวิ๋นฟานเดินอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ ดื่มด่ำกับสายลมเย็นที่ปะทะใบหน้ามาดรุณีข้างกายเงียบเชียบ ชายตามองดวงหน้าหล่อเหลาอย่างระมัดระวัง“ไม่ทราบว่า รัชทายาท มีความคิดเห็นอย่างไรกับ...ข้าน้อยเจ้าคะ?”หลี่ว์เยว่กระดากเล็กน้อย แต่ก็ยังถามคำถามในใจออกไป แม้นางจะมีชาติกำเนิดในตระกูลสูงศักดิ์ หากมีความคิดเป็นของตัวเอง ต่อต้านการจัดการแต่งงานของบุพการี ถ้าไม่ใช่เพราะฮ่องเต้ต้าเหลียงยื่นมือมา นางต้องค้างกับผู้เป็นปู่แน่แต่ทันทีที่เห็นฉินอวิ๋นฟาน นางกับถลำลึกลงไป ฉินอวิ๋นฟานนอกจากจะรูปงามองอาจ ยังมีท่วงทำนองไม่ธรรมดา มีเสน่ห์พิเศษอย่างหนึ่งที่มองไม่เห็นอยู่กับตัว ทำให้นางไหวหวั่นได้ยินดังนั้นฉินอวิ๋นฟานจึงก้มหน้าลงเล็กน้อยเห็นใบหน้าเขินอายของหลี่ว์เยว่แล้ว ฉินอวิ๋นฟานก็อดหัวเราะไม่ได้ “แม่นางหลี่ว์เยว่งดงามเพียงนี้ ย่อมทำให้ชายนับไม่ถ้วนหวั่นไหว”ฉินอวิ๋นฟานพูดความจริง หลี่ว์เยว่งามอ้อนแอ้น ทำให้ฉินอวิ๋นฟานหวั่นไหวจริง ๆแรกเริ่มเขาไม่เห็นดีกับผู้หญิงที่เสด็จตาจะยัดให้เขา สำหรับความค
จู่ ๆ เสี่ยวชิงก็ทำหน้าจริงจังเปลี่ยนเรื่องพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เพียงแต่มีบางเรื่อง หวังว่าองค์หญิงจะพิจารณาให้ดี” “เสี่ยวชิงเป็นนางกำนัล เดิมไม่ควรพูดมาก แต่ปัจจุบันการเมืองสั่นคลอน ฝ่าบาทพลานามัยไม่แข็งแรง หากแพร่ออกไปเกรงจะส่งผลกระทบอย่างหนัก”เหลียงจื่อฝูได้ยินดังนั้นก็มิอาจสงบแต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ทุกครั้งที่เจอฉินอวิ๋นฟานมักทำให้นางเกิดความรู้สึกหุนหันพลันแล่นยากจะควบคุมบางทีเสี่ยวชิงอาจจะพูดถูก นางแค่กำลังหึงหวงเท่านั้นเหลียงจื่อฝูแหงนหน้ามองดวงจันทร์ คิดอยู่นานจึงยัดเนื้อส้มเข้าปากในที่สุด“เสี่ยวชิง พวกเรากลับตำหนักกันเถอะ”......ฉินอวิ๋นฟานมองหลี่ว์เยว่นั่งรถม้าจากไปไกลแล้วจึงถอนสายตากลับและเดินไปอีกทางหนึ่งเขาไม่เสียใจกับเรื่องที่ตัวเองทำเมื่อครู่ และไม่เสียใจกับถ้อยคำที่พูดกับหลี่ว์เยว่ด้วยแม้การปฏิเสธความหวังดีของฮ่องเต้ต้าเหลียงจะทำให้เขารู้สึกผิดอยู่บ้าง แต่ยามนี้ไม่ใช่เวลารัก ๆ ใคร่ ๆ ระหว่างชายหญิง และต่อให้ไม่มีหลี่ว์เยว่ ขอเพียงเสด็จน้าเจอกับอุปสรรค เขาก็ต้องช่วยเสด็จน้าอย่างเต็มกำลังอยู่แล้ว“รัชทายาท ดึกอย่างนี้แล้ว จะไปที่ใดหรือ?”เสียงหนึ่งด
เห็นเงานั้นไปมาตามปรารถนา ราวกับเมฆดำที่บดบังแสงจันทร์นั้นค่อย ๆ สบายตัว ไร้ร่องรอยโดยสิ้นเชิงกระทั่งกลิ่นอายอันตรายนั้นหมดไปแล้ว ใจเต้นระส่ำของฉินอวิ๋นฟานจึงค่อย ๆ สงบลง“เฮ้อ...”เขาพรูลมแล้วจึงพบว่าตัวเองกำลังขาแข็งอยู่กลัว?อารมณ์ซับซ้อนผุดขึ้นมาในหัวของฉินอวิ๋นฟาน ศึกชิงอำนาจอันโหดเหี้ยมทำให้เขากดดันเป็นเท่าตัว หากพลั้งเผลอไปเพียงนิดเดียวก็ต้องตกเข้าสู่ห้วงหมื่นเคราะห์มิอาจหวนคืนกับการข่มขู่ของชายชุดดำ เจตนารบที่มองไม่เห็นประเภทนั้นในใจของฉินอวิ๋นฟานถูกปลุกขึ้นอีกครั้ง“ขู่ข้าฉินอวิ๋นฟานหรือ?! เหอะ! ข้ามันพวกต่อต้านแต่กำเนิดเว้ย!”ฉินอวิ๋นฟานเน้นคำสุดท้าย จู่ ๆ ก็ฉายรอยยิ้มบนใบหน้าจาง ๆเขาไม่ใช่คนรักตัวกลัวตาย เช่นเดียวกัน เขาจะไม่ยอมให้ใครกดขี่รังแกอยู่บนหัว!เพิ่งจะมาถึงต้าเหลียงและเป็นการเยี่ยมญาติ พร้อมหน้ากับเสด็จตาเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาอื่นสักหน่อย...คิดไม่ถึงว่ายังมีคนมาเสนอหน้าท้าทายก่อน!“ดีมาก ดี...”ฉินอวิ๋นฟานสูดลมหายใจเข้าลึก ลำแสงประหลาดวูบไหวอยู่ในแววตา “เช่นนั้นข้าฉินอวิ๋นฟานก็จะเล่นเป็นเพื่อนพวกเจ้าให้ถึงที่สุด”......เมื่อกลับถึงโรงเตี๊ยม อู่
ต่อให้อู่จ้านและเซี่ยงเส้าเหยียนอยู่ด้วย คนชุดดำพวกนั้นก็คงไม่ยอมเลิกราอยู่ดีไม่แน่ ถ้าพวกอู่จ้านอยู่อาจปะทะต่อสู้กันขึ้นมาก็ได้“คืนนี้พวกเขาแค่มาเตือนข้า”ฉินอวิ๋นฟานแกว่งสุราฤทธิ์แรงในจอก ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มคลุมเครือ “พอดีเลย ทีแรกข้าก็ไม่อยากยุ่งเรื่องของต้าเหลียงหรอก แต่ในเมื่อรังแกมาถึงตัวแล้ว ข้าก็ไม่มีเหตุผลต้องอดกลั้นทำตามกระมัง?”เขาฉินอวิ๋นฟานไม่เคยเป็นคนขี้ขลาดตาขาว!“เสี่ยวฟาน? หรือว่า...เจ้าคิดว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวกับการเมืองของต้าเหลียง?”อู่จ้านชะงักไปก่อนจะถามเขารู้เรื่องการเมืองพวกนี้นิดหน่อย ตอนอยู่ที่ต้าเฉียนก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวเช่นกันเหมือนอย่างเดียวกัน เมื่อมาถึงต้าเหลียง ต่อให้เตรียมตัวล่วงหน้าแล้ว แต่ก็ไม่เข้าใจสถานการณ์ทางนี้อยู่ดี“ตอนนี้ยังพูดยาก รอพรุ่งนี้เถอะ พรุ่งนี้ก็จะรู้เอง”ฉินอวิ๋นฟานไม่ได้พูดต่อ แต่ดื่มสุราฤทธิ์แรงในจอกจนหมด......จิ๊บ ๆ ๆ...นกน้อยเจื้อยแจ้วบนกิ่งไม้ ประกาศการมาถึงของวันใหม่ฉินอวิ๋นฟานเข้าวังเยือนตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ต้าเหลียงก่อนเมื่อคืนหลังจากออกจากงานเลี้ยงกินข้าวเย็น ฮ่องเต้ต้าเหลียงบอกว่าให้เข้ามาหลังเที่ยงของว
“องค์หญิง เมื่อครู่รัชทายาทต้าเฉียนเข้าวังแล้ว ท่านจะไปดูสักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ?”ทันทีที่ฉินอวิ๋นฟานเข้าวังเสี่ยวชิงก็ได้ข่าว จึงมารายงานทันที เหลียงจื่อฝูกำลังนั่งอยู่ตรงหน้ากระจกด้วยสีหน้าราบเรียบ ไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อยงานเลี้ยงเมื่อคืนเสด็จพ่อเบิกบานพระทัยมาก เน้นการพูดคุยเรื่องสัพเพเหระเป็นหลัก ระยะนี้ท่านพี่มีเรื่องกลุ้มใจหลายเรื่อง ไม่ได้คุยเรื่องเกี่ยวกับต้าเหลียงมากนัก ที่เรียกพบฉินอวิ๋นฟานในวันนี้ก็สมควรแก่เหตุผล“ไปกันเถอะ เราไปดูกันหน่อย”เรื่องเกี่ยวพันถึงส่วนรวม การมาถึงของฉินอวิ๋นฟาน เป็นไปได้มากว่าจะเป็นทางออกของสถานการณ์ต้าเหลียง อย่างไรก็ตาม เจ้าเด็กนี่ก็เป็นคนเด็ดขาดคนหนึ่ง คือตัวตนซึ่งมีสติปัญญาและความกล้าหาญเพียบพร้อม ยิ่งชำนาญการวางแผนเล่นกับอำนาจ เหลียงจื่อฝูต้องเข้าร่วมเป็นธรรมดา......“ดูท่าระหว่างเสด็จน้าใหญ่และเสด็จน้าสามจะมีความขัดแย้งกันมากจริง ๆ นะพ่ะย่ะค่ะ”ในห้องมืดสลัว ฉินอวิ๋นฟานเอ่ยปากเสียงเอื่อยเฉื่อยฉินอวิ๋นฟานรู้เรื่องภายในต้าเหลียงจากฮ่องเต้ต้าเหลียงมากมาย ซึ่งเรื่องเกี่ยวกับการต่อสู้ทั้งโจ่งแจ้งและลับหลังระหว่างเหลียงเทียนอี้กับเหลีย
ผู้เปิดเผยไม่พูดจาลับลมคมใน ฉินอวิ๋นฟานกล่าวโดยตรง ขณะเดียวกันนั้นก็แสดงท่าทีและการตัดสินใจว่าจะดำรงความสัมพันธ์กับต้าเหลียงต่อและป้องกันเหตุไม่คาดฝันฮ่องเต้ต้าเหลียงอึ้ง จากนั้นจึงฉายรอยยิ้มปลาบปลื้ม ยิ่งเป็นรอยยิ้มแห่งความเลื่อมใส ฟานเอ๋อร์อายุอานามน้อย ๆ ก็มีวิสัยทัศน์เช่นนี้แล้ว“ข้ามองคนไม่ผิดจริง ๆ ฟานเอ๋อร์มีบุคลิกแห่งจักรพรรดิ!”“เสี่ยวอี้ไม่มีทางพูดคำพูดเมื่อกี้เด็ดขาด!”ความกล้าหาญและใจเหิมกล้าไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใดเช่นนี้ กลับออกมาจากปากเด็กน้อยยี่สิบต้น ๆ ทำให้ฮ่องเต้ต้าเหลียงประหลาดใจอย่างยิ่ง!“หม่อมฉันไม่ชอบอ้อมค้อม หวังว่าเสด็จตาจะเข้าพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” ฉินอวิ๋นฟานยังคงพูดด้วยสีหน้าดังเดิมเรื่องที่เขาพบเจอในต้าเฉียนร้ายแรงและดุเดือดกว่าที่เจอในต้าเหลียงเยอะการต่อสู้ระหว่างองค์ชายถึงขั้นว่ามืดฟ้ามัวดินแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงเวลานี้ยังมีฉินอ้าวที่จ้องเขาตาเป็นมันโผล่มาอีกคน...ภาพที่ส่งยอดฝีมือเขตเทวามาช่วงก่อนยังติดตาเขาอยู่หากต่อไปเจอกับภัยคุกคามเช่นนี้อีก เขาก็ไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไรดีด้วยเหตุนี้ เขาต้องขึ้นนั่งบัลลังก์ให้เร็วที่สุด ต้องได้รับการสนับสนุนยิ่ง
“เสด็จแม่ของเจ้าชื่อว่าเหลียงชิงหว่าน เป็นธิดาองค์ที่สี่ของข้า สติปัญญาล้ำเลิศ กตัญญูรู้ความ ทั้งยังชอบศึกษาร่ำเรียนเป็นพิเศษ ตอนเด็ก ๆ ตามตื๊อให้ข้าเล่าเรื่องสนุกให้นางฟังอยู่เสมอ”“เหล่าราชบัณฑิตในราชสำนักต่างจนปัญญากับนาง”ฉินอวิ๋นฟานดวงตาเคลื่อนไหวเล็กน้อย กล่าวด้วยสายตาอ่อนโยน “ดูท่าเสด็จแม่จะมีไหวพริบดีและเรียนเก่งนะพ่ะย่ะค่ะ”“ไม่แค่นั้นนะ หว่านเอ๋อร์ยังสมองไวฝีมือดี อาจเพราะตอนเด็ก ๆ ข้าสนใจแต่ราชสำนัก กลัดกลุ้มกับเรื่องประชาชนทั้งวัน มีเวลาอยู่เป็นเพื่อนนางน้อยมาก ดังนั้นเสด็จแม่ของเจ้าจึงใช้เข็มด้ายทำตุ๊กตาผ้าตัวแล้วตัวเล่า...”“ตุ๊กตาผ้าเหล่านั้นกลายเป็นเพื่อนเล่นสมัยเด็กของนาง”เปล่าเปลี่ยวเช่นนี้ โดดเดี่ยวเช่นนี้แค่จากที่พูดมา ฉินอวิ๋นฟานก็รับรู้ได้ถึงความเศร้าโศกจากก้นบึ้งหัวใจนั้นที่แท้ประสบการณ์วัยเยาว์ของเสด็จแม่ก็ทำให้คนเศร้าใจเช่นนี้“พอโตขึ้นมาอีกหน่อยก็ถึงเวลาที่สมควรออกเรือนแล้ว...”ระหว่างบรรยายเรื่องราวในอดีต ฮ่องเต้ต้าเหลียงสายตาลึกซึ้งมากขึ้น “แคว้นเหลียงในเวลานั้นอยู่ในช่วงพิเศษ มีปัญหาจากภายในและภายนอก จัดว่ามีศักยภาพระดับล่างในเก้าแคว้น สถานการณ์
ก็ตอนนี้เอง จู่ ๆ ฮ่องเต้ต้าเหลียงก็เอ่ยขึ้นว่า “หลังจากหว่านเอ๋อร์คลอดเจ้า นางเคยเขียนจดหมายหาข้าระยะหนึ่ง หนึ่งฉบับในนั้นได้พูดถึงเรื่อง...”“เกี่ยวกับเฮ่อชินอ๋องของต้าเฉียนฉินอ้าว”ฉินอ้าว?ฉินอวิ๋นฟานชะงักไป ไม่นึกว่าจะได้ยินชื่อนี้ที่นี่“ในจดหมายเขียนว่าอะไร ข้าลืมไปแล้ว ประเดี๋ยวข้าจะให้เสี่ยวชุนจื่อไปรื้อดูที่ห้องหนังสือของข้า แล้วนำจดหมายฉบับนั้นให้เจ้า”ฮ่องเต้ต้าเหลียงยิ้มปมเศร้าขณะพูดความรู้สึกติดค้างได้ถ่ายทอดไปถึงหัวใจของฉินอวิ๋นฟานแล้ว“พ่ะย่ะค่ะ” ฉินอวิ๋นฟานพยักหน้า ก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นพูด “สีพระพักตร์ของเสด็จตามิสู้ดี คาดว่าคงเหนื่อยแล้ว ทรงพักผ่อนก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ”อย่างไรก็พูดมากขนาดนั้น กอปรกับฮ่องเต้ต้าเหลียงสุขภาพไม่ดี หลังจากอารมณ์เปลี่ยนแปลงก็ยิ่งเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัดฉินอวิ๋นฟานจึงไม่คิดจะรบกวนต่อในเวลานี้“อื่ม ได้” ฮ่องเต้ต้าเหลียงไม่ได้ปฏิเสธ “เกี่ยวกับเรื่องเสี่ยวอี้...”“หม่อมฉันทราบเรื่องเสด็จน้าแล้ว เสด็จตาวางพระทัยเถอะพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้รับคำตอบยืนยัน ฮ่องเต้ต้าเหลียงก็ยิ้มสดใสพูด “ตอนนี้เสี่ยวอี้น่าจะอยู่ในห้องหนังสือ ถ้าฟานเอ๋อร์มีเวลาว่
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ