แชร์

บทที่ 79

ผู้เขียน: ไห่ตงชิง
เจียงโจวตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่าง รีบร้องตะโกนว่า “องค์รัชทายาทโปรดไว้ชีวิตด้วย กระหม่อมไม่ทราบว่าเรื่องจะบานปลายเพียงนี้ กระหม่อมก็กำลังคิดหาวิธีไล่พวกเขาออกไป ทว่าผู้ประสบภัยเหล่านั้นดื้อรั้นนัก ไล่แล้วก็กลับมา กระหม่อมจนปัญญาแล้วจริงๆ”

“ตำราเซิ่งเสียน สุนัขคาบไปกินแล้วรึ!”

เจียงโจวไม่อธิบายคงดีกว่า แต่ทันทีที่เขาอธิบาย จิตสังหารของหลี่เฉินก็เดือดพล่านอีกครั้ง

“ราชสำนักแต่งตั้งเจ้าเป็นขุนนาง และเป็นถึงผู้ว่าการเมืองหลวง ภายใต้โอรสสวรรค์ เพื่อให้เจ้าขับไล่ผู้ประสบภัยรึ! ผู้ประสบภัยไปที่ใดก็มิใช่ดินแดนของต้าฉิน มิใช่ราษฎรของต้าฉินอย่างนั้นหรือ!”

“เจ้าไม่คิดบรรเทาภัยพิบัติและเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัย แต่ยังจะขับไล่พวกเขาออกไป เพียงคำพูดนี้ของเจ้า ข้าไม่สังหารเจ้า คงไม่อาจระบายความเกลียดแค้นที่ติดอยู่ในใจไปได้!”

“ลากขุนนางชั่วช้าออกไปสอบปากคำและสังหารทันที ตรวจค้นจวนของเขา เนรเทศสามพันลี้ในสามชั่วโครตให้ และยึดเป็นของหลวงทั้งหมด!”

เจียงโจวนึกไม่ถึงว่าการร้องขอความเมตตาจะนำไปสู่การทำลายล้างตระกูลของเขา เขากลัวมากจนเนื้อตัวสั่นไม่หยุด อยากจะพูดอะไรต่อ แต่กลับถูกองครักษ์ที่ถือดา
บทที่ถูกล็อก
อ่านต่อที่ GoodNovel
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทที่เกี่ยวข้อง

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 80

    “เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ยามนี้ไม่ว่าจะลงโทษหรือเอาผิดก็เป็นเพียงการแก้ไขที่ปลายเหตุ ทว่าสิ่งสำคัญที่สุดในยามนี้คือการบรรเทาภัยพิบัติและช่วยเหลือผู้ประสบภัย เหตุการณ์ที่องค์รักษ์อวี่หลินสังหารหมู่ผู้ประสบภัยนั้น มีทั้งแง่มุมดีและแง่มุมเลวร้าย แม้ชีวิตผู้คนหลายพันคนจะสูญเสียไปอย่างน่าเสียดาย แต่ความผิดพลาดได้เกิดขึ้นแล้ว สิ่งสำคัญคือต้องรีบช่วยเหลือผู้ประสบภัย มิฉะนั้น จะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของราชสำนักในสายตาของราษฎร”คำพูดของจ้าวเสวียนจี ทำให้หลี่เฉินหาข้อผิดพลาดไม่ได้เลยอีกทั้งเป็นเรื่องที่หลี่เฉินกังวลจริง ๆเขาจึงมิได้พูดแทรก และรอให้จ้าวเสวียนจีพูดต่อจ้าวเสวียนจีมิได้หยุดพูด หายใจเข้าลึก ๆ และเอ่ยต่อว่า “เรื่องนี้ กระหม่อมขอเสนอแนะให้องค์รัชทายาทมีราชโองการให้คัดเลือกบุคคลผู้มีจิตใจเมตตา สามารถเป็นตัวแทนของราชวงศ์ และมากด้วยความสามารถลงพื้นที่ประสบภัยเพื่อปลอบประโลมราษฎร”เมื่อได้ยินประโยคนี้ จุดประสงค์ของจ้าวเสวียนจีก็ชัดเจนขึ้นแล้วขุนนางทั้งราชสำนัก ใครบ้างที่สามารถเป็นตัวแทนของราชวงศ์ได้ไม่มีผู้ใดนอกจากองค์รัชทายาททว่าองค์รัชทายาททรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 81

    หากกล่าวว่าหลายวันก่อน หลี่เฉินเพิ่งถูกบีบให้สละบัลลังก์ แม้จะมีเล่ห์เหลี่ยมทางการเมืองอยู่บ้าง แต่ยังดูอ่อนหัดและไร้เดียงสา สุดท้ายมิใช่เพราะฮ่องเต้ต้าสิงผู้ฟื้นอย่างกะทันหันและช่วยชีวิตเขาไว้ เกรงว่ายามนี้องค์รัชทายาทอาจกลายเป็นหุ่นเชิด หรือถูกทหารองครักษ์อวี่หลินกดดันสำเร็จแล้วทว่าองค์รัชทายาทในยามนี้ที่ยืนอยู่บนพระที่นั่งไท่เหอ เล่ห์เหลี่ยมทางการเมืองจะดูชำชองอย่างมาก รู้จักหลบหลีกและโจมตีอย่างชาญฉลาด ย่างก้าวหลายก้าวที่ผ่านมา ล้วนคิดวางแผนในจุดที่ตนไม่ทันได้เตรียมการ จนเอาชนะเบี้ยได้ตัวหนึ่งแม้จะพลิกสถานการณ์กลับมาได้ แต่โดยรวมแล้ว ยังมีแนวโน้มสูงที่ต้องเผชิญกับผลลัพธ์ที่จะสูญเสียจ้าวเจี้ยนเย่ ภายใต้ความสำเร็จที่ทำให้กับซูเจิ้งถิงกลับมามีบทบาทอีกครั้ง และปกครองทหารกล้าสามแสนนายของหน่วยบัญชาการสูงสุดเพียงผู้เดียวดังนั้น โดยสรุปแล้ว จ้าวเสวียนจีพ่ายแพ้ไปหนึ่งเบี้ยสิ่งสำคัญที่สุดคือ องค์รัชทายาทมิได้ใช้อารมณ์ต่อต้านแรงกดดันจากเขา แต่กลับยอมถอยก้าวอย่างชาญฉลาดสิ่งนี้ทำให้จ้าวเสวียนจีตระหนักว่าองค์รัชทายาทในยามนี้เรียนรู้ที่จะเก็บซ่อนความสามารถ ไม่ได้เปิดเผยจุดอ่อนอีกต่อไป แต

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 82

    ณ ตำหนักบูรพา สนมองค์รัชทายาทจ้าวหรุ่ยพักอาศัยอยู่ในตำหนักร้อยบุบฝา“พระองค์มาแล้ว”เมื่อเห็นหลี่เฉินก้าวยาวเดินมา จ้าวหรุ่ยรีบลุกขึ้นต้อนรับ“ได้ยินมาว่าวันนี้องค์รัชทายาทประชุมราชการเช้า ทุกอย่างราบรื่นใช่หรือไม่ หิวหรือไม่ หม่อมฉันสั่วคนให้เตรียมอาหารว่างที่พระองค์ชื่นชอบ...” ก่อนที่จ้าวหรุ่ยจะเอ่ยจบ เขาถูกหลี่เฉินขัดจังหวะ “ไม่เป็นไร ข้าจะพูดคุยกับพระสนม คนอื่นถอยออกไปเถิด” หลังจากนางกำนัลออกไปหมดแล้ว หลี่เฉินก็นั่งลงบนเตียงนุ่ม มองหิมะที่อยู่นอกหน้าต่าง และเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “พระสนม ตำหนักร้อยบุปผามักเต็มไปด้วยดอกโบตั๋น กุหลาบ และดอกไม้สีสันสวยงามอยู่เสมอ แต่ดอกไม้เหล่านี้บอบบางต้องดูแลให้ดี อายุก็สั้น บัดนี้อากาศเริ่มเย็นแล้วปลูกดอกเหมยเพิ่มจะดีที่สุดจ้าวหรุ่ยชงน้ำชาหนึ่งกาให้หลี่เฉิน ค่อย ๆ วางลงบนโต๊ะของเตียงนุ่ม และเมื่อได้ยินถึงตรงนี้ จึงเอ่ยว่า “ดอกเหมยจะสวยงามหลังผ่านความหนาวช่วงฤดูหนาวนี้ สรรพสิ่งล้วนเงียบสงบ ดอกไม้ที่สวยงามมีไม่มากนัก หากพระองค์ทรงชอบ หม่อมฉันจะให้คนปลูกดอกเหมยไว้บ้าง แต่เดิมพระองค์ทรงโปรดดอกไม้สวยงามไฉนจึงทรงโน้มน้าวหม่อมฉันให้ปลูกดอกเหมย ที

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 83

    ทั้งสองสวมชุดทั่วไปเดินออกจากตำหนักบูรพาผ่านประตูตงหวา ประตูตงอัน และมาถึงบริเวณที่ราษฎรทั่วไปในเมืองหลวงอาศัยอยู่ แม้หิมะจะตกหนัก แต่ถนนในเมืองหลวงผู้คนยังคงพลุกพล่าน ร้านค้าริมถนนโดยรอบก็เต็มไปด้วยแผงหาบเร่และขนมนึ่ง หากในยามปกติ จ้าวหรุ่ยคงมีจิตใจเบิกบานแน่นอน แต่ยามนี้นางไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดีเช่นไร ฉากตรงหน้าจะครึกครื้นเพียงใด ก็ไม่อาจกระตุ้นความสนใจของนางได้เลยนางติดตามหลี่เฉินอย่างเฉื่อยชาและเป็นกังวล เดินออกมาจากประตูฉงเหวิน ผ่านประตูหย่งติ้ง และเดินออกจากเมืองหลวง ทันทีที่ออกจากประตูหย่งติ้ง ราวกับเข้าสู่อีกโลกหนึ่งบรรยากาศที่รกร้างและกว้างใหญ่ไพศาล มองเห็นทิวทัศน์ภูเขาที่เลือนรางอยู่ระยะไกล และระยะใกล้เต็มไปด้วยหิมะสีขาวโพลน โลกทั้งใบถูกปกคลุมไปด้วยสีขาวราวกับสวมใส่เสื้อผ้าสีเงิน บนถนนหลวงมีผู้คน ผู้มาเยือนและพ่อค้าแม่ค้า กำลังต่อแถวเข้าเมือง แต่ละคนบนใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล“นายท่านโปรดเมตตาเด็กน้อยคนนี้ด้วยเถิด เด็กไม่ได้กินอะไรเลยมาหลายวันแล้ว ขอท่านเมตตาประทานอะไรให้กินสักหน่อย หรือแม้แต่เหรียญทองแดงก็ได้ เพียงเท่านี้ก็พอเด็กน้อยจะซื้อแป้งทอดได้แล้ว”ทันที

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 84

    “ที่พวกข้าอาศัยอยู่เป็นหมู่บ้านที่ยากจน ไร้ผู้คน เหลือเพียงครอบครัวเดียว พวกข้าโชคดีที่มีสมาชิกในครอบครัวรอดหนึ่งหรือสองคน” “พวกข้าตามญาติพี่น้องขออาหารตลอดทาง ต่อมามีคนขอทานมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีใครมีเสบียงอาหารเพียงพอที่จะช่วยพวกข้า ทุกคนอยากขุดรากหญ้าและแทะเปลือกไม้ แต่เด็กน้อยนี่สิ ท้องใหญ่มาก เพราะกินดินขาว และร้องลั่นด้วยความเจ็บทุกคืน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้” “มาถึงที่นี่ ไม่รู้ว่ามีคนล้มตายระหว่างทางมากเท่าใด คนที่แข็งแกร่งไปปล้น ขโมย หรือขึ้นเขาเป็นโจรป่าเลยก็มี ผู้หญิงบางคนขอเพียงมีอาหารให้กิน ก็ถอดเสื้อผ้าให้แล้ว เด็กสาวบางคนถูกส่งไปเป็นสาวใช้ของตระกูลร่ำรวย ล้วนเป็นลูกหัวแก้วหัวแหวนของพ่อแม่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ชีวิตช่างลำบากแสนเข็ญเหลือเกิน”ชายชราพูดพลางหลั่งน้ำตาชายชราพูดจาโดยไม่ประดิษฐ์ แม้แต่ลำดับเหตุการณ์จะดูสับสนอยู่บ้าง แต่ก็เป็นเพราะความจริงใจที่นึกอะไรออกก็พูดออกมา ถึงสะกิดใจคนได้อย่างมาก ดวงตาของจ้าวหรุ่ยเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเมื่อได้ยินถึงตรงนี้ และพึมพำว่า “ที่แท้ราษฎรข้างนอก ลำบากเช่นนี้” ในยามนี้ องครักษ์ผ้าแพรเดินเข้ามาพร้อมกับซาลาเปาและแป้งทอด ชายชราขอบคุณ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 85

    เมื่อเห็นด้วยตาตัวเองว่าศพหนาวจนแข็งถูกโยนลงหลุมใหญ่ราวกับขยะ เมื่อหลุมใกล้จะเต็ม ทหารก็เอาพลั่วมาถมหลุม ฉากอันน่าตกตะลึงนี้ สร้างความสะเทือนใจทำกับจ้าวหรุ่ยอย่างมากแม้ชีวิตของนางจะพลิกผันหลายหน เผชิญกับความยากลำบากในวัยเด็ก พลัดถิ่นไปพึ่งพาญาติห่าง ๆ อย่างจ้าวเสวียนจี สุดท้ายถูกเขาใช้เป็นเครื่องมือ ส่งตัวเข้าไปตำหนักบูรพา แต่ชีวิตของจ้าวหรุ่ยนั้นเติบโตมาอย่างสุขสบายบนกองเงินกองทอง ไม่เคยลิ้มรสความขมขื่นของชีวิตมนุษย์มาก่อนนางเอ่ยด้วยความไม่เชื่อ “หลายพันคน! ตายแบบนี้เนี่ยนะ!” “บนโลกนี้ ชีวิตมนุษย์ไร้ค่าที่สุด” หลี่เฉินมองจ้าวหรุ่ยพลางเอ่ยว่า “ข้าฆ่าเฉพาะคนที่สมควรฆ่า แต่บางคนใช้เวลาทั้งชีวิตถือพู่กันและอ่านตำราเซิ่งเสียน แต่คนบริสุทธิ์ที่เสียชีวิตเพราะพวกเขากลับกองเป็นภูเขา” จ้าวหรุ่ยเม้มริมฝีปาก ไม่กล้าโต้ตอบคำพูดเหล่านี้นางสัมผัสได้ถึงความโกรธที่ถูกกดไว้บริเวณหน้าอกของหลี่เฉิน ซึ่งพุ่งเป้าไปที่จ้าวเสวียนจีและตัวนางเอง ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะความหนาวเย็นหรือความหวาดกลัว ร่างกายของจ้าวหรุ่ยจึงสั่นไหวเล็กน้อย ขณะนี้ ทหารกลุ่มองครักษ์อวี่หลินสวมชุดเกราะเคลื่อนขบวนทัพมาจาก

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 86

    หลี่เฉินเอ่ยจบ ซูผิงเป่ยก็เผยความโหดเหี้ยมออกมา เขาสั่งทหารสองนายให้จับจ้าวเจี้ยนเย่ไว้ เขาชักดาบฟันเล็บนิ้วมือทั้งสิบของจ้าวเจี้ยนเย่ออกความทรมานเช่นนี้ไม่ร้ายแรงเท่าใดนัก อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ตาย แต่ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นแทบไม่มีผู้ใดทนได้บนทุ่งหิมะอันกว้างใหญ่ เสียงร้องโหยหวนของจ้าวเจี้ยนเย่ดังก้องราวกับภูตผีเลือดไหลจากปลายนิ้วแปดเปื้อนไปทั่วหิมะสีขาว ใบหน้าซีดเผือด เส้นเลือดขมับปูดโปน เหงื่อเม็ดโตไหลรินบนหน้าผากความเจ็บปวดอันรุนแรงกระตุ้นให้เขารู้สึกโกรธแค้น เขาต่อสู้ดิ้นรนและตะโกนว่า “องค์รัชทายาท! เจ้ามีเพียงวิธีต่ำช้าอย่างนั้นรึ! ฆ่าข้า! ฆ่าข้าซะ!”“ฆ่าเจ้า! ข้าแทบอยากถลกหนังเจ้า! หากข้าฆ่าเจ้าเพียงดาบเดียวจะไม่ง่ายไปหน่อยหรือ”“ซูผิงเป่ย!”“พ่ะย่ะค่ะ”“ตัดแขนขาทั้งสองข้างทิ้งซะ แล้วโยนเข้าไปในหลุมใหญ่ ให้คนเฝ้าทั้งวันทั้งคืน ปล่อยให้ตายไปเอง ใครกล้าช่วยก็ฆ่าทิ้งให้หมด!”คำสั่งของหลี่เฉิน ทำให้จ้าวเจี้ยนเย่ที่ไม่กลัวตายเผยใบหน้าหวาดกลัวขึ้นมา“ไม่ ไม่เอา”เขาดิ้นรน อยากหลุดพ้นจากการควบคุมของทหารทว่ายามนี้ แขนขาของเขาที่ถูกคลึงไว้จะสลัดหลุดได้อย่างไรหลี่เฉินจ้องจ้า

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 87

    ซูผิงเป่ยก็เกลียดชังจ้าวเจี้ยนเยี่ยผู้โหดเหี้ยมอำมหิตเป็นอย่างมากดังนั้น หลังจากที่หลี่เฉินออกคำสั่งแล้ว ไม่พูดจาอะไรสักคำ ชักดาบออกมาฟันทันทีแสงดาบสะท้อนไปทั่วทิศ สองแขนสองขาของจ้าวเจี้ยนเยี่ยหลุดออกจากร่างทันทีจ้าวเจี้ยนเยี่ยถูกฟันทำให้เป็นคนแขนขาดขาขาดทั้งเป็น ร่างของเขาล้มลงจมกับกองเลือด แขนขากระจายอยู่รอบตัว ส่งเสียงเจ็บปวดรวดร้าวดั่งผีอาฆาตยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เอาเรื่องความเร็วที่โลหิตหลั่งแบบนี้ ไม่นาน จ้าวเจี้ยนเยี่ยต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย“เร็วเข้า ไปตามหลางจงมาสักสองสามคนมาห้ามเลือดให้จ้าวเจี้ยนเยี่ย แล้วโยนมันลงในหลุมศพนี้ ต้องให้มันมีชีวิตอยู่สามวัน หากมันมีชีวิตน้อยไปหนึ่งชั่วโมง ซูผิงเป่ยเจ้าก็ไม่ต้องมาหาเปิ่นกงอีก”หลี่เฉินพูดจบด้วยเสียงเยือกเย็น แล้วชี้นิ้วไปทางผู้สมรู้ร่วมคิดสิบกว่าคนที่ถูกทำให้ตกใจ แล้วพูดว่า “คนพวกนี้ ฆ่าทิ้งให้หมด โยนลงหลุมศพ ให้พวกมันไปสารภาพบาปกับคนบริสุทธิ์ในยมโลก” คำพูดของหลี่เฉินทำให้พวกสมรู้ร่วมคิดส่งเสียงขอร้อง แต่หลี่เฉินไม่สนใจฟัง หันกายแล้วนำจ้าวหรุ่ยที่ตกใจจนสีหน้าไร้เลือดฝาดจากไประหว่างทางกลับ หลี่เฉินไม่ได้อารมณ์ดีข

บทล่าสุด

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 778

    “ขุนนางผู้จงรักภักดี?”ถานไถจิ้งจือค่อยๆ หมุนตัวกลับมามองขุนนางที่ถามเขาด้วยรอยยิ้มพลางกล่าว “ท่านจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าเขาเป็นผู้จงรักภักดี?”ขุนนางคนนั้นนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยความลุกลี้ลุกลน “เขา…เขากล้ากล่าวตักเตือนอย่างตรงไปตรงมา…”“การกล้าพูดตรงไปตรงมาถือเป็นความจงรักภักดีหรือ? แล้วสิ่งที่เขาพูดต้องถูกเสมอไปหรือ?”ถานไถจิ้งจือกล่าวเสียงนุ่มนวล “ในความเห็นของข้า คงไม่เสมอไป”หลังจากนั้น เขาโบกมือเบาๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ข้าเป็นเพียงคนชรา ไม่มีสิทธิ์กล่าวแทนราษฎร และไม่กล้าพูดแทนหัวใจของทุกคน แต่ในความเห็นส่วนตัวของข้า องค์ชายไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ท่านกล่าวหากัน เรื่องราวบนโลกนี้ไม่ได้มีแค่สีดำหรือขาวเท่านั้น”“เมื่อครู่ พวกท่านเรียกร้องให้องค์ชายคิดทบทวน วันนี้ข้าก็ขอมอบคำว่าพิจารณาให้รอบคอบคืนให้แก่พวกท่านเช่นกัน”เมื่อกล่าวจบ ถานไถจิ้งจือก็เดินจากไปอย่างช้าๆใบหน้าของจ้าวเสวียนจี…ดำคล้ำลงทันทีในแง่ของอิทธิพลต่อกลุ่มขุนนางฝ่ายบุ๋น ซูเจิ้นถิงย่อมไม่อาจเทียบเท่าถานไถจิ้งจือได้เพียงแค่ชื่อถานไถจิ้งจือก็เพียงพอที่จะกดดันทุกคนในที่นั้นได้ตั้งแต่ถานไถจิ้งจือเ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 777

    ซูเจิ้นถิงแสดงท่าทีเคร่งขรึม จ้องมองเหล่าขุนนางที่แสดงสีหน้าตกตะลึงจากคำพูดที่ดุดันของเขา ก่อนจะเอ่ยเสียงดัง “พวกท่านกล่าวหาว่าองค์ชายสังหารขุนนางโดยพลการ ข้าอยากถามว่า จนถึงวันนี้ ขุนนางคนไหนที่องค์ชายสังหารไป ไม่สมควรถูกสังหารบ้าง!?”“พวกเขามีใครบ้างที่ไม่เต็มไปด้วยความผิดต่างๆ ทั้งทุจริต รับสินบน และใช้อำนาจในทางมิชอบ!?”“คนเหล่านั้นล้วนสมควรถูกกำจัด หากไม่ฆ่าพวกเขา ความสกปรกโสมมในราชสำนักต้าฉินจะไม่ถูกชำระล้าง และเมฆหมอกที่ปกคลุมเหนือแผ่นดินต้าฉินจะไม่มีวันจางหายไป!”“ทุกคนที่องค์ชายสังหาร หลังจากตรวจสอบแล้วพบหลักฐานมัดตัวมากมายที่พิสูจน์ว่าพวกเขากระทำผิด แม้ว่าพวกเขาจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ ก็ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ ที่จะพ้นผิดได้!”เสียงของซูเจิ้นถิงยิ่งพูดยิ่งดังขึ้น เขากล่าวต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “หากจะกล่าวหาองค์ชายว่าโหดเหี้ยม เช่นนั้นข้ามีเรื่องหนึ่งจะเล่าให้ฟัง”“เมื่อไม่นานมานี้ บุตรหลานตระกูลขุนนางกลุ่มหนึ่งล่วงเกินองค์ชาย บิดาของพวกเขาหลายคนก็ยืนอยู่ที่นี่ด้วย หากองค์ชายเป็นคนโหดเหี้ยมจริง คนเหล่านั้นคงไม่ได้กลับบ้านแน่!”“แต่องค์ชายทำอย่างไร? เขาไม่เพียงแต่ไม่ลงโทษพวกเขา

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 776

    สองทหารที่ลากตัวขุนนางกลางคนออกไป ถึงกับสะดุ้งด้วยความกลัว และไม่กล้าลังเลอีกต่อไป คนหนึ่งใช้มือปิดปากขุนนาง อีกคนจับเสื้อของเขา ทั้งสองจับตัวขุนนางไว้ตรงกลางและลากออกไปทันทีเมื่อเห็นภาพนั้น เหล่าขุนนางในพระที่นั่งไท่เหอต่างพากันฮือฮาด้วยความตกตะลึงขณะที่จ้าวเสวียนจีกลับไม่ได้แสดงความโกรธเคือง ตรงกันข้าม เขายิ้มออกมาอย่างพึงพอใจในสายตาของจ้าวเสวียนจี เขารู้ดีว่า หลี่เฉินไม่มีทางก้มหัวให้ใครเขาเคยลองทดสอบหลี่เฉินมาหลายครั้ง และหลี่เฉินก็ยังคงไม่ยอมอ่อนข้อให้ทุกครั้งนี่คือกับดักที่จ้าวเสวียนจีวางไว้เพื่อบีบให้หลี่เฉินหันหน้าเข้าปะทะกับเหล่าขุนนางขุนนางคนหนึ่งที่ไร้ความสำคัญ ฆ่าไปก็ไม่เสียหายแต่สิ่งที่ตามมาคือ ความไม่พอใจของเหล่าขุนนางนับร้อยขุนนางที่เคยเป็นกลาง เมื่อเห็นว่าองค์รัชทายาทสามารถฆ่าคนได้โดยไม่ลังเล ย่อมรู้สึกไม่ปลอดภัยและไม่กล้าเข้าใกล้ตำหนักบูรพาอีกเมื่อขุนนางวัยกลางคนถูกลากตัวออกไป หลี่เฉินเดินขึ้นไปยังบัลลังก์ และหันกลับมาหลังจากไปถึงข้างๆ บัลลังก์มังกรเขายกแขนวางบนที่พักแขนบัลลังก์มังกร นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสเก้าอี้ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจสูงสุ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 775

    ขุนนางวัยกลางคนที่พยายามจุดกระแสความไม่พอใจในพระที่นั่งไท่เหอ ย่อมไม่ยอมแพ้ง่ายๆเขากัดฟันกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "สิ่งที่ข้าพูดออกไปนั้น คือความจริงจากใจ! องค์ชายอาจไม่ชอบฟัง แต่สิ่งที่ข้ากล่าวนั้นคือความจริง""เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเกลียดอะไรพวกเจ้าที่สุด!?"หลี่เฉินที่โกรธจนถึงขีดสุด หัวเราะเยาะก่อนตะโกนลั่นด้วยความเดือดดาล "สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุด ก็คือพวกเจ้าทำตัวเหมือนเป็นผู้มีศีลธรรมสูงส่ง แสดงออกว่าใส่ใจแผ่นดินและราษฎร แต่ในความเป็นจริง พวกเจ้าล้วนคิดแต่เรื่องผลประโยชน์ของตัวเอง!""เมื่อมีผลประโยชน์ พวกเจ้าก็พุ่งเข้าใส่เหมือนสุนัขบ้า แต่ถ้าไม่มีผลประโยชน์ ก็ทำราวกับสิ่งนั้นเป็นงูพิษที่ต้องหลีกหนี""เมื่อใดก็ตามที่ผลประโยชน์ส่วนรวมขัดแย้งกับผลประโยชน์ส่วนตัวของพวกเจ้า พวกเจ้าก็จะลุกขึ้นมาพูดถึงคุณธรรม จริยธรรม แสดงตัวว่าเป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์ที่อ้อนวอนเพื่อราษฎร ชี้นิ้วด่าว่าคนอื่นผิดพลาด แม้กระทั่งชี้หน้าด่าข้าว่าโง่เขลา พวกเจ้าคิดว่าการด่าว่าคนอื่น จะทำให้พวกเจ้าเป็นวีรบุรุษที่ถูกจารึกในประวัติศาสตร์หรืออย่างไร!?""แต่ข้าไม่มีวันยอมรับพวกเจ้าเด็ดขาด!"พูดจบ หลี่เฉินหันไป

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 774

    ขุนนางวัยกลางคนคนนั้นไม่คิดว่าหลี่เฉินจะลงโทษเขารุนแรงเช่นนี้ เขาจึงดิ้นรนพลางตะโกนเสียงดัง "องค์รัชทายาท! ท่านไม่ใส่ใจสถานการณ์ของชาติ ทำทุกอย่างตามอำเภอใจ นี่คือการทำลายรากฐานของแผ่นดิน!""เกียรติยศของแคว้นและความผาสุกของลูกหลานในอนาคต ไม่สามารถได้มาด้วยเลือดร้อนเพียงอย่างเดียวได้ กองทัพหกแสนของแคว้นเหลียวจ้องมองเราอย่างดุดัน ทั้งภายในและภายนอกแคว้นก็มีแต่ปัญหา ท่านยังจะดึงดันใช้นโยบายแข็งกร้าวเช่นนี้ต่อไป และไม่ยอมฟังคำเตือนจากพวกเรา ในที่สุด แผ่นดินนี้จะต้องล่มสลายด้วยน้ำมือของท่านเอง!""ข้าซึ่งเป็นข้าราชการที่กินเงินเดือนของราชสำนัก ย่อมต้องทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองจนกว่าชีวิตจะหาไม่ แม้จะต้องสละชีวิตนี้ ข้าก็ไม่อาจทนเห็นท่านทำลายรากฐานที่บรรพบุรุษได้สร้างไว้!"ขณะที่เขากล่าวนั้น ทหารสองนายก็เดินเข้ามาใกล้เพื่อจะจับกุมตัวเขาแต่ด้วยพละกำลังที่เกิดจากสัญชาตญาณในยามวิกฤติ เขาผลักทหารทั้งสองออกไปได้อย่างไม่น่าเชื่อเขารู้ดีว่าในสถานการณ์เช่นนี้ การขอความเมตตาย่อมไร้ประโยชน์ แต่หากเขาสามารถปลุกเร้าความโกรธของขุนนางคนอื่นๆ ได้ อาจจะมีความหวังรอดชีวิตอยู่บ้างขุนนางผู้นี้กัดฟันแน่นก

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 773

    ขุนนางวัยกลางคนผู้นั้น แม้จะไม่ใช่บุคคลสำคัญระดับสูงสุดในพระที่นั่งไท่เหอ แต่ก็ถือว่าเป็นชนชั้นนำในหมู่ประชากรหลายสิบล้านคนของต้าฉิน การที่เขาก้าวขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งที่สามารถยืนในพระที่นั่งไท่เหอได้ อย่างไรเสียก็คือหนึ่งในชนชั้นยอดของยุคสมัยนี้และเมื่อเขาเอ่ยปากพูด ก็ใช้คำกล่าวที่ยกตนขึ้นสูงในทันทีหวังที่จะใช้ถ้อยคำนี้กดดันหลี่เฉิน"อ้อนวอนเพื่อแผ่นดิน"คำพูดนี้ทำให้หลี่เฉินโกรธจนหัวเราะออกมา "ดี! ช่างเป็นการอ้อนวอนเพื่อแผ่นดินที่ยอดเยี่ยมเสียจริง!""ถ้าเจ้าคือผู้ที่อ้อนวอนเพื่อราษฎร เช่นนั้นข้าก็คงเป็นองค์รัชทายาทที่ไม่สนใจเสียงของราษฎร เป็นผู้ปกครองที่ไร้สติและโง่เขลาใช่หรือไม่!?"เมื่อเผชิญกับคำถามที่ดังก้องและชัดเจนของหลี่เฉิน ขุนนางวัยกลางคนก็เริ่มหวั่นไหวเหงื่อซึมออกมาจากหน้าผากของเขา ก่อนกัดฟันตอบกลับด้วยน้ำเสียงสั่นๆ "กระหม่อม…กระหม่อมไม่ได้หมายความเช่นนั้น""เช่นนั้น เจ้าหมายความว่าอย่างไร!?"หลี่เฉินเบิกตากว้าง ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว พร้อมกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงดุดัน "แคว้นเหลียวที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน ข้าได้เตือนพวกเจ้าไว้ไม่รู้กี่ครั้งแล้ว! แคว้นเหลียวไ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 772

    แกร๊ก…เสียงกระดูกนิ้วมือของเย่ลู่เสินเสวียนดังขึ้นขณะที่เขากำหมัดแน่นไม่มีสิ่งใดที่น่าอับอายมากไปกว่านี้อีกแล้วเย่ลู่เสินเสวียนสูดลมหายใจลึก ก่อนหันไปมองเย่ลู่กู่จ้านฉีและกัดฟันกล่าวว่า "ยังไม่รีบมาอีก!?"เย่ลู่กู่จ้านฉีราวกับเพิ่งตื่นจากฝัน รีบลุกขึ้นและวิ่งไปหาเย่ลู่เสินเสวียนทันทีเมื่อไปถึงหน้าประตูพระที่นั่งไท่เหอ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเย่ลู่กู่จ้านฉีตื่นเต้นเกินไป หรือว่าร่างกายของเขาอ่อนแอเกินไป ขณะที่กำลังจะก้าวข้ามธรณีประตู เขากลับสะดุดล้มลงกับพื้นเสียงดังตุบ เย่ลู่กู่จ้านฉีล้มลงในท่าหมอบหน้าแนบพื้นอย่างน่าอับอาย"ฮะ…ฮ่าๆๆๆ!"เสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างไม่เกรงใจจากบางคนแม้แต่ซูเจิ้นถิงเองก็เผลอเผยรอยยิ้มที่มุมปาก แต่แล้วเขาก็รู้สึกตัวว่าในสถานการณ์เช่นนี้ เขาไม่ควรหัวเราะ ขณะที่เขากำลังจะหันไปเตือนคนที่หัวเราะเสียงดังนั้น กลับเห็นว่าผู้ที่หัวเราะเสียงดังที่สุดคือบุตรชายของเขาเอง…เย่ลู่เสินเสวียนมองดูเย่ลู่กู่จ้านฉีที่หน้าขึ้นสีด้วยความอับอาย สีหน้าของเขาดำคล้ำด้วยความโกรธ"น่าอับอายสิ้นดี!"เขาเค้นคำออกมาจากไรฟันด้วยน้ำเสียงเย็นชา จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อแล้วหมุนตัวเด

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 771

    ทุกย่างก้าวที่หลี่เฉินเดินผ่าน เสียงพูดคุยที่เคยดังสนั่นในพระที่นั่งไท่เหอพลันเงียบลงทันทีสายตาของทุกคนจับจ้องไปยังร่างของหลี่เฉินที่เคลื่อนไหว โดยไม่เข้าใจว่าเหตุใดองค์รัชทายาทถึงได้ก้าวลงจากบัลลังก์มังกรอย่างกะทันหันจนกระทั่งหลี่เฉินเดินไปหยุดที่หน้าประตูพระที่นั่งไท่เหอ เขายืนอยู่หลังธรณีประตู และจ้องมองเย่ลู่เสินเสวียนที่ยืนอยู่อีกฟากหนึ่งหลี่เฉินชี้ไปที่ธรณีประตู ก่อนกล่าวว่า "ธรณีประตูนี้ ด้านในคือพระที่นั่งไท่เหอ คือดินแดนต้าฉิน"เย่ลู่เสินเสวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจว่า หลี่เฉินต้องการจะสื่ออะไร แต่ก็ตอบกลับไปว่า "เจ้าหมายความว่า ด้านนอกธรณีประตูนี้ เป็นดินแดนของแคว้นเหลียวอย่างนั้นหรือ?"เย่ลู่เสินเสวียนคิดว่าตนเองตอบได้อย่างมีชั้นเชิงแต่หลี่เฉินส่ายศีรษะ พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น "ไม่ใช่ สิ่งที่ข้าต้องการจะบอกคือ นอกธรณีประตูนี้ ใต้ฟ้าสีเหลืองแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล ล้วนเป็นดินแดนของต้าฉิน""และดินแดนต้าฉิน จะไม่มีวันให้ใครยืมใช้โดยเด็ดขาด""หรือไม่องค์รัชทายาทแห่งแคว้นเหลียวลองพิจารณาส่งภรรยาของท่านมาให้ข้าเล่นสักคนสองคนดีหรือไม่?"คำพูดหยาบโลนที่ราวก

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 770

    ที่แท้ก็รออยู่ตรงนี้เองแคว้นเหลียวไม่สิ้นความทะเยอทะยานจริงๆหลี่เฉินเข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงของการมาเยือนครั้งนี้ของเย่ลู่เสินเสวียนแล้วมันไม่ใช่เพื่อแก้แค้นให้บุตรชายที่ถูกฆ่าและไม่ใช่เพื่อทวงคืนศักดิ์ศรีของท่านอ๋องเก้าที่ทำให้แคว้นเหลียวต้องอับอายขายหน้าแต่คือการผลักดันให้การเจรจาระหว่างต้าฉินและแคว้นเหลียวเกิดขึ้นอีกครั้งเบื้องหน้าดูเหมือนจะเป็นความร่วมมือ แต่แท้จริงแล้วคือความทะเยอทะยานที่จะเปิดเส้นทางผ่านด่านเย่ว์หยาเพื่อบุกโจมตีต้าฉินโดยไร้การต่อต้านเย่ลู่เสินเสวียนเอ่ยเสียงดังต่อไปว่า "เพื่อแสดงความจริงใจของแคว้นเหลียว เราพร้อมจะลงนามในสนธิสัญญามิตรภาพกับต้าฉิน และพร้อมคืนครึ่งหนึ่งของแคว้นเยี่ยนอวิ๋นสิบหกหัวเมือง เพียงแค่ต้าฉินพยักหน้าตกลง แคว้นเหลียวก็จะมอบหัวเมืองเหล่านั้นให้ก่อนทันที จากนั้นต้าฉินค่อยเปิดเส้นทางด่านเย่ว์หยาให้เรา"คำพูดนี้ทำให้พระที่นั่งไท่เหอปั่นป่วนในทันทีเหล่าขุนนางทั้งฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋น หลายคนแสดงท่าทีลังเลและสนใจในข้อเสนอขุนนางคนหนึ่งก้าวออกมา กล่าวว่า "องค์ชาย แคว้นเหลียวมีกำลังเหนือกว่าพวกเราอย่างมาก ในสถานการณ์เช่นนี้ที่พวกเขายัง

สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status