ทั้งสองสวมชุดทั่วไปเดินออกจากตำหนักบูรพาผ่านประตูตงหวา ประตูตงอัน และมาถึงบริเวณที่ราษฎรทั่วไปในเมืองหลวงอาศัยอยู่ แม้หิมะจะตกหนัก แต่ถนนในเมืองหลวงผู้คนยังคงพลุกพล่าน ร้านค้าริมถนนโดยรอบก็เต็มไปด้วยแผงหาบเร่และขนมนึ่ง หากในยามปกติ จ้าวหรุ่ยคงมีจิตใจเบิกบานแน่นอน แต่ยามนี้นางไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดีเช่นไร ฉากตรงหน้าจะครึกครื้นเพียงใด ก็ไม่อาจกระตุ้นความสนใจของนางได้เลยนางติดตามหลี่เฉินอย่างเฉื่อยชาและเป็นกังวล เดินออกมาจากประตูฉงเหวิน ผ่านประตูหย่งติ้ง และเดินออกจากเมืองหลวง ทันทีที่ออกจากประตูหย่งติ้ง ราวกับเข้าสู่อีกโลกหนึ่งบรรยากาศที่รกร้างและกว้างใหญ่ไพศาล มองเห็นทิวทัศน์ภูเขาที่เลือนรางอยู่ระยะไกล และระยะใกล้เต็มไปด้วยหิมะสีขาวโพลน โลกทั้งใบถูกปกคลุมไปด้วยสีขาวราวกับสวมใส่เสื้อผ้าสีเงิน บนถนนหลวงมีผู้คน ผู้มาเยือนและพ่อค้าแม่ค้า กำลังต่อแถวเข้าเมือง แต่ละคนบนใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล“นายท่านโปรดเมตตาเด็กน้อยคนนี้ด้วยเถิด เด็กไม่ได้กินอะไรเลยมาหลายวันแล้ว ขอท่านเมตตาประทานอะไรให้กินสักหน่อย หรือแม้แต่เหรียญทองแดงก็ได้ เพียงเท่านี้ก็พอเด็กน้อยจะซื้อแป้งทอดได้แล้ว”ทันที
“ที่พวกข้าอาศัยอยู่เป็นหมู่บ้านที่ยากจน ไร้ผู้คน เหลือเพียงครอบครัวเดียว พวกข้าโชคดีที่มีสมาชิกในครอบครัวรอดหนึ่งหรือสองคน” “พวกข้าตามญาติพี่น้องขออาหารตลอดทาง ต่อมามีคนขอทานมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีใครมีเสบียงอาหารเพียงพอที่จะช่วยพวกข้า ทุกคนอยากขุดรากหญ้าและแทะเปลือกไม้ แต่เด็กน้อยนี่สิ ท้องใหญ่มาก เพราะกินดินขาว และร้องลั่นด้วยความเจ็บทุกคืน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้” “มาถึงที่นี่ ไม่รู้ว่ามีคนล้มตายระหว่างทางมากเท่าใด คนที่แข็งแกร่งไปปล้น ขโมย หรือขึ้นเขาเป็นโจรป่าเลยก็มี ผู้หญิงบางคนขอเพียงมีอาหารให้กิน ก็ถอดเสื้อผ้าให้แล้ว เด็กสาวบางคนถูกส่งไปเป็นสาวใช้ของตระกูลร่ำรวย ล้วนเป็นลูกหัวแก้วหัวแหวนของพ่อแม่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ชีวิตช่างลำบากแสนเข็ญเหลือเกิน”ชายชราพูดพลางหลั่งน้ำตาชายชราพูดจาโดยไม่ประดิษฐ์ แม้แต่ลำดับเหตุการณ์จะดูสับสนอยู่บ้าง แต่ก็เป็นเพราะความจริงใจที่นึกอะไรออกก็พูดออกมา ถึงสะกิดใจคนได้อย่างมาก ดวงตาของจ้าวหรุ่ยเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเมื่อได้ยินถึงตรงนี้ และพึมพำว่า “ที่แท้ราษฎรข้างนอก ลำบากเช่นนี้” ในยามนี้ องครักษ์ผ้าแพรเดินเข้ามาพร้อมกับซาลาเปาและแป้งทอด ชายชราขอบคุณ
เมื่อเห็นด้วยตาตัวเองว่าศพหนาวจนแข็งถูกโยนลงหลุมใหญ่ราวกับขยะ เมื่อหลุมใกล้จะเต็ม ทหารก็เอาพลั่วมาถมหลุม ฉากอันน่าตกตะลึงนี้ สร้างความสะเทือนใจทำกับจ้าวหรุ่ยอย่างมากแม้ชีวิตของนางจะพลิกผันหลายหน เผชิญกับความยากลำบากในวัยเด็ก พลัดถิ่นไปพึ่งพาญาติห่าง ๆ อย่างจ้าวเสวียนจี สุดท้ายถูกเขาใช้เป็นเครื่องมือ ส่งตัวเข้าไปตำหนักบูรพา แต่ชีวิตของจ้าวหรุ่ยนั้นเติบโตมาอย่างสุขสบายบนกองเงินกองทอง ไม่เคยลิ้มรสความขมขื่นของชีวิตมนุษย์มาก่อนนางเอ่ยด้วยความไม่เชื่อ “หลายพันคน! ตายแบบนี้เนี่ยนะ!” “บนโลกนี้ ชีวิตมนุษย์ไร้ค่าที่สุด” หลี่เฉินมองจ้าวหรุ่ยพลางเอ่ยว่า “ข้าฆ่าเฉพาะคนที่สมควรฆ่า แต่บางคนใช้เวลาทั้งชีวิตถือพู่กันและอ่านตำราเซิ่งเสียน แต่คนบริสุทธิ์ที่เสียชีวิตเพราะพวกเขากลับกองเป็นภูเขา” จ้าวหรุ่ยเม้มริมฝีปาก ไม่กล้าโต้ตอบคำพูดเหล่านี้นางสัมผัสได้ถึงความโกรธที่ถูกกดไว้บริเวณหน้าอกของหลี่เฉิน ซึ่งพุ่งเป้าไปที่จ้าวเสวียนจีและตัวนางเอง ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะความหนาวเย็นหรือความหวาดกลัว ร่างกายของจ้าวหรุ่ยจึงสั่นไหวเล็กน้อย ขณะนี้ ทหารกลุ่มองครักษ์อวี่หลินสวมชุดเกราะเคลื่อนขบวนทัพมาจาก
หลี่เฉินเอ่ยจบ ซูผิงเป่ยก็เผยความโหดเหี้ยมออกมา เขาสั่งทหารสองนายให้จับจ้าวเจี้ยนเย่ไว้ เขาชักดาบฟันเล็บนิ้วมือทั้งสิบของจ้าวเจี้ยนเย่ออกความทรมานเช่นนี้ไม่ร้ายแรงเท่าใดนัก อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ตาย แต่ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นแทบไม่มีผู้ใดทนได้บนทุ่งหิมะอันกว้างใหญ่ เสียงร้องโหยหวนของจ้าวเจี้ยนเย่ดังก้องราวกับภูตผีเลือดไหลจากปลายนิ้วแปดเปื้อนไปทั่วหิมะสีขาว ใบหน้าซีดเผือด เส้นเลือดขมับปูดโปน เหงื่อเม็ดโตไหลรินบนหน้าผากความเจ็บปวดอันรุนแรงกระตุ้นให้เขารู้สึกโกรธแค้น เขาต่อสู้ดิ้นรนและตะโกนว่า “องค์รัชทายาท! เจ้ามีเพียงวิธีต่ำช้าอย่างนั้นรึ! ฆ่าข้า! ฆ่าข้าซะ!”“ฆ่าเจ้า! ข้าแทบอยากถลกหนังเจ้า! หากข้าฆ่าเจ้าเพียงดาบเดียวจะไม่ง่ายไปหน่อยหรือ”“ซูผิงเป่ย!”“พ่ะย่ะค่ะ”“ตัดแขนขาทั้งสองข้างทิ้งซะ แล้วโยนเข้าไปในหลุมใหญ่ ให้คนเฝ้าทั้งวันทั้งคืน ปล่อยให้ตายไปเอง ใครกล้าช่วยก็ฆ่าทิ้งให้หมด!”คำสั่งของหลี่เฉิน ทำให้จ้าวเจี้ยนเย่ที่ไม่กลัวตายเผยใบหน้าหวาดกลัวขึ้นมา“ไม่ ไม่เอา”เขาดิ้นรน อยากหลุดพ้นจากการควบคุมของทหารทว่ายามนี้ แขนขาของเขาที่ถูกคลึงไว้จะสลัดหลุดได้อย่างไรหลี่เฉินจ้องจ้า
ซูผิงเป่ยก็เกลียดชังจ้าวเจี้ยนเยี่ยผู้โหดเหี้ยมอำมหิตเป็นอย่างมากดังนั้น หลังจากที่หลี่เฉินออกคำสั่งแล้ว ไม่พูดจาอะไรสักคำ ชักดาบออกมาฟันทันทีแสงดาบสะท้อนไปทั่วทิศ สองแขนสองขาของจ้าวเจี้ยนเยี่ยหลุดออกจากร่างทันทีจ้าวเจี้ยนเยี่ยถูกฟันทำให้เป็นคนแขนขาดขาขาดทั้งเป็น ร่างของเขาล้มลงจมกับกองเลือด แขนขากระจายอยู่รอบตัว ส่งเสียงเจ็บปวดรวดร้าวดั่งผีอาฆาตยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เอาเรื่องความเร็วที่โลหิตหลั่งแบบนี้ ไม่นาน จ้าวเจี้ยนเยี่ยต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย“เร็วเข้า ไปตามหลางจงมาสักสองสามคนมาห้ามเลือดให้จ้าวเจี้ยนเยี่ย แล้วโยนมันลงในหลุมศพนี้ ต้องให้มันมีชีวิตอยู่สามวัน หากมันมีชีวิตน้อยไปหนึ่งชั่วโมง ซูผิงเป่ยเจ้าก็ไม่ต้องมาหาเปิ่นกงอีก”หลี่เฉินพูดจบด้วยเสียงเยือกเย็น แล้วชี้นิ้วไปทางผู้สมรู้ร่วมคิดสิบกว่าคนที่ถูกทำให้ตกใจ แล้วพูดว่า “คนพวกนี้ ฆ่าทิ้งให้หมด โยนลงหลุมศพ ให้พวกมันไปสารภาพบาปกับคนบริสุทธิ์ในยมโลก” คำพูดของหลี่เฉินทำให้พวกสมรู้ร่วมคิดส่งเสียงขอร้อง แต่หลี่เฉินไม่สนใจฟัง หันกายแล้วนำจ้าวหรุ่ยที่ตกใจจนสีหน้าไร้เลือดฝาดจากไประหว่างทางกลับ หลี่เฉินไม่ได้อารมณ์ดีข
“ข้าน้อยขอบพระทัย องค์รัชทายาททรงพระเจริญนับพันปี!”หลี่เฉินไม่ได้สนใจหลี่ชิงที่ขอบพระทัยเขา หลี่เฉินหันกายจากศพของปู่หลานทั้งสองหลี่เฉินมองไปทางจ้าวหรุ่ยที่ตามอยู่ด้านหลัง แล้วพูดว่า “เราไม่กล้ามองนานมากนัก เรารู้สึกตลอดเลยว่ามีวิญญาณมากมายกำลังถามว่า พวกเขาเพียงแค่อยากจะกินอิ่ม เหตุใดกลับยากเพียงนั้น เหตุใดจึงได้หนาวเพียงนั้น เหตุใดจึงทุกข์ยากเพียงนั้น”เขาไม่ได้แทนตัวเองว่าข้า แต่แทนตัวเองว่าเราจ้าวหรุ่ยสังเกตเห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ นี้นางมองไปทางหลี่เฉินอย่างทำตัวไม่ถูก นางเคยเห็นหลี่เฉินตอนเป็นคนโง่เขลาและไม่มีความทะเยอทะยานนางยังเคยเห็นหลี่เฉินดูน่ากลัวและเจ้าเล่ห์เหมือนสุนัขจิ้งจอกยิ่งกว่านั้น นางเคยเห็นหลี่เฉินฆ่าคนอย่างโหดเหี้ยมและบ้าคลั่งแต่นางไม่เคยเห็นหลี่เฉินในยามนี้ ที่เหนื่อยทั้งกายและใจ ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดทั้งๆ ที่นี่เป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติ และเป็นเพราะจ้าวเจี้ยนเยี่ยโหดเหี้ยมอำมหิต สั่งประหารชีวิตของชาวบ้านที่ประสบภัย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับหลี่เฉินสักนิดแต่หลี่เฉิน ราวกับว่าได้แบกเอาความผิดมาไว้ที่ตัวเองทั้งหมด ไม่รู้ว่าทำไม ในใจของจ้าวห
"คำพูดนี้ของพี่จื่อเจี้ยนถูกต้อง ข้าได้คัดลอกทั้งบทมาแล้ว ทั้งหมดเจ็ดร้อยสิบเจ็ดตัวอักษร ข้าอ่านทั้งคืน แต่ละรอบต่างทำให้ข้ารู้สึกตื่นเต้น ความรู้สึกชื่นชมเอ่อล้นขึ้นในใจ น่าเสียดายที่ไม่ได้ก้มคาราวะให้กับคุณชายจ้าวไท่ไหล่ต่อหน้า บทความที่น่าทึ่งขนาดนี้ ข้ากล้าพูดเลยว่า หากในโลกวรรณกรรมมีสิบส่วน แปดส่วนต้องเป็นของคุณชายจ้าวไท่ไหลอย่างไม่ต้องสงสัย!”“อย่าว่าแต่เจ้าเลย หากเป็นคนที่ศึกษาตำราเล่าเรียน มีใครบ้างเล่าที่จะไม่มี “ลำนำหอเถิงหวัง” สักฉบับติดมือแล้วอ่านอย่างละเอียด เฮ้อ เหนือฟ้ายังมีฟ้า ท่านใต้เท้าราชเลขาเองก็เป็นเสาหลักของบ้านเมือง หากไม่มีท่านราชเลขาคอยค้ำจุนราชสำนัก ไม่รู้ว่าบ้านเมืองจะวุ่นวายสักเพียงใด บวกกับความสามารถทางวรรณกรรมที่น่าทึ่งของคุณชายจ้าวไท่ไหล เพียงประโยคที่ว่าแสงอรุณโรยราห่านป่าบินเดียวดาย อุทกแห่งฤดูใบไม้ร่วงรวมสีเดียวกับท้องนภานี้จะทำให้นักกวีใต้หล้าอับอายไปอีกนานเท่าใด”ที่จริงแล้ว ไม่ว่าพวกบัณฑิตเหล่านี้จะถกกันเรื่อง “ลำนำหอเถิงหวัง” ก็ดีหรือจ้าวไท่ไหลก็ตาม ล้วนไม่ดึงดูดความสนใจของหลี่เฉินทั้งนั้น แต่หากจะรวมสองชื่อนี้เข้าด้วยกัน หลี่เฉินจำต้องฟังเสียห
คำพูดของหลี่เฉิน ทำให้ใบหน้าแดงก่ำของบัณฑิตเปลี่ยนเป็นขาวซีด“เจ้า เจ้ากล้าดูหมิ่นคนสุภาพเรียบร้อย!”หลี่เฉินขี้เกียจเกินกว่าจะโต้เถียงกับคนไร้ค้าเช่นนี้“ซานเป่า ไล่คนไม่เอาไหนที่กินอุจาระของตระกูลจ้าวออกไปซะ”ซานเป่าที่ทนดูไม่ไหวนานแล้วรีบลุกขึ้น ขณะเดียวกันองครักษ์ผ้าแพรหลายนาบก็มาปิดล้อม จับพวกเขาและลากออกไปทันทีเหล่าบัณฑิตจะเป็นคู่ต่อสู้ขององครักษ์ผ้าแพรได้อย่างไร จึงร้องโหยหวนอย่างไร้เรี่ยวแรงต้านทานออกจากโรงเตี๊ยมหลี่เฉินหันหลังเดินมายังโต๊ะที่มีหญิงสาวสองคนปลอมตัวเป็นชายหนุ่มคนที่พูดก่อนหน้านี้ ดูงดงามกว่าเล็กน้อย การแต่งกายด้วยชุดผู้ชายก็มิได้ดูแปลก กลับยิ่งสง่าสงามและสูงศักดิ์ ทำให้ชุดที่สวมใส่ดูพิเศษมากขึ้นจึงอดจินตนาการไม่ได้ว่านางสวมชุดผู้หญิงตามปกติจะงดงามเพียงใดเมื่อเห็นหลี่เฉินจ้องมองตน หญิงสาวก็มิได้หลบสายตา และมองหลี่เฉินด้วยความสนใจ เพียงแค่ความตรงไปตรงมาและเปิดเผยนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้หญิงทั่วไปมี“คุณชายดูแปลกตามาก ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใดหรือ” จินเสวี่ยยวนเอ่ยถาม“บัณฑิตเหล่านั้นมิใช่คนดี ดูไร้มารยาทมาก และแท้จริงแล้วล้วนเป็นสุนัขรับใช้ของตระกูลจ้าว
ภายใต้สายตาที่จับจ้องมาของหลี่เฉิน หู่ข่ายที่เมื่อครู่ยังดูมั่นใจ กลับรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาทันทีเขารู้สึกเหมือนองค์รัชทายาทตรงหน้าเป็นเสือโคร่งดุร้าย กำลังเดินย่างกรายเข้ามาใกล้เขาช้าๆเสียงรองเท้าหนังที่ก้าวย่างช้าๆ แต่ละก้าวเหมือนกำลังเหยียบย่ำอยู่บนหัวใจของหู่ข่ายเมื่อจิตใจเริ่มสั่นคลอน หู่ข่ายก็พยายามระลึกถึงสถานะของตัวเอง ระลึกถึงเหวินอ๋องที่อยู่เบื้องหลัง แล้วรวบรวมความกล้าเอ่ยออกมาด้วยเสียงแข็ง “องค์ชาย กระหม่อมเพียงปฏิบัติตามคำสั่งของท่านอ๋อง ท่านอ๋องสั่งอย่างไร กระหม่อมก็ทำตามนั้น”คำพูดนี้แม้จะฟังดูเหมือนการเตือนหลี่เฉินว่ามีเหวินอ๋องอยู่เบื้องหลัง แต่ก็เผยให้เห็นถึงความหวาดกลัวของหู่ข่ายอย่างชัดเจนหลี่เฉินยืนนิ่งอยู่หน้าเกวียน ที่ตรงนั้นกลิ่นเหม็นเน่ายิ่งรุนแรงขึ้นเขากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ดูเหมือนว่าการอภิเษกของข้า จะทำให้บางคนไม่พอใจสินะ”ทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดีว่าหมายถึงใครหู่ข่ายกลืนน้ำลาย มองสบตากับผู้ติดตามที่มาด้วยกันพวกเขาเกรงกลัวบารมีของหลี่เฉิน ตอนนี้ต้องการเพียงแค่หนีออกจากตำหนักบูรพาให้เร็วที่สุด“องค์ชาย กระหม่อมทำหน้าที่เสร็จแล้ว ขออนุญาต
หลี่เฉินไม่ได้สนใจหู่ข่ายแต่หันไปมองหีบขนาดใหญ่บนเกวียนแทนโดยปกติ ของขวัญแสดงความยินดีในงานอภิเษกจะมีการตกแต่งอย่างสวยงามบ้างก็ใช้ผ้าแดงคลุม บ้างก็ติดสัญลักษณ์มงคลแต่หีบสีดำใบนี้ดูเรียบง่ายเกินไป แถมเพราะความยาวที่ผิดปกติ จนดูคล้ายกับโลงศพเสียมากกว่าทุกคนที่อยู่ในที่นั้นล้วนเป็นคนมีประสบการณ์ เพียงแค่เห็นครั้งแรกก็รู้ได้ทันทีว่ามีปัญหาของขวัญที่เหวินอ๋องส่งมาไม่ใช่แค่ไม่ใส่ใจ แต่ยังมีเจตนาท้าทายอย่างชัดเจนเหอคุนมองหน้าหลี่เฉิน ก่อนจะตัดสินใจยืนขึ้นมาเผชิญหน้ากับหู่ข่าย “ของขวัญจากเหวินอ๋องมีรายการบรรยายหรือไม่?”หู่ข่ายตอบด้วยท่าทีไม่เกรงกลัว แถมยังแฝงไปด้วยความเยาะเย้ยเล็กน้อย “ของขวัญมีเพียงหนึ่งเดียว ไม่จำเป็นต้องมีรายการบรรยาย”เหอคุนขมวดคิ้ว รู้สึกไม่พอใจอย่างมากของที่เหวินอ๋องส่งมาชัดเจนว่าไม่ใช่ของดี แต่ในเมื่อองค์รัชทายาทยังไม่พูดอะไร ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา เขาจึงต้องแสดงออกถึงความไม่พอใจแทนเขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แม้ไม่มีรายการบรรยาย อย่างน้อยก็ควรจะมีการบอกวัตถุประสงค์ ของขวัญในงานอภิเษกสมรสองค์รัชทายาทคือเรื่องที่ทุกคนในแผ่นดินร่วมยินดี การที่บ้านของท่
การปรากฏตัวของเจี้ยว่าง ในที่สุดแล้วก็เป็นเพียงการเพิ่มความเป็นไปได้ที่ดูเหมือนจะเป็นผลดีต่อหลี่เฉินในสถานการณ์ที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงได้ตลอดแต่อะไรก็ยังไม่แน่นอนสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ หลี่เฉินรู้จักธรรมชาติที่แท้จริงของจิตใจมนุษย์ ซึ่งเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและความไม่แน่นอนเจี้ยว่างดูเหมือนจะมีจิตใจที่ซื่อสัตย์ ต้องการทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อเส้าหลินแต่ปัญหาคือ เส้าหลินฝ่ายใต้และฝ่ายเหนือแยกกันมากว่าร้อยปีแล้ว แต่ละฝ่ายมีเจ้าอาวาสและระบบการปกครองของตัวเองหากเจี้ยว่างยังคงอยู่ในฐานะที่เป็นดั่งสัญลักษณ์มงคล ทั้งสองฝ่ายก็พร้อมจะเคารพนับถือแต่ถ้าเขาก้าวขึ้นมาเพื่อจะเป็นผู้นำของทั้งสองฝ่าย นั่นจะกลายเป็นปัญหาที่ไม่ง่ายเลยแม้หลี่เฉินจะไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง แต่เขาก็รู้ว่ามันมีความเสี่ยงสูงดังนั้นเขาจึงไม่ได้คาดหวังอะไรมากนักเพราะตอนนี้ เขายังมีสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าต้องทำ นั่นคือพิธีอภิเษกสมรสกับซูจิ่นพ่า ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในอีกห้าวันข้างหน้า"เหลือเวลาอีกห้าวัน"ในเช้าวันถัดมา หลี่เฉินเรียกเหอคุนเข้ามาในพระที่นั่งสีเจิ้ง “อีกห้าวันก็จะถึงวันอภิเษกแล้ว ของขวัญแสดงความยินดีที
แม้เจี้ยว่างจะมีศักดิ์สูงและเป็นยอดฝีมือระดับเซียนบนดิน ไม่ว่าใครในเส้าหลินต่างก็ต้องให้เกียรติเขาแต่ก็ใช่ว่าเขาจะสามารถตัดสินใจทุกเรื่องแทนเส้าหลินได้ยังคงมีคนในสำนักที่มีความเห็นต่างและหากเรื่องราวดำเนินไปผิดพลาด อาจกลายเป็นความขัดแย้งครั้งใหญ่เหมือนกับการแยกฝ่ายระหว่างเส้าหลินฝ่ายใต้ฝ่ายเหนือในอดีตความฝันตลอดชีวิตของเจี้ยว่างคือการทำให้พุทธศาสนาในเส้าหลินรุ่งเรือง จึงไม่กล้าที่จะเสี่ยงแม้จะมีพลังมากเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถจัดการทุกเรื่องได้เมื่อเห็นท่าทีลำบากใจของเจี้ยว่าง หลี่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “เงื่อนไขได้ถูกวางไว้แล้ว ท่านอาจารย์จะเป็นคนแรกที่ก้าวออกไปข้างหน้า หรือจะกลับไปตีไม้ปลุกระฆังอย่างสงบในวัด ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของท่านเอง”เจี้ยว่างถอนหายใจเบาๆ ก่อนตอบว่า “เรื่องนี้ยากยิ่งนัก มิใช่สิ่งที่อาตมาจะตัดสินใจได้โดยลำพัง ขอองค์ชายโปรดให้เวลาอาตมาพิจารณา”“เป็นธรรมดา”หลี่เฉินพยักหน้า “แต่ข้ามีเวลาให้แค่สามวันเท่านั้น ภายในสามวันนี้ ท่านต้องให้คำตอบ หากไม่มีข่าวใดๆ ข้าจะถือว่าท่านได้ปฏิเสธข้อเสนอของข้าแล้ว”เจี้ยว่างถอนหายใจอีกครั้งก่อนกล่าวว่
"นอกจากนี้ หากชายหญิงผู้มีศรัทธาแรงกล้าประสงค์จะบวช ทางการก็จะไม่ขัดขวาง""และสุดท้าย เส้าหลินสามารถเป็นตัวแทนราชสำนักในการควบคุมบรรดาสำนักในยุทธภพได้"ทันทีที่คำพูดสุดท้ายหลุดจากปาก สีหน้าของเจี้ยว่างที่ดูสงบไม่สะทกสะท้านมาตลอดก็พลันเปลี่ยนไป เขาเงยหน้ามองหลี่เฉินทันทีการตอบสนองของเจี้ยว่างนั้น หลี่เฉินล้วนคาดการณ์ไว้แล้ว เขาไม่กังวลเลยว่าเจี้ยว่างจะไม่สนใจข้อเสนอการได้เป็นผู้นำในยุทธภพเป็นสิ่งที่บรรดาสำนักใหญ่ต่างใฝ่ฝันและแย่งชิงกันมาหลายร้อยปีแม้เส้าหลินจะเป็นสำนักที่มีบารมีสูงส่งในหมู่สำนักต่างๆ แต่หากประกาศตัวเองว่าเป็นอันดับหนึ่งในยุทธภพ คงถูกบรรดาสำนักอื่นๆ รุมประณามสำนักในยุทธภพล้วนมีประวัติยาวนานเป็นร้อยปี ไม่มีใครยอมรับว่าเส้าหลินเหนือกว่าตนแต่หากราชสำนักมอบตำแหน่งที่มีการรับรองอย่างเป็นทางการให้เส้าหลินในการควบคุมยุทธภพ แม้จะถูกหัวเราะเยาะ แต่ก็คงเป็นเพียงพวกที่อิจฉาเท่านั้นยิ่งไปกว่านั้น สำหรับเส้าหลิน การมีตำแหน่งอย่างเป็นทางการจะช่วยเพิ่มโอกาสในการรับศิษย์และผู้ศรัทธาใหม่ๆการสืบทอดและการบำรุงศาสนจักร เป็นสิ่งที่เส้าหลินต้องการมากที่สุดในตอนนี้ดังนั้น ข้อ
หลี่เฉินวางถ้วยชาลง มองพระเฒ่าฝั่งตรงข้ามพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ผู้ที่บ่อนทำลายบ้านเมือง ไม่เคยเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ในวันสองวัน หรือแม้กระทั่งในรุ่นเดียว บางครั้งจุดเริ่มต้นของเรื่องนั้นอาจมาจากความตั้งใจที่ดี แต่เมื่อเป็นการปกครองโดยมนุษย์ ความผิดพลาดในแนวคิดของผู้สืบทอดย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้”“ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์นี้ ได้ทรงบัญญัติกฎหมายเพื่อควบคุมศาสนาทั่วหล้า ในฐานะทายาทรุ่นหลัง ย่อมไม่มีทางเปลี่ยนแปลงแนวทางนี้ได้โดยง่าย”พระเฒ่าขมวดคิ้วเล็กน้อยเขาสัมผัสได้ถึงความยากลำบากของสิ่งที่ตนกำลังจะทำ จากท่าทีของหลี่เฉินแต่เมื่อคิดถึงความเสื่อมถอยของพุทธศาสนาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พระเฒ่าก็มีบางคำที่ต้องเอ่ย และบางสิ่งที่ต้องลงมือทำเขาถอนหายใจเบาๆ ก่อนกล่าวว่า “องค์ชาย ในเมื่อท่านยอมเปิดโอกาสพูดคุยกับอาตมา แสดงว่ายังมีทางอื่นอีก”หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ ก่อนกล่าวว่า “แน่นอนว่าย่อมมีทาง”“ข้าขอถามท่านอาจารย์ว่า ที่ท่านว่ามานั้นเกี่ยวข้องกับเส้าหลินฝ่ายใต้หรือเส้าหลินฝ่ายเหนือ?”พุทธศาสนาในจักรวรรดิต้าฉิน โดยมีเส้าหลินเป็นศูนย์กลาง แต่เส้าหลินนั้นแยกออกเป็นสองฝ่าย คือเส้
หลี่เฉินยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกครั้ง ก่อนจะวางลงและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “กฎหมายข้อนี้ แม้จะมีถ้อยคำเพียงไม่กี่ร้อยคำ แต่ก็เหมือนกับคาถาที่รัดคอไว้แน่น พุทธและเต๋าต่างไม่สามารถกลับไปสู่ยุคเฟื่องฟูเช่นราชวงศ์ก่อนหน้านี้ได้ ท่านอาจารย์ที่มาในวันนี้ ก็เพื่อขอให้ข้าเปิดทางให้พวกเจ้าใช่หรือไม่?”พระสงฆ์ตอบตรงไปตรงมา“ใช่”หลี่เฉินยิ้มบาง “ข้าชอบความตรงไปตรงมาของท่าน แต่ท่านคิดว่าข้าจะยอมเปลี่ยนกฎที่บรรพชนตั้งไว้เพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำหรือ?”“จะบอกให้รู้ไว้ ข้าคิดว่ากฎหมายข้อนี้เป็นกฎหมายที่ยอดเยี่ยม เป็นผลงานชิ้นเอกที่สะท้อนถึงความเฉลียวฉลาดและวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของบรรพชน มันช่วยป้องกันปัญหานับไม่ถ้วนที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง และท่านอยากให้ข้าทำลายมันง่ายๆ อย่างนั้นหรือ?”พระสงฆ์ยังคงสงบนิ่งและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “บรรพชนของพวกเราก็พยายามทำให้พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองเช่นกัน แต่ตลอดกว่า 360 ปีที่ผ่านมา ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จ นั่นแสดงให้เห็นถึงความยากลำบากของมัน”“องค์ชายเป็นผู้มีปัญญา ย่อมไม่อาจถูกหลอกลวงหรือถูกชักจูง ข้าจึงไม่คิดจะใช้เล่ห์กลกับท่าน ข้ามาเพียงเพื่อขอร้อง ให้ท่านช่วยเปิ
แม้แต่ซานเป่าเองยังรู้สึกว่า ท่าทีขององค์รัชทายาทในวันนี้ค่อนข้างกดดันและคุกคามเกินไปแต่พระสงฆ์ผู้เฒ่าหลังจากที่แสดงความโกรธไปชั่วครู่ กลับสงบนิ่งราวกับไม่รู้สึกอะไรอีก เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม “องค์ชายทรงเป็นผู้ที่ผู้คนคาดหวังและยอมรับโดยทั่ว พุทธศาสนาเพียงขอทางรอด ไม่ได้หวังเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอำนาจทางโลก ขอให้องค์ชายทรงเมตตา”ดวงตาของหลี่เฉินหรี่ลงเล็กน้อยแม้ว่าเขาจะไม่มีความชอบต่อศาสนาใดๆ แต่เขาไม่เคยปฏิเสธที่จะใช้ประโยชน์จากทุกอย่างที่สามารถนำมาสนับสนุนการปกครองของเขาได้ยิ่งไปกว่านั้น จ้าวเสวียนจียังไม่ได้ถูกกำจัด บรรดาอ๋องต่างแคว้นยังคงจับตาดูอยู่ และการควบคุมจักรวรรดิต้าฉินของเขายังไม่ถึงจุดที่สามารถวางใจได้ การสนับสนุนจากพุทธศาสนาอาจเป็นกองกำลังลับที่ช่วยพลิกสถานการณ์ได้และถึงอย่างไร เขาก็ไม่คิดที่จะผลักพวกพระไปเข้ากับฝ่ายศัตรู"ที่นี่ไม่เหมาะที่จะพูดเรื่องนี้"หลี่เฉินหันไปสั่งซานเป่า "จัดหาที่ที่เงียบสงบสักแห่ง"ซานเป่ารับคำสั่งและรีบไปดำเนินการสำหรับซานเป่าแล้ว การหาที่เงียบสงบใกล้ๆ ไม่ใช่เรื่องยากเพียงเวลาไม่กี่อึดใจ เขาก็กลับมาพร้อมสถานที่เรียบร้อยเขาเลื
"ช่างเป็นคำพูดที่ดี”หลี่เฉินหัวเราะเย็นชา "เช่นนั้นก็ลองดูกันสักตั้ง""ซานเป่า"เพียงแค่ได้ยินคำสั่งจากหลี่เฉิน ร่างกายของซานเป่าก็รู้สึกตึงเครียดขึ้นมาคำพูดเดินทางมาถึงจุดที่ไม่อาจถอยหลังกลับได้อีกแล้ว และหลี่เฉินก็แสดงเจตนาชัดเจนว่า เขาต้องการให้พระสงฆ์ตรงหน้าได้ลิ้มรสพลังของอำนาจจักรวรรดิถูกต้อง หลี่เฉินตั้งใจจะให้พระเฒ่าผู้นี้ได้ลิ้มรสชาติของอำนาจกษัตริย์ภายใต้ระบอบศักดินาว่าเป็นเช่นไรด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมานับพันปี หลี่เฉินรู้ดีว่าการจัดการศาสนาในทุกรูปแบบนั้นต้องใช้ความระมัดระวังไม่ว่าจะเป็นพุทธศาสนาหรือลัทธิเต๋า ซึ่งเป็นสองศาสนาหลักของแผ่นดินจีน หรือแม้แต่พวกตูลูหรือพระลามะในท้องถิ่น ที่แม้จะเป็นศาสนาสาขาเล็กๆ ก็ยังสามารถระดมศิษยานุศิษย์มาสร้างแนวคิดแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ที่แฝงความคิดกบฏปลอมๆ ได้ดังนั้น หากไม่จำเป็นจริงๆ หลี่เฉินก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับสองศาสนาใหญ่เหล่านี้เพราะเหตุใดเล่า? ก็เพราะพวกนี้รับมือยากยิ่งส่วนลัทธิอย่างสำนักบัวขาว ซึ่งเป็นศาสนาเทียมและความเชื่อปลอมๆ นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่แยกออกไปแต่พระสงฆ์ตรงหน้ากลับเป็นฝ่ายเข้าหาเขาเอง และหลี่เฉินก็