แชร์

บทที่ 82

ผู้เขียน: ไห่ตงชิง
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-07-30 11:39:26
ณ ตำหนักบูรพา สนมองค์รัชทายาทจ้าวหรุ่ยพักอาศัยอยู่ในตำหนักร้อยบุบฝา

“พระองค์มาแล้ว”

เมื่อเห็นหลี่เฉินก้าวยาวเดินมา จ้าวหรุ่ยรีบลุกขึ้นต้อนรับ

“ได้ยินมาว่าวันนี้องค์รัชทายาทประชุมราชการเช้า ทุกอย่างราบรื่นใช่หรือไม่ หิวหรือไม่ หม่อมฉันสั่วคนให้เตรียมอาหารว่างที่พระองค์ชื่นชอบ...”

ก่อนที่จ้าวหรุ่ยจะเอ่ยจบ เขาถูกหลี่เฉินขัดจังหวะ

“ไม่เป็นไร ข้าจะพูดคุยกับพระสนม คนอื่นถอยออกไปเถิด”

หลังจากนางกำนัลออกไปหมดแล้ว หลี่เฉินก็นั่งลงบนเตียงนุ่ม มองหิมะที่อยู่นอกหน้าต่าง และเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “พระสนม ตำหนักร้อยบุปผามักเต็มไปด้วยดอกโบตั๋น กุหลาบ และดอกไม้สีสันสวยงามอยู่เสมอ แต่ดอกไม้เหล่านี้บอบบางต้องดูแลให้ดี อายุก็สั้น บัดนี้อากาศเริ่มเย็นแล้วปลูกดอกเหมยเพิ่มจะดีที่สุด

จ้าวหรุ่ยชงน้ำชาหนึ่งกาให้หลี่เฉิน ค่อย ๆ วางลงบนโต๊ะของเตียงนุ่ม และเมื่อได้ยินถึงตรงนี้ จึงเอ่ยว่า “ดอกเหมยจะสวยงามหลังผ่านความหนาวช่วงฤดูหนาวนี้ สรรพสิ่งล้วนเงียบสงบ ดอกไม้ที่สวยงามมีไม่มากนัก หากพระองค์ทรงชอบ หม่อมฉันจะให้คนปลูกดอกเหมยไว้บ้าง แต่เดิมพระองค์ทรงโปรดดอกไม้สวยงามไฉนจึงทรงโน้มน้าวหม่อมฉันให้ปลูกดอกเหมย ที
บทที่ถูกล็อก
อ่านต่อเรื่องนี้บน Application

บทที่เกี่ยวข้อง

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 83

    ทั้งสองสวมชุดทั่วไปเดินออกจากตำหนักบูรพาผ่านประตูตงหวา ประตูตงอัน และมาถึงบริเวณที่ราษฎรทั่วไปในเมืองหลวงอาศัยอยู่ แม้หิมะจะตกหนัก แต่ถนนในเมืองหลวงผู้คนยังคงพลุกพล่าน ร้านค้าริมถนนโดยรอบก็เต็มไปด้วยแผงหาบเร่และขนมนึ่ง หากในยามปกติ จ้าวหรุ่ยคงมีจิตใจเบิกบานแน่นอน แต่ยามนี้นางไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดีเช่นไร ฉากตรงหน้าจะครึกครื้นเพียงใด ก็ไม่อาจกระตุ้นความสนใจของนางได้เลยนางติดตามหลี่เฉินอย่างเฉื่อยชาและเป็นกังวล เดินออกมาจากประตูฉงเหวิน ผ่านประตูหย่งติ้ง และเดินออกจากเมืองหลวง ทันทีที่ออกจากประตูหย่งติ้ง ราวกับเข้าสู่อีกโลกหนึ่งบรรยากาศที่รกร้างและกว้างใหญ่ไพศาล มองเห็นทิวทัศน์ภูเขาที่เลือนรางอยู่ระยะไกล และระยะใกล้เต็มไปด้วยหิมะสีขาวโพลน โลกทั้งใบถูกปกคลุมไปด้วยสีขาวราวกับสวมใส่เสื้อผ้าสีเงิน บนถนนหลวงมีผู้คน ผู้มาเยือนและพ่อค้าแม่ค้า กำลังต่อแถวเข้าเมือง แต่ละคนบนใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล“นายท่านโปรดเมตตาเด็กน้อยคนนี้ด้วยเถิด เด็กไม่ได้กินอะไรเลยมาหลายวันแล้ว ขอท่านเมตตาประทานอะไรให้กินสักหน่อย หรือแม้แต่เหรียญทองแดงก็ได้ เพียงเท่านี้ก็พอเด็กน้อยจะซื้อแป้งทอดได้แล้ว”ทันที

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-07-30
  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 84

    “ที่พวกข้าอาศัยอยู่เป็นหมู่บ้านที่ยากจน ไร้ผู้คน เหลือเพียงครอบครัวเดียว พวกข้าโชคดีที่มีสมาชิกในครอบครัวรอดหนึ่งหรือสองคน” “พวกข้าตามญาติพี่น้องขออาหารตลอดทาง ต่อมามีคนขอทานมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีใครมีเสบียงอาหารเพียงพอที่จะช่วยพวกข้า ทุกคนอยากขุดรากหญ้าและแทะเปลือกไม้ แต่เด็กน้อยนี่สิ ท้องใหญ่มาก เพราะกินดินขาว และร้องลั่นด้วยความเจ็บทุกคืน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้” “มาถึงที่นี่ ไม่รู้ว่ามีคนล้มตายระหว่างทางมากเท่าใด คนที่แข็งแกร่งไปปล้น ขโมย หรือขึ้นเขาเป็นโจรป่าเลยก็มี ผู้หญิงบางคนขอเพียงมีอาหารให้กิน ก็ถอดเสื้อผ้าให้แล้ว เด็กสาวบางคนถูกส่งไปเป็นสาวใช้ของตระกูลร่ำรวย ล้วนเป็นลูกหัวแก้วหัวแหวนของพ่อแม่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ชีวิตช่างลำบากแสนเข็ญเหลือเกิน”ชายชราพูดพลางหลั่งน้ำตาชายชราพูดจาโดยไม่ประดิษฐ์ แม้แต่ลำดับเหตุการณ์จะดูสับสนอยู่บ้าง แต่ก็เป็นเพราะความจริงใจที่นึกอะไรออกก็พูดออกมา ถึงสะกิดใจคนได้อย่างมาก ดวงตาของจ้าวหรุ่ยเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเมื่อได้ยินถึงตรงนี้ และพึมพำว่า “ที่แท้ราษฎรข้างนอก ลำบากเช่นนี้” ในยามนี้ องครักษ์ผ้าแพรเดินเข้ามาพร้อมกับซาลาเปาและแป้งทอด ชายชราขอบคุณ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-07-30
  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 85

    เมื่อเห็นด้วยตาตัวเองว่าศพหนาวจนแข็งถูกโยนลงหลุมใหญ่ราวกับขยะ เมื่อหลุมใกล้จะเต็ม ทหารก็เอาพลั่วมาถมหลุม ฉากอันน่าตกตะลึงนี้ สร้างความสะเทือนใจทำกับจ้าวหรุ่ยอย่างมากแม้ชีวิตของนางจะพลิกผันหลายหน เผชิญกับความยากลำบากในวัยเด็ก พลัดถิ่นไปพึ่งพาญาติห่าง ๆ อย่างจ้าวเสวียนจี สุดท้ายถูกเขาใช้เป็นเครื่องมือ ส่งตัวเข้าไปตำหนักบูรพา แต่ชีวิตของจ้าวหรุ่ยนั้นเติบโตมาอย่างสุขสบายบนกองเงินกองทอง ไม่เคยลิ้มรสความขมขื่นของชีวิตมนุษย์มาก่อนนางเอ่ยด้วยความไม่เชื่อ “หลายพันคน! ตายแบบนี้เนี่ยนะ!” “บนโลกนี้ ชีวิตมนุษย์ไร้ค่าที่สุด” หลี่เฉินมองจ้าวหรุ่ยพลางเอ่ยว่า “ข้าฆ่าเฉพาะคนที่สมควรฆ่า แต่บางคนใช้เวลาทั้งชีวิตถือพู่กันและอ่านตำราเซิ่งเสียน แต่คนบริสุทธิ์ที่เสียชีวิตเพราะพวกเขากลับกองเป็นภูเขา” จ้าวหรุ่ยเม้มริมฝีปาก ไม่กล้าโต้ตอบคำพูดเหล่านี้นางสัมผัสได้ถึงความโกรธที่ถูกกดไว้บริเวณหน้าอกของหลี่เฉิน ซึ่งพุ่งเป้าไปที่จ้าวเสวียนจีและตัวนางเอง ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะความหนาวเย็นหรือความหวาดกลัว ร่างกายของจ้าวหรุ่ยจึงสั่นไหวเล็กน้อย ขณะนี้ ทหารกลุ่มองครักษ์อวี่หลินสวมชุดเกราะเคลื่อนขบวนทัพมาจาก

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-07-30
  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 86

    หลี่เฉินเอ่ยจบ ซูผิงเป่ยก็เผยความโหดเหี้ยมออกมา เขาสั่งทหารสองนายให้จับจ้าวเจี้ยนเย่ไว้ เขาชักดาบฟันเล็บนิ้วมือทั้งสิบของจ้าวเจี้ยนเย่ออกความทรมานเช่นนี้ไม่ร้ายแรงเท่าใดนัก อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ตาย แต่ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นแทบไม่มีผู้ใดทนได้บนทุ่งหิมะอันกว้างใหญ่ เสียงร้องโหยหวนของจ้าวเจี้ยนเย่ดังก้องราวกับภูตผีเลือดไหลจากปลายนิ้วแปดเปื้อนไปทั่วหิมะสีขาว ใบหน้าซีดเผือด เส้นเลือดขมับปูดโปน เหงื่อเม็ดโตไหลรินบนหน้าผากความเจ็บปวดอันรุนแรงกระตุ้นให้เขารู้สึกโกรธแค้น เขาต่อสู้ดิ้นรนและตะโกนว่า “องค์รัชทายาท! เจ้ามีเพียงวิธีต่ำช้าอย่างนั้นรึ! ฆ่าข้า! ฆ่าข้าซะ!”“ฆ่าเจ้า! ข้าแทบอยากถลกหนังเจ้า! หากข้าฆ่าเจ้าเพียงดาบเดียวจะไม่ง่ายไปหน่อยหรือ”“ซูผิงเป่ย!”“พ่ะย่ะค่ะ”“ตัดแขนขาทั้งสองข้างทิ้งซะ แล้วโยนเข้าไปในหลุมใหญ่ ให้คนเฝ้าทั้งวันทั้งคืน ปล่อยให้ตายไปเอง ใครกล้าช่วยก็ฆ่าทิ้งให้หมด!”คำสั่งของหลี่เฉิน ทำให้จ้าวเจี้ยนเย่ที่ไม่กลัวตายเผยใบหน้าหวาดกลัวขึ้นมา“ไม่ ไม่เอา”เขาดิ้นรน อยากหลุดพ้นจากการควบคุมของทหารทว่ายามนี้ แขนขาของเขาที่ถูกคลึงไว้จะสลัดหลุดได้อย่างไรหลี่เฉินจ้องจ้า

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-07-30
  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 87

    ซูผิงเป่ยก็เกลียดชังจ้าวเจี้ยนเยี่ยผู้โหดเหี้ยมอำมหิตเป็นอย่างมากดังนั้น หลังจากที่หลี่เฉินออกคำสั่งแล้ว ไม่พูดจาอะไรสักคำ ชักดาบออกมาฟันทันทีแสงดาบสะท้อนไปทั่วทิศ สองแขนสองขาของจ้าวเจี้ยนเยี่ยหลุดออกจากร่างทันทีจ้าวเจี้ยนเยี่ยถูกฟันทำให้เป็นคนแขนขาดขาขาดทั้งเป็น ร่างของเขาล้มลงจมกับกองเลือด แขนขากระจายอยู่รอบตัว ส่งเสียงเจ็บปวดรวดร้าวดั่งผีอาฆาตยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เอาเรื่องความเร็วที่โลหิตหลั่งแบบนี้ ไม่นาน จ้าวเจี้ยนเยี่ยต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย“เร็วเข้า ไปตามหลางจงมาสักสองสามคนมาห้ามเลือดให้จ้าวเจี้ยนเยี่ย แล้วโยนมันลงในหลุมศพนี้ ต้องให้มันมีชีวิตอยู่สามวัน หากมันมีชีวิตน้อยไปหนึ่งชั่วโมง ซูผิงเป่ยเจ้าก็ไม่ต้องมาหาเปิ่นกงอีก”หลี่เฉินพูดจบด้วยเสียงเยือกเย็น แล้วชี้นิ้วไปทางผู้สมรู้ร่วมคิดสิบกว่าคนที่ถูกทำให้ตกใจ แล้วพูดว่า “คนพวกนี้ ฆ่าทิ้งให้หมด โยนลงหลุมศพ ให้พวกมันไปสารภาพบาปกับคนบริสุทธิ์ในยมโลก” คำพูดของหลี่เฉินทำให้พวกสมรู้ร่วมคิดส่งเสียงขอร้อง แต่หลี่เฉินไม่สนใจฟัง หันกายแล้วนำจ้าวหรุ่ยที่ตกใจจนสีหน้าไร้เลือดฝาดจากไประหว่างทางกลับ หลี่เฉินไม่ได้อารมณ์ดีข

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-07-30
  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 88

    “ข้าน้อยขอบพระทัย องค์รัชทายาททรงพระเจริญนับพันปี!”หลี่เฉินไม่ได้สนใจหลี่ชิงที่ขอบพระทัยเขา หลี่เฉินหันกายจากศพของปู่หลานทั้งสองหลี่เฉินมองไปทางจ้าวหรุ่ยที่ตามอยู่ด้านหลัง แล้วพูดว่า “เราไม่กล้ามองนานมากนัก เรารู้สึกตลอดเลยว่ามีวิญญาณมากมายกำลังถามว่า พวกเขาเพียงแค่อยากจะกินอิ่ม เหตุใดกลับยากเพียงนั้น เหตุใดจึงได้หนาวเพียงนั้น เหตุใดจึงทุกข์ยากเพียงนั้น”เขาไม่ได้แทนตัวเองว่าข้า แต่แทนตัวเองว่าเราจ้าวหรุ่ยสังเกตเห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ นี้นางมองไปทางหลี่เฉินอย่างทำตัวไม่ถูก นางเคยเห็นหลี่เฉินตอนเป็นคนโง่เขลาและไม่มีความทะเยอทะยานนางยังเคยเห็นหลี่เฉินดูน่ากลัวและเจ้าเล่ห์เหมือนสุนัขจิ้งจอกยิ่งกว่านั้น นางเคยเห็นหลี่เฉินฆ่าคนอย่างโหดเหี้ยมและบ้าคลั่งแต่นางไม่เคยเห็นหลี่เฉินในยามนี้ ที่เหนื่อยทั้งกายและใจ ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดทั้งๆ ที่นี่เป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติ และเป็นเพราะจ้าวเจี้ยนเยี่ยโหดเหี้ยมอำมหิต สั่งประหารชีวิตของชาวบ้านที่ประสบภัย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับหลี่เฉินสักนิดแต่หลี่เฉิน ราวกับว่าได้แบกเอาความผิดมาไว้ที่ตัวเองทั้งหมด ไม่รู้ว่าทำไม ในใจของจ้าวห

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-07-30
  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 89

    "คำพูดนี้ของพี่จื่อเจี้ยนถูกต้อง ข้าได้คัดลอกทั้งบทมาแล้ว ทั้งหมดเจ็ดร้อยสิบเจ็ดตัวอักษร ข้าอ่านทั้งคืน แต่ละรอบต่างทำให้ข้ารู้สึกตื่นเต้น ความรู้สึกชื่นชมเอ่อล้นขึ้นในใจ น่าเสียดายที่ไม่ได้ก้มคาราวะให้กับคุณชายจ้าวไท่ไหล่ต่อหน้า บทความที่น่าทึ่งขนาดนี้ ข้ากล้าพูดเลยว่า หากในโลกวรรณกรรมมีสิบส่วน แปดส่วนต้องเป็นของคุณชายจ้าวไท่ไหลอย่างไม่ต้องสงสัย!”“อย่าว่าแต่เจ้าเลย หากเป็นคนที่ศึกษาตำราเล่าเรียน มีใครบ้างเล่าที่จะไม่มี “ลำนำหอเถิงหวัง” สักฉบับติดมือแล้วอ่านอย่างละเอียด เฮ้อ เหนือฟ้ายังมีฟ้า ท่านใต้เท้าราชเลขาเองก็เป็นเสาหลักของบ้านเมือง หากไม่มีท่านราชเลขาคอยค้ำจุนราชสำนัก ไม่รู้ว่าบ้านเมืองจะวุ่นวายสักเพียงใด บวกกับความสามารถทางวรรณกรรมที่น่าทึ่งของคุณชายจ้าวไท่ไหล เพียงประโยคที่ว่าแสงอรุณโรยราห่านป่าบินเดียวดาย อุทกแห่งฤดูใบไม้ร่วงรวมสีเดียวกับท้องนภานี้จะทำให้นักกวีใต้หล้าอับอายไปอีกนานเท่าใด”ที่จริงแล้ว ไม่ว่าพวกบัณฑิตเหล่านี้จะถกกันเรื่อง “ลำนำหอเถิงหวัง” ก็ดีหรือจ้าวไท่ไหลก็ตาม ล้วนไม่ดึงดูดความสนใจของหลี่เฉินทั้งนั้น แต่หากจะรวมสองชื่อนี้เข้าด้วยกัน หลี่เฉินจำต้องฟังเสียห

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-07-30
  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 90

    คำพูดของหลี่เฉิน ทำให้ใบหน้าแดงก่ำของบัณฑิตเปลี่ยนเป็นขาวซีด“เจ้า เจ้ากล้าดูหมิ่นคนสุภาพเรียบร้อย!”หลี่เฉินขี้เกียจเกินกว่าจะโต้เถียงกับคนไร้ค้าเช่นนี้“ซานเป่า ไล่คนไม่เอาไหนที่กินอุจาระของตระกูลจ้าวออกไปซะ”ซานเป่าที่ทนดูไม่ไหวนานแล้วรีบลุกขึ้น ขณะเดียวกันองครักษ์ผ้าแพรหลายนาบก็มาปิดล้อม จับพวกเขาและลากออกไปทันทีเหล่าบัณฑิตจะเป็นคู่ต่อสู้ขององครักษ์ผ้าแพรได้อย่างไร จึงร้องโหยหวนอย่างไร้เรี่ยวแรงต้านทานออกจากโรงเตี๊ยมหลี่เฉินหันหลังเดินมายังโต๊ะที่มีหญิงสาวสองคนปลอมตัวเป็นชายหนุ่มคนที่พูดก่อนหน้านี้ ดูงดงามกว่าเล็กน้อย การแต่งกายด้วยชุดผู้ชายก็มิได้ดูแปลก กลับยิ่งสง่าสงามและสูงศักดิ์ ทำให้ชุดที่สวมใส่ดูพิเศษมากขึ้นจึงอดจินตนาการไม่ได้ว่านางสวมชุดผู้หญิงตามปกติจะงดงามเพียงใดเมื่อเห็นหลี่เฉินจ้องมองตน หญิงสาวก็มิได้หลบสายตา และมองหลี่เฉินด้วยความสนใจ เพียงแค่ความตรงไปตรงมาและเปิดเผยนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้หญิงทั่วไปมี“คุณชายดูแปลกตามาก ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใดหรือ” จินเสวี่ยยวนเอ่ยถาม“บัณฑิตเหล่านั้นมิใช่คนดี ดูไร้มารยาทมาก และแท้จริงแล้วล้วนเป็นสุนัขรับใช้ของตระกูลจ้าว

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-07-30

บทล่าสุด

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 654

    สวีฉังชิง เป็นหนึ่งในขุนนางที่ซื่อสัตย์และใสสะอาดที่สุดในราชสำนักต้าฉินหลี่เฉินเคยเห็นกับตาตอนที่สวีฉังชิงตกอยู่ในปัญหาครั้งก่อน และหลี่เฉินได้ไปที่บ้านของเขาดังนั้น เมื่อได้ยินคำบ่นอย่างขุ่นเคืองของสวีฉังชิง หลี่เฉินก็เพียงแต่หัวเราะและปลอบโยนว่า “เขาทำหน้าที่ของเขา เจ้าจะไปถือสาอะไรกับเขา”ถ้าเปรียบเทียบกับสวีฉังชิง เหอคุนคือคนอีกขั้วหนึ่งโดยสิ้นเชิงเหอคุนเต็มไปด้วยความลื่นไหล ไหวพริบ และความโลภ ซึ่งทั้งหมดนี้ตรงข้ามกับลักษณะของสวีฉังชิงโดยสิ้นเชิง ด้วยเหตุนี้ สวีฉังชิงจึงไม่ชอบเหอคุนตั้งแต่แรกเห็นในแง่คุณสมบัติ เหอคุนอาจดูเหมือนเต็มไปด้วยข้อเสีย หลี่เฉินไม่มีทางสนใจแน่แต่สิ่งที่หลี่เฉินให้ความสำคัญคือ ความสามารถในการทำงานของเหอคุนคนอย่างเหอคุน หากไม่ได้มีพื้นเพต่ำต้อย คงจะมีอนาคตในราชสำนักที่ไกลกว่าสวีฉังชิงมากสวีฉังชิงเหมาะกับการทำงานหนักแบบไม่หวังผลตอบแทน แต่เหอคุน คือคนที่สามารถจับจุดอ่อนของปัญหา และหาทางแก้ไขให้หลี่เฉินได้อย่างชัดเจนและนี่คือสิ่งที่กลบข้อเสียส่วนใหญ่ของเหอคุนได้เมื่อเห็นว่าสวีฉังชิงยังคงแสดงความไม่พอใจ หลี่เฉินจึงกล่าวว่า “เจ้ากับเขามีบุคลิกแล

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 653

    “หากองค์ชายจำพวกท่านไม่ได้ พวกท่านก็เหนื่อยเปล่า”คำพูดของเหอคุนทำให้ขุนนางทั้งสามคนพยักหน้ารับอย่างต่อเนื่อง“ใต้เท้าเหอ ตำแหน่งคนแรกที่ส่งของกำนัลก็ถูกใต้เท้าเหอแย่งไปแล้ว พวกเราจะส่งของที่ดี ก็ไม่มีปัญญาเสียด้วยซ้ำ” ขุนนางวัยกลางคนคนหนึ่งกล่าวด้วยใบหน้าขมขื่นเหอคุนส่ายหน้า “ท่านเข้าใจผิดแล้ว หากว่ากันด้วยความดีเยี่ยม อย่างไรก็ไม่มีทางเอาชนะเหล่าขุนนางชั้นสูงหรือราชวงศ์ พวกเขามีสมบัติล้ำค่ามากมาย เราไม่อาจเทียบได้อยู่แล้ว”“แต่พวกท่านลองคิดดู ทำไมองค์ชายถึงทำเช่นนี้? ก็เพราะอยากดูว่าใครในราชสำนักมีความจงรักภักดีต่อพระองค์ใช่หรือไม่?”“ลองเปรียบเทียบดู พ่อค้าผู้ร่ำรวยคนหนึ่งที่มีทรัพย์สินมหาศาล บริจาคเงิน 100 ตำลึง เทียบกับคนธรรมดาที่ขายทุกอย่างจนรวบรวมได้เพียง 10 ตำลึง สำหรับองค์ชาย อันไหนจะมีค่าน่าจดจำมากกว่ากัน? พวกท่านคิดว่าองค์ชายต้องการเงินของพวกท่านจริงหรือ?”เหอคุนแสร้งทำสีหน้าชื่นชม พร้อมประสานมือไปยังทิศที่เป็นพระที่นั่งสีเจิ้ง กล่าวว่า “องค์ชายทรงพระปรีชาสามารถ มิอาจเปรียบได้กับคนธรรมดาเช่นเรา องค์ชายทรงต้องการดูว่า ใครในราชสำนักที่ภักดีและมีจิตใจถวายความจงรักภักดี ซ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 652

    “จะคุยอะไรกันได้อีก ก็คงไม่พ้นแผนการจัดการข้า”หลี่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “คราวนี้ จ้าวเสวียนจีคงจนตรอกแล้ว”“เพิ่มการเฝ้าระวังให้มากขึ้น ข้าต้องรู้ว่าพวกเขาทำอะไรและพบใครในช่วงไม่กี่วันนี้”เฉินทงโค้งคำนับ “พ่ะย่ะค่ะ”หลังจากเฉินทงจากไป เหอคุนก็เข้ามาพบหลี่เฉิน“ทูลองค์ชาย เมื่อครู่มีขุนนางสามคนเข้ามาส่งของกำนัลเงินช่วยงาน พระองค์จะทอดพระเนตรบัญชีของกำนัลหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” เหอคุนเอ่ยถามหลี่เฉินส่ายศีรษะ “เจ้าเป็นคนจัดการไป ข้าจะดูบัญชีทั้งหมดตอนสุดท้าย ข้าคงไม่มีเวลามาดูทีละคน”เหอคุนพลันคิดบางอย่าง ก่อนกล่าวว่า “องค์ชาย กระหม่อมขอพระราชทานสิทธิในการดำเนินการตามดุลยพินิจ กระหม่อมมั่นใจว่าจะสามารถเพิ่มยอดของกำนัลได้อย่างน้อยสามส่วน”หลี่เฉินหยุดชะงักเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย “เจ้ากำลังเอามีดจ่อคอเพื่อนร่วมงานของเจ้าเอง ไม่กลัวพวกเขาเล่นงานเจ้าในที่ลับหรือ?”เหอคุนยิ้มกว้าง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ตราบใดที่กระหม่อมมีองค์ชายเป็นที่พึ่ง กระหม่อมไม่กลัวสิ่งใด อีกอย่าง กระหม่อมมั่นใจว่าจะทำให้พวกเขายินดีมอบเงินเพิ่มอย่างเต็มใจ”“ได้ เจ้าไปจัดการเถอะ”หลี่เฉินโบกม

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 651

    ทันทีที่เริ่มเคลื่อนไหวเพื่อยึดอำนาจ ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มของจ้าวเสวียนจีกับตำหนักบูรพาจะถึงจุดแตกหักโดยสมบูรณ์ ความสัมพันธ์ที่เปราะบางจะถูกทำลาย และไม่มีที่ว่างสำหรับการประนีประนอมอีกต่อไปนี่คือสิ่งที่จ้าวเสวียนจีและหลี่เฉินต่างพยายามหลีกเลี่ยงมาโดยตลอดแต่ตอนนี้ เวลานั้นก็มาถึงจางปี้อู่เอ่ยถามด้วยความกังวลว่า “ถ้าเราทำการเคลื่อนไหวใหญ่โต หน่วยบูรพาคงไม่พลาดที่จะสังเกตเห็น…”“แล้วจะอย่างไร?”จ้าวเสวียนจีลุกขึ้นยืน ท่ามกลางร่างกายที่ชราภาพกลับเปล่งไปด้วยอำนาจ เขากล่าวเสียงดังว่า “ข้ารับราชการมาเกินสี่สิบปี อยู่ในคณะเสนาบดีมานานเกือบยี่สิบปี หน่วยบูรพาเล็กๆ จะทำอะไรข้าได้?”“หากพวกมันกล้าลงมือ ก็ให้กองทัพเข้าบุกตำหนักบูรพาเสีย!”แววตาและคิ้วที่ขาวของจ้าวเสวียนจีเต็มไปด้วยความแข็งกร้าว เขากล่าวต่อด้วยเสียงเย็นเยือกท่ามกลางสายตาหวาดหวั่นของจางปี้อู่และฟู่อวี้จือว่า “ฝ่าบาททรงประชวร องค์รัชทายาทโง่เขลาและไร้ศีลธรรม ในฐานะขุนนาง เราทำได้เพียงเสี่ยงเพื่อปกป้องรากฐานของต้าฉิน”ครึ่งชั่วยาวต่อมา จางปี้อู่และฟู่อวี้จือออกจากจวนจ้าวที่หน้าประตูมีเกี้ยวสองคันจอดรออยู่“สหายจาง”ขณ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 650

    ในการควบคุมอำนาจทางการเงิน มีคนหนึ่งที่ต้องกำจัดให้ได้ไม่ต้องสงสัย คนคนนั้นคือ จ้าวเสวียนจีหลี่เฉินโยนบัญชีของกำนัลของเหอคุนลงข้างตัว พลางเรียกวั่นเจียวเจียวเข้ามาด้วยเสียงดัง “มาแต่งตัวให้ข้า”ในเมืองหลวง ณ จวนจ้าวหลังจากออกจากตำหนักบูรพา จ้าวเสวียนจีได้สั่งคนไปตามจางปี้อู่ และฟู่อวี้จือ สองขุนนางร่วมตำแหน่งมหาเสนาบดีในคณะเสนาบดีไม่นานหลังจากที่จ้าวเสวียนจีเดินทางกลับถึงจวนจ้าว สองคนก็รีบร้อนมาถึงฟู่อวี้จือและจางปี้อู่พบกันที่หน้าประตู ทั้งสองสบตากัน แต่กลับไม่เห็นหวังเถิงฮ่วนจึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยในไม่ช้า จ้าวเสวียนจีก็เรียกทั้งสองเข้ามายังห้องหนังสือ“ผู้อาวุโส วันนี้ตำหนักบูรพามีคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?”ฟู่อวี้จือถามถึงเรื่องเย่ลู่ฉีหมิงที่ถูกสังหารแม้เมืองหลวงจะใหญ่และผู้คนมากมาย แต่เรื่องใหญ่เช่นนี้ย่อมไม่สามารถปิดบังสองขุนนางอาวุโสได้ พวกเขาทราบข่าวอย่างรวดเร็วว่าเย่ลู่ฉีหมิงเกิดเรื่อง แต่รายละเอียดนั้นพวกเขายังไม่รู้ เนื่องจากจ้าวเสวียนจีและหวังเถิงฮ่วนเป็นผู้ไปตำหนักบูรพาจ้าวเสวียนจีจิบชาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “ไม่มีคำตอบ ก็คือคำตอบของตำหนั

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 649

    “เข้าใจแล้วก็ออกไปได้”เหอคุนค่อยๆ ยกตัวขึ้นเล็กน้อย ก่อนโค้งคำนับอย่างนอบน้อม “กระหม่อมขอบพระทัยในพระเมตตาขององค์ชาย กระหม่อมขอทูลลา”หลังจากเหอคุนก้าวออกจากคลังเก็บของ หลี่เฉินหันไปสั่งเฉินทง “ให้ทางซูหางรีบส่งข้อมูลของเหอคุนมา ข้าต้องการ”เฉินทงเข้าใจในทันที ว่าเหอคุนคนนี้กำลังจะกลายเป็นขุนนางคนสำคัญของตำหนักบูรพาดูจากสวีฉังชิงก็รู้แม้ตำแหน่งยังคงเดิม แต่ใครๆ ก็รู้ว่าพวกเขาคือคนสนิทขององค์รัชทายาท อำนาจที่พวกเขาถืออยู่ได้ขยายตัวไม่รู้กี่เท่าอดีตพวกเขาเป็นเพียงข้าราชการชายขอบในกรมครัวเรือนและกระทรวงโยธาธิการ บัดนี้แม้แต่เสนาบดีทั้งสองกรมยังต้องทำงานภายใต้สีหน้าของพวกเขาเหอคุนเองก็เช่นกันผู้ศึกษาร่วมองค์รัชทายาทเป็นเพียงขุนนางระดับห้าขั้นแรก และไม่มีอำนาจมากมายแต่ตำหนักบูรพาในตอนนี้มีผู้ศึกษาร่วมองค์รัชทายาทเพียงแค่คนเดียว หน้าที่แรกที่เขาได้รับ คือการรวบรวมและจัดการของกำนัลจากขุนนางที่องค์รัชทายาททรงให้ความสนใจอย่างมาก หากเขาสามารถทำงานนี้ได้ดี เส้นทางอำนาจของเหอคุนก็จะเปิดโล่งจนไม่มีใครหยุดยั้งได้ต้องตีสนิทสักหน่อยแล้วล่ะเฉินทงคิดไปถึงความเป็นไปได้หลายอย่างในเสี้ย

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 648

    เงินเดือนขุนนางส่วนใหญ่มักถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ช่วงต้นราชวงศ์ในยุคสมัยศักดินา เศรษฐกิจมีความผันผวนน้อยกว่าในสังคมสมัยใหม่ เพราะใช้เงินโลหะและทองคำเป็นมาตรฐาน ทำให้อัตราเงินเฟ้อและเงินฝืดเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก และเมื่อเกิดขึ้น ความเปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้รุนแรงดังนั้น รัฐบาลในสมัยนั้นจึงแทบไม่ปรับเปลี่ยนเงินเดือนขุนนาง หากมีการปรับเปลี่ยนก็มักจะเป็นการปรับในอัตราที่น้อยมากเพราะเงินเดือนขุนนางถือเป็นภาระสำคัญในงบประมาณของราชสำนักอย่างรุนแรงเช่นในราชวงศ์ต้าฉิน เมื่อปีที่ผ่านมา ราชสำนักต้องจ่ายเงินเดือนขุนนางรวมทั้งสิ้น 45 ล้านตำลึงเงิน แต่รายได้จากภาษีของทั้งปีนั้นมีเท่าใด?ไม่ถึง 20 ล้านตำลึงเงินนี่จึงเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาค้างจ่ายเงินเดือนขุนนางอย่างแพร่หลายแม้ในปีที่ฝนฟ้าดี ไม่มีปัญหาภัยพิบัติ การจ่ายเงินเดือนขุนนางยังถือเป็นภาระหนักหนาสำหรับราชสำนักยิ่งไปกว่านั้น การปรับเงินเดือนขุนนางยังถือเป็นการเปลี่ยนแปลงกฎบรรพบุรุษ ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ที่อาจกระทบต่อเสถียรภาพของราชวงศ์ทั่วทั้งแผ่นดิน ไม่ใช่สิ่งที่จะปรับเปลี่ยนได้ง่ายๆแค่ภาระทางการเงินที่เพิ่มขึ้นก็อาจทำให้ราชสำนักล่มสลายได

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 647

    "ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากรมทอผ้าซูหางมา 4 ปี เจ้าทุจริตไปเท่าไหร่?"คำถามของหลี่เฉินตรงไปตรงมาและเฉียบขาดทำให้เหอคุนที่เดิมก็ประหม่าอยู่แล้วเหงื่อแตกซึมไปทั่วร่าง เขาไม่กล้าลังเลแม้แต่น้อย รีบตอบด้วยความกลัวว่า “โรงทอผ้า โรงย้อม และพ่อค้ารายใหญ่ในอุตสาหกรรมนี้ล้วนส่งสินบนให้กรมทอผ้ามาโดยตลอดทุกฤดูกาล”“ในตอนแรกยังมีความลับลมคมในบ้าง แต่สองปีมานี้กลับกลายเป็นเรื่องที่เปิดเผยมากขึ้น กรมทอผ้าเองก็ยอมรับว่าเป็นรายได้ประจำทุกไตรมาส”“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา กระหม่อมได้รับสินบนจนแทบนับไม่ถ้วน หากนับเป็นเงินก็ประมาณ 4-5 แสนตำลึงเงิน”เมื่อได้ยินตัวเลขนี้ แม้แต่เฉินทงยังอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเหอคุนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสายตาตกใจ4-5 แสนตำลึงเงิน!นี่มันอะไรกัน!?เฉินทงในฐานะขุนนางของหน่วยบูรพา แม้มีเงินเดือนรวมเบี้ยเลี้ยงและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ก็ได้เพียงปีละ 300 กว่าตำลึง หากเป็นขุนนางระดับเดียวกันที่ไม่มีเบี้ยเลี้ยงพิเศษ อาจได้ไม่ถึง 200 ตำลึงต่อปีด้วยซ้ำแต่เหอคุน ซึ่งเป็นเพียงขุนนางระดับห้าขั้นแรก กลับใช้เวลา 4 ปีโกงเงินได้ 4 ล้านกว่าตำลึงเงิน เฉลี่ยปีละหนึ่งล้านตำลึงเงินความแตกต่างมหาศา

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 646

    ต่อหน้าคำกล่าวอย่างซื่อสัตย์และจริงใจของเหอคุน หลี่เฉินกลับไม่ได้แสดงท่าทีใดๆเขาเพียงใช้บัญชีของกำนัลตีลงบนฝ่ามือช้าๆ เหมือนกำลังพิจารณาว่าจะจัดการกับเหอคุนเช่นไรขณะที่เหอคุนนั้นไม่กล้าพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว แม้แต่การหายใจก็ต้องควบคุมจังหวะ เกรงว่าจะทำให้หลี่เฉินที่อยู่ตรงหน้าขุ่นเคืองความเงียบและความกดดันที่มองไม่เห็นดำเนินไป จนกระทั่งเฉินทงเดินเข้ามาทำลายความเงียบนี้“องค์ชาย กระหม่อมได้ตรวจสอบเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”หลังจากเดินเข้ามาในคลัง เฉินทงคำนับหลี่เฉินก่อน กล่าวต่อเมื่อได้รับการพยักหน้าอนุญาตจากหลี่เฉิน โดยไม่ชายตามองเหอคุนที่คุกเข่าอยู่แม้แต่น้อย “เหอคุนดำรงตำแหน่งหัวหน้ากรมทอผ้าซูหางมานานกว่า 4 ปี ตามกฎของกรมขุนนาง ปีนี้เขาจะต้องผ่านการประเมินผลการปฏิบัติงานเพื่อตัดสินว่าจะต่ออายุงาน ปรับย้าย หรือถูกลดตำแหน่ง”“หลายเดือนก่อน สหายร่วมถิ่นของเหอคุนชื่อโจวรุ่ย ซึ่งเป็นข้าราชการในกรมขุนนางและอยู่ในกลุ่มสนับสนุนคณะเสนาบดี ถูกสวีฉังชิงจากกรมครัวเรือนกล่าวหาและถูกองครักษ์เสื้อแพรจับกุมและประหารชีวิต เมื่อโจวรุ่ยล้มลง เหอคุนก็ไร้ผู้สนับสนุนในราชสำนัก กระหม่อมได้ตรวจสอบผลก

DMCA.com Protection Status