ซูผิงเป่ยก็เกลียดชังจ้าวเจี้ยนเยี่ยผู้โหดเหี้ยมอำมหิตเป็นอย่างมากดังนั้น หลังจากที่หลี่เฉินออกคำสั่งแล้ว ไม่พูดจาอะไรสักคำ ชักดาบออกมาฟันทันทีแสงดาบสะท้อนไปทั่วทิศ สองแขนสองขาของจ้าวเจี้ยนเยี่ยหลุดออกจากร่างทันทีจ้าวเจี้ยนเยี่ยถูกฟันทำให้เป็นคนแขนขาดขาขาดทั้งเป็น ร่างของเขาล้มลงจมกับกองเลือด แขนขากระจายอยู่รอบตัว ส่งเสียงเจ็บปวดรวดร้าวดั่งผีอาฆาตยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เอาเรื่องความเร็วที่โลหิตหลั่งแบบนี้ ไม่นาน จ้าวเจี้ยนเยี่ยต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย“เร็วเข้า ไปตามหลางจงมาสักสองสามคนมาห้ามเลือดให้จ้าวเจี้ยนเยี่ย แล้วโยนมันลงในหลุมศพนี้ ต้องให้มันมีชีวิตอยู่สามวัน หากมันมีชีวิตน้อยไปหนึ่งชั่วโมง ซูผิงเป่ยเจ้าก็ไม่ต้องมาหาเปิ่นกงอีก”หลี่เฉินพูดจบด้วยเสียงเยือกเย็น แล้วชี้นิ้วไปทางผู้สมรู้ร่วมคิดสิบกว่าคนที่ถูกทำให้ตกใจ แล้วพูดว่า “คนพวกนี้ ฆ่าทิ้งให้หมด โยนลงหลุมศพ ให้พวกมันไปสารภาพบาปกับคนบริสุทธิ์ในยมโลก” คำพูดของหลี่เฉินทำให้พวกสมรู้ร่วมคิดส่งเสียงขอร้อง แต่หลี่เฉินไม่สนใจฟัง หันกายแล้วนำจ้าวหรุ่ยที่ตกใจจนสีหน้าไร้เลือดฝาดจากไประหว่างทางกลับ หลี่เฉินไม่ได้อารมณ์ดีข
“ข้าน้อยขอบพระทัย องค์รัชทายาททรงพระเจริญนับพันปี!”หลี่เฉินไม่ได้สนใจหลี่ชิงที่ขอบพระทัยเขา หลี่เฉินหันกายจากศพของปู่หลานทั้งสองหลี่เฉินมองไปทางจ้าวหรุ่ยที่ตามอยู่ด้านหลัง แล้วพูดว่า “เราไม่กล้ามองนานมากนัก เรารู้สึกตลอดเลยว่ามีวิญญาณมากมายกำลังถามว่า พวกเขาเพียงแค่อยากจะกินอิ่ม เหตุใดกลับยากเพียงนั้น เหตุใดจึงได้หนาวเพียงนั้น เหตุใดจึงทุกข์ยากเพียงนั้น”เขาไม่ได้แทนตัวเองว่าข้า แต่แทนตัวเองว่าเราจ้าวหรุ่ยสังเกตเห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ นี้นางมองไปทางหลี่เฉินอย่างทำตัวไม่ถูก นางเคยเห็นหลี่เฉินตอนเป็นคนโง่เขลาและไม่มีความทะเยอทะยานนางยังเคยเห็นหลี่เฉินดูน่ากลัวและเจ้าเล่ห์เหมือนสุนัขจิ้งจอกยิ่งกว่านั้น นางเคยเห็นหลี่เฉินฆ่าคนอย่างโหดเหี้ยมและบ้าคลั่งแต่นางไม่เคยเห็นหลี่เฉินในยามนี้ ที่เหนื่อยทั้งกายและใจ ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดทั้งๆ ที่นี่เป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติ และเป็นเพราะจ้าวเจี้ยนเยี่ยโหดเหี้ยมอำมหิต สั่งประหารชีวิตของชาวบ้านที่ประสบภัย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับหลี่เฉินสักนิดแต่หลี่เฉิน ราวกับว่าได้แบกเอาความผิดมาไว้ที่ตัวเองทั้งหมด ไม่รู้ว่าทำไม ในใจของจ้าวห
"คำพูดนี้ของพี่จื่อเจี้ยนถูกต้อง ข้าได้คัดลอกทั้งบทมาแล้ว ทั้งหมดเจ็ดร้อยสิบเจ็ดตัวอักษร ข้าอ่านทั้งคืน แต่ละรอบต่างทำให้ข้ารู้สึกตื่นเต้น ความรู้สึกชื่นชมเอ่อล้นขึ้นในใจ น่าเสียดายที่ไม่ได้ก้มคาราวะให้กับคุณชายจ้าวไท่ไหล่ต่อหน้า บทความที่น่าทึ่งขนาดนี้ ข้ากล้าพูดเลยว่า หากในโลกวรรณกรรมมีสิบส่วน แปดส่วนต้องเป็นของคุณชายจ้าวไท่ไหลอย่างไม่ต้องสงสัย!”“อย่าว่าแต่เจ้าเลย หากเป็นคนที่ศึกษาตำราเล่าเรียน มีใครบ้างเล่าที่จะไม่มี “ลำนำหอเถิงหวัง” สักฉบับติดมือแล้วอ่านอย่างละเอียด เฮ้อ เหนือฟ้ายังมีฟ้า ท่านใต้เท้าราชเลขาเองก็เป็นเสาหลักของบ้านเมือง หากไม่มีท่านราชเลขาคอยค้ำจุนราชสำนัก ไม่รู้ว่าบ้านเมืองจะวุ่นวายสักเพียงใด บวกกับความสามารถทางวรรณกรรมที่น่าทึ่งของคุณชายจ้าวไท่ไหล เพียงประโยคที่ว่าแสงอรุณโรยราห่านป่าบินเดียวดาย อุทกแห่งฤดูใบไม้ร่วงรวมสีเดียวกับท้องนภานี้จะทำให้นักกวีใต้หล้าอับอายไปอีกนานเท่าใด”ที่จริงแล้ว ไม่ว่าพวกบัณฑิตเหล่านี้จะถกกันเรื่อง “ลำนำหอเถิงหวัง” ก็ดีหรือจ้าวไท่ไหลก็ตาม ล้วนไม่ดึงดูดความสนใจของหลี่เฉินทั้งนั้น แต่หากจะรวมสองชื่อนี้เข้าด้วยกัน หลี่เฉินจำต้องฟังเสียห
คำพูดของหลี่เฉิน ทำให้ใบหน้าแดงก่ำของบัณฑิตเปลี่ยนเป็นขาวซีด“เจ้า เจ้ากล้าดูหมิ่นคนสุภาพเรียบร้อย!”หลี่เฉินขี้เกียจเกินกว่าจะโต้เถียงกับคนไร้ค้าเช่นนี้“ซานเป่า ไล่คนไม่เอาไหนที่กินอุจาระของตระกูลจ้าวออกไปซะ”ซานเป่าที่ทนดูไม่ไหวนานแล้วรีบลุกขึ้น ขณะเดียวกันองครักษ์ผ้าแพรหลายนาบก็มาปิดล้อม จับพวกเขาและลากออกไปทันทีเหล่าบัณฑิตจะเป็นคู่ต่อสู้ขององครักษ์ผ้าแพรได้อย่างไร จึงร้องโหยหวนอย่างไร้เรี่ยวแรงต้านทานออกจากโรงเตี๊ยมหลี่เฉินหันหลังเดินมายังโต๊ะที่มีหญิงสาวสองคนปลอมตัวเป็นชายหนุ่มคนที่พูดก่อนหน้านี้ ดูงดงามกว่าเล็กน้อย การแต่งกายด้วยชุดผู้ชายก็มิได้ดูแปลก กลับยิ่งสง่าสงามและสูงศักดิ์ ทำให้ชุดที่สวมใส่ดูพิเศษมากขึ้นจึงอดจินตนาการไม่ได้ว่านางสวมชุดผู้หญิงตามปกติจะงดงามเพียงใดเมื่อเห็นหลี่เฉินจ้องมองตน หญิงสาวก็มิได้หลบสายตา และมองหลี่เฉินด้วยความสนใจ เพียงแค่ความตรงไปตรงมาและเปิดเผยนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้หญิงทั่วไปมี“คุณชายดูแปลกตามาก ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใดหรือ” จินเสวี่ยยวนเอ่ยถาม“บัณฑิตเหล่านั้นมิใช่คนดี ดูไร้มารยาทมาก และแท้จริงแล้วล้วนเป็นสุนัขรับใช้ของตระกูลจ้าว
“คุณหนูจินเป็นหญิงปลอมเป็นชาย เดิมก็พบเจอได้ยากอยู่แล้ว อีกทั้งก่อนหน้านี้เจ้าได้ยอมรับกลายๆ แล้วว่าเจ้าไม่ได้มาจากจักรวรรดิต้าฉิน บัดนี้ที่จักรวรรดิต้าฉินได้รับความเดือดร้อนจากภัยพิบัติทางธรรมชาติมาหลายปี ยามนี้ก็ยังไม่ถึงเวลาส่งเครื่องบรรณาการจากชาวต่างแคว้น ตอนนี้มีชาวตะวันตกผมสีทองตาสีฟ้าอยู่บ้าง แต่ลักษณะรูปร่างหน้าตานั้นแตกต่างจากคุณหนูจินมาก พอมาคำนวณดูแล้ว ชาวต่างแคว้นที่มีตาสีดำผมสีดำที่ยังอยู่เมืองหลวง ก็เป็นคณะทูตเสียนเฉาแล้วล่ะ”หลี่เฉินพูดเนิบๆ “ก่อนหน้านี้ข้ายังไม่แน่ใจ แต่พอได้ทดสอบปฏิกิริยาขององค์หญิงจินแล้ว ถึงได้มั่นใจ”เมื่อพูดมาถึงขนาดนี้แล้ว จินเสวี่ยยวนจะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าตัวเองถูกหลี่เฉินหลอกเข้าแล้ว“คุณชายฉลาดเหนือใครจริงๆ อาศัยแค่เบาะแสบางอย่างก็สามารถเดาตัวตนของข้าได้ แต่คุณชายยังต้องการทำอะไรอีก” จินเสวี่ยยวนนั่งลงที่เดิม จ้องมองใบหน้าของหลี่เฉินนิ่งๆ แล้วเอ่ยถาม“ที่นี่คนเยอะหูตามากมาย ไม่เหมาะสมที่จะพูดคุยกัน องค์หญิงขึ้นไปนั่งที่ห้องส่วนตัวชั้นบนกับข้าดีหรือไม่”หลังจากที่หลี่เฉินพูดจบ ก็เรียกเสี่ยวเอ้อร์ให้เปลี่ยนไปยังห้องส่วนตัวชั้นบน โดยไม่รอค
คำพูดนี้ของหลี่เฉิน ทำให้ใบหน้างามของจินเสวี่ยยวนหยุดชะงัก“ในเมื่อมันเป็นไปไม่ได้ ทำไมเจ้าถึงยังแสร้งทำเป็นเร้นลับซับซ้อน” จินเสวี่ยยวนขมวดคิ้ว ท่าทางเย็นชาขึ้นหลี่เฉินกล่าวอย่างสงบ “ช่วงนี้องค์หญิงนำคณะทูตไปเยี่ยมเยียนเจ้าหน้าที่ขุนนางราชสำนักในเมืองหลวงมากมาย ย่อมรู้แน่ว่าตอนนี้ต้าสิงฮ่องเต้กำลังป่วยหนัก การบริหารบ้านเมืองทั้งหมดในราชสำนักล้วนมีองค์รัชทายาทผู้ฉลาดปราดเปรื่องคอยจัดการดูแล หากเจ้าต้องการพบฮ่องเต้ จะเป็นไปได้อย่างไร”จินเสวี่ยยวนได้ยินเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดว่า “เรื่องที่ต้าสิงฮ่องเต้ป่วยหนักข้าย่อมรู้อยู่แล้ว แต่เรื่องการบริหารบ้านเมืองของแคว้นต้าฉิน เหมือนจะมีราชเลขาจ้าวเสวียนจีเป็นผู้จัดการดูแลมาโดยตลอด ส่วนองค์รัชทายาทผู้ฉลาดปราดเปรื่องที่เจ้าพูดถึง เท่าที่ข้าเคยได้ยินมา เหมือนจะไม่สำคัญขนาดนั้น”หลี่เฉินตาค้าง พูดว่า “ถ้าจ้าวเสวียนจีมีความสามารถในการควบคุมบริหารบ้านเมืองคนเดียวจริงๆ ทำไมเจ้าไม่ไปหาเขาล่ะ”จินเสวี่ยยวนส่ายหัวแล้วพูดว่า “เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงการทูตระดับแคว้น ไม่ว่าจ้าวเสวียนจีจะเก่งกาจเพียงใดก็เป็นเพียงราชเลขาเท่านั้น ฮ่องเต้อาจถามความคิ
คำพูดของหลี่เฉินนั้น ลามกอนาจารเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่มีคำหยาบคายแม้แต่คำเดียวจินเสวี่ยยวนได้ยินเช่นนั้นก็หน้าแดงเถือกนางแค่คิดจะเปลืองตัวนิดหน่อย ตกหลี่เฉินเหมือนตกปลา เพื่อให้เขาช่วยทำงานให้ตัวเอง แต่ไม่เคยคิดเลยว่าเรือนร่างที่ล้ำค่าสะอาดผุดผ่องไร้ราคีของตัวเองต้องมาเสียคุณค่าเพราะคนลามกที่อยู่ข้างหน้านี้หลังจากดิ้นรนไปมา จินเสวี่ยยวนก็พบว่าหลี่เฉินมีเรี่ยวแรงมากอย่างน่าประหลาดใจ นางดิ้นหลุดออกไปไม่ได้“คุณชาย แบบนี้ แบบนี้ทำให้ข้าเริ่มกลัวแล้ว”จินเสวี่ยยวนฝืนยิ้ม แล้วพูดอย่างประหม่า “เจ้าปล่อยข้าก่อน พวกเรามีอะไรก็พูดกันดีๆ ค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์ดีหรือไม่”หลี่เฉินโน้มตัวไปสูดดมลำคอขาวราวหิมะของจินเสวี่ยยวน แล้วพูดอย่างไม่จริงจัง “พัฒนาความสัมพันธ์อะไรกัน ข้าเป็นคุณชายที่จริงจัง มีนิสัยขี้อาย เมื่อเห็นสตรีมักจะรู้สึกมือเท้าอ่อนแรง ทำอะไรไม่ถูก และที่ทำไม่เป็นที่สุดคือการพัฒนาความสัมพันธ์”เมื่อเห็นว่าสิ่งที่หลี่เฉินพูดนั้นตรงกันข้ามกับการกระทำแท้จริงอย่างสิ้นเชิง จินเสวี่ยยวนก็แอบกัดฟันกรอด พยายามดิ้นรนมากขึ้น แล้วพูดว่า “คุณชาย โปรดระวังกิริยาด้วย!”“ระวังกิริยาอย่างไร”
คำว่าไม่เอานี้ ไม่รู้ว่าพูดให้หลี่เฉินฟัง หรือว่าพูดให้หันชุ่ยที่อยู่นอกประตูฟังขณะที่ใช้มือข้างหนึ่งต่อต้านการนวดคลึงอย่างย่ามใจของหลี่เฉิน ส่วนอีกด้านหนึ่ง จินเสวี่ยยวนก็ต้องควบคุมน้ำเสียงของตัวเอง พยายามให้ตัวเองพูดตอบหันชุ่ยที่อยู่นอกประตูด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูปกติ“ข้าไม่เป็นไร เจ้าอย่าเข้ามา!”เมื่อรอจนกระทั่งหันชุ่ยที่อยู่นอกประตูเงียบเสียงไปในที่สุด จินเสวี่ยยวนก็ถอนหายใจเฮือกด้วยความโล่งอกแต่แล้ว นางก็ตระหนักว่าร่างกายอันบริสุทธิ์ผุดผ่องของตัวเองกำลังจะถูกทำลายด้วยน้ำมือของหลี่เฉิน“หยุดนะ! เจ้าไม่กลัวว่าคนอื่นจะรู้งั้นรึ! ข้างนอก ข้างนอกมีคนอยู่!”หลี่เฉินกระชับร่างกายของจินเสวี่ยยวนด้วยมือข้างหนึ่ง ทำให้นางนั่งในอ้อมแขนของตัวเองนิ่งๆ อย่างไม่สามารถขยับได้ ส่วนอีกมือหนึ่งเอาแต่เล่นกับหน้าอกงามไร้ขอบเขตของจินเสวี่ยยวน พูดอย่างไม่จริงจัง “ข้ากลัวอะไร อยากกลัว เจ้าก็กลัวไปเองสิ”คราวนี้ หลี่เฉินโน้มตัวเข้ามาใกล้กับกลีบปากสีแดงของจินเสวี่ยยวน ริมฝีปากที่ขยับในขณะที่พูดได้ถูไถมุมปากของจินเสวี่ยยวนเบาๆ การสัมผัสที่คลุมเครือเช่นนี้ ทำให้หลี่เฉินรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก“เจ้าเป
หลี่เฉินหรี่ตามองเย่ลู่กู่จ้านฉีที่ยังคงพูดจาฉะฉานและแสดงความเต็มใจที่จะให้ความร่วมมือ แต่เขากลับไม่ได้ตอบโต้หรือขัดจังหวะจากท่าทีของเย่ลู่กู่จ้านฉี ดูเหมือนว่าเขาไม่รู้เลยว่าจ้าวเสวียนจีมีความเกี่ยวข้องกับแคว้นเหลียวหลี่เฉินอดผิดหวังไม่ได้เดิมทีเขาหวังว่าจะสามารถหาหลักฐานความผิดของจ้าวเสวียนจีได้ และเตรียมการรับมือไว้ล่วงหน้า แต่ในเมื่อเย่ลู่กู่จ้านฉีไม่รู้อะไรเลย แผนการนี้คงต้องพับเก็บไว้ก่อน ตอนนี้ ทำได้เพียงรอให้ข่าวเรื่องเย่ลู่กู่จ้านฉีตกเป็นเชลยแพร่ไปถึงแคว้นเหลียว และหวังให้แคว้นเหลียวเป็นฝ่ายเปิดเผยความลับเองแต่ปัญหาคือ หลี่เฉินไม่สามารถควบคุมได้ว่าแคว้นเหลียวจะดำเนินการอย่างไรหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลี่เฉินก็หมดความสนใจที่จะสนทนากับเย่ลู่กู่จ้านฉีอีก เขาลุกขึ้นและเตรียมตัวออกไปเย่ลู่กู่จ้านฉีที่เห็นหลี่เฉินจะจากไป รีบร้อนพูดขึ้น "เจ้าไม่ต้องการให้ข้าช่วยเป็นพยานแล้วหรือ? เรื่องอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นการขายชาติหรือการส่งข่าวกรอง หากเจ้าอยากให้ข้าร่วมมือ ข้าก็ยินดีทำให้"หลี่เฉินหันมามองเขาด้วยสายตาเย็นชาและกล่าวว่า "สมองของเจ้าเหมาะจะใช้เลี้ยงม้าบนทุ่งหญ้าเท่า
บางครั้ง คำพูดก็เป็นอาวุธที่ทำร้ายได้ลึกยิ่งกว่าคมดาบโดยเฉพาะเมื่อใช้จัดการกับคนอย่างเย่ลู่กู่จ้านฉีเขาเคยอยู่ในตำแหน่งสูงส่ง ไม่เคยมีใครกล้าทำให้เขาต้องอดทนต่อความอัปยศแต่หลังจากถูกนำตัวมายังเมืองหลวงต้าฉิน ทุกสิ่งทุกอย่างกลับไม่เป็นไปตามที่เขาคาดหวัง ความลำบากใจประดังเข้ามาไม่หยุดหย่อนตอนนี้ แม้แต่ตัวเขาเองก็กลายเป็นเพียงเชลยศึกถึงอย่างนั้น เขาก็ยังถือดีว่าหลี่เฉินจะไม่ฆ่าเขา และพยายามรักษาศักดิ์ศรีในฐานะท่านอ๋องเอาไว้แต่ศักดิ์ศรีนั้นถูกหลี่เฉินบดขยี้จนป่นปี้เย่ลู่กู่จ้านฉีจ้องหลี่เฉินด้วยสายตาแข็งกร้าว หากไม่ใช่เพราะกำลังพลด้อยกว่า เขาคงได้ฉีกหลี่เฉินเป็นชิ้นๆ ไปแล้วเขาแสยะยิ้มเยือกเย็น ก่อนเอ่ยว่า "ดีๆๆ! แต่หากข้าจับโอกาสได้สักครั้ง ข้าจะบีบกระดูกเจ้าทีละข้อจนแหลกคามือ!""พูดจาข่มขู่ ใครๆ ก็พูดได้"หลี่เฉินหัวเราะเยาะ พลางกล่าวว่า "หากการพูดเพียงอย่างเดียวทำให้ชนะได้ แคว้นเหลียวของเจ้าไม่ต้องเลี้ยงม้าบนทุ่งหญ้าแล้ว แค่นั่งอยู่ในบ้านแล้วปล่อยคำพูดลอยลมออกไป ก็คงครองแผ่นดินได้ทั้งปวง"กร็อบเย่ลู่กู่จ้านฉีกำหมัดแน่นจนข้อนิ้วลั่นเสียงดังเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองไม่ม
การมาถึงของหลี่เฉิน ทำให้เหล่าองครักษ์เสื้อแพรในบริเวณตำหนักบูรพาคุกเข่าลงราวกับคลื่นลูกใหญ่กงฮุยอวี่ที่อยู่บนหลังคาเหลือบมองหลี่เฉินเพียงครู่เดียว ก่อนจะหมุนตัวหายวับไปอย่างไร้ร่องรอยหญิงผู้นี้ยังคงเย็นชา และดูเหมือนจะไม่เป็นมิตร นางพยายามหลีกเลี่ยงการพบเจอกับหลี่เฉินอยู่เสมอ ซึ่งหลี่เฉินเองก็หาได้ใส่ใจไม่เขาคิดในใจว่าน้ำอุ่นต้มกบ ค่อยๆ ทนรอไป สักวันคงมีโอกาสส่วนซานเป่าซึ่งอยู่หน้าประตูตำหนัก กลับไม่มีท่าทียโสเช่นนั้น เมื่อเห็นหลี่เฉินที่พาวั่นเจียวเจียวมาด้วย เขารีบลุกขึ้นมาทักทายทันที"บ่าวขอคารวะองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ"หลี่เฉินโบกมือให้ซานเป่าลุกขึ้น ก่อนจะกล่าวว่า "ข้าจะไปพบเย่ลู่กู่จ้านฉี จดหมายของเขา ส่งออกไปแล้วหรือยัง?"ซานเป่ากล่าวตอบด้วยความเคารพว่า "ส่งออกไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ เป็นเขาเองที่สั่งให้หนึ่งในองครักษ์ของเขาดำเนินการ บ่าวปฏิบัติตามรับสั่งขององค์ชาย จึงไม่ได้ขัดขวางพ่ะย่ะค่ะ""สายลับของแคว้นเหลียวในเมืองหลวงมีอยู่ไม่น้อย ให้เขาใช้ช่องทางของเขาเองก็ดี พวกเขาถึงจะเชื่อ นี่เป็นเรื่องเล็กน้อย"พูดพลาง หลี่เฉินก้าวเข้าไปในตำหนักปีกแม้จะเป็นตำหนักปีก แต่การตกแต่ง
"นำรายงานจากกรมครัวเรือนมาให้ข้าดู"หลี่เฉินสั่งวั่นเจียวเจียวให้นำรายงานจากกรมครัวเรือนที่ส่งมาช่วงเช้าออกมา พลางเปิดอ่านดูเพียงครู่เดียว ใบหน้าของเขาก็เคร่งเครียดขึ้นทันทีรายจ่ายอื่น ๆ ยังถือว่าอยู่ในงบประมาณตามปกติ แต่วันนี้ที่ต้องจัดเลี้ยงทหารทั้งสามกองทัพ เพียงวันแรกก็หมดเงินไปหลายหมื่นตำลึงแล้วอย่ามองว่าเป็นตัวเลขน้อย นี่เพียงแค่วันเริ่มต้นเท่านั้น ตามธรรมเนียม ทัพผู้ชนะจะต้องจัดเลี้ยงตามขนาดของศึก หากศึกเล็กจัดเจ็ดวัน หากศึกใหญ่จัดเลี้ยงได้นานถึงหนึ่งเดือน ของใช้ต่าง ๆ อาหาร สุรา สำหรับคนหลายหมื่นคน เพียงแค่ค่าใช้จ่ายปกติในหนึ่งวันก็มหาศาลแล้ว ยังไม่นับถึงอาหารเลี้ยงฉลอง เช่น ปลาตัวใหญ่ เนื้อสัตว์ เครื่องใน ต้องเชือดวัว เชือดแกะ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเงินของราชสำนักประกอบกับภัยพิบัติยังไม่ได้รับการฟื้นฟูโดยสมบูรณ์ ราคาสินค้าต่าง ๆ พุ่งสูงขึ้นยิ่งกว่าที่เคย ไม่เพียงชาวบ้านทั่วไปที่ลำบาก แม้แต่ราชสำนักเองยังแทบรับไม่ไหวตามที่กรมครัวเรือนคำนวณไว้ ค่าเลี้ยงฉลองทั้งหมดจะต้องใช้เงินอย่างน้อยสามถึงสี่แสนตำลึง และนี่เป็นเพียงค่าเลี้ยงฉลองเท่านั้น ยังมีค่าตอบแทนวีรกรรมรบ ค่าชดเชยสำห
สวีฉังชิง เป็นหนึ่งในขุนนางที่ซื่อสัตย์และใสสะอาดที่สุดในราชสำนักต้าฉินหลี่เฉินเคยเห็นกับตาตอนที่สวีฉังชิงตกอยู่ในปัญหาครั้งก่อน และหลี่เฉินได้ไปที่บ้านของเขาดังนั้น เมื่อได้ยินคำบ่นอย่างขุ่นเคืองของสวีฉังชิง หลี่เฉินก็เพียงแต่หัวเราะและปลอบโยนว่า “เขาทำหน้าที่ของเขา เจ้าจะไปถือสาอะไรกับเขา”ถ้าเปรียบเทียบกับสวีฉังชิง เหอคุนคือคนอีกขั้วหนึ่งโดยสิ้นเชิงเหอคุนเต็มไปด้วยความลื่นไหล ไหวพริบ และความโลภ ซึ่งทั้งหมดนี้ตรงข้ามกับลักษณะของสวีฉังชิงโดยสิ้นเชิง ด้วยเหตุนี้ สวีฉังชิงจึงไม่ชอบเหอคุนตั้งแต่แรกเห็นในแง่คุณสมบัติ เหอคุนอาจดูเหมือนเต็มไปด้วยข้อเสีย หลี่เฉินไม่มีทางสนใจแน่แต่สิ่งที่หลี่เฉินให้ความสำคัญคือ ความสามารถในการทำงานของเหอคุนคนอย่างเหอคุน หากไม่ได้มีพื้นเพต่ำต้อย คงจะมีอนาคตในราชสำนักที่ไกลกว่าสวีฉังชิงมากสวีฉังชิงเหมาะกับการทำงานหนักแบบไม่หวังผลตอบแทน แต่เหอคุน คือคนที่สามารถจับจุดอ่อนของปัญหา และหาทางแก้ไขให้หลี่เฉินได้อย่างชัดเจนและนี่คือสิ่งที่กลบข้อเสียส่วนใหญ่ของเหอคุนได้เมื่อเห็นว่าสวีฉังชิงยังคงแสดงความไม่พอใจ หลี่เฉินจึงกล่าวว่า “เจ้ากับเขามีบุคลิกแล
“หากองค์ชายจำพวกท่านไม่ได้ พวกท่านก็เหนื่อยเปล่า”คำพูดของเหอคุนทำให้ขุนนางทั้งสามคนพยักหน้ารับอย่างต่อเนื่อง“ใต้เท้าเหอ ตำแหน่งคนแรกที่ส่งของกำนัลก็ถูกใต้เท้าเหอแย่งไปแล้ว พวกเราจะส่งของที่ดี ก็ไม่มีปัญญาเสียด้วยซ้ำ” ขุนนางวัยกลางคนคนหนึ่งกล่าวด้วยใบหน้าขมขื่นเหอคุนส่ายหน้า “ท่านเข้าใจผิดแล้ว หากว่ากันด้วยความดีเยี่ยม อย่างไรก็ไม่มีทางเอาชนะเหล่าขุนนางชั้นสูงหรือราชวงศ์ พวกเขามีสมบัติล้ำค่ามากมาย เราไม่อาจเทียบได้อยู่แล้ว”“แต่พวกท่านลองคิดดู ทำไมองค์ชายถึงทำเช่นนี้? ก็เพราะอยากดูว่าใครในราชสำนักมีความจงรักภักดีต่อพระองค์ใช่หรือไม่?”“ลองเปรียบเทียบดู พ่อค้าผู้ร่ำรวยคนหนึ่งที่มีทรัพย์สินมหาศาล บริจาคเงิน 100 ตำลึง เทียบกับคนธรรมดาที่ขายทุกอย่างจนรวบรวมได้เพียง 10 ตำลึง สำหรับองค์ชาย อันไหนจะมีค่าน่าจดจำมากกว่ากัน? พวกท่านคิดว่าองค์ชายต้องการเงินของพวกท่านจริงหรือ?”เหอคุนแสร้งทำสีหน้าชื่นชม พร้อมประสานมือไปยังทิศที่เป็นพระที่นั่งสีเจิ้ง กล่าวว่า “องค์ชายทรงพระปรีชาสามารถ มิอาจเปรียบได้กับคนธรรมดาเช่นเรา องค์ชายทรงต้องการดูว่า ใครในราชสำนักที่ภักดีและมีจิตใจถวายความจงรักภักดี ซ
“จะคุยอะไรกันได้อีก ก็คงไม่พ้นแผนการจัดการข้า”หลี่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “คราวนี้ จ้าวเสวียนจีคงจนตรอกแล้ว”“เพิ่มการเฝ้าระวังให้มากขึ้น ข้าต้องรู้ว่าพวกเขาทำอะไรและพบใครในช่วงไม่กี่วันนี้”เฉินทงโค้งคำนับ “พ่ะย่ะค่ะ”หลังจากเฉินทงจากไป เหอคุนก็เข้ามาพบหลี่เฉิน“ทูลองค์ชาย เมื่อครู่มีขุนนางสามคนเข้ามาส่งของกำนัลเงินช่วยงาน พระองค์จะทอดพระเนตรบัญชีของกำนัลหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” เหอคุนเอ่ยถามหลี่เฉินส่ายศีรษะ “เจ้าเป็นคนจัดการไป ข้าจะดูบัญชีทั้งหมดตอนสุดท้าย ข้าคงไม่มีเวลามาดูทีละคน”เหอคุนพลันคิดบางอย่าง ก่อนกล่าวว่า “องค์ชาย กระหม่อมขอพระราชทานสิทธิในการดำเนินการตามดุลยพินิจ กระหม่อมมั่นใจว่าจะสามารถเพิ่มยอดของกำนัลได้อย่างน้อยสามส่วน”หลี่เฉินหยุดชะงักเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย “เจ้ากำลังเอามีดจ่อคอเพื่อนร่วมงานของเจ้าเอง ไม่กลัวพวกเขาเล่นงานเจ้าในที่ลับหรือ?”เหอคุนยิ้มกว้าง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ตราบใดที่กระหม่อมมีองค์ชายเป็นที่พึ่ง กระหม่อมไม่กลัวสิ่งใด อีกอย่าง กระหม่อมมั่นใจว่าจะทำให้พวกเขายินดีมอบเงินเพิ่มอย่างเต็มใจ”“ได้ เจ้าไปจัดการเถอะ”หลี่เฉินโบกม
ทันทีที่เริ่มเคลื่อนไหวเพื่อยึดอำนาจ ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มของจ้าวเสวียนจีกับตำหนักบูรพาจะถึงจุดแตกหักโดยสมบูรณ์ ความสัมพันธ์ที่เปราะบางจะถูกทำลาย และไม่มีที่ว่างสำหรับการประนีประนอมอีกต่อไปนี่คือสิ่งที่จ้าวเสวียนจีและหลี่เฉินต่างพยายามหลีกเลี่ยงมาโดยตลอดแต่ตอนนี้ เวลานั้นก็มาถึงจางปี้อู่เอ่ยถามด้วยความกังวลว่า “ถ้าเราทำการเคลื่อนไหวใหญ่โต หน่วยบูรพาคงไม่พลาดที่จะสังเกตเห็น…”“แล้วจะอย่างไร?”จ้าวเสวียนจีลุกขึ้นยืน ท่ามกลางร่างกายที่ชราภาพกลับเปล่งไปด้วยอำนาจ เขากล่าวเสียงดังว่า “ข้ารับราชการมาเกินสี่สิบปี อยู่ในคณะเสนาบดีมานานเกือบยี่สิบปี หน่วยบูรพาเล็กๆ จะทำอะไรข้าได้?”“หากพวกมันกล้าลงมือ ก็ให้กองทัพเข้าบุกตำหนักบูรพาเสีย!”แววตาและคิ้วที่ขาวของจ้าวเสวียนจีเต็มไปด้วยความแข็งกร้าว เขากล่าวต่อด้วยเสียงเย็นเยือกท่ามกลางสายตาหวาดหวั่นของจางปี้อู่และฟู่อวี้จือว่า “ฝ่าบาททรงประชวร องค์รัชทายาทโง่เขลาและไร้ศีลธรรม ในฐานะขุนนาง เราทำได้เพียงเสี่ยงเพื่อปกป้องรากฐานของต้าฉิน”ครึ่งชั่วยาวต่อมา จางปี้อู่และฟู่อวี้จือออกจากจวนจ้าวที่หน้าประตูมีเกี้ยวสองคันจอดรออยู่“สหายจาง”ขณ
ในการควบคุมอำนาจทางการเงิน มีคนหนึ่งที่ต้องกำจัดให้ได้ไม่ต้องสงสัย คนคนนั้นคือ จ้าวเสวียนจีหลี่เฉินโยนบัญชีของกำนัลของเหอคุนลงข้างตัว พลางเรียกวั่นเจียวเจียวเข้ามาด้วยเสียงดัง “มาแต่งตัวให้ข้า”ในเมืองหลวง ณ จวนจ้าวหลังจากออกจากตำหนักบูรพา จ้าวเสวียนจีได้สั่งคนไปตามจางปี้อู่ และฟู่อวี้จือ สองขุนนางร่วมตำแหน่งมหาเสนาบดีในคณะเสนาบดีไม่นานหลังจากที่จ้าวเสวียนจีเดินทางกลับถึงจวนจ้าว สองคนก็รีบร้อนมาถึงฟู่อวี้จือและจางปี้อู่พบกันที่หน้าประตู ทั้งสองสบตากัน แต่กลับไม่เห็นหวังเถิงฮ่วนจึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยในไม่ช้า จ้าวเสวียนจีก็เรียกทั้งสองเข้ามายังห้องหนังสือ“ผู้อาวุโส วันนี้ตำหนักบูรพามีคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?”ฟู่อวี้จือถามถึงเรื่องเย่ลู่ฉีหมิงที่ถูกสังหารแม้เมืองหลวงจะใหญ่และผู้คนมากมาย แต่เรื่องใหญ่เช่นนี้ย่อมไม่สามารถปิดบังสองขุนนางอาวุโสได้ พวกเขาทราบข่าวอย่างรวดเร็วว่าเย่ลู่ฉีหมิงเกิดเรื่อง แต่รายละเอียดนั้นพวกเขายังไม่รู้ เนื่องจากจ้าวเสวียนจีและหวังเถิงฮ่วนเป็นผู้ไปตำหนักบูรพาจ้าวเสวียนจีจิบชาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “ไม่มีคำตอบ ก็คือคำตอบของตำหนั