คำพูดนี้ของหลี่เฉิน ทำให้ใบหน้างามของจินเสวี่ยยวนหยุดชะงัก“ในเมื่อมันเป็นไปไม่ได้ ทำไมเจ้าถึงยังแสร้งทำเป็นเร้นลับซับซ้อน” จินเสวี่ยยวนขมวดคิ้ว ท่าทางเย็นชาขึ้นหลี่เฉินกล่าวอย่างสงบ “ช่วงนี้องค์หญิงนำคณะทูตไปเยี่ยมเยียนเจ้าหน้าที่ขุนนางราชสำนักในเมืองหลวงมากมาย ย่อมรู้แน่ว่าตอนนี้ต้าสิงฮ่องเต้กำลังป่วยหนัก การบริหารบ้านเมืองทั้งหมดในราชสำนักล้วนมีองค์รัชทายาทผู้ฉลาดปราดเปรื่องคอยจัดการดูแล หากเจ้าต้องการพบฮ่องเต้ จะเป็นไปได้อย่างไร”จินเสวี่ยยวนได้ยินเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดว่า “เรื่องที่ต้าสิงฮ่องเต้ป่วยหนักข้าย่อมรู้อยู่แล้ว แต่เรื่องการบริหารบ้านเมืองของแคว้นต้าฉิน เหมือนจะมีราชเลขาจ้าวเสวียนจีเป็นผู้จัดการดูแลมาโดยตลอด ส่วนองค์รัชทายาทผู้ฉลาดปราดเปรื่องที่เจ้าพูดถึง เท่าที่ข้าเคยได้ยินมา เหมือนจะไม่สำคัญขนาดนั้น”หลี่เฉินตาค้าง พูดว่า “ถ้าจ้าวเสวียนจีมีความสามารถในการควบคุมบริหารบ้านเมืองคนเดียวจริงๆ ทำไมเจ้าไม่ไปหาเขาล่ะ”จินเสวี่ยยวนส่ายหัวแล้วพูดว่า “เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงการทูตระดับแคว้น ไม่ว่าจ้าวเสวียนจีจะเก่งกาจเพียงใดก็เป็นเพียงราชเลขาเท่านั้น ฮ่องเต้อาจถามความคิ
คำพูดของหลี่เฉินนั้น ลามกอนาจารเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่มีคำหยาบคายแม้แต่คำเดียวจินเสวี่ยยวนได้ยินเช่นนั้นก็หน้าแดงเถือกนางแค่คิดจะเปลืองตัวนิดหน่อย ตกหลี่เฉินเหมือนตกปลา เพื่อให้เขาช่วยทำงานให้ตัวเอง แต่ไม่เคยคิดเลยว่าเรือนร่างที่ล้ำค่าสะอาดผุดผ่องไร้ราคีของตัวเองต้องมาเสียคุณค่าเพราะคนลามกที่อยู่ข้างหน้านี้หลังจากดิ้นรนไปมา จินเสวี่ยยวนก็พบว่าหลี่เฉินมีเรี่ยวแรงมากอย่างน่าประหลาดใจ นางดิ้นหลุดออกไปไม่ได้“คุณชาย แบบนี้ แบบนี้ทำให้ข้าเริ่มกลัวแล้ว”จินเสวี่ยยวนฝืนยิ้ม แล้วพูดอย่างประหม่า “เจ้าปล่อยข้าก่อน พวกเรามีอะไรก็พูดกันดีๆ ค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์ดีหรือไม่”หลี่เฉินโน้มตัวไปสูดดมลำคอขาวราวหิมะของจินเสวี่ยยวน แล้วพูดอย่างไม่จริงจัง “พัฒนาความสัมพันธ์อะไรกัน ข้าเป็นคุณชายที่จริงจัง มีนิสัยขี้อาย เมื่อเห็นสตรีมักจะรู้สึกมือเท้าอ่อนแรง ทำอะไรไม่ถูก และที่ทำไม่เป็นที่สุดคือการพัฒนาความสัมพันธ์”เมื่อเห็นว่าสิ่งที่หลี่เฉินพูดนั้นตรงกันข้ามกับการกระทำแท้จริงอย่างสิ้นเชิง จินเสวี่ยยวนก็แอบกัดฟันกรอด พยายามดิ้นรนมากขึ้น แล้วพูดว่า “คุณชาย โปรดระวังกิริยาด้วย!”“ระวังกิริยาอย่างไร”
คำว่าไม่เอานี้ ไม่รู้ว่าพูดให้หลี่เฉินฟัง หรือว่าพูดให้หันชุ่ยที่อยู่นอกประตูฟังขณะที่ใช้มือข้างหนึ่งต่อต้านการนวดคลึงอย่างย่ามใจของหลี่เฉิน ส่วนอีกด้านหนึ่ง จินเสวี่ยยวนก็ต้องควบคุมน้ำเสียงของตัวเอง พยายามให้ตัวเองพูดตอบหันชุ่ยที่อยู่นอกประตูด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูปกติ“ข้าไม่เป็นไร เจ้าอย่าเข้ามา!”เมื่อรอจนกระทั่งหันชุ่ยที่อยู่นอกประตูเงียบเสียงไปในที่สุด จินเสวี่ยยวนก็ถอนหายใจเฮือกด้วยความโล่งอกแต่แล้ว นางก็ตระหนักว่าร่างกายอันบริสุทธิ์ผุดผ่องของตัวเองกำลังจะถูกทำลายด้วยน้ำมือของหลี่เฉิน“หยุดนะ! เจ้าไม่กลัวว่าคนอื่นจะรู้งั้นรึ! ข้างนอก ข้างนอกมีคนอยู่!”หลี่เฉินกระชับร่างกายของจินเสวี่ยยวนด้วยมือข้างหนึ่ง ทำให้นางนั่งในอ้อมแขนของตัวเองนิ่งๆ อย่างไม่สามารถขยับได้ ส่วนอีกมือหนึ่งเอาแต่เล่นกับหน้าอกงามไร้ขอบเขตของจินเสวี่ยยวน พูดอย่างไม่จริงจัง “ข้ากลัวอะไร อยากกลัว เจ้าก็กลัวไปเองสิ”คราวนี้ หลี่เฉินโน้มตัวเข้ามาใกล้กับกลีบปากสีแดงของจินเสวี่ยยวน ริมฝีปากที่ขยับในขณะที่พูดได้ถูไถมุมปากของจินเสวี่ยยวนเบาๆ การสัมผัสที่คลุมเครือเช่นนี้ ทำให้หลี่เฉินรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก“เจ้าเป
หันชุ่ยนอกประตู เดินกลับไปกลับมานับครั้งไม่ถ้วนและไม่รู้ว่านางต้องการผลักประตูเปิดเข้าไปกี่ครั้งนางคิดอยู่เสมอว่าการที่องค์หญิงอยู่ในห้องเดียวกันกับชายแปลกหน้าที่มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นคนไม่ดีนั้น ถือเป็นการกระทำที่อันตรายเหมือนกับการขังชิ้นเนื้องามไว้ในกรงกับหมาป่าตัวใหญ่ที่หิวโหยยิ่งไปกว่านั้น เสียงอุทานเมื่อครู่จากองค์หญิง ยิ่งทำให้หันชุ่ยรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นแต่องค์หญิงก็บอกแล้วว่า ห้ามไม่ให้ตัวเองเข้าไปไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับองค์หญิงจะดีแค่ไหน นางยังคงเป็นบ่าวรับใช้ นางไม่กล้าขัดคำสั่งขององค์หญิงแต่ความกังวลและความวิตกกังวลแบบนั้นกลับรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ใจของหันชุ่ยแทบจะแตกสลายหันชุ่ยอดไม่ได้ที่จะเอนตัวไปฟังที่ประตูอย่างเงียบ ๆ แต่สภาพแวดล้อมในเหลาสุราเสียงดังมาก จนนางไม่ได้ยินชัดเจนเมื่อนางกำลังจะยอมแพ้ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังเบาๆ จากในห้องเป็นเสียงสั่นสม่ำเสมอมากเสียงแบบนั้น เหมือนมีคนผลักโต๊ะ และเขย่าอย่างมีจังหวะสม่ำเสมอบางครั้งก็มีเสียงครางที่พยายามอดกลั้นไว้เสียงสองเสียง...นอกจากนี้ ดูเหมือนจะมีเสียงหายใจที่เร็วกระชั้นและอู้อี้สองเสียง
นางกำนัลตอบรับแล้วหันหลังออกไปเตรียมน้ำร้อนจ้าวหรุ่ยถอนหายใจเบาๆ มองดูหิมะตกหนักนอกหน้าต่างแล้วพึมพำ “องค์รัชทายาท หม่อมฉันไม่กล้าทำร้ายท่าน ดังนั้นปล่อยให้ความลับเหล่านี้เน่าเปื่อยในท้องของหม่อมฉัน”แต่สิ่งที่นางไม่รู้ก็คือ นางกำนัลที่ทำความสะอาดถังขยะก่อนหน้านี้ได้นำขวดและขี้เถ้าที่แตกหักติดตัวไปด้วย ทว่าเท้าหน้าเพิ่งก้าวออกจากพระที่นั่งร้อยบุปผา เท้าหลังก็มีขันทีสองคนปรากฏตัวต่อหน้านางทันทีด้วยสีหน้าไร้อารมณ์“พวกข้ามาจากหน่วยบูรพา โปรดมอบของให้กับข้าด้วย”ขันทีแสยะยิ้มอย่างเย็นชาให้นางกำนัล “เอ๋ กงกงจากหน่วยบูรพา นี่เป็นแค่ขวดที่แตกในห้องของพระสนมเท่านั้นนะ?” นางกำนัลพูดอย่างเร่งรีบ“เจ้าอย่าถามให้มากความ แค่มอบของให้กับพวกข้าแล้วก็ออกไปได้แล้ว”แม้ว่านางกำนัลจะมีความกล้าหาญแต่ก็ไม่กล้าถามเกี่ยวกับธุระของหน่วยบูรพา ดังนั้นหลังจากมอบของแล้ว นางก็รีบหนีกลับไปที่พระที่นั่งร้อยบุปผาทันที …………ในร้านอาหาร หันชุ่ยซึ่งหัวใจเหมือนมีกรงเล็บแมวข่วน นางแทบจะทนไม่ไหวที่จะเข้าไปข้างใน แต่ตอนนั้นเองประตูห้องส่วนตัวก็เปิดออกทันทีหันชุ่ยสะดุ้งนางถอยหลังไปสองก้าวและจ้องมองไปที่หลี่
ในไม่ช้า หันชุ่ยก็ขอให้ทางร้านเตรียมรถม้าด้วยการช่วยเหลือของหันชุ่ย จินเสวี่ยยวนจึงย้ายออกจากห้องและลงไปชั้นล่างอย่างระมัดระวังทีละก้าวๆ หลังจากนั่งบนรถม้าอย่างไม่เต็มใจ จินเสวี่ยยวนก็ดูเหมือนจะจำอะไรบางอย่างได้ และพูดกับหันชุ่ยว่า “เจ้าเอาเงินไป ซื้อโต๊ะในห้องนั้นกับเจ้าของร้านแล้วเอามันไปเผา”ที่โต๊ะนั้นเองที่เจ้าวายร้ายทำสำเร็จ จินเสวี่ยยวนก็ไม่อยากให้ใครใช้โต๊ะนั้นกินข้าวอีกในอนาคตหันชุ่ยรู้สึกว่าองค์หญิงของนางเหมือนถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง และพูดสิ่งที่ไม่น่าเชื่อบางอย่างออกมาแต่คราวนี้นางได้เรียนรู้บทเรียนแล้ว จึงไม่ได้ถามคำถามอีกต่อไป นางเพียงตอบและรีบกลับหลังจากนั้นไม่นาน พนักงานทั้งสองก็ลากโต๊ะลงมาด้วยความยากลำบาก และเผามันต่อหน้าจินเสวี่ยยวน จินเสวี่ยยวนรู้สึกโล่งใจ และให้หันชุ่ยขึ้นรถม้า เพื่อในขณะที่จินเสวี่ยยวนขึ้นรถม้าเพื่อกลับไปที่สถานทูต หลี่เฉินก็มาถึงตำหนักบูรพาแล้วทันใดนั้นซานเป่าก็ปรากฏตัวต่อหน้าเขาราวกับผี“มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?”หลี่เฉินถาม เขารู้ว่าหากไม่มีเรื่องสำคัญ ซานเป่าจะไม่เป็นฝ่ายปรากฏตัวก่อน ซานเป่าเข้ามาใกล้หลี่เฉิน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแ
จางเฮ่อจือลุกขึ้นยืน และตรวจชีพจรของหลี่เฉินด้วยความนอบน้อม หลังจากตรวจสอบอย่างรอบคอบเป็นเวลานาน เขาก็ลุกขึ้นและกล่าวว่า “ทูลองค์รัชทายาท พระวรกายของพระองค์อยู่ในสภาพดี พลังงานและพระโลหิตสมบูรณ์ แข็งแรงและพลามัยดีมาก เพียงแต่ความแข็งแกร่งของชีพจรยังขาดไปเล็กน้อย กระหม่อมขอบังอาจกราบทูลว่า องค์รัชทายาทโปรดใช้ความยับยั้งชั่งใจในเรื่องระหว่างชายและหญิง และให้ร่วมมือกับกระหม่อม ต้มยาบำรุงสองสามอย่างตามใบสั่งยา ซึ่งจะสามารถฟื้นตัวได้ภายในไม่กี่วัน”แม้จะรู้ว่าต่อให้ถูกวางยาพิษจริง แต่หมอหลวงก็อาจจะไม่สามารถค้นพบสิ่งใดได้ ทว่าคำพูดของจางเฮ่อจือก็ทำให้หลี่เฉินรู้สึกโล่งใจอยู่ดี...มันคงจะดีกว่าถ้าเขาไม่พูดอะไรแต่ก็พอจะมองออกว่า จางเหอจือมีความสามารถจริงๆ“ข้าอยากถามเจ้าว่า มีพิษชนิดใดในใต้หล้าที่ทำให้คนไม่รู้ถึงพิษนั้น และตรวจไม่พบด้วยวิธีการใดๆ เลย เมื่อพิษปะทุขึ้นมาก็จะตายในทันที และหลังจากที่ตายไปแล้วก็ยังตรวจไม่พบพิษนั้น?” หลี่เฉินถามจางเฮ่อจือตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “กระหม่อมไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับพิษแปลกๆ เช่นนี้มาก่อน แต่เคยเห็นพิษที่คล้ายกับที่ฝ่าบาทบรรยายไว้ในตำราโบราณ
หลี่เฉินรู้ดีว่าองค์ชายเก้ามีเจ้าธรรมแบบไหนคนที่มีนิสัยสันโดษและขี้ขลาด มักจะกลัวสิ่งต่างๆ มากที่สุด แต่ก็มีแนวโน้มที่จะสร้างความเกลียดชังในหัวใจมากที่สุดเช่นกันยิ่งเขากดดันมากเท่าไร ก็ยิ่งมีแนวโน้มที่สภาพจิตใจจะบิดเบี้ยว และเคียดแค้นริษยาโลกการพบกันไม่กี่ครั้งก่อนหน้านี้ พฤติกรรมขององค์ชายเก้าที่อยู่ตรงหน้าเรียกได้ว่าทนไม่ไหวแต่บทสนทนาตอนนี้ อยู่ในระดับที่แตกต่างกันจริงๆแค่ไม่รู้ว่าเป็นจ้าวชิงหลานหรือจ้าวเสวียนจีที่สอนองค์ชายเก้า“ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าทำงานหนักมาก คงจะดีที่สุดถ้าเจ้าจะบอกข้าว่า เจ้าต้องการพบข้าเรื่องอะไร” หลี่เฉินพูดอย่างใจเย็นองค์ชายเก้าหยิบเอกสารจากอ้อมแขนออกมาด้วยความเคารพ แล้วพูดว่า “โชคดีที่ฝ่าบาททรงให้ความสำคัญ และขอให้ข้าเป็นตัวแทนของราชวงศ์เข้ามาช่วยบรรเทาสาธารณภัย หลังจากน้องชายครุ่นคิดแล้ว ก็มิกล้าที่จะละเลย ดังนั้นข้าจึงเตรียมแผนการบรรเทาภัยพิบัติอย่างละเอียด โปรดดูรายงาน หากมีข้อบกพร่องใดๆ ข้าต้องขอคำแนะนำด้วย”“ส่งมา”หลี่เฉินหยิบเอกสารที่องค์ชายเก้าส่งมา และอ่านอย่างระมัดระวังการเขียนเอกสารนี้มีความซับซ้อน และสามารถบอกได้ทันทีว่า ถูกเขียน