นางกำนัลตอบรับแล้วหันหลังออกไปเตรียมน้ำร้อนจ้าวหรุ่ยถอนหายใจเบาๆ มองดูหิมะตกหนักนอกหน้าต่างแล้วพึมพำ “องค์รัชทายาท หม่อมฉันไม่กล้าทำร้ายท่าน ดังนั้นปล่อยให้ความลับเหล่านี้เน่าเปื่อยในท้องของหม่อมฉัน”แต่สิ่งที่นางไม่รู้ก็คือ นางกำนัลที่ทำความสะอาดถังขยะก่อนหน้านี้ได้นำขวดและขี้เถ้าที่แตกหักติดตัวไปด้วย ทว่าเท้าหน้าเพิ่งก้าวออกจากพระที่นั่งร้อยบุปผา เท้าหลังก็มีขันทีสองคนปรากฏตัวต่อหน้านางทันทีด้วยสีหน้าไร้อารมณ์“พวกข้ามาจากหน่วยบูรพา โปรดมอบของให้กับข้าด้วย”ขันทีแสยะยิ้มอย่างเย็นชาให้นางกำนัล “เอ๋ กงกงจากหน่วยบูรพา นี่เป็นแค่ขวดที่แตกในห้องของพระสนมเท่านั้นนะ?” นางกำนัลพูดอย่างเร่งรีบ“เจ้าอย่าถามให้มากความ แค่มอบของให้กับพวกข้าแล้วก็ออกไปได้แล้ว”แม้ว่านางกำนัลจะมีความกล้าหาญแต่ก็ไม่กล้าถามเกี่ยวกับธุระของหน่วยบูรพา ดังนั้นหลังจากมอบของแล้ว นางก็รีบหนีกลับไปที่พระที่นั่งร้อยบุปผาทันที …………ในร้านอาหาร หันชุ่ยซึ่งหัวใจเหมือนมีกรงเล็บแมวข่วน นางแทบจะทนไม่ไหวที่จะเข้าไปข้างใน แต่ตอนนั้นเองประตูห้องส่วนตัวก็เปิดออกทันทีหันชุ่ยสะดุ้งนางถอยหลังไปสองก้าวและจ้องมองไปที่หลี่
ในไม่ช้า หันชุ่ยก็ขอให้ทางร้านเตรียมรถม้าด้วยการช่วยเหลือของหันชุ่ย จินเสวี่ยยวนจึงย้ายออกจากห้องและลงไปชั้นล่างอย่างระมัดระวังทีละก้าวๆ หลังจากนั่งบนรถม้าอย่างไม่เต็มใจ จินเสวี่ยยวนก็ดูเหมือนจะจำอะไรบางอย่างได้ และพูดกับหันชุ่ยว่า “เจ้าเอาเงินไป ซื้อโต๊ะในห้องนั้นกับเจ้าของร้านแล้วเอามันไปเผา”ที่โต๊ะนั้นเองที่เจ้าวายร้ายทำสำเร็จ จินเสวี่ยยวนก็ไม่อยากให้ใครใช้โต๊ะนั้นกินข้าวอีกในอนาคตหันชุ่ยรู้สึกว่าองค์หญิงของนางเหมือนถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง และพูดสิ่งที่ไม่น่าเชื่อบางอย่างออกมาแต่คราวนี้นางได้เรียนรู้บทเรียนแล้ว จึงไม่ได้ถามคำถามอีกต่อไป นางเพียงตอบและรีบกลับหลังจากนั้นไม่นาน พนักงานทั้งสองก็ลากโต๊ะลงมาด้วยความยากลำบาก และเผามันต่อหน้าจินเสวี่ยยวน จินเสวี่ยยวนรู้สึกโล่งใจ และให้หันชุ่ยขึ้นรถม้า เพื่อในขณะที่จินเสวี่ยยวนขึ้นรถม้าเพื่อกลับไปที่สถานทูต หลี่เฉินก็มาถึงตำหนักบูรพาแล้วทันใดนั้นซานเป่าก็ปรากฏตัวต่อหน้าเขาราวกับผี“มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?”หลี่เฉินถาม เขารู้ว่าหากไม่มีเรื่องสำคัญ ซานเป่าจะไม่เป็นฝ่ายปรากฏตัวก่อน ซานเป่าเข้ามาใกล้หลี่เฉิน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแ
จางเฮ่อจือลุกขึ้นยืน และตรวจชีพจรของหลี่เฉินด้วยความนอบน้อม หลังจากตรวจสอบอย่างรอบคอบเป็นเวลานาน เขาก็ลุกขึ้นและกล่าวว่า “ทูลองค์รัชทายาท พระวรกายของพระองค์อยู่ในสภาพดี พลังงานและพระโลหิตสมบูรณ์ แข็งแรงและพลามัยดีมาก เพียงแต่ความแข็งแกร่งของชีพจรยังขาดไปเล็กน้อย กระหม่อมขอบังอาจกราบทูลว่า องค์รัชทายาทโปรดใช้ความยับยั้งชั่งใจในเรื่องระหว่างชายและหญิง และให้ร่วมมือกับกระหม่อม ต้มยาบำรุงสองสามอย่างตามใบสั่งยา ซึ่งจะสามารถฟื้นตัวได้ภายในไม่กี่วัน”แม้จะรู้ว่าต่อให้ถูกวางยาพิษจริง แต่หมอหลวงก็อาจจะไม่สามารถค้นพบสิ่งใดได้ ทว่าคำพูดของจางเฮ่อจือก็ทำให้หลี่เฉินรู้สึกโล่งใจอยู่ดี...มันคงจะดีกว่าถ้าเขาไม่พูดอะไรแต่ก็พอจะมองออกว่า จางเหอจือมีความสามารถจริงๆ“ข้าอยากถามเจ้าว่า มีพิษชนิดใดในใต้หล้าที่ทำให้คนไม่รู้ถึงพิษนั้น และตรวจไม่พบด้วยวิธีการใดๆ เลย เมื่อพิษปะทุขึ้นมาก็จะตายในทันที และหลังจากที่ตายไปแล้วก็ยังตรวจไม่พบพิษนั้น?” หลี่เฉินถามจางเฮ่อจือตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “กระหม่อมไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับพิษแปลกๆ เช่นนี้มาก่อน แต่เคยเห็นพิษที่คล้ายกับที่ฝ่าบาทบรรยายไว้ในตำราโบราณ
หลี่เฉินรู้ดีว่าองค์ชายเก้ามีเจ้าธรรมแบบไหนคนที่มีนิสัยสันโดษและขี้ขลาด มักจะกลัวสิ่งต่างๆ มากที่สุด แต่ก็มีแนวโน้มที่จะสร้างความเกลียดชังในหัวใจมากที่สุดเช่นกันยิ่งเขากดดันมากเท่าไร ก็ยิ่งมีแนวโน้มที่สภาพจิตใจจะบิดเบี้ยว และเคียดแค้นริษยาโลกการพบกันไม่กี่ครั้งก่อนหน้านี้ พฤติกรรมขององค์ชายเก้าที่อยู่ตรงหน้าเรียกได้ว่าทนไม่ไหวแต่บทสนทนาตอนนี้ อยู่ในระดับที่แตกต่างกันจริงๆแค่ไม่รู้ว่าเป็นจ้าวชิงหลานหรือจ้าวเสวียนจีที่สอนองค์ชายเก้า“ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าทำงานหนักมาก คงจะดีที่สุดถ้าเจ้าจะบอกข้าว่า เจ้าต้องการพบข้าเรื่องอะไร” หลี่เฉินพูดอย่างใจเย็นองค์ชายเก้าหยิบเอกสารจากอ้อมแขนออกมาด้วยความเคารพ แล้วพูดว่า “โชคดีที่ฝ่าบาททรงให้ความสำคัญ และขอให้ข้าเป็นตัวแทนของราชวงศ์เข้ามาช่วยบรรเทาสาธารณภัย หลังจากน้องชายครุ่นคิดแล้ว ก็มิกล้าที่จะละเลย ดังนั้นข้าจึงเตรียมแผนการบรรเทาภัยพิบัติอย่างละเอียด โปรดดูรายงาน หากมีข้อบกพร่องใดๆ ข้าต้องขอคำแนะนำด้วย”“ส่งมา”หลี่เฉินหยิบเอกสารที่องค์ชายเก้าส่งมา และอ่านอย่างระมัดระวังการเขียนเอกสารนี้มีความซับซ้อน และสามารถบอกได้ทันทีว่า ถูกเขียน
“สมเหตุสมผล!?”หลี่เฉินหัวเราะอย่างโกรธๆ“เจ้าคุ้นเคยกับการกินของดีๆ และสวมเสื้อผ้าดีๆ ถ้าไม่มีข้าวกินแล้วทำไมถึงไม่กินเนื้อล่ะ ข้าถามเจ้า เจ้ายังจำที่มาของประโยคนี้ได้หรือไม่?”องค์ชายเก้าตอบแทบจะทันทีว่า “จำได้ เมื่อหลายร้อยปีก่อน เมื่อจักรพรรดิจิ้นฮุ่ยได้รับรายงานว่ามีการอดอยากในประเทศและประชาชนไม่มีข้าวกิน พระองค์ตรัสถามว่า ถ้าไม่มีข้าวกินแล้วทำไมถึงไม่กินเนื้อล่ะ”“หมายความว่า...คนผู้นี้ไม่รู้จักความทุกข์ทรมานของโลกและขาดความรู้”“นับว่าเจ้าไม่ได้เรียนอย่างไร้ประโยชน์”หลี่เฉินตะคอกและพูดว่า “เนื่องจากกระท่อมที่สร้างขึ้นสำหรับผู้ประสบภัย เป็นเพียงกระท่อมธรรมดาสำหรับที่พักพิงจากความหนาวเย็น ไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับวัสดุและฝีมือการผลิต ตราบใดที่สามารถป้องกันลมและฝนได้ราคาเท่าไหร่?”“เจ้าบอกว่าราคาอาหารพุ่งสูงขึ้นซึ่งก็ใช่ แต่แม้ว่าเจ้าจะรวมค่าใช้จ่ายนี้ไว้ มันก็จะไม่มากถึง 600,000 ตำลึง”พูดจบ หลี่เฉินก็หยิบพู่กันแก้ตัวเลขบนเอกสารเป็นหนึ่งแสนตำลึง ก่อนจะส่งคืนให้กับองค์ชายเก้า“ผู้ประสบภัยสามารถทำงานของตัวเองในการขนส่งอาหารและสร้างเพิงได้ ด้วยวิธีนี้ คนงานก็จะสามารถประหยัดเงิน
สิบไม้กระดาน จะตีครบหรือไม่มันไม่สำคัญเพราะท้ายที่สุดแล้ว มันก็ไม่สามารถตีองค์ชายเก้าจนตายได้แต่การตัดสินใจจะตีหรือไม่นั้น มันเป็นสิ่งที่ตัวของเขาเองเป็นคนตัดสินใจซึ่งใครก็ตามที่แทรกแซงการตัดสินใจนี้ ก็จะส่งผลกระทบโดยตรงต่ออำนาจของเขาเหตุใดคำพูดขององค์จักรพรรดิจึงถือว่าเป็นประกาศิต เพราะเมื่อพูดออกไปแล้วก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ และไม่มีใครสามารถขัดขืนได้ แม้แต่องค์จักรพรรดิก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงคำสั่งได้ เพื่อคงไว้ซึ่งความสง่างามของจักรพรรดิการสร้างอำนาจเป็นเรื่องยาก แต่ใช้เวลาทำลายแค่ครั้งเดียวหากครั้งนี้ไม่ตีครบสิบที แล้วคนในวังจะมองเช่นไร ฮองเฮาสามารถรักษาหน้าตัวเองได้อย่างมั่นคง แต่ตัวเขาที่เป็นองค์รัชทายาท ไม่อาจไร้ประโยชน์เหมือนเมื่อก่อนได้หลี่เฉินจะไม่ยอมให้อำนาจที่เขาทำงานมาอย่างหนัก ถูกทำลายอย่างง่ายดายดังนั้นเมื่อหลี่เฉินออกจากตำหนักบูรพาและไล่ตามด้วยตัวเอง เรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เฉินทงตระหนักดีว่าเขาได้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่ เขาตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้นโดยไม่กล้าแม้แต่จะบ่น แล้วเดินตามหลังหลี่เฉินไปตามถนนเล็กๆ องค์ชายเก้าเพิ่ง
ขบวนเสด็จของฮองเฮา หน้าหลังมีทหารองค์รักษ์อาวุธครบมือ 28 นาย โดย 28 นายนี้ต่างแยกกันเดินคุ้มกันทั้งด้านหน้าและด้านหลังของขบวนเสด็จ หากมีการปะทะกัน ไม่ว่าจะเป็นขุนนางผู้สูงศักดิ์ไปจนถึงพ่อค้าผู้ต่ำต้อย ก็สามารถฆ่าก่อนแล้วค่อยรายงานทีหลังได้ในกลุ่มทหารองค์รักษ์อาวุธครบมือนั้น มีขันทีสิบหกคนถือไม้เท้า กระบอง ขวานทองคำ และอุปกรณ์เต็มพิธีล้อมรอบเกี้ยวหงส์ ใกล้ๆ กับเกี้ยวหงส์นั้นมีนางกำนัลแปดนาง ถือพัดทรงกลม ร่มทรงกลมปักสีแดง ร่มทรงกลมปักสีเขียว โคมไฟสีแดง และอื่นๆ อยู่ข้างๆความสง่างามและความหรูหราของเกี้ยวหงส์นั้น เหมือนกับตำหนักน้อยๆ ที่เคลื่อนที่ได้ โดยตัวเกี้ยวทำมาจากทองคำทั้งหมด ฮองเฮาประทับอยู่ในนั้น สวมมงกุฎหงส์สี่ตัว ติดปิ่นมุกฟีนิกซ์สี่อันข้างขมับ และสวมเสื้อคลุมหงส์หนึ่งร้อยตัว เสื้อผ้าสีแดงสด ซึ่งเป็นชุดพิธีการที่ทอลายทองปักลายหงส์“ฮองเฮาทรงพระเจริญพันปี พันๆ ปีๆ”นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่เฉินได้เห็นฮองเฮาแห่งราชวงศ์ฉินสวมชุดพิธีการ และเตรียมขบวนเสด็จฮองเฮาอย่างเต็มพิธี ในใจก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา ทว่าดวงตากลับร้อนผ่าวดุจไฟเพียงแต่ตอนนี้ ไม่ใช่เขาที่เป็นฝ่ายผิดพลาด“ลูกถว
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา ทุกคนต่างตื่นตะลึงไม่มีใครคิดว่าองค์รัชทายาทจะพูดตรงไปตรงมาเช่นนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งประโยคดังกล่าวทั้งเรียบง่ายและแฝงไปด้วยจิตสังหาร จนทำให้ทุกคนสัมผัสได้ง่ายๆ ว่านี่ไม่ใช่การล้อเล่นหรือแค่ข่มขู่แต่อย่างใด แต่เป็นความตั้งใจอย่างแท้จริงความแข็งกร้าวของหลี่เฉิน ทำให้จ้าวชิงหลานรับมือไม่ทันนางคาดหวังว่าหลี่เฉินจะอธิบาย หรือคิดว่าหลี่เฉินจะตอบปฏิเสธ แต่ไม่เคยคิดเลยว่า หลี่เฉินไม่เพียงแต่ยอมรับอย่างเต็มปากเต็มคำ แต่ยังพูดสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นออกมาด้วยจ้าวชิงหลานลุกจากเกี้ยวหงส์ กล่าวอย่างโมโหว่า “องค์รัชทายาท! เจ้าพูดอันใดออกมา!?”“เจ้าอยากจะบั่นคอองค์ชายเก้า!?”“เจ้าคิดทำเรื่องผิดมหันต์เช่นนี้ ไม่กลัวว่าข้าจะสั่งกักบริเวณเจ้า รอจนกว่าเสด็จพ่อของเจ้าจะฟื้นขึ้นมา แล้วกราบทูลเสด็จพ่อของเจ้า เพื่อริบอำนาจผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของเจ้ากลับคืนมาหรือ!?”หลี่เฉินหัวเราะอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “หากเรื่องนี้สามารถทำได้ พวกท่านคงทำไปตั้งนานแล้ว พวกท่านเองก็รู้ดี ไม่ใช่ว่าพวกท่านไม่เคยคิด แต่มันทำไม่ได้ต่างหาก ดังนั้นจะยกเรื่องนี้มาข่มขู่ข้าทำไม?”จากนั
“นี่มันเรื่องอะไร?”ซูจิ่นพ่ากดดันต่อทันที “หากเจ้ามีเหตุผล ก็กล่าวมาเถิด ให้คนทั้งใต้หล้าได้ยินให้ชัดว่า องค์รัชทายาทนั้น ‘โง่งม’ อย่างไร?”เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เสียงของซูจิ่นพ่าพลันเย็นเยียบลง “หากเจ้าพูดออกมาไม่ได้ เช่นนั้นก็คือการใส่ร้าย ใส่ร้ายองค์รัชทายาทผู้ครองแผ่นดิน ถือเป็นอาชญากรรม ต้องประหาร!”คำว่า “ต้องประหาร” สิ้นสุดลงในวินาทีใด อำนาจและบารมีอันยิ่งใหญ่ก็ปกคลุมรอบทิศจนขุนนางผู้นั้นถึงกับทรุดตัวนั่งตูมลงกลางพื้นซึ่งชุ่มไปด้วยน้ำฝนเขาถึงกับหวาดกลัวจนหมดสติเมื่อร่างล้มลง มือทั้งสองย่อมต้องยันพื้นไว้โดยสัญชาตญาณ ทว่าเมื่อฝ่ามือเขายื่นออกไป กลับสัมผัสกับพื้นของทางเสด็จในพระราชวัง หน้าพระที่นั่งไท่เหอ มีทางเดินอยู่สามสายสายหนึ่งคือ “ทางสามัญ” สำหรับขุนนางเดินใช้สายหนึ่งคือ “ทางอ๋อง” สำหรับเจ้านาย ราชนิกูลและเชื้อพระวงศ์และอีกสายคือ “ทางจักรพรรดิ” หรือเรียกว่า “ทางเสด็จ” เป็นทางที่มีเพียงฮ่องเต้และองค์รัชทายาทเท่านั้นที่สามารถเดินผ่านได้ตามกฎหมาย แบ่งทางเดินแต่ละสายตามสถานะผู้เดินอย่างเคร่งครัด หากผู้ต่ำศักดิ์ละเมิด ย่อมถือว่าเป็นการล่วงละเมิดเบื้องสูง มีโทษฐานก
เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นโดยไร้สัญญาณเตือน ทำให้ทุกคนในที่นั้นแลเห็นใบหน้าของหลี่เฉินอย่างชัดเจน ภายใต้สายฝนที่เทกระหน่ำและหลี่เฉินเองก็สามารถมองเห็นสีหน้าของเหล่าขุนนางได้ถนัดตาในสีหน้าพวกเหล่าขุนนาง บ้างจริงจัง บ้างเงียบงัน บ้างหวาดหวั่น ทว่ามากที่สุด...คือความเย็นชาไร้ซึ่งอารมณ์พวกเขาราวกับแน่ใจว่า คืนนี้องค์รัชทายาทจะต้องถูกบีบให้สละตำแหน่งอย่างแน่นอนเสียงตะโกนขอให้องค์รัชทายาทสละราชบัลลังก์ดังระงม ประหนึ่งคลื่นมหึมาที่ถาโถมกดทับอยู่บนร่างของหลี่เฉินซูจิ่นพ่าหันไปมองด้านข้างของหลี่เฉิน ใบหน้าของเขาเรียบเฉยไร้อารมณ์ แต่ด้วยความใกล้ชิด นางรู้ดีว่าร่างกายของบุรุษข้างกายกำลังสั่นไหวเล็กน้อยนั่นมิใช่ความหวาดกลัว แต่เป็นความโกรธในห้วงเวลานี้ ซูจิ่นพ่ารู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่านจุกแน่นอยู่ในลำคอ ไม่อาจกลืนกลับไปได้อีกนางจำต้องกล่าวบางสิ่งออกมา“หยาบช้า!”เสียงตำหนิของซูจิ่นพ่าดังใสชัดเจน ในค่ำคืนอันเปียกชื้นอึมครึมนั้น เสียงของนางมิได้ละมุนดังเช่นทุกครั้ง ทว่าหนักแน่นเด็ดเดี่ยวอย่างน่าครั่นคร้ามดั่งเสียงขานแรกของนกฟีนิกซ์วัยเยาว์ แม้ยังไม่เติบโตเต็มที่ แต่ก็เผยแววสง่างามของสตรีผ
สายฝนเทกระหน่ำ ในห้วงฟ้าดินนั้น นอกจากเสียงเม็ดฝนกระทบพื้นอันอึกทึกแล้ว กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาอีกเลยทันใดนั้น เสียงขานราชาศัพท์กังวานลั่นไปทั่วสะพานจินสุ่ย“ฮองเฮาเสด็จ!”“องค์รัชทายาทเสด็จ!”“พระชายาองค์รัชทายาทเสด็จ!”เสียงขานรับเสด็จทั้งสามดังขึ้นติดกัน ทำให้เหล่าขุนนางหลายสิบคนเริ่มเคลื่อนไหวเล็กน้อย ทว่าจางปี้อู่ซึ่งยืนอยู่แถวหน้าสุดกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นว่า “สงบปากสงบคำ”เพียงคำเดียว ทุกคนก็เงียบลงทันทีในเวลาไม่นาน ร่างสองร่างก็ปรากฏตัวเคียงข้างกันที่หน้าสะพานจินสุ่ยชุดแต่งงานสีแดงฉาน ภายใต้ม่านฝนและรัตติกาล กลับยิ่งสะดุดตาพร้อมกับการปรากฏตัวของพวกเขา คือเสียงฝีเท้าของเหล่าองครักษ์ที่เรียงรายอย่างเป็นระเบียบองครักษ์อวี่หลินเดินเข้าสู่ลานพิธีพวกเขากระจายตัวรายล้อมกำแพงแดงโดยรอบลานสะพานจินสุ่ย จนล้อมพื้นที่โดยรอบไว้ทั้งหมดเหล่าขุนนางเพียงแต่ยืนมองนิ่งๆ ไม่มีใครขัดขืน ไม่มีผู้ใดกล่าวคำหนึ่งคำราวกับรู้ดีว่า...ทหารเหล่านี้ ไร้ความหมายซานเป่าอยากจะกางร่มให้หลี่เฉินกับซูจิ่นพ่า ทว่าหลี่เฉินโบกมือ แล้วหยิบร่มไปกางเหนือศีรษะของซูจิ่นพ่า ส่วนตนกลับปล่อยให้ร่า
“ข้าเข้าใจแล้ว…เข้าใจหมดทุกอย่างแล้ว”หลี่อิ๋นหู่ระเบิดเสียงหัวเราะลั่น“ไม่แปลกใจเลย ไม่ว่าอย่างไร ข้าทำสิ่งใด เจ้าก็ล่วงรู้หมด ที่แท้เป็นเช่นนี้! เป็นเช่นนี้เอง!”หลี่เฉินมองหลี่อิ๋นหู่ที่หัวเราะจนหอบหายใจแทบไม่ทัน สีหน้าไร้อารมณ์เขาหันหลัง เดินตรงเข้าไปในศาลบูรพกษัตริย์ซานเป่ากลับไม่ได้หันตาม แต่เดินตรงไปทางหลี่อิ๋นหู่ด้านหลังหลี่เฉิน เสียงหัวเราะของหลี่อิ๋นหู่ยังไม่จางหาย เขาหัวเราะพลางตะโกนลั่น “หลี่เฉิน เจ้าอย่าได้ลำพองใจ เจ้ารู้หรือไม่ว่าจ้าวเสวียนจีร้ายกาจเพียงใด! เจ้ารู้หรือไม่ว่าแผ่นดินนี้มีคนอีกมากมายที่ปรารถนาให้เจ้าตาย! ข้าเป็นแค่หุ่นเชิดก็จริง แต่ข้าก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้น!”“หากเจ้าฆ่าข้า คนพวกนั้นจะไม่อาจอยู่นิ่งได้ อาณาจักรที่เจ้าครอง จะไม่มีวันมั่นคงแน่นอน!”ฝีเท้าหลี่เฉินไม่หยุด ยังคงเดินไปข้างหน้า คำพูดของหลี่อิ๋นหู่ไม่มีผลใดๆ กับเขาเลยในเวลาเดียวกัน เสียงตวาดกร้าวของโจวสิงเจี่ยก็ดังขึ้น“เจ้าจะทำอะไร!”ไม่มีผู้ใดตอบต่อมาคือเสียงฟึ่บ! ของคลื่นลมที่ระเบิดออก ตามด้วยเสียงกรีดร้องอันน่าสยดสยองของโจวสิงเจี่ยถัดจากนั้น เสียงหัวเราะของหลี่อิ๋นหู่ก็เงียบห
หลี่อิ๋นหู่รู้ดีว่าหลี่เฉินจะต้องฆ่าตนทว่าเมื่อความตายมาปรากฏอยู่ตรงหน้าอย่างแท้จริง เขากลับหวาดกลัวขึ้นมาม่านตาหดแน่น ลำคอหลี่อิ๋นหู่แห้งผากจนลิ้นแทบขยับไม่ไหว“จ้าวเสวียนจีบางทีอาจกำลังรอให้เจ้าฆ่าข้าก็เป็นได้!” หลี่อิ๋นหู่พลันเอ่ยขึ้นมา“ไม่ผิด”หลี่เฉินยืนยันคำพูดของหลี่อิ๋นหู่อีกครั้ง“ความผิดของเจ้า คือเข่นฆ่าพี่น้องร่วมสายเลือด หากข้าฆ่าเจ้า เช่นนั้นข้าก็จะมีความผิดเดียวกับเจ้าอย่างเต็มประตู”“จ้าวเสวียนจีจะใช้ข้อหานี้ ประกาศไปทั่วแคว้น ทำให้ข้าเสื่อมเสียชื่อเสียง”หลี่อิ๋นหู่ราวกับคว้าได้หนึ่งในเส้นเชือกแห่งความหวัง จึงรีบกล่าวด้วยความร้อนรนว่า “เพราะฉะนั้นเจ้าก็ยิ่งห้ามหลงกลเขา!”“ข้าไม่กลัว”หลี่เฉินยิ้มอย่างอ่อนโยน “หลุมที่เจ้าก้าวลงไปแล้วต้องตาย ข้าเดินผ่านไป กลับสามารถถมให้ราบได้”สีหน้าหลี่อิ๋นหู่ชะงักนิ่งเขารู้สึกได้ว่าเส้นเชือกแห่งความหวังนั้น ค่อยๆ เลือนหายไป“อย่าฆ่าข้า!”หลี่อิ๋นหู่พลันทรุดตัวคุกเข่าลง สองเข่าติดพื้น ค่อยๆ คลานเข้าไปหาเขาหลี่เฉินไม่ได้พูดอะไร ไม่แม้แต่จะหลบหลีกปล่อยให้อีกฝ่ายคลานเข้ามาใกล้ พอเขาเอื้อมมือจะกอดขาหลี่เฉิน หลี่เฉินจึ
การระเบิดของระเบิดเทพต้าฉินทั้งสี่ระลอก ทำให้ผู้คนล้มตายไปหลายพันคน ทำลายขวัญกำลังใจของทัพกบฏจนราบคาบ ยังผลให้หลี่อิ๋นหู่ตื่นจากความฝันอันแสนหวานควันดินปืนยังลอยฟุ้งอยู่ทั่ว เปลวเพลิงที่ระเบิดทิ้งไว้ยังคงลุกไหม้ ธงรบที่ขาดวิ่นไหวระริกในสายลมยามโพล้เพล้ เสียงเปลวไฟแตกดังเปรี๊ยะๆ กับเสียงคร่ำครวญของบาดเจ็บที่ยังไม่สิ้นลมหายใจ ดังอยู่ไม่ขาดสายหลี่เฉินออกคำสั่ง ให้ทหารที่ยังมีแรงเหลือออกไปกวาดล้างสนามรบ“ฝ่าบาท พวกกบฏที่ยังรอดชีวิตอยู่ จะทรงให้ประหารหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”ซานเป่าใช้ความเคยชินในฐานะจางกงแห่งตงฉ่าง เห็นว่าศัตรูก็ต้องฆ่าให้สิ้นซาก จึงเอ่ยถาม“หากผู้ใดพอมีหวังรอดชีวิต ก็ให้รักษาไว้”หลี่เฉินปรายตามองซานเป่า เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พวกเขาเลือกจุดยืนทางการเมืองไม่ได้ เรื่องนั้นเป็นของผู้ใหญ่ข้างบน ทหารเหล่านี้ ก็แค่สู้เพื่อค่าจ้างหนึ่งมื้อเท่านั้น ตั้งแต่ตำแหน่งแม่ทัพร้อยคนขึ้นไป ฆ่าให้หมด”การตัดสินใจที่ใหญ่ปล่อยเล็กเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และความใจกว้างของผู้เป็นกษัตริย์ซานเป่าค้อมกายรับคำ “ฝ่าบาททรงเปี่ยมด้วยเมตตา บ่าวขอรับพระโอวาทไว้”เมื่อซานเป่านำรับสั่งไ
มนุษย์ ย่อมหวาดกลัวต่อภัยอันไม่อาจหยั่งรู้ได้นี่คือสันดานดิบของมนุษย์ เป็นสัญชาตญาณที่เปลี่ยนแปลงมิได้ก่อนหน้านี้ เว้นแต่บุคคลส่วนน้อยอย่างหลี่เฉิน ก็แทบไม่มีผู้ใดเคยเห็นระเบิดเทพต้าฉินมาก่อนเลยเพราะฉะนั้น เมื่อมันแสดงโฉมหน้าดุร้ายในฐานะอาวุธสงครามออกมาเป็นครั้งแรกต่อหน้าฝูงชน ทุกผู้คน รวมทั้งทหารองครักษ์ที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่ร้อยนาย ต่างก็พากันตื่นตะลึงจนตาแตกเสียงระเบิดที่ดังกึกก้อง อานุภาพของมันรุนแรงจนชวนให้ผู้คนคิดว่าหรือจะเป็นเทพพิโรธที่ฟ้าดินบันดาลลงมาแม้แต่หลี่เฉินเอง ก็เพิ่งเคยเห็นผลของระเบิดเทพต้าฉินในสนามรบจริงเป็นครั้งแรกเช่นกันเขารู้สึกพึงใจอย่างยิ่งต่ออานุภาพของระเบิดเทพต้าฉิน ทว่าในใจกลับเจ็บราวกับมีเลือดซึมออกมาเหตุใดน่ะหรือ ก็เพราะทุกเสียงระเบิดนั้น ล้วนแปลเป็นเงินทั้งสิ้นตามต้นทุนในปัจจุบัน ระเบิดระเบิดเทพต้าฉินหนึ่งลูกมีค่าใช้จ่ายราวสองร้อยตำลึงเงินแท้จริงแล้ว ปืนใหญ่หนึ่งนัดเท่ากับทองคำหมื่นตำลึงยิ่งไปกว่านั้น คนที่สามารถสร้างมันได้ ในต้าฉินเวลานี้ก็มีเพียงซ่งอิงซิงคนเดียวเท่านั้น แม้เขาจะพยายามฝึกฝนผู้อื่นอยู่ แต่ของสิ่งนี้กลับต้องใช้พรสวรรค์ อ
มือปืนทั้งสามแถวพอยิงพร้อมกันเสร็จสิ้นรอบหนึ่ง ก็รีบควานเอาสิ่งของกลมดำสนิทสิ่งหนึ่งออกมาจากถุงผ้าที่คล้องอยู่ข้างกายเจ้าสิ่งนั้นดูแล้วไร้ค่าเสียยิ่งกว่าท่อนไม้ในมือของพวกเขา เป็นของที่ต่อให้ถูกโยนทิ้งไว้ข้างทางก็ไม่มีผู้ใดเหลียวแลแต่เมื่อมีตัวอย่างของท่อนไม้ที่กลับกลายเป็นปืนปรากฏอยู่ก่อนหน้าแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลนของสิ่งนี้“นั่นคือสิ่งใดกัน?”หลี่อิ๋นหู่ขมวดคิ้วแน่น ความรู้สึกไม่สู้ดีถาโถมเข้ามาในใจทันทีก่อนหน้านี้ที่เห็นปืนดินปืน แม้จะทำให้เขาตื่นตระหนกอยู่บ้าง แต่ยังไม่ถึงขั้นเสียขวัญก่อนอื่น ปืนดินปืนนั้นมิใช่ของแปลกใหม่เสียทีเดียว จักรวรรดิต้าฉินในอดีตก็เคยคิดค้นของเช่นนี้ขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ทุกคนต่างรู้ว่ามันเล็งได้ไม่แม่น แถมยังต้องเสียเวลายัดดินปืนใส่เข้าไป จึงมิได้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายหรือพัฒนาอย่างจริงจัง ผู้คนล้วนเห็นว่าอย่างไรก็ยังสู้ฝึกมือธนูที่มีกำลังแขนมากหน่อยไม่ได้และการที่หลี่เฉินนำปืนดินปืนกลับมาพัฒนาใหม่นั้นก็หาใช่ความลับไม่ ขุนนางมากมายต่างตำหนิเจ้าชายรัชทายาทว่าเอาแต่เล่นจนเสียงาน ริหลงใหลในกลไกแปลกประหลาดซึ่งถือเป็นศาสตร์นอกลู่นอกทางหลี่อิ๋นห
“ฝ่าบาท พะย่ะค่ะ เราคงรักษาแนวไว้ไม่อยู่แล้ว” ซานเป่ามองสถานการณ์ที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ จึงกล่าวกับหลี่เฉินว่า “ไม่สู้พวกเรากลับเข้าไปในศาลบูรพกษัตริย์ แล้วค่อยหาทางใหม่ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” “ไม่เป็นไร”หลี่เฉินโบกมือเบาๆ เอ่ยว่า “ให้คนที่เหลือถอยกลับมาเถิด” “แต่ว่า…” หลี่เฉินเหลือบตามองซานเป่าหนึ่งแวบ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “เมื่อใดกันที่เจ้ากลายเป็นผู้ตัดสินใจแทนข้า?” ซานเป่าหน้าตึงไปทันใด รีบก้มตัวยอมรับคำสั่งโดยไม่กล้าเถียงแม้แต่น้อย การรบในสนามยังคงดุเดือดโลหิต เมื่อความแตกต่างด้านจำนวนเพิ่มขึ้นตามอัตราผู้บาดเจ็บและล้มตาย เมื่อกำลังของทั้งสองฝ่ายใกล้ถึงขีดสุด สถานการณ์ก็เปลี่ยนเป็นการสังหารฝ่ายเดียว ขณะนั้นเอง คำสั่งถอยทัพก็ส่งต่อไปยังทุกหน่วย เหล่าทหารต่างรีบหดแนวรับอย่างเป็นระเบียบแม้เป็นการถอย แต่พวกเขายังคงปักหลักรักษาหน้าที่ ไม่มีผู้ใดหลบหนี ไม่แม้แต่จะแตกกระเจิง ทหารรักษาการณ์ที่เคยมีอยู่หลายพันนาย บัดนี้เหลือเพียงไม่กี่ร้อย ทั้งยังล้วนแต่มีบาดแผลติดตัว ดวงตาหลี่เฉินเปล่งประกาย เขาหันไปกล่าวกับซานเป่าข้างกายว่า “ศึกนี้ จงจดชื่อของเหล่าทหารที่เข้าร่วมไว้ทั้งห