เรื่องที่น่าสลดที่สุดในชีวิตคือการที่คนหัวขาวส่งคนหัวดำ ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลหูหลานเซิ่งประกอบด้วยสามชั่วอายุคน ยามนี้อายุเกินสี่สิบแล้ว จะให้กำเนิดบุตรอีกคนคงสายเกินไปเสียแล้วเท่ากับว่าไม่มีทายาทสืบสกุลค่ำคืนนี้ หูหลานเซิ่งมาหาเถิงไหว ขอร้องเถิงไหวอี้ให้หาวิธีเอาศพบุตรชายของเขาออกจากหอเถิงหวัง เพื่อนำกลับมาประกอบพิธี แต่สำหรับเรื่องใหญ่เช่นนี้ องค์รัชทายาทสั่งการด้วยพระองค์เอง เถิงไหวอี้จึงบ่นพึมพำ ในช่วงหัวเลี้ยวหัวนี้ ซานเป่าพร้อมกับองครักษ์ผ้าแพรเดินทางมาถึง ก่อนที่เถิงไหวอี้จะเอ่ยปาก หูหลานเซิ่งที่โดนความโกรธแค้นครอบงำก็กระโจนเข้าใส่ทันที จากนั้น...เขาถูกองครักษ์ผ้าแพรใช้มีดกดลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว “ซานเป่า ไอ้สุนัขถูกตอน! ความแค้นที่ฆ่าบุตร ย่อมอยู่ร่วมใต้ฟ้าเดียวกันมิได้ ข้าจะฆ่าเจ้าพันมีดหมื่นแล่!!!” หูหลานเซิ่งที่ถูกกดอยู่กับพื้นยังคงตะโกนและสาปแช่งอย่างบ้าคลั่ง ซานเป่ายิ้มอย่างอ่อนโยนและเดินไปหาหูหลานเซิ่งอย่างเชื่องช้า แล้วยกขาเหยียบหน้าหูหลานอย่างแรงโดยไม่ให้รู้ตัว การเหยียบหน้าครั้งนี้ หูหลานเฉิงส่งเสียงกรีดร้อง เลือดและฟันพุ่งออกมา ช่างน่าสังเวชอย่างยิ่
ภายใต้การไล่ล่าตามรายชื่อขององครักษ์ผ้าแพร ขุนนางเมืองหลวงรู้สึกเหมือนชีวิตของขุนนางไร้ค่า เพราะองครักษ์ผ้าแพรอำมหิตเหลือเกิน เพียงตอบรับไม่ตรงใจ จะโดนทุบตีทันที หากโชคดีหน่อยก็แค่โดนคนเดียว โชคไม่ดีก็โดนรุมทั้งตระกูล ในช่วงแรกยังมีขุนนางบางคนที่ดื้อรั้น ปากตะโกนว่าจะยืนหยัดร่วมชะตากรรมกับขุนนางอื่นที่ร่วมต่อต้านความเผด็จการขององค์รัชทายาท ทว่าหลังจากโดนทุบตี ถึงตระหนักได้ว่าองครักษ์ผ้าแพรกล้าสังหารคนจริงๆ จึงดูเชื่อฟังขึ้นมา หลังจากมีข่าวลือหลายหระแสออกจากจวนของมหาอำมาตย์หวังเถิงฮ่วน เหล่าขุนนางระดับสูงก็เงียบเสียงลง ค่ำคืนแรกของหิมะตกหนักทั่วเมืองหลวง เริ่มต้นด้วยเสียงเอะอะโวยวาย และจบลงอย่างเงียบงัน ค่ำคืนอันเงียบสงัด ทุกคนต่างรอคอยเช้าวันใหม่อย่างเงียบ ๆ ไม่รู้ว่าค่ำคืนนี้มีคนไม่ได้นอนและนอนไม่หลับกี่คน พวกเขาอดนอนท่ามกลางหิมะถึงยามอิ่น รีบลุกขึ้นสวมชุดราชสำนัก แล้วออกจากจวนของตนภายใต้การจับจ้องขององครักษ์ผ้าแพรโดยไม่พูดไม่จา และรวมตัวมุ่งหน้าสู่พระราชวัง ด้านนอกประตูอู่ของพระราชวัง ขุนนางพลเรือนและทหารหลายร้อยคนรวมตัวกัน จัดเรียงแถวตามลำดับ และยืนรออย่างเงียบ ๆ ในค่
บนบัลลังก์ทองคำตรงกลางสุด เก้าอี้มังกรอันเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจสูงสุดเหนือแผ่นดินตั้งวางเด่นเป็นสง่า หลี่เฉินเดินขึ้นไปบนบัลลังก์ทองคำและมาถึงเก้าอี้มังกร เขายกมือวางบนเก้าอี้มังกร เพียงการกระทำนี้ หัวใจของขุนนางราชสำนักเต้นรัวจนแทบออกจากอก จ้าวเสวียนจีหรี่ตาลง จิตสังหารพุ่งทะยาน ซูเจิ้นถิงขมวดคิ้ว ค่อยข้างดูกังวลเก้าอี้มังกรทองคำบนแท่นสูงในท้องพระโรง มีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่นั่งได้ ใต้หล้านี้ นอกจาฮ่องเต้ ไม่ว่าองค์รัชทายาท องค์หญิง หรือไทเฮาผู้มีสถานะสูงศักดิ์เพียงใด หากกล้าแตะต้อง ล้วนต้องตายไม่มีข้อละเว้นนี่คือกฎมนุษย์บรรพบุรุษ และเป็นหลักธรรมอันยิ่งใหญ่ไม่มีใครรู้ว่าหลี่เฉินเข้าใกล้บัลลังก์ด้วยความโลภ หรือเพียงต้องการสัมผัสรสชาติของอำนาจนั่งทั่วหล้า นั่งทั่วหล้า ก็คือนั่งลงบนบัลลังก์มังกร ชายใดไม่อยากบ้างทว่าขอเพียงหลี่เฉินนั่งลง แม้แต่ฮ่องเต้ต้าสิงลุกขึ้นจากเตียงในเวลานี้ ก็ช่วยหลี่เฉินจากความผิดมหันต์นี้ไม่ได้ ทุกคนจ้องมองหลี่เฉิน ไม่ยอมพลาดสักกิริยาบท บางคนตั้งตารอ บางคนกังวล ใจคนซับซ้อนและร้อนรน และแสดงออกมาอย่างสุดขีดในความเงียบงันนี้ทว่าหลี่เฉินมิใช่คนโ
ประเด็นแรกที่องค์รัชทายาทเปิดประชุมราชการเช้า คือการผลักดันซูเจิ้นถิงขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญเนื่องจากพัวพันคดีกบฏในอดีต ซูเจิ้นถิงจึงถูกฮ่องเต้ถอดถอนจากตำแหน่ง แม้จะยังคงมียศเป็นขุนนางสืบทอดตำแหน่งแม่ทัพใหญ่และราชาแห่งผู้ชนะ แต่ล้วนเป็นเพียงตำแหน่งลวงโดยปราศจากอำนาจใดๆยามนี้หลี่เฉินต้องการกำลังคนอย่างเร่งด่วน ยิ่งไปกว่านั้น ซูเจิ้นถิงยังเป็นแม่ทัพที่ทรงอิทธิพลและได้รับการยกย่องอย่างยิ่งในกองทัพ เขาจึงมิอาจไม่เรียกใช้คนเช่นนี้ได้ทว่าข้อเสนอนี้ย่อมก่อให้เกิดเสียงคัดค้านอย่างรุนแรงจากกลุ่มขุนนางฝ่ายพลเรือน“องค์รัชทายาท กระหม่อมขอคัดค้าน”หูเสี่ยนพีรองเสนาบดีกรมยุทธการออกมาคัดค้านเดิมทีเขาคือผู้ที่มีโอกาสสูงสุดที่จะรับตำแหน่งต่อจากเถิงไหวอี้ที่ถูกถอดถอน เพราะด้วยบารมีของซูเจิ้นถิงแล้ว หูเสี่ยนพีคงไม่มีวันได้ขึ้นเป็นเสนาบดีกรมยุทธการแน่นอน“ท่านแม่ทัพซูเป็นขุนนางสายพระญาติ ยศศักดิ์สูงส่งเกินกว่าตำแหน่งเสนาบดีกรมยุทธการที่เป็นเพียงขุนนางขั้นสอง หากเป็นเช่นนี้ มิใช่ขัดต่อระเบียบราชสำนักหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ ขอองค์รัชทายาทได้โปรดไตร่ตรองอีกครั้งด้วย”หูเสี่ยนพีเป็นคนฉลาด เขาเข้าใจดีว่าซูเ
จักรวรรดิต้าฉินมีความคล้ายคลึงกับยุคก่อนที่หลี่เฉินจะทะลุมิติมาทั่วทั้งแคว้นแบ่งออกเป็นสิบสามเมือง แต่ละเมืองมีขุนนางสูงสุดเรียกว่าปลัด และการปกครองกับการทหารจะแยกออกจากกัน ทหารชั้นสูงสุดเรียกว่าผู้บัญชาการของกรมบัญชาการนอกเหนือจากสิบสามเมืองแล้ว ยังมีเขตปกครองนครบาลอย่างจื๋อลี่ใต้และเมืองหลวง ไม่มีผู้บัญชาการ แต่มีหน่วยบัญชาการทหารสูงสุดและองครักษ์อวี่หลินที่ขึ้นตรงต่อฮ่องเต้องครักษ์อวี่หลินมีทหารจำนวนสามหมื่นนาย หน่วยบัญชาการทหารสูงสุดปกครองกองซ้าย ขวา หน้า หลัง และกลาง รวมห้ากองทัพ โดยแต่ละกองมีทหารจำนวนหกหมื่นนาย ทำหน้าที่ปกป้องเมืองหลวงหน่วยบัญชาการทหารสูงสุดในนามแล้ว มีหน้าที่รับผิดชอบด้านการทหารทั่วหล้า เป็นหน่วยทางการทหารที่สูงที่สุดของจักรวรรดิต้าฉินทว่านับตั้งแต่การสถาปนาจักรวรรดิขึ้นมา เพื่อป้องกันการรวมศูนย์อำนาจทางทหารมากเกินไป ฮ่องเต้ทุกยุคสมัยจึงลดทอนอำนาจของหน่วยบัญชาการทหารสูงสุดมาโดยตลอด เหลือไว้เป็นเพียงสัญลักษณ์เท่านั้น จวบจนบัดนี้ หน่วยบัญชาการทหารสูงสุดได้เปรียบเสมือนสัตว์มงคลของหน่วยราชการ ฉะนั้น คำสั่งของหลี่เฉินที่ให้รวมพลทหารทั่งหล้า ก็เพื่อการนี
การต่อสู้ทางการเมือง ส่วนที่สำคัญที่สุดคือการแสดงละครหลี่เฉินโยนก้อนอิฐล่อหยก ใช้ตำแหน่งเสนาบดีกรมยุทธการล่อสหายผู้โง่เขลาอย่างหูเสี่ยนพีติดกับ และยังมีหูหวังเถิงฮ่วนคอยสนับสนุนอีกด้วย ขณะที่สวมบทบาทตัวละครอย่างแนบเนียน หลี่เฉินใช้ไพ่ของหน่วยบัญชาการทหารสูงสุดโจมตีกลุ่มพลเรือนจนตั้งตัวไม่ทัน รวมกับความช่วยเหลืออันน่าทึ่งของหูเสี่ยนพี ยามนี้ซูเจิ้งถิงได้เปรียบกว่า กลุ่มขุนศึกต่างสามัคคีกัน เป้าหมายของหลี่เฉินก็บรรลุไปเกินครึ่งแล้ว การเมืองเป็นเพียงการเล่นกับใจคนหูเสี่ยนพีที่ตกหลุมพลางยังไม่รู้ตัวว่ากำลังตกอยู่ในอันตราย เขารู้สึกเพียงว่าหายนะร้ายแรงกำลังจะมาถึง จึงล้มนั่งลงกับพื้น ใบหน้าซีดเผือดด้วยความตื่นตระหนก อ้อนวอนขอความเมตตาจากหลี่เฉิน "องค์รัชทายาทโปรดทรงเมตตาด้วย กระหม่อมมิได้หมายความเช่นนั้น” หลี่เฉินเหลือบมองหูเสี่ยนพีพลางเอ่ยเสียงราบเรียบ “รองเสนาบดีกรมยุทธการหูเสี่ยนพี พูดจาโอหังอวดดีในท้องพระโรง ดูหมิ่นวีรบุรุษ มัวเมาในอำนาจ ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ซึ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความเสื่อมโทรมของจริยธรรม ถอดถอนตำแหน่ง สอบสวนดำเนินคดี ส่งเข้าคุกให้หน่วยบูรพาสืบสวน เพื่อปลอบประโลมด
ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชา “รากฐานของจักรวรรดิ ต้องอาศัยทั้งฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหาร ฝ่ายพลเรือนปกครองบ้านเมือง ฝ่ายทหารปกครองแผ่นดิน ทั้งสองฝ่ายล้วนขาดไม่ได้ เปรียบเสมือนเสาหลักสองต้นที่ค้ำจุนแคว้น ด้วยเหตุนี้ ทายาทของวีรบุรุษผู้ภักดี จอมทัพอันดับหนึ่ง ผู้เป็นที่รักของเหล่าทหาร สมกับความกล้าหาญของวีรบุรุษผู้ภักดี ข้าจึงแต่งตั้งซูเจิ้นถิงเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งหน่วยบัญชาการทหารสูงสุด ควบคุมกองทัพทหารทั่วหล้า มอบอำนาจเบ็ดเสร็จในการบัญชาการทหารรักษานครบาลจำนวนสามแสนนาย ด้วยความมุ่งหวังให้แผ่นดินที่แสงอาทิตย์ส่องถึงและสายน้ำไหลผ่าน ล้วนเป็นดินแดนฉิน อาศัยดาบอันคมกริบของท่านซู แผ่ขยายบารมีของแคว้นสู่ดินแดนอันไกลโพ้น รับพระราชโองการ”เมื่อพระราชโองการฉบับนี้ ลงประทับตราพระราชลัญจกรและตราประทับขององค์รัชทายาทผู้สำเร็จราชการแทนแล้ว จะคัดสำเนาส่งให้กับสำนักราชเลขาเก็บไว้เป็นหลักฐาน และจะส่งไปที่ทุกเมืองประกาศให้ราษฎรทราบ ห้ามมิให้ผู้ใดฝ่าฝืน”เมื่อพระราชโองการประกาศแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงได้ซูเจิ้นถิงเอ่ยปากคนแรก ก้มกราบลงสามครั้งคำนับเก้าคำครั้ง และเอ่ยด้วยเสียงดังฟังชัดว่า “กระ
เจียงโจวตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่าง รีบร้องตะโกนว่า “องค์รัชทายาทโปรดไว้ชีวิตด้วย กระหม่อมไม่ทราบว่าเรื่องจะบานปลายเพียงนี้ กระหม่อมก็กำลังคิดหาวิธีไล่พวกเขาออกไป ทว่าผู้ประสบภัยเหล่านั้นดื้อรั้นนัก ไล่แล้วก็กลับมา กระหม่อมจนปัญญาแล้วจริงๆ” “ตำราเซิ่งเสียน สุนัขคาบไปกินแล้วรึ!” เจียงโจวไม่อธิบายคงดีกว่า แต่ทันทีที่เขาอธิบาย จิตสังหารของหลี่เฉินก็เดือดพล่านอีกครั้ง “ราชสำนักแต่งตั้งเจ้าเป็นขุนนาง และเป็นถึงผู้ว่าการเมืองหลวง ภายใต้โอรสสวรรค์ เพื่อให้เจ้าขับไล่ผู้ประสบภัยรึ! ผู้ประสบภัยไปที่ใดก็มิใช่ดินแดนของต้าฉิน มิใช่ราษฎรของต้าฉินอย่างนั้นหรือ!” “เจ้าไม่คิดบรรเทาภัยพิบัติและเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัย แต่ยังจะขับไล่พวกเขาออกไป เพียงคำพูดนี้ของเจ้า ข้าไม่สังหารเจ้า คงไม่อาจระบายความเกลียดแค้นที่ติดอยู่ในใจไปได้!” “ลากขุนนางชั่วช้าออกไปสอบปากคำและสังหารทันที ตรวจค้นจวนของเขา เนรเทศสามพันลี้ในสามชั่วโครตให้ และยึดเป็นของหลวงทั้งหมด!” เจียงโจวนึกไม่ถึงว่าการร้องขอความเมตตาจะนำไปสู่การทำลายล้างตระกูลของเขา เขากลัวมากจนเนื้อตัวสั่นไม่หยุด อยากจะพูดอะไรต่อ แต่กลับถูกองครักษ์ที่ถือดา
สวีฉังชิง เป็นหนึ่งในขุนนางที่ซื่อสัตย์และใสสะอาดที่สุดในราชสำนักต้าฉินหลี่เฉินเคยเห็นกับตาตอนที่สวีฉังชิงตกอยู่ในปัญหาครั้งก่อน และหลี่เฉินได้ไปที่บ้านของเขาดังนั้น เมื่อได้ยินคำบ่นอย่างขุ่นเคืองของสวีฉังชิง หลี่เฉินก็เพียงแต่หัวเราะและปลอบโยนว่า “เขาทำหน้าที่ของเขา เจ้าจะไปถือสาอะไรกับเขา”ถ้าเปรียบเทียบกับสวีฉังชิง เหอคุนคือคนอีกขั้วหนึ่งโดยสิ้นเชิงเหอคุนเต็มไปด้วยความลื่นไหล ไหวพริบ และความโลภ ซึ่งทั้งหมดนี้ตรงข้ามกับลักษณะของสวีฉังชิงโดยสิ้นเชิง ด้วยเหตุนี้ สวีฉังชิงจึงไม่ชอบเหอคุนตั้งแต่แรกเห็นในแง่คุณสมบัติ เหอคุนอาจดูเหมือนเต็มไปด้วยข้อเสีย หลี่เฉินไม่มีทางสนใจแน่แต่สิ่งที่หลี่เฉินให้ความสำคัญคือ ความสามารถในการทำงานของเหอคุนคนอย่างเหอคุน หากไม่ได้มีพื้นเพต่ำต้อย คงจะมีอนาคตในราชสำนักที่ไกลกว่าสวีฉังชิงมากสวีฉังชิงเหมาะกับการทำงานหนักแบบไม่หวังผลตอบแทน แต่เหอคุน คือคนที่สามารถจับจุดอ่อนของปัญหา และหาทางแก้ไขให้หลี่เฉินได้อย่างชัดเจนและนี่คือสิ่งที่กลบข้อเสียส่วนใหญ่ของเหอคุนได้เมื่อเห็นว่าสวีฉังชิงยังคงแสดงความไม่พอใจ หลี่เฉินจึงกล่าวว่า “เจ้ากับเขามีบุคลิกแล
“หากองค์ชายจำพวกท่านไม่ได้ พวกท่านก็เหนื่อยเปล่า”คำพูดของเหอคุนทำให้ขุนนางทั้งสามคนพยักหน้ารับอย่างต่อเนื่อง“ใต้เท้าเหอ ตำแหน่งคนแรกที่ส่งของกำนัลก็ถูกใต้เท้าเหอแย่งไปแล้ว พวกเราจะส่งของที่ดี ก็ไม่มีปัญญาเสียด้วยซ้ำ” ขุนนางวัยกลางคนคนหนึ่งกล่าวด้วยใบหน้าขมขื่นเหอคุนส่ายหน้า “ท่านเข้าใจผิดแล้ว หากว่ากันด้วยความดีเยี่ยม อย่างไรก็ไม่มีทางเอาชนะเหล่าขุนนางชั้นสูงหรือราชวงศ์ พวกเขามีสมบัติล้ำค่ามากมาย เราไม่อาจเทียบได้อยู่แล้ว”“แต่พวกท่านลองคิดดู ทำไมองค์ชายถึงทำเช่นนี้? ก็เพราะอยากดูว่าใครในราชสำนักมีความจงรักภักดีต่อพระองค์ใช่หรือไม่?”“ลองเปรียบเทียบดู พ่อค้าผู้ร่ำรวยคนหนึ่งที่มีทรัพย์สินมหาศาล บริจาคเงิน 100 ตำลึง เทียบกับคนธรรมดาที่ขายทุกอย่างจนรวบรวมได้เพียง 10 ตำลึง สำหรับองค์ชาย อันไหนจะมีค่าน่าจดจำมากกว่ากัน? พวกท่านคิดว่าองค์ชายต้องการเงินของพวกท่านจริงหรือ?”เหอคุนแสร้งทำสีหน้าชื่นชม พร้อมประสานมือไปยังทิศที่เป็นพระที่นั่งสีเจิ้ง กล่าวว่า “องค์ชายทรงพระปรีชาสามารถ มิอาจเปรียบได้กับคนธรรมดาเช่นเรา องค์ชายทรงต้องการดูว่า ใครในราชสำนักที่ภักดีและมีจิตใจถวายความจงรักภักดี ซ
“จะคุยอะไรกันได้อีก ก็คงไม่พ้นแผนการจัดการข้า”หลี่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “คราวนี้ จ้าวเสวียนจีคงจนตรอกแล้ว”“เพิ่มการเฝ้าระวังให้มากขึ้น ข้าต้องรู้ว่าพวกเขาทำอะไรและพบใครในช่วงไม่กี่วันนี้”เฉินทงโค้งคำนับ “พ่ะย่ะค่ะ”หลังจากเฉินทงจากไป เหอคุนก็เข้ามาพบหลี่เฉิน“ทูลองค์ชาย เมื่อครู่มีขุนนางสามคนเข้ามาส่งของกำนัลเงินช่วยงาน พระองค์จะทอดพระเนตรบัญชีของกำนัลหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” เหอคุนเอ่ยถามหลี่เฉินส่ายศีรษะ “เจ้าเป็นคนจัดการไป ข้าจะดูบัญชีทั้งหมดตอนสุดท้าย ข้าคงไม่มีเวลามาดูทีละคน”เหอคุนพลันคิดบางอย่าง ก่อนกล่าวว่า “องค์ชาย กระหม่อมขอพระราชทานสิทธิในการดำเนินการตามดุลยพินิจ กระหม่อมมั่นใจว่าจะสามารถเพิ่มยอดของกำนัลได้อย่างน้อยสามส่วน”หลี่เฉินหยุดชะงักเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย “เจ้ากำลังเอามีดจ่อคอเพื่อนร่วมงานของเจ้าเอง ไม่กลัวพวกเขาเล่นงานเจ้าในที่ลับหรือ?”เหอคุนยิ้มกว้าง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ตราบใดที่กระหม่อมมีองค์ชายเป็นที่พึ่ง กระหม่อมไม่กลัวสิ่งใด อีกอย่าง กระหม่อมมั่นใจว่าจะทำให้พวกเขายินดีมอบเงินเพิ่มอย่างเต็มใจ”“ได้ เจ้าไปจัดการเถอะ”หลี่เฉินโบกม
ทันทีที่เริ่มเคลื่อนไหวเพื่อยึดอำนาจ ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มของจ้าวเสวียนจีกับตำหนักบูรพาจะถึงจุดแตกหักโดยสมบูรณ์ ความสัมพันธ์ที่เปราะบางจะถูกทำลาย และไม่มีที่ว่างสำหรับการประนีประนอมอีกต่อไปนี่คือสิ่งที่จ้าวเสวียนจีและหลี่เฉินต่างพยายามหลีกเลี่ยงมาโดยตลอดแต่ตอนนี้ เวลานั้นก็มาถึงจางปี้อู่เอ่ยถามด้วยความกังวลว่า “ถ้าเราทำการเคลื่อนไหวใหญ่โต หน่วยบูรพาคงไม่พลาดที่จะสังเกตเห็น…”“แล้วจะอย่างไร?”จ้าวเสวียนจีลุกขึ้นยืน ท่ามกลางร่างกายที่ชราภาพกลับเปล่งไปด้วยอำนาจ เขากล่าวเสียงดังว่า “ข้ารับราชการมาเกินสี่สิบปี อยู่ในคณะเสนาบดีมานานเกือบยี่สิบปี หน่วยบูรพาเล็กๆ จะทำอะไรข้าได้?”“หากพวกมันกล้าลงมือ ก็ให้กองทัพเข้าบุกตำหนักบูรพาเสีย!”แววตาและคิ้วที่ขาวของจ้าวเสวียนจีเต็มไปด้วยความแข็งกร้าว เขากล่าวต่อด้วยเสียงเย็นเยือกท่ามกลางสายตาหวาดหวั่นของจางปี้อู่และฟู่อวี้จือว่า “ฝ่าบาททรงประชวร องค์รัชทายาทโง่เขลาและไร้ศีลธรรม ในฐานะขุนนาง เราทำได้เพียงเสี่ยงเพื่อปกป้องรากฐานของต้าฉิน”ครึ่งชั่วยาวต่อมา จางปี้อู่และฟู่อวี้จือออกจากจวนจ้าวที่หน้าประตูมีเกี้ยวสองคันจอดรออยู่“สหายจาง”ขณ
ในการควบคุมอำนาจทางการเงิน มีคนหนึ่งที่ต้องกำจัดให้ได้ไม่ต้องสงสัย คนคนนั้นคือ จ้าวเสวียนจีหลี่เฉินโยนบัญชีของกำนัลของเหอคุนลงข้างตัว พลางเรียกวั่นเจียวเจียวเข้ามาด้วยเสียงดัง “มาแต่งตัวให้ข้า”ในเมืองหลวง ณ จวนจ้าวหลังจากออกจากตำหนักบูรพา จ้าวเสวียนจีได้สั่งคนไปตามจางปี้อู่ และฟู่อวี้จือ สองขุนนางร่วมตำแหน่งมหาเสนาบดีในคณะเสนาบดีไม่นานหลังจากที่จ้าวเสวียนจีเดินทางกลับถึงจวนจ้าว สองคนก็รีบร้อนมาถึงฟู่อวี้จือและจางปี้อู่พบกันที่หน้าประตู ทั้งสองสบตากัน แต่กลับไม่เห็นหวังเถิงฮ่วนจึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยในไม่ช้า จ้าวเสวียนจีก็เรียกทั้งสองเข้ามายังห้องหนังสือ“ผู้อาวุโส วันนี้ตำหนักบูรพามีคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?”ฟู่อวี้จือถามถึงเรื่องเย่ลู่ฉีหมิงที่ถูกสังหารแม้เมืองหลวงจะใหญ่และผู้คนมากมาย แต่เรื่องใหญ่เช่นนี้ย่อมไม่สามารถปิดบังสองขุนนางอาวุโสได้ พวกเขาทราบข่าวอย่างรวดเร็วว่าเย่ลู่ฉีหมิงเกิดเรื่อง แต่รายละเอียดนั้นพวกเขายังไม่รู้ เนื่องจากจ้าวเสวียนจีและหวังเถิงฮ่วนเป็นผู้ไปตำหนักบูรพาจ้าวเสวียนจีจิบชาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “ไม่มีคำตอบ ก็คือคำตอบของตำหนั
“เข้าใจแล้วก็ออกไปได้”เหอคุนค่อยๆ ยกตัวขึ้นเล็กน้อย ก่อนโค้งคำนับอย่างนอบน้อม “กระหม่อมขอบพระทัยในพระเมตตาขององค์ชาย กระหม่อมขอทูลลา”หลังจากเหอคุนก้าวออกจากคลังเก็บของ หลี่เฉินหันไปสั่งเฉินทง “ให้ทางซูหางรีบส่งข้อมูลของเหอคุนมา ข้าต้องการ”เฉินทงเข้าใจในทันที ว่าเหอคุนคนนี้กำลังจะกลายเป็นขุนนางคนสำคัญของตำหนักบูรพาดูจากสวีฉังชิงก็รู้แม้ตำแหน่งยังคงเดิม แต่ใครๆ ก็รู้ว่าพวกเขาคือคนสนิทขององค์รัชทายาท อำนาจที่พวกเขาถืออยู่ได้ขยายตัวไม่รู้กี่เท่าอดีตพวกเขาเป็นเพียงข้าราชการชายขอบในกรมครัวเรือนและกระทรวงโยธาธิการ บัดนี้แม้แต่เสนาบดีทั้งสองกรมยังต้องทำงานภายใต้สีหน้าของพวกเขาเหอคุนเองก็เช่นกันผู้ศึกษาร่วมองค์รัชทายาทเป็นเพียงขุนนางระดับห้าขั้นแรก และไม่มีอำนาจมากมายแต่ตำหนักบูรพาในตอนนี้มีผู้ศึกษาร่วมองค์รัชทายาทเพียงแค่คนเดียว หน้าที่แรกที่เขาได้รับ คือการรวบรวมและจัดการของกำนัลจากขุนนางที่องค์รัชทายาททรงให้ความสนใจอย่างมาก หากเขาสามารถทำงานนี้ได้ดี เส้นทางอำนาจของเหอคุนก็จะเปิดโล่งจนไม่มีใครหยุดยั้งได้ต้องตีสนิทสักหน่อยแล้วล่ะเฉินทงคิดไปถึงความเป็นไปได้หลายอย่างในเสี้ย
เงินเดือนขุนนางส่วนใหญ่มักถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ช่วงต้นราชวงศ์ในยุคสมัยศักดินา เศรษฐกิจมีความผันผวนน้อยกว่าในสังคมสมัยใหม่ เพราะใช้เงินโลหะและทองคำเป็นมาตรฐาน ทำให้อัตราเงินเฟ้อและเงินฝืดเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก และเมื่อเกิดขึ้น ความเปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้รุนแรงดังนั้น รัฐบาลในสมัยนั้นจึงแทบไม่ปรับเปลี่ยนเงินเดือนขุนนาง หากมีการปรับเปลี่ยนก็มักจะเป็นการปรับในอัตราที่น้อยมากเพราะเงินเดือนขุนนางถือเป็นภาระสำคัญในงบประมาณของราชสำนักอย่างรุนแรงเช่นในราชวงศ์ต้าฉิน เมื่อปีที่ผ่านมา ราชสำนักต้องจ่ายเงินเดือนขุนนางรวมทั้งสิ้น 45 ล้านตำลึงเงิน แต่รายได้จากภาษีของทั้งปีนั้นมีเท่าใด?ไม่ถึง 20 ล้านตำลึงเงินนี่จึงเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาค้างจ่ายเงินเดือนขุนนางอย่างแพร่หลายแม้ในปีที่ฝนฟ้าดี ไม่มีปัญหาภัยพิบัติ การจ่ายเงินเดือนขุนนางยังถือเป็นภาระหนักหนาสำหรับราชสำนักยิ่งไปกว่านั้น การปรับเงินเดือนขุนนางยังถือเป็นการเปลี่ยนแปลงกฎบรรพบุรุษ ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ที่อาจกระทบต่อเสถียรภาพของราชวงศ์ทั่วทั้งแผ่นดิน ไม่ใช่สิ่งที่จะปรับเปลี่ยนได้ง่ายๆแค่ภาระทางการเงินที่เพิ่มขึ้นก็อาจทำให้ราชสำนักล่มสลายได
"ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากรมทอผ้าซูหางมา 4 ปี เจ้าทุจริตไปเท่าไหร่?"คำถามของหลี่เฉินตรงไปตรงมาและเฉียบขาดทำให้เหอคุนที่เดิมก็ประหม่าอยู่แล้วเหงื่อแตกซึมไปทั่วร่าง เขาไม่กล้าลังเลแม้แต่น้อย รีบตอบด้วยความกลัวว่า “โรงทอผ้า โรงย้อม และพ่อค้ารายใหญ่ในอุตสาหกรรมนี้ล้วนส่งสินบนให้กรมทอผ้ามาโดยตลอดทุกฤดูกาล”“ในตอนแรกยังมีความลับลมคมในบ้าง แต่สองปีมานี้กลับกลายเป็นเรื่องที่เปิดเผยมากขึ้น กรมทอผ้าเองก็ยอมรับว่าเป็นรายได้ประจำทุกไตรมาส”“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา กระหม่อมได้รับสินบนจนแทบนับไม่ถ้วน หากนับเป็นเงินก็ประมาณ 4-5 แสนตำลึงเงิน”เมื่อได้ยินตัวเลขนี้ แม้แต่เฉินทงยังอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเหอคุนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสายตาตกใจ4-5 แสนตำลึงเงิน!นี่มันอะไรกัน!?เฉินทงในฐานะขุนนางของหน่วยบูรพา แม้มีเงินเดือนรวมเบี้ยเลี้ยงและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ก็ได้เพียงปีละ 300 กว่าตำลึง หากเป็นขุนนางระดับเดียวกันที่ไม่มีเบี้ยเลี้ยงพิเศษ อาจได้ไม่ถึง 200 ตำลึงต่อปีด้วยซ้ำแต่เหอคุน ซึ่งเป็นเพียงขุนนางระดับห้าขั้นแรก กลับใช้เวลา 4 ปีโกงเงินได้ 4 ล้านกว่าตำลึงเงิน เฉลี่ยปีละหนึ่งล้านตำลึงเงินความแตกต่างมหาศา
ต่อหน้าคำกล่าวอย่างซื่อสัตย์และจริงใจของเหอคุน หลี่เฉินกลับไม่ได้แสดงท่าทีใดๆเขาเพียงใช้บัญชีของกำนัลตีลงบนฝ่ามือช้าๆ เหมือนกำลังพิจารณาว่าจะจัดการกับเหอคุนเช่นไรขณะที่เหอคุนนั้นไม่กล้าพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว แม้แต่การหายใจก็ต้องควบคุมจังหวะ เกรงว่าจะทำให้หลี่เฉินที่อยู่ตรงหน้าขุ่นเคืองความเงียบและความกดดันที่มองไม่เห็นดำเนินไป จนกระทั่งเฉินทงเดินเข้ามาทำลายความเงียบนี้“องค์ชาย กระหม่อมได้ตรวจสอบเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”หลังจากเดินเข้ามาในคลัง เฉินทงคำนับหลี่เฉินก่อน กล่าวต่อเมื่อได้รับการพยักหน้าอนุญาตจากหลี่เฉิน โดยไม่ชายตามองเหอคุนที่คุกเข่าอยู่แม้แต่น้อย “เหอคุนดำรงตำแหน่งหัวหน้ากรมทอผ้าซูหางมานานกว่า 4 ปี ตามกฎของกรมขุนนาง ปีนี้เขาจะต้องผ่านการประเมินผลการปฏิบัติงานเพื่อตัดสินว่าจะต่ออายุงาน ปรับย้าย หรือถูกลดตำแหน่ง”“หลายเดือนก่อน สหายร่วมถิ่นของเหอคุนชื่อโจวรุ่ย ซึ่งเป็นข้าราชการในกรมขุนนางและอยู่ในกลุ่มสนับสนุนคณะเสนาบดี ถูกสวีฉังชิงจากกรมครัวเรือนกล่าวหาและถูกองครักษ์เสื้อแพรจับกุมและประหารชีวิต เมื่อโจวรุ่ยล้มลง เหอคุนก็ไร้ผู้สนับสนุนในราชสำนัก กระหม่อมได้ตรวจสอบผลก