ประเด็นแรกที่องค์รัชทายาทเปิดประชุมราชการเช้า คือการผลักดันซูเจิ้นถิงขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญเนื่องจากพัวพันคดีกบฏในอดีต ซูเจิ้นถิงจึงถูกฮ่องเต้ถอดถอนจากตำแหน่ง แม้จะยังคงมียศเป็นขุนนางสืบทอดตำแหน่งแม่ทัพใหญ่และราชาแห่งผู้ชนะ แต่ล้วนเป็นเพียงตำแหน่งลวงโดยปราศจากอำนาจใดๆยามนี้หลี่เฉินต้องการกำลังคนอย่างเร่งด่วน ยิ่งไปกว่านั้น ซูเจิ้นถิงยังเป็นแม่ทัพที่ทรงอิทธิพลและได้รับการยกย่องอย่างยิ่งในกองทัพ เขาจึงมิอาจไม่เรียกใช้คนเช่นนี้ได้ทว่าข้อเสนอนี้ย่อมก่อให้เกิดเสียงคัดค้านอย่างรุนแรงจากกลุ่มขุนนางฝ่ายพลเรือน“องค์รัชทายาท กระหม่อมขอคัดค้าน”หูเสี่ยนพีรองเสนาบดีกรมยุทธการออกมาคัดค้านเดิมทีเขาคือผู้ที่มีโอกาสสูงสุดที่จะรับตำแหน่งต่อจากเถิงไหวอี้ที่ถูกถอดถอน เพราะด้วยบารมีของซูเจิ้นถิงแล้ว หูเสี่ยนพีคงไม่มีวันได้ขึ้นเป็นเสนาบดีกรมยุทธการแน่นอน“ท่านแม่ทัพซูเป็นขุนนางสายพระญาติ ยศศักดิ์สูงส่งเกินกว่าตำแหน่งเสนาบดีกรมยุทธการที่เป็นเพียงขุนนางขั้นสอง หากเป็นเช่นนี้ มิใช่ขัดต่อระเบียบราชสำนักหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ ขอองค์รัชทายาทได้โปรดไตร่ตรองอีกครั้งด้วย”หูเสี่ยนพีเป็นคนฉลาด เขาเข้าใจดีว่าซูเ
จักรวรรดิต้าฉินมีความคล้ายคลึงกับยุคก่อนที่หลี่เฉินจะทะลุมิติมาทั่วทั้งแคว้นแบ่งออกเป็นสิบสามเมือง แต่ละเมืองมีขุนนางสูงสุดเรียกว่าปลัด และการปกครองกับการทหารจะแยกออกจากกัน ทหารชั้นสูงสุดเรียกว่าผู้บัญชาการของกรมบัญชาการนอกเหนือจากสิบสามเมืองแล้ว ยังมีเขตปกครองนครบาลอย่างจื๋อลี่ใต้และเมืองหลวง ไม่มีผู้บัญชาการ แต่มีหน่วยบัญชาการทหารสูงสุดและองครักษ์อวี่หลินที่ขึ้นตรงต่อฮ่องเต้องครักษ์อวี่หลินมีทหารจำนวนสามหมื่นนาย หน่วยบัญชาการทหารสูงสุดปกครองกองซ้าย ขวา หน้า หลัง และกลาง รวมห้ากองทัพ โดยแต่ละกองมีทหารจำนวนหกหมื่นนาย ทำหน้าที่ปกป้องเมืองหลวงหน่วยบัญชาการทหารสูงสุดในนามแล้ว มีหน้าที่รับผิดชอบด้านการทหารทั่วหล้า เป็นหน่วยทางการทหารที่สูงที่สุดของจักรวรรดิต้าฉินทว่านับตั้งแต่การสถาปนาจักรวรรดิขึ้นมา เพื่อป้องกันการรวมศูนย์อำนาจทางทหารมากเกินไป ฮ่องเต้ทุกยุคสมัยจึงลดทอนอำนาจของหน่วยบัญชาการทหารสูงสุดมาโดยตลอด เหลือไว้เป็นเพียงสัญลักษณ์เท่านั้น จวบจนบัดนี้ หน่วยบัญชาการทหารสูงสุดได้เปรียบเสมือนสัตว์มงคลของหน่วยราชการ ฉะนั้น คำสั่งของหลี่เฉินที่ให้รวมพลทหารทั่งหล้า ก็เพื่อการนี
การต่อสู้ทางการเมือง ส่วนที่สำคัญที่สุดคือการแสดงละครหลี่เฉินโยนก้อนอิฐล่อหยก ใช้ตำแหน่งเสนาบดีกรมยุทธการล่อสหายผู้โง่เขลาอย่างหูเสี่ยนพีติดกับ และยังมีหูหวังเถิงฮ่วนคอยสนับสนุนอีกด้วย ขณะที่สวมบทบาทตัวละครอย่างแนบเนียน หลี่เฉินใช้ไพ่ของหน่วยบัญชาการทหารสูงสุดโจมตีกลุ่มพลเรือนจนตั้งตัวไม่ทัน รวมกับความช่วยเหลืออันน่าทึ่งของหูเสี่ยนพี ยามนี้ซูเจิ้งถิงได้เปรียบกว่า กลุ่มขุนศึกต่างสามัคคีกัน เป้าหมายของหลี่เฉินก็บรรลุไปเกินครึ่งแล้ว การเมืองเป็นเพียงการเล่นกับใจคนหูเสี่ยนพีที่ตกหลุมพลางยังไม่รู้ตัวว่ากำลังตกอยู่ในอันตราย เขารู้สึกเพียงว่าหายนะร้ายแรงกำลังจะมาถึง จึงล้มนั่งลงกับพื้น ใบหน้าซีดเผือดด้วยความตื่นตระหนก อ้อนวอนขอความเมตตาจากหลี่เฉิน "องค์รัชทายาทโปรดทรงเมตตาด้วย กระหม่อมมิได้หมายความเช่นนั้น” หลี่เฉินเหลือบมองหูเสี่ยนพีพลางเอ่ยเสียงราบเรียบ “รองเสนาบดีกรมยุทธการหูเสี่ยนพี พูดจาโอหังอวดดีในท้องพระโรง ดูหมิ่นวีรบุรุษ มัวเมาในอำนาจ ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ซึ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความเสื่อมโทรมของจริยธรรม ถอดถอนตำแหน่ง สอบสวนดำเนินคดี ส่งเข้าคุกให้หน่วยบูรพาสืบสวน เพื่อปลอบประโลมด
ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชา “รากฐานของจักรวรรดิ ต้องอาศัยทั้งฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหาร ฝ่ายพลเรือนปกครองบ้านเมือง ฝ่ายทหารปกครองแผ่นดิน ทั้งสองฝ่ายล้วนขาดไม่ได้ เปรียบเสมือนเสาหลักสองต้นที่ค้ำจุนแคว้น ด้วยเหตุนี้ ทายาทของวีรบุรุษผู้ภักดี จอมทัพอันดับหนึ่ง ผู้เป็นที่รักของเหล่าทหาร สมกับความกล้าหาญของวีรบุรุษผู้ภักดี ข้าจึงแต่งตั้งซูเจิ้นถิงเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งหน่วยบัญชาการทหารสูงสุด ควบคุมกองทัพทหารทั่วหล้า มอบอำนาจเบ็ดเสร็จในการบัญชาการทหารรักษานครบาลจำนวนสามแสนนาย ด้วยความมุ่งหวังให้แผ่นดินที่แสงอาทิตย์ส่องถึงและสายน้ำไหลผ่าน ล้วนเป็นดินแดนฉิน อาศัยดาบอันคมกริบของท่านซู แผ่ขยายบารมีของแคว้นสู่ดินแดนอันไกลโพ้น รับพระราชโองการ”เมื่อพระราชโองการฉบับนี้ ลงประทับตราพระราชลัญจกรและตราประทับขององค์รัชทายาทผู้สำเร็จราชการแทนแล้ว จะคัดสำเนาส่งให้กับสำนักราชเลขาเก็บไว้เป็นหลักฐาน และจะส่งไปที่ทุกเมืองประกาศให้ราษฎรทราบ ห้ามมิให้ผู้ใดฝ่าฝืน”เมื่อพระราชโองการประกาศแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงได้ซูเจิ้นถิงเอ่ยปากคนแรก ก้มกราบลงสามครั้งคำนับเก้าคำครั้ง และเอ่ยด้วยเสียงดังฟังชัดว่า “กระ
เจียงโจวตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่าง รีบร้องตะโกนว่า “องค์รัชทายาทโปรดไว้ชีวิตด้วย กระหม่อมไม่ทราบว่าเรื่องจะบานปลายเพียงนี้ กระหม่อมก็กำลังคิดหาวิธีไล่พวกเขาออกไป ทว่าผู้ประสบภัยเหล่านั้นดื้อรั้นนัก ไล่แล้วก็กลับมา กระหม่อมจนปัญญาแล้วจริงๆ” “ตำราเซิ่งเสียน สุนัขคาบไปกินแล้วรึ!” เจียงโจวไม่อธิบายคงดีกว่า แต่ทันทีที่เขาอธิบาย จิตสังหารของหลี่เฉินก็เดือดพล่านอีกครั้ง “ราชสำนักแต่งตั้งเจ้าเป็นขุนนาง และเป็นถึงผู้ว่าการเมืองหลวง ภายใต้โอรสสวรรค์ เพื่อให้เจ้าขับไล่ผู้ประสบภัยรึ! ผู้ประสบภัยไปที่ใดก็มิใช่ดินแดนของต้าฉิน มิใช่ราษฎรของต้าฉินอย่างนั้นหรือ!” “เจ้าไม่คิดบรรเทาภัยพิบัติและเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัย แต่ยังจะขับไล่พวกเขาออกไป เพียงคำพูดนี้ของเจ้า ข้าไม่สังหารเจ้า คงไม่อาจระบายความเกลียดแค้นที่ติดอยู่ในใจไปได้!” “ลากขุนนางชั่วช้าออกไปสอบปากคำและสังหารทันที ตรวจค้นจวนของเขา เนรเทศสามพันลี้ในสามชั่วโครตให้ และยึดเป็นของหลวงทั้งหมด!” เจียงโจวนึกไม่ถึงว่าการร้องขอความเมตตาจะนำไปสู่การทำลายล้างตระกูลของเขา เขากลัวมากจนเนื้อตัวสั่นไม่หยุด อยากจะพูดอะไรต่อ แต่กลับถูกองครักษ์ที่ถือดา
“เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ยามนี้ไม่ว่าจะลงโทษหรือเอาผิดก็เป็นเพียงการแก้ไขที่ปลายเหตุ ทว่าสิ่งสำคัญที่สุดในยามนี้คือการบรรเทาภัยพิบัติและช่วยเหลือผู้ประสบภัย เหตุการณ์ที่องค์รักษ์อวี่หลินสังหารหมู่ผู้ประสบภัยนั้น มีทั้งแง่มุมดีและแง่มุมเลวร้าย แม้ชีวิตผู้คนหลายพันคนจะสูญเสียไปอย่างน่าเสียดาย แต่ความผิดพลาดได้เกิดขึ้นแล้ว สิ่งสำคัญคือต้องรีบช่วยเหลือผู้ประสบภัย มิฉะนั้น จะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของราชสำนักในสายตาของราษฎร”คำพูดของจ้าวเสวียนจี ทำให้หลี่เฉินหาข้อผิดพลาดไม่ได้เลยอีกทั้งเป็นเรื่องที่หลี่เฉินกังวลจริง ๆเขาจึงมิได้พูดแทรก และรอให้จ้าวเสวียนจีพูดต่อจ้าวเสวียนจีมิได้หยุดพูด หายใจเข้าลึก ๆ และเอ่ยต่อว่า “เรื่องนี้ กระหม่อมขอเสนอแนะให้องค์รัชทายาทมีราชโองการให้คัดเลือกบุคคลผู้มีจิตใจเมตตา สามารถเป็นตัวแทนของราชวงศ์ และมากด้วยความสามารถลงพื้นที่ประสบภัยเพื่อปลอบประโลมราษฎร”เมื่อได้ยินประโยคนี้ จุดประสงค์ของจ้าวเสวียนจีก็ชัดเจนขึ้นแล้วขุนนางทั้งราชสำนัก ใครบ้างที่สามารถเป็นตัวแทนของราชวงศ์ได้ไม่มีผู้ใดนอกจากองค์รัชทายาททว่าองค์รัชทายาททรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระ
หากกล่าวว่าหลายวันก่อน หลี่เฉินเพิ่งถูกบีบให้สละบัลลังก์ แม้จะมีเล่ห์เหลี่ยมทางการเมืองอยู่บ้าง แต่ยังดูอ่อนหัดและไร้เดียงสา สุดท้ายมิใช่เพราะฮ่องเต้ต้าสิงผู้ฟื้นอย่างกะทันหันและช่วยชีวิตเขาไว้ เกรงว่ายามนี้องค์รัชทายาทอาจกลายเป็นหุ่นเชิด หรือถูกทหารองครักษ์อวี่หลินกดดันสำเร็จแล้วทว่าองค์รัชทายาทในยามนี้ที่ยืนอยู่บนพระที่นั่งไท่เหอ เล่ห์เหลี่ยมทางการเมืองจะดูชำชองอย่างมาก รู้จักหลบหลีกและโจมตีอย่างชาญฉลาด ย่างก้าวหลายก้าวที่ผ่านมา ล้วนคิดวางแผนในจุดที่ตนไม่ทันได้เตรียมการ จนเอาชนะเบี้ยได้ตัวหนึ่งแม้จะพลิกสถานการณ์กลับมาได้ แต่โดยรวมแล้ว ยังมีแนวโน้มสูงที่ต้องเผชิญกับผลลัพธ์ที่จะสูญเสียจ้าวเจี้ยนเย่ ภายใต้ความสำเร็จที่ทำให้กับซูเจิ้งถิงกลับมามีบทบาทอีกครั้ง และปกครองทหารกล้าสามแสนนายของหน่วยบัญชาการสูงสุดเพียงผู้เดียวดังนั้น โดยสรุปแล้ว จ้าวเสวียนจีพ่ายแพ้ไปหนึ่งเบี้ยสิ่งสำคัญที่สุดคือ องค์รัชทายาทมิได้ใช้อารมณ์ต่อต้านแรงกดดันจากเขา แต่กลับยอมถอยก้าวอย่างชาญฉลาดสิ่งนี้ทำให้จ้าวเสวียนจีตระหนักว่าองค์รัชทายาทในยามนี้เรียนรู้ที่จะเก็บซ่อนความสามารถ ไม่ได้เปิดเผยจุดอ่อนอีกต่อไป แต
ณ ตำหนักบูรพา สนมองค์รัชทายาทจ้าวหรุ่ยพักอาศัยอยู่ในตำหนักร้อยบุบฝา“พระองค์มาแล้ว”เมื่อเห็นหลี่เฉินก้าวยาวเดินมา จ้าวหรุ่ยรีบลุกขึ้นต้อนรับ“ได้ยินมาว่าวันนี้องค์รัชทายาทประชุมราชการเช้า ทุกอย่างราบรื่นใช่หรือไม่ หิวหรือไม่ หม่อมฉันสั่วคนให้เตรียมอาหารว่างที่พระองค์ชื่นชอบ...” ก่อนที่จ้าวหรุ่ยจะเอ่ยจบ เขาถูกหลี่เฉินขัดจังหวะ “ไม่เป็นไร ข้าจะพูดคุยกับพระสนม คนอื่นถอยออกไปเถิด” หลังจากนางกำนัลออกไปหมดแล้ว หลี่เฉินก็นั่งลงบนเตียงนุ่ม มองหิมะที่อยู่นอกหน้าต่าง และเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “พระสนม ตำหนักร้อยบุปผามักเต็มไปด้วยดอกโบตั๋น กุหลาบ และดอกไม้สีสันสวยงามอยู่เสมอ แต่ดอกไม้เหล่านี้บอบบางต้องดูแลให้ดี อายุก็สั้น บัดนี้อากาศเริ่มเย็นแล้วปลูกดอกเหมยเพิ่มจะดีที่สุดจ้าวหรุ่ยชงน้ำชาหนึ่งกาให้หลี่เฉิน ค่อย ๆ วางลงบนโต๊ะของเตียงนุ่ม และเมื่อได้ยินถึงตรงนี้ จึงเอ่ยว่า “ดอกเหมยจะสวยงามหลังผ่านความหนาวช่วงฤดูหนาวนี้ สรรพสิ่งล้วนเงียบสงบ ดอกไม้ที่สวยงามมีไม่มากนัก หากพระองค์ทรงชอบ หม่อมฉันจะให้คนปลูกดอกเหมยไว้บ้าง แต่เดิมพระองค์ทรงโปรดดอกไม้สวยงามไฉนจึงทรงโน้มน้าวหม่อมฉันให้ปลูกดอกเหมย ที