"เสด็จพ่อทรงแต่งตั้งข้าให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์โดยตรง ท่านกล้าคิดแตะต้องอำนาจผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของข้า พรุ่งนี้ ท่านคงคิดจะปลดข้าจากตำแหน่งองค์รัชทายาท มะรืนนี้ ท่านจะไม่คิดขึ้นนั่งบัลลังก์นั้นเองหรือ?"ขณะกล่าว หลี่เฉินชี้ไปยังพระแท่นบัลลังก์อันโอ่อ่าและงดงามตระการตา แต่กลับว่างเปล่าไร้ผู้ประทับนั่นคือบัลลังก์ที่แทนความเป็นจอมราชันย์ของแผ่นดินบัลลังก์นี้ มีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่จะประทับได้คำกล่าวนี้แทบจะแทงทะลุหัวใจของจ้าวเสวียนจีโดยตรง"องค์รัชทายาท!"จ้าวชิงหลานกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าเย็นชา "หยุดโต้เถียงเสียที หรือท่านคิดจะไม่ฟังคำของข้าอีกแล้ว? นี่ข้าเองก็ควบคุมท่านไม่ได้แล้วหรือ?"แคว้นต้าฉินยึดถือการสร้างชาติด้วยอาวุธ และการปกครองด้วยความกตัญญูดังนั้น ในสถานการณ์เช่นนี้ หลี่เฉินไม่สามารถตอบรับคำถามนี้อย่างตรงไปตรงมาได้เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ลูกย่อมเคารพเสด็จแม่ แต่ต้องดูว่าเรื่องใด หากเสด็จแม่สมคบกับญาติฝ่ายใน หวังทำลายราชวงศ์หลี่ที่สั่งสมมากว่าร้อยปี ลูกก็ขออภัยที่ไม่อาจนิ่งเฉยได้"สีหน้าของจ้าวชิงหลานซีดเผือด ดวงตาดุจหงส์เต็มไปด้วยความโกรธ นางตวาดว
"พวกเจ้ามิได้ยินคำของข้าหรือ!?"เมื่อเห็นเหล่าทหารองครักษ์หลวงลังเล จ้าวชิงหลานเอ่ยตวาดเสียงดังในขณะนั้น เหล่าทหารองครักษ์หลวงเพียงอยากจะใช้ดาบเชือดคอตัวเองให้พ้นจากสถานการณ์นี้ในความลำบากใจ พวกเขาหันมองจ้าวชิงหลาน สลับมองหลี่เฉิน ความสับสนลังเลในใจถึงขีดสุด"พวกเจ้าถอยออกไปให้หมด"หลี่เฉินโบกมือ ไล่เหล่าทหารองครักษ์หลวงออกไปในเวลาเช่นนี้ อำนาจที่แท้จริงก็เผยให้เห็นหลี่เฉินในฐานะองค์รัชทายาท ได้ควบคุมกำลังป้องกันของพระราชวังอย่างเบ็ดเสร็จแล้วเมื่อเขาออกคำสั่งให้เหล่าทหารองครักษ์หลวงออกไป พวกเขาก็รีบถอยออกจากพื้นที่ทันที โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยการหลีกหนีจากสนามรบเช่นนี้ เป็นสิ่งที่พวกเขาปรารถนาอย่างที่สุดเมื่อเห็นเหล่าทหารองครักษ์หลวงที่ไม่ฟังคำของตน กลับเชื่อฟังหลี่เฉินอย่างง่ายดาย สีหน้าของจ้าวชิงหลานก็ย่ำแย่นางกำหมัดแน่น เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ต้องรู้สึกถึงความอัปยศในที่สาธารณชนในฐานะฮองเฮาผู้ทรงเกียรติ นางกลับไม่สามารถควบคุมเหล่าทหารองครักษ์หลวงได้ แต่พวกเขากลับฟังคำสั่งหลี่เฉินนี่ทำให้เกียรติยศของฮองเฮาถูกลบหลู่โดยสิ้นเชิงแต่เหตุการณ์นี้ กลับอยู่ในความคาดการณ์
การปรากฏตัวของหลี่จวิ้นเจ๋อเหนือความคาดหมายของทุกคนใบหน้าของเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นเต็มไปด้วยความยินดีปรีดาส่วนเหล่าขุนนางฝ่ายบู๊กลับแสดงออกถึงความหวาดวิตกไม่มีใครคาดคิดว่า จ้าวเสวียนจีจะสามารถติดต่อเหวินอ๋องได้ก่อนล่วงหน้าเมื่อมองไปยังเงาทหารนับร้อยที่เตรียมพร้อมอยู่ภายนอก สถานการณ์วันนี้อาจนำไปสู่เรื่องใหญ่โตการใช้กำลังบีบบังคับในราชสำนัก!?เพียงเอ่ยคำนี้ออกมา ก็ทำให้รู้สึกตื่นเต้นสายตาของซูเจิ้นถิงแสดงถึงความเคร่งเครียดถึงขีดสุดเขาหันมองบุตรชายซูผิงเป่ย ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงเบา "เจ้ารอดูสถานการณ์ หากมีโอกาส ให้รีบออกไป…หากสถานการณ์ถึงจุดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ให้รีบเรียกกำลังทหารของเจ้ามาที่วังหลวง"แม้แต่ซูเจิ้นถิงผู้มีประสบการณ์มากมาย ยังรู้สึกถึงความไม่แน่นอนเขาหยุดชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวเพิ่มเติม "ถ้าไม่ถึงที่สุด อย่าเพิ่งลงมือ แต่หากจำต้องลงมือ จงใช้กำลังเด็ดขาดบดขยี้ทุกสิ่ง"ซูผิงเป่ยพยักหน้า รู้สึกว่าปากคอแห้งผาก เขากล่าวเสียงเบา "ทราบแล้ว"สายตาของเขาจับจ้องที่ใบหน้าของหลี่จวิ้นเจ๋อ ก่อนจะเผยรอยยิ้มหลี่เฉินยกมือขึ้น ขณะกล่าวพลางตบใบหน้าของหลี่จวิ้นเจ๋อ"ทน…ไม่…ได
"อืม…อื้อ…อ๊าก!!!"ด้านหนึ่งคือความเจ็บปวดที่แทรกซึมลึกถึงกระดูก อีกด้านหนึ่งคือปากที่ถูกเหยียบจนแม้แต่จะร้องออกมาก็ทำไม่ได้!หลี่จวิ้นเจ๋อรู้สึกราวกับตัวเองเป็นเตาไฟที่กำลังจะระเบิด ความเจ็บปวดและความอับอายสะสมอยู่ในร่างจนแทบคลุ้มคลั่ง แต่กลับไม่มีทางระบายออกปกติแค่ปวดฟันยังทำให้คนแทบขาดใจได้ นับประสาอะไรกับตอนนี้ที่ฟันครึ่งซี่ถูกเหยียบจนหักจากรากอย่างโหดเหี้ยม!เมื่อเห็นหลี่จวิ้นเจ๋อที่กำลังชักกระตุกอยู่ใต้เท้าของหลี่เฉิน เลือดสีแดงสดไหลซึมออกมาจากช่องปากที่ถูกกดด้วยพื้นรองเท้า พร้อมเสียงคำรามต่ำดั่งสัตว์ป่าที่ดังออกมาจากลำคอ สายตาของทุกคนที่มองไปยังหลี่เฉินพลันเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวจับใจ!ไม่มีใครคาดคิดว่าสถานการณ์ที่ควรเป็นชัยชนะของหลี่จวิ้นเจ๋อ จะกลับกลายเป็นภาพที่เขาถูกเหยียบไว้กับพื้นเช่นนี้ต้องทราบเสียก่อนว่าภายนอกมีทหารของเหวินอ๋องหลายร้อยนายรออยู่หากพวกเขาบุกเข้ามา นั่นหมายถึงจักรวรรดิต้าฉินจะเข้าสู่ภาวะวิกฤตทันทีความขัดแย้งระหว่างเหวินอ๋องและองค์รัชทายาทจะกลายเป็นเรื่องเปิดเผยหากสถานการณ์บานปลาย อาจนำไปสู่ความวุ่นวายของอ๋องแห่งแคว้นได้ในขณะที่ฮ่องเต้ยังประชว
เมื่อหลี่จวิ้นเจ๋อเกือบจะถูกหลี่เฉินทรมานจนตาย ทหารภายนอกก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปพวกเขาเริ่มบุกโจมตีประตูสะพานจินสุ่ยประตูวังมีเพียงทหารรักษาการณ์ธรรมดาไม่กี่คน ซึ่งป้องกันไม่ได้มากนักโดยปกติแล้ว ไม่มีใครกล้าบุกโจมตีประตูวังของพระที่นั่งไท่เหอ เพราะการกระทำเช่นนี้ไม่ต่างจากการกบฏดังนั้น กำลังป้องกันที่นี่จึงมีไว้เพียงเพื่อเป็นสัญลักษณ์มากกว่าการใช้งานจริงเมื่อกองกำลังหลายร้อยนายที่เหวินอ๋องจัดเตรียมไว้อย่างดีพุ่งเข้ามา ประตูวังก็แตกในเวลาเพียงชั่วครู่ทหารที่ถูกเหวินอ๋องจัดมาให้ติดตามหลี่จวิ้นเจ๋อได้นั้น ย่อมเป็นทหารชั้นยอดในชั้นยอดอยู่แล้วคนกว่าร้อยชีวิตเหล่านี้เดินขบวนด้วยท่วงท่าสง่างาม เต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม ทุกย่างก้าวเป็นระเบียบราวกับมีรูปแบบยุทธวิธีแฝงอยู่ในนั้น!"คนพวกนี้กล้าบุกโจมตีพระที่นั่งไท่เหอ เท่ากับเป็นกบฏ!"ซูเจิ้นถิงเอ่ยเสียงดังก้อง "แม่ทัพทั้งหลายจะไม่ยอมให้การกบฏเช่นนี้เกิดขึ้น ขุนนางฝ่ายบู๊ทั้งหมด ตามข้ามา!"เมื่อกล่าวจบ ซูเจิ้นถิงก็เป็นคนแรกที่ก้าวออกมา และส่งสายตาให้ซูผิงเป่ยเพื่อบอกให้เขาหาโอกาสออกจากพระที่นั่งไท่เหอเพื่อเรียกกำลังเสริมในสถานการณ์
ชายกำยำสูดลมหายใจลึก ก่อนกัดฟันกล่าวว่า "พวกเราเพียงต้องการปกป้องรัฐทายาท"แม้จะกล่าวเช่นนั้น แต่ความดุดันของทหารกว่าร้อยนายกลับถูกคำถามเพียงสองข้อของหลี่เฉินกดดันจนแทบหมดสิ้นฉากนี้ ทำให้จ้าวเสวียนจีที่ยืนสังเกตการณ์อยู่เบื้องหลังเงียบๆ ขมวดคิ้ว สีหน้าของเขาเคร่งขรึมเขาไม่คาดคิดว่าหลี่เฉินจะกล้าเช่นนี้ และทหารที่เหวินอ๋องส่งมาซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นนักรบผู้ไม่กลัวตาย กลับแสดงท่าทีหวาดหวั่นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนหลี่จวิ้นเจ๋อนั้น ไม่มีค่าให้พูดถึงการปรากฏตัวของเขาราวกับมีเพียงเพื่อให้ถูกหลี่เฉินเหยียบไว้ใต้เท้าเท่านั้น"เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ใด?"คำถามที่สองของหลี่เฉินยังคงเปี่ยมด้วยความเย็นชาชายกำยำเหงื่อแตกพลั่กที่หน้าผาก มองไปยังรัฐทายาทที่อยู่ในสภาพเละเทะ ถูกซูเจิ้นถิงจับไว้ขยับตัวไม่ได้ ก่อนจะกัดฟันตอบ "ที่นี่คือพระที่นั่งไท่เหอ""ดีมาก"หลี่เฉินเอ่ยถามคำถามที่สาม "การนำกำลังทหารบุกเข้าพระที่นั่งไท่เหอ เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีโทษสถานใด?"ชายกำยำเริ่มตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเขาเงยหน้าขึ้นจ้องหลี่เฉินตาขวาง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงกร้าวว่า "อย่ามาเล่นคำหน่อยเลย จงปล่อยรัฐท
รัฐทายาทเหวินอ๋องหลี่จวิ้นเจ๋อ ผู้ซึ่งปกติมักวางตัวเรียบง่าย สุภาพอ่อนโยนในสายตาผู้คน บัดนี้กลับถูกหลี่เฉินทรมานจนเกือบเสียสติ เหล่าผู้ที่เฝ้าดูเหตุการณ์ต่างพากันสะท้านสะเทือนใจอย่างยิ่งเสียงกรีดร้องที่แหลมคมดั่งจะทะลุเมฆาทำให้แก้วหูของผู้คนเจ็บปวดเหล่าขุนนางราชวงศ์ที่อยู่ที่นั่น ต่างรู้สึกเย็นวาบที่ต้นคอโดยไม่รู้ตัว สายตาหันไปมองหญิงสาวผู้มากับแสงแห่งคมดาบหญิงสาวในชุดขาวบริสุทธิ์ พริ้วไหวดุจดอกบัวหิมะบนยอดเขาเทียนซาน งดงามบริสุทธิ์อย่างถึงที่สุด จนแทบไม่เหมือนมนุษย์นางคล้ายดั่งเซียนที่ถูกเนรเทศจากสวรรค์ลงมาจุติยังปฐพีแต่เซียนผู้นั้น กลับถือดาบยาวเย็นเฉียบที่ยังมีเลือดหยดลงมาไว้ในมือสตรีผู้เลอโฉมเช่นนี้ควรคู่กับบทกวี สุรา และภาพวาดอันงดงาม แต่ดาบอันแฝงด้วยความอำมหิตและคราบโลหิตในมือนาง กลับแต่งแต้มความงดงามให้กลายเป็นสีแดงแห่งความสยดสยองในสายตาทุกคนเสียงดังปึงคือ เสียงร่างของชายกำยำที่ไร้ศีรษะล้มลงกระแทกพื้นเลือดสดไหลรินรวมกันเป็นแอ่งโลหิต ก่อนจะแผ่ซ่านไปตามพื้นที่ลาดเอียง แม้ว่าลานกว้างเบื้องหน้าพระที่นั่งไท่เหอจะกว้างขวางและมีอากาศถ่ายเทเพียงใด แต่กลิ่นคาวเลือดยังคงเล
"พอแล้ว...ข้าขอร้องล่ะ อย่าตบข้าเลย..."หลี่จวิ้นเจ๋อที่สมองมึนงง สายตาพร่ามัวเห็นเป็นดวงดาวสีทองระยิบระยับ สลับกับความมืดมัวที่ค่อยๆ เข้าครอบงำ รู้สึกว่าตนกำลังจะหมดสติลงศักดิ์ศรีหรือเล่ห์เหลี่ยมที่เคยมี บัดนี้เขาไม่สนใจอีกต่อไป มีเพียงอย่างเดียวที่เขาต้องการ คือขอให้หลี่เฉินหยุดตบเขาเสียทีเหล่าลูกน้องผู้มีอาวุธครบมือกว่าร้อยคน กลับไม่มีใครกล้าก้าวออกมาขัดขวาง พวกเขาทำได้เพียงมองดูหลี่เฉินฟาดรัฐทายาทของพวกเขาดุจหลานชายทีละฝ่ามือจนมาถึงตรงหน้าพวกเขาองค์…องค์รัชทายาทผู้นี้ ไม่กลัวตายจริงๆ!?ไม่เพียงแต่คนกว่าร้อยคนนั้น แม้แต่ขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ที่อยู่ที่นั่นต่างก็หวาดกลัวต่อความโหดเหี้ยมของหลี่เฉินจนตัวสั่นไม่มีใครคาดคิดว่าองค์รัชทายาทจะกล้าหาญและดุดันถึงเพียงนี้หลี่จวิ้นเจ๋อที่ไม่อาจทานทนได้อีกต่อไป รู้สึกว่าหากเขาถูกตีต่อไป เขาคงตายคามือหลี่เฉินแน่นอนเขาทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นกะทันหัน กอดขาหลี่เฉินไว้พลางร้องไห้โฮ "องค์รัชทายาท ได้โปรด อย่าตีข้าอีกเลย ข้าจะตายอยู่แล้ว!"หลี่เฉินลูบฝ่ามือที่ชาดิกของตน ก่อนจะก้มตัวลงเช็ดเลือดที่เปื้อนบนมือกับหัวของหลี่จวิ้นเจ๋ออย่างไม
ตามคำอธิบายและเรื่องราวของฮ่องเต้ต้าสิง หลี่เฉินก็เริ่มมองเห็นถึงเบื้องลึกในจิตใจที่แท้จริงของฮ่องเต้พระองค์นี้ สิ่งที่พระองค์ต้องการ คือการสืบทอดราชบัลลังก์โดยไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงรากฐานของบ้านเมือง และขุนนางชั่วอย่างจ้าวเสวียนจี ก็คือประกันภัยอีกชั้นหนึ่งที่พระองค์วางไว้ ตราบใดที่จ้าวเสวียนจียังอยู่ เขาก็จะกระหายอำนาจ และต้องพยายามลดบทบาทของฮ่องเต้แน่นอน แต่การลดบทบาทของฮ่องเต้หาใช่ปัญหาไม่ ขอเพียงฮ่องเต้ยังคงดำรงอยู่ อ๋องแห่งแคว้นย่อมไม่อาจก่อหวอด สถานการณ์ก็จะยังดำเนินต่อไปได้ กล่าวได้ว่า ฮ่องเต้ต้าสิงได้วางหมากไว้สองทาง ทางแรก คือหวังว่าจะมีบุตรผู้หนึ่งสามารถเติบโตขึ้นมาเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ มีสติปัญญาและความสามารถลึกซึ้ง กอบกู้สถานการณ์ได้ แต่เรื่องนี้ยากเกินไป อย่างน้อยในขณะวางแผน ฮ่องเต้ต้าสิงเองก็มองไม่เห็นความหวัง ดังนั้นพระองค์จึงเตรียมทางที่สอง ผลักดันให้เกิดขุนนางชั่วคนหนึ่ง เพื่อรักษาความมั่นคงของการถ่ายโอนอำนาจ แม้ฮ่องเต้จะเป็นเพียงหุ่นเชิด ตราบใดที่ยังเป็นบุตรของฮ่องเต้ต้าสิง แผ่นดินก็จะไม่ล่มสลาย ส่วนอำนาจนั้
“เขาวางแผนมาอย่างยาวนาน บัดนี้ลูกกับเขาก็ถึงคราวแตกหัก ต่อให้มิใช่จ้าวเสวียนจี ลูกก็ไม่อาจอยู่อย่างสงบได้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” หลี่เฉินเงยหน้าขึ้นอย่างกล้าหาญ จ้องสบสายพระเนตรของฮ่องเต้เบื้องหน้า แม้พระวรกายจะซูบผอมดั่งน้ำมันหมดไส้เทียนใกล้มอด แต่ก็ยังเปี่ยมด้วยพลังสุดท้าย แล้วกล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกไป ฮ่องเต้ต้าสิงทรงฟังด้วยรอยยิ้ม รอจนหลี่เฉินพูดจบจึงเอ่ยว่า “ข้ากล่าวไปแล้ว เขา มิใช่สิ่งที่ควรกังวล” “เจ้าจะฆ่าเขาก็ได้ แต่ไม่ใช่เวลานี้” หลี่เฉินขมวดคิ้ว สีหน้างุนงงยิ่งนัก ฮ่องเต้ต้าสิงทอดถอนใจเบาๆ แล้วตรัสว่า “สามารถเดินมาถึงจุดนี้ เจ้าก็เกินกว่าความคาดหวังเดิมของข้าไปมาก แม้แต่อีกหลายการจัดวางที่ข้าวางไว้แต่แรก ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะได้ใช้จริง แต่ก้าวแล้วก้าวเล่า เจ้าก็ผ่านมาได้ทั้งหมด” “เจ้าควรรู้ว่า บางแผนที่ข้าวางไว้นั้น เริ่มตั้งแต่เมื่อครานานมาแล้ว” หลี่เฉินนึกถึงพี่น้องสกุลอู๋ จึงพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อทรงวางแผนอย่างลึกซึ้ง ลูกนับถือยิ่งนัก” “รอจนเจ้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ เจ้าก็จะเข้าใจเอง” ฮ่องเต้ต้าสิงตรัสเสียงเรียบ “ข้าวางแผนไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เจ้าคิดว่
จ้าวหรุ่ยเงยหน้าขึ้น แม้ใบหน้ายังคงซีดเซียวอ่อนแรง แต่กลับมีสีเลือดระเรื่อขึ้นเล็กน้อย “ฝ่าบาท รีบเสด็จเข้าไปเถิด” จ้าวหรุ่ยกล่าวจบ ก็หลีกทางไปด้านข้าง หลี่เฉินจับมือของจ้าวหรุ่ยแน่น แล้วจึงก้าวเข้าไปภายใน จ้าวเสวียนจีตามเข้าไปติดๆ นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวเสวียนจีสนทนากับจ้าวหรุ่ยหลังจากจ้าวหรุ่ยทรยศ “เจ้าคุกเข่าจนฮ่องเต้ทรงฟื้นคืนหรือ?” จ้าวเสวียนจีกล่าวเสียงเรียบ จ้าวหรุ่ยก้มหน้า ไม่กล้ามองจ้าวเสวียนจี เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ฮ่องเต้ทรงมีฟ้าคุ้มครองเพคะ” “ข้าไม่คาดคิดเลยจริงๆ” จ้าวเสวียนจีทิ้งประโยคหนึ่งอย่างมีนัย แล้วจึงติดตามหลี่เฉินเข้าไป จ้าวหรุ่ยเม้มริมฝีปาก ก้มหน้าถอยออกจากประตูตำหนักบรรทม ภายในตำหนักเฉียนชิง หลี่เฉินเห็นฮ่องเต้ต้าสิง...ทรงยืนขึ้นแล้ว พระองค์ทรงสวมเสื้อชั้นในสีเหลืองอ่อนที่เพิ่งผลัดเปลี่ยนใหม่ ซึ่งอาจนับเป็นชุดนอนหรือชุดชั้นในก็ได้ หลี่เฉินไม่รู้สึกแปลกตากับฉลองพระองค์ชุดนี้นัก ขณะฮ่องเต้ต้าสิงบรรทมบนเตียง ก็ทรงสวมเช่นนี้ แต่หลังจากเขาข้ามมิติมา ก็เป็นครั้งแรกที่เห็นฮ่องเต้ทรงมีสติและยืนอยู่ “อย่างไรหรือ เห็นข้าแล้ว ถึงกับลืมคำ
ประโยคเดียวว่าฮ่องเต้ทรงฟื้นแล้วสร้างแรงสะเทือนใจแก่ทุกผู้คนยิ่งกว่าเสียงฟ้าร้องเหนือศีรษะแม้กระทั่งทหารที่ไล่ตามขันทีน้อยมาแต่แรกยังถึงกับตื่นตะลึงถ้อยคำของขันทีน้อยยังไม่ทันจบประโยค เงาร่างสายหนึ่งพลันแวบขึ้นตรงหน้าเขา ซานเป่าได้คว้าตัวเขาไว้แล้ว“เจ้าว่าอะไรนะ?!”ขันทีน้อยผู้นั้นเป็นเพียงขันทีระดับต่ำสุด เคยเห็นซานเป่าจากที่ไกลๆ เท่านั้น หากแต่ความแตกต่างระหว่างฐานะของทั้งสองทำให้เขาไม่เคยมีสิทธิแม้แต่จะกล่าวคำกับซานเป่ายังไม่ทันตั้งสติจากแรงกดดันของซานเป่า ซูเจิ้นถิงและเหล่าขุนนางใหญ่น้อยก็พากันล้อมเขาไว้หมดแล้ว“บ่าว...บ่าวกล่าวว่า...ฮ่อง...ฮ่องเต้ทรงฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีน้อยตัวสั่นระริก พูดติดขัดแทบจับใจความไม่ได้ โชคยังดีที่เขายังจำหน้าที่ของตนเองได้“ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่ง ขอให้องค์รัชทายาทและสำนักราชเลขาเข้าเฝ้าทันที”ซานเป่ากับซูเจิ้นถิงสบตากัน แล้วก็ตัดสินใจได้ทันควัน“ไม่ได้!”จางปี้อู่ตะโกนลั่น “ใครจะรู้ว่านั่นไม่ใช่ราชโองการปลอมล่ะ!”“เจ้าบังอาจแอบอ้างหาบรรพบุรุษงั้นรึ!”ซูเจิ้นถิงสบถกลับด้วยความโกรธ แล้วซัดหมัดหนักเข้าที่ใบหน้าของจางปี้อู่อย่างจังจางปี้
“จ้าวเสวียนจี เจ้าทำเรื่องมากมาย วางแผนมานักหนา ท้ายที่สุดแล้วก็เพื่อสิ่งใดกันแน่”หลี่เฉินชี้ไปยังบัลลังก์มังกร ถามว่า “เพื่อจะได้ขึ้นนั่งบนนั้นหรือ”จ้าวเสวียนจีมองตามนิ้วของหลี่เฉินไปยังบัลลังก์มังกร กล่าวอย่างราบเรียบว่า “มิใช่ หากกระหม่อมประสงค์จะขึ้นนั่งบัลลังก์ กระหม่อมสามารถลงมือได้ตั้งแต่เมื่อปีกลายแล้ว แม้แต่ก่อนหน้านั้น กระหม่อมก็ยังมีโอกาสดีกว่านี้อีกมาก จะต้องรอให้ฝ่าบาททรงมีอำนาจมั่นคงก่อนแล้วจึงลงมือไปเพื่ออันใดกันเล่า”“หรือมิใช่เพราะเจ้าคิดว่าควบคุมตัวข้าได้ยาก จึงต้องเสี่ยงเอาดาบเข้าวัดอย่างนั้นหรือ” หลี่เฉินหัวเราะเย็นชาจ้าวเสวียนจีถอนหายใจเบาๆ สีหน้ากลับแฝงด้วยความหดหู่ยิ่งนัก กล่าวว่า “ฝ่าบาท พระองค์มิใช่กระหม่อม ย่อมไม่รู้ความลำบากของกระหม่อม”“บัลลังก์นั้น นั่งแล้วสบายหรือ ไม่เลย”จ้าวเสวียนจีหันหน้ากลับมามองหลี่เฉิน กล่าวว่า “กระหม่อมแทบจะเฝ้าดูฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์กับตาตนเอง ตลอดหลายปีมานี้ ในท้ายที่สุด ฮ่องเต้ได้อะไรกลับมาบ้าง”“กระหม่อมชราภาพแล้ว ไม่รู้ว่ายังจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่ปี อีกทั้งบุตรหลานของกระหม่อมก็สูญสิ้นไร้ร่องรอย หากกระหม่อมขึ้นไปนั่ง
หลี่เฉินหันขวับกลับมาเผชิญหน้าจ้าวเสวียนจี ดวงตาเย็นเยียบดั่งน้ำแข็งจ้าวเสวียนจีเงยหน้าขึ้น ยืนตัวตรง มาดอ่อนน้อมเมื่อครู่พลันสลาย เหลือเพียงท่วงท่าท้าทายอย่างเปิดเผยหลี่เฉินเอ่ยเรียบเย็น “ข้าเพิ่งรู้ว่า...ขุนนางอาวุโส สูงไม่น้อยเลยทีเดียว”จ้าวเสวียนจีตอบ “กระหม่อม...แค่เคยชินกับการโค้งก้มเท่านั้น แต่ครั้งนี้...กระหม่อมไม่อยากก้มอีกแล้ว”เขายกมือชี้ออกไปทางประตูพระที่นั่งไท่เหอ ก่อนกล่าวว่า “ทหารมีดดาบชั้นยอดจำนวนสามพันนาย บัดนี้อยู่ภายนอกพระที่นั่งไท่เหอเรียบร้อยแล้ว”“กระหม่อมรู้ดีว่า ฝ่าบาทมีปืนไฟ และอาวุธที่ระเบิดเทพต้าฉินทรงพลังยิ่ง หากให้เวลาพัฒนา คงกลายเป็นอาวุธสังหารอันน่าสะพรึงกลัวในอนาคต แต่เวลานี้ ฝ่าบาทมีน้อยเกินไป อีกทั้งในค่ำคืนที่ฝนตกหนักเช่นนี้ อานุภาพของอาวุธไฟก็จะลดลงจนเหลือน้อยนิด”“ที่สำคัญที่สุดก็คือ... ทหารทั้งสามพันนายของกระหม่อม ล้วนเป็นยอดฝีมือระดับแนวหน้าแห่งยุทธภพ สามารถกวาดล้างกองทัพปกติหนึ่งหมื่นนายได้ภายในเวลาอันสั้น”จ้าวเสวียนจีหัวเราะเบาๆ ราวกับได้พลิกไพ่ลับที่เตรียมไว้มาเนิ่นนาน มีความภูมิใจอย่างปิดไม่มิด “ที่สำคัญที่สุดคือ… ทหารสามพันนี้ มิใ
คำพูดของจ้าวเสวียนจี ได้เผยให้เห็นสถานการณ์ที่น่าอึดอัดที่สุดของหลี่เฉินอย่างหมดเปลือก ไม่มีแม้แต่นิดเดียวที่หลงเหลือให้ปิดบังหลี่เฉินในตอนนี้ แม้จะเป็นองค์รัชทายาท แม้จะทำหน้าที่สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่สิทธิอำนาจในมือของเขา โดยรากแท้แล้วยังคงเป็นสิ่งที่ฮ่องเต้ประทานให้ตราบใดที่หลี่เฉินยังไม่ขึ้นครองราชย์ ไม่ได้สวมชุดมังกร เช่นนั้นเขาก็ไม่อาจครอบครองราชอำนาจแท้จริงได้เลยต่อบรรดาข้าราชการท้องถิ่นแล้ว พวกเขายอมรับแค่สิ่งเดียว...ราชโองการ ยอมรับแค่บุคคลเดียว...ฮ่องเต้นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพายุการเมืองในครั้งนี้ ถึงเรียกได้เพียงว่า "พายุการเมือง" มิใช่การชิงราชสมบัติในสายตาของปวงชนแผ่นดิน สิ่งที่พวกเขาเห็น ก็แค่ความขัดแย้งระหว่างองค์รัชทายาทกับฝ่ายสำนักราชเลขาที่รุนแรงจนถึงขั้นยกทัพใส่กัน มิใช่การกบฏแย่งชิงราชบัลลังก์ของสำนักราชเลขาสองสิ่งนี้...แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงหากหลี่เฉินคือฮ่องเต้จริงๆ การกระทำของจ้าวเสวียนจีทั้งหมดนี้ ก็จะกลายเป็นการชิงบัลลังก์อย่างชัดเจน และจะก่อให้เกิดความโกลาหลไปทั่วทั้งแผ่นดิน ขุนนางในทุกหัวระแหงที่ยังมีความจงรักภักดีและสำนึกในคุณธรรม ย่อมต้องลุ
“ด้านนอกลมฝนรุนแรง ฝ่าบาททรงเปียกโชกทั้งตัว ดูก็รู้ว่าเส้นทางที่ก้าวเข้ามา ไม่ได้ราบรื่นเลยแม้แต่น้อย”จ้าวเสวียนจีมองหลี่เฉินด้วยแววตาสงบนิ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ใบหน้าแลดูใจดีอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ“ลมฝนหนักเช่นนี้ มีใครเล่าจะก้าวเดินได้อย่างสบาย?”หลี่เฉินพลิกมือปิดประตูพระที่นั่ง ลมฝนภายนอกถูกสกัดไว้ทันที ความสงบและอบอุ่นจึงกลับคืนสู่ท้องพระโรงอีกครั้ง“หากเพียงต้องการมุมหนึ่งอันสงบสุข ก็แค่ปิดประตูเท่านั้น ความสงบก็จะอยู่กับเราแล้วไม่ใช่หรือ?”จ้าวเสวียนจีกล่าว “ดี ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้องอย่างยิ่ง”หลี่เฉินย่างเท้าเข้าสู่พระที่นั่งไท่เหอด้วยฝีเท้าหนักแน่น หยุดยืนอยู่เบื้องล่างบัลลังก์ หันไปมองเก้าอี้มังกรแล้วเอ่ยกับจ้าวเสวียนจีข้างกาย “เก้าอี้ตัวนี้ ช่างเย้ายวนใจนักใช่หรือไม่?”จ้าวเสวียนจีก็มองไปยังเก้าอี้มังกรร่วมกับหลี่เฉินเขาไม่ได้ตอบคำถามของหลี่เฉิน กลับกล่าวเพียงว่า “ฝ่าบาท ถอยเถิด”หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ ไม่ขยับสายตา ไม่ตอบคำใด“กระหม่อมให้คำมั่น ว่าจะปกป้องฝ่าบาทให้ปลอดภัยไปตลอดชีวิต คำมั่นของกระหม่อมนี้ ฝ่าบาทเชื่อถือได้แน่นอน”หลี่เฉินพยักหน้า “ฟังดูจริงใจดี”
หลี่เฉินหันไปมองซูจิ่นพ่าที่อยู่ข้างกาย ยิ้มอ่อนเอ่ยว่า “เจ้าทำให้ข้ารู้สึกประหลาดใจมาก”ซูจิ่นพ่าไม่ได้ตอบ เพียงยอบกายทำความเคารพแบบสตรีผู้สูงศักดิ์อย่างอ่อนช้อยหลี่เฉินหลุดหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันไปกล่าวกับซูเจิ้นถิงว่า “แม่ทัพซู ลูกหลานตระกูลแม่ทัพเสือเจ้าฝีมือ เจ้าช่างมีบุตรีที่ดีนัก”ซูเจิ้นถิงก่อนหน้านี้อยู่หน้าประตูวัง เมื่อเขามาถึงพอดีกับที่ซูจิ่นพ่ากำลังตำหนีขุนนางพวกนั้น ด้วยสัญชาตญาณจึงไม่ได้รีบเข้าไป และการรอเพียงครู่เดียวนี้ ก็ทำให้เขาได้เห็นฝีมือกับสติปัญญาของบุตรสาวตัวเองอย่างชัดเจน นับว่ายอดเยี่ยมอย่างแท้จริง“ฝ่าบาทตรัสเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูเจิ้นถิงยกมือขึ้นคารวะ แล้วหันไปมองจางปี้อู่และขุนนางฝ่ายสำนักราชเลขาที่ใบหน้านิ่งสงบ จากนั้นกล่าวว่า “ฝ่าบาท ที่นี่ขอให้เป็นหน้าที่ของกระหม่อมกับท่านอาจารย์เถิดพ่ะย่ะค่ะ”ทหารย่อมต่อสู้กับทหาร แม่ทัพย่อมรับมือแม่ทัพบุคคลที่หลี่เฉินตั้งใจจะรับมือมาตลอด ไม่ใช่จางปี้อู่ และไม่ใช่ขุนนางทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังเขาเหล่านั้นแต่คือ...จ้าวเสวียนจี“ดี”หลี่เฉินพยักหน้าเบาๆ แล้วหมุนกาย มุ่งหน้าเข้าสู่พระที่นั่งไท่เหอในขณะที่หลี