สตรีศักดิ์สิทธิ์ขมวดคิ้ว นางต้องอยู่ข้างกายหลี่เฉินสิบปี จะให้ทำเช่นนั้นก็ไม่เป็นไรแต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะให้คำนับเหมือนตัวเองเป็นบ่าวในขณะที่นางลังเลและจะทำเช่นนั้น หลี่เฉินก็โบกมือแล้วพูดว่า “ไม่จำเป็น สตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่ปุถุชนธรรมดา นางเกิดในยุทธภพ คุ้นชินกับอิสรภาพ ไม่ต้องพูดถึงพิธีหยุมหยิมอะไรพวกนั้นหรอก มันก็แค่สิ่งที่มนุษย์กำหนดขึ้นเอง”สตรีศักดิ์สิทธิ์ได้ยินดังนั้นก็มองไปที่หลี่เฉินสักพักหนึ่ง แล้วพูดว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาท”หลี่เฉินตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดังความมั่นใจในการพิชิตใจสตรีศักดิ์สิทธิ์เพิ่มขึ้นมาสองจุดอย่างน้อย สตรีศักดิ์สิทธิ์ก็ยังสามารถสื่อสารได้ ไม่ใช่หินโดยสมบูรณ์ตราบใดที่ยังสามารถสื่อสารกันได้ หลี่เฉินก็ไม่เชื่อว่าเขาจะรับมือนางไม่ได้ เขาส่งสัญญาณให้นางกำนัลเพิ่มชามและตะเกียบคู่หนึ่งให้กับสตรีศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์จะไม่ได้แตะตะเกียบ แต่หลี่เฉินก็ไม่รีบร้อนผู้หญิงอย่างสตรีศักดิ์สิทธิ์ควรใช้วิธีแบบต้มกบในน้ำอุ่น หากรีบเร่งลงมือจะไม่ประสบความสำเร็จ มิหนำซ้ำอาจจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายเขาทานหม้อไฟและพูดกับตัวเองว
กงฮุยอวี่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลี่เฉินก็ยังคงได้รับชื่อจริงของสตรีศักดิ์สิทธิ์คงมีคนไม่มากในใต้หล้าที่รู้ชื่อจริงของนางวันรุ่งขึ้น หลี่เฉินตื่นแต่เช้าหลังจากลุกขึ้นจากเตียงอันอ่อนโยนของจ้าวหรุ่ยในพระที่นั่งร้อยบุปผา หลังจากล้างหน้าแต่งตัวแล้ว หลี่เฉินก็เดินไปที่พระที่นั่งสีเจิ้ง พร้อมฟังวั่นเจียวเจียวที่ติดตามเขาและกำลังรายงานตารางการทำงานของวันนี้ตามปกติ“เช้านี้ฝ่าบาทต้องตรวจสอบเอกสารราชการจากกรมโยธาธิการ เอกสารเหล่านี้ค่อนข้างสำคัญ โดยเฉพาะกรมโยธาธิการส่งคนมาถามถึงสองครั้ง โดยบอกว่ามีความจำเป็นเร่งด่วน ฝ่าบาทจำเป็นต้องทบทวนเอกสารแล้วค่อยให้นำไปปฏิบัติจริง”“นอกจากนี้ หลังรับประทานอาหารกลางวันแล้ว พระองค์ยังต้องทรงเข้าพบขุนนางจากกรมขุนนางด้วย เนื่องจากการสอบหน้าพระที่นั่งกำลังจะเริ่มขึ้น และกรมขุนนางยังไม่แน่ใจในรายละเอียดบางอย่าง จึงต้องการให้ฝ่าบาทตัดสินพระทัย”“นี่คือกำหนดการที่เตรียมไว้เมื่อวานนี้ นอกจากนี้ใต้เท้าซุนจากกรมพิธีการก็มาสอบถามว่า พรุ่งนี้เป็นวันที่อาจารย์จิ้งจือจะเข้าเมืองหลวง”“ตามกฎมณเฑียรบาล ราชสำนักจะส่งท่านอ๋องและขุนนางใหญ่ออกไปต้อนรับนักปราชญ์ผู้ยิ่ง
เมื่อมองไปที่เอกสารจากกรมโยธาธิการ หลี่เฉินก็ยกมือขึ้นจับถ้วยชาอุณหภูมิกำลังพอดี และชาที่ใช้คือชาต้าหงเผาที่ตัวเองชอบหลี่เฉินและวั่นเจียวเจียวเข้ากันได้มากขึ้นเรื่อยๆ “ไปเรียกกวนจือเหวยมา”หลังจากอ่านเอกสารต่อแล้ว หลี่เฉินไม่อนุมัติ แต่บอกให้วั่นเจียวเจียวนำไปส่งวั่นเจียวเจียวลุกขึ้นทันทีและออกไปสั่งงาน นางไม่จำเป็นต้องไปที่กรมโยธาธิการด้วยตัวเอง เพราะมีคนข้างนอกที่รับผิดชอบในการทำธุระและส่งข้อความให้หนึ่งเค่อต่อมา กวนจือเหวยก็มาถึงอย่างเร่งรีบ“ใครเป็นผู้ร่างโครงการนี้?”ไม่รอให้กวนจือเหวยทำความเคารพ หลี่เฉินก็ถามคำถามทันที“มันถูกร่างโดยขุนนางหลายคนของกรมโยธาธิการ โดยมีกระหม่อมและใต้เท้าอีกสองท่านร่วมกันตัดสินใจ” กวนจือเหวยตอบอย่างระมัดระวัง “นำกลับไปเขียนใหม่”สิ่งที่เกิดขึ้นทันทีหลังจากที่หลี่เฉินพูดจบคือ เอกสารถูกปาออกไปเอกสารลอยไปชนหมวกขุนนางของกวนจือเหวย และเขาก็ไม่กล้าขัดขืน เขารีบประคองหมวกของตัวเองแล้วหยิบเอกสารขึ้นมา ก่อนจะถามอย่างระมัดระวังว่า “ฝ่าบาท มีส่วนไหนที่ไม่เหมาะสมหรือไม่? กระหม่อมจะรีบกลับไปแก้ทันที”“มีส่วนไหนที่ไม่เหมาะสมหรือไม่? ทุกส่วนนั่
หลี่เฉินพูดด้วยน้ำเสียงตกตะลึง “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เจ้าจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ไปทำไม หยุดยกยอข้า แล้วออกไปพร้อมเอกสารงี่เง่านั่นซะ และถ้าเจ้าเขียนอะไรแบบนี้มาอีก ข้าจะให้เจ้าเป็นคนเฝ้าประตูหน้าตำหนักบูรพา”หลังจากที่กวนจือเหวยจากไป หลี่เฉินก็ยังคงจัดการราชกิจต่อไปเขาเรียกซานเป่าเข้ามา“เมื่อวันก่อน ราชสำนักได้จัดสรรเงิน 400,000 ตำลึงให้กับหยางโจวเพื่อซื้ออุปกรณ์สำหรับการเพาะปลูก เจ้าส่งองครักษ์เสื้อแพรไปตรวจสอบดูสิ ว่ามีใครกล้ายื่นมือออกมาหยิบเงินไปหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้นให้สับเป็นชิ้นๆ โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องรายงาน”“เงินพวกนี้ ข้าควักมาจากค่าพิธีอภิเษกสมรสของตัวเอง ใครกล้าแตะต้องเงินนี้ ก็เท่ากับเหยียบย่ำข้าเพื่อหากิน ข้าจะตัดหัวพวกมันทุกคน” ซานเป่ารับคำสั่งกงฮุยอวี่เฝ้าดูอย่างเงียบ ๆนางไม่เคยสัมผัสกับกิจบ้านเมือง จึงไม่เคยเห็นองค์รัชทายาทจัดการราชกิจเลย เดิมทีนางคิดว่าองค์รัชทายาทจะใช้เล่ห์เหลี่ยมและวิธีการอันโหดร้ายเพื่อควบคุมลูกน้องของตัวเองแต่นางก็พบว่านางคิดผิดตั้งแต่การจัดการเอกสารชุดแรกจากกรมโยธาธิการของหลี่เฉิน ไปจนถึงการจัดการกิจของรัฐในเวลาต่อมา กงฮุยอวี่จึงต
ไม่รู้ว่าทำไม แต่คราวนี้ กงฮุยอวี่ไม่ปฏิเสธนางเพิกเฉยต่อสายตาระมัดระวังและไม่พอใจของวั่นเจียวเจียว หลังจากนั่งตรงข้ามกับหลี่เฉินแล้ว นางก็มองไปที่อาหารสามจานกับซุปหนึ่งถ้วยบนโต๊ะด้วยความประหลาดใจเต้าหู้ฝูหรง, เมล็ดบัวตุ๋นแตงกวา, หัวสิงโตนึ่ง และน้ำซุปแปดสมบัติ นี่คืออาหารกลางวันสำหรับองค์รัชทายาทผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิต้าฉินถึงแม้ว่าอาหารเหล่านี้จะดูประณีตและอร่อย แต่เมื่อเทียบกับสถานะของหลี่เฉินแล้ว มันค่อนข้างดูยาจกมาก “อาหารไม่จำเป็นต้องฟุ่มเฟือย แค่อร่อยและอิ่มท้องก็พอ”หลี่เฉินรับถ้วยข้าวที่วั่นเจียวเจียวส่งให้ แล้วหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหาร พลางพูดกับกงฮุยอวี่ว่า “ทานอาหารด้วยกันสิ แต่ถ้าไม่คุ้นเคย กลับไปแล้ว ข้าบอกให้ห้องเครื่องทำอาหารที่เจ้าชอบ”กงฮุยอวี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นแล้วถอดผ้าคลุมออกท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าวรยุทธ์ของนางจะสูงแค่ไหน หรือนิสัยจะเย็นชาเพียงใด แต่นางก็ไม่สามารถเอาอาหารเข้าปากผ่านผ้าคลุมหน้าได้ความงามของกงฮุยอวี่ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าหลี่เฉินอีกครั้งอย่าว่าแต่หลี่เฉินเลย ในฐานะผู้หญิงด้วยกันอย่างวั่นเจียวเจียว เมื่อเห็นรูปโฉมของกงฮ
เมื่อเผชิญหน้ากับขุนนางชราผู้นี้ หลี่เฉินก็สุภาพมาก“เสนาบดีหูไม่ต้องมากพิธี ทานอาหารเที่ยงมาหรือยัง?”หูพีมารอที่ตำหนักบูรพาตั้งนานแล้ว แต่เวลานี้ หลี่เฉินกลับตั้งคำถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ และไม่ได้เชิญให้หูพีนั่งลง ความหมายนั้นชัดเจนดีอยู่แล้วแม้ว่าหูพีจะแก่ แต่ไม่ได้โง่เขลาเบาปัญญา เขารีบตอบกลับไปว่า “ก่อนจะมาก็ทานไปบ้างแล้ว พูดแล้วก็ละอายใจนัก กระหม่อมแก่แล้ว ท้องไส้จึงอ่อนแอ และยังป่วยมาสักระยะหนึ่งแล้ว ดังนั้น หมอจึงแนะนำอาหารเฉพาะให้กระหม่อมทานทุกวัน”หลี่เฉินพยักหน้า พอใจมากกับไหวพริบของเขาเขากำลังทานอาหารกับสาวงามกันสองคน แล้วจู่ๆ จะให้เพิ่มตาแก่อายุเจ็ดสิบแปดสิบปีเข้ามาได้อย่างไร“ถ้าอย่างนั้น ข้าจะไม่เชิญเสนาบดีหูมานั่งทานอาหารเที่ยงด้วยกัน”หูพีรีบคำนับ “ฝ่าบาทโปรดตามสบาย กระหม่อมรอได้”“ไม่ต้องรอ ท่านก็อายุมากแล้ว จะให้นั่งรอข้าขณะที่ทานอาหารได้อย่างไร นั่นคงจะน่าเกลียดมาก”หลี่เฉินกินไปพลางก็ดึงเข้าสู่หัวข้อไปพลาง“การสอบหน้าพระที่นั่งจะมีขึ้นในอีกไม่กี่วัน ข้ารู้ว่ากรมขุนนางอย่างพวกเจ้ากำลังกังวลเรื่องอะไร” “แต่วันนี้ ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังอย่างชัดเจน”“การ
หลังจากที่หูพีจากไปแล้ว หลี่เฉินก็วางชามและตะเกียบลง แต่กงฮุยอวี่ที่อยู่ตรงข้ามเขา กลับไม่ค่อยอยากอาหารมากนัก จึงทานอาหารเสร็จตั้งนานแล้ว จะเห็นได้ว่ากงฮุยอวี่อารมณ์ดี แม้แต่ชามซุปที่หลี่เฉินมอบให้ก็ยังทานไปตั้งครึ่งจู่ๆ หลี่เฉินก็ต้องการสำรวจความสามารถทางการเมืองของกงฮุยอวี่ เขาจึงถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า “จริงๆ แล้ว ข้าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกับเขามากนัก แต่เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงพูดคำเหล่านั้น?”กงฮุยอวี่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ยืมหูและปากของเขา เพื่อบอกให้คนอื่นฟัง?” หลี่เฉินยกยิ้มขึ้นมาตอนนี้เขาแน่ใจแล้วว่าวิธีการและการตอบสนองที่ผิดปกติของสำนักบัวขาวก่อนหน้านี้ จะต้องเกี่ยวข้องกับกงฮุยอวี่อย่างแน่นอน อาจต้องใช้เวลาในการตรวจสอบความสามารถทางการเมืองของนาง แต่อย่างน้อย ความฉลาดของผู้หญิงคนนี้ก็เป็นรองแค่ซูจิ่นพ่าเท่านั้น“หูพีที่เจ้าเห็นเมื่อครู่คือเสนาบดีกรมขุนนาง เขาเป็นผลผลิตของการต่อสู้และการประนีประนอมระหว่างตำหนักบูรพาและสำนักราชเลขา ข้าไม่จำเป็นต้องอธิบายถึงความสำคัญของกรมขุนนาง แต่กรมนี้ ทั้งตำหนักบูรพาและสำนักราชเลขาต่างต้องการที่จะควบคุมมัน และเห็
หลี่เฉินซึ่งมีงานยุ่งไม่ได้สนใจทัศนคติของวั่นเจียวเจียวที่มีต่อกงฮุยอวี่ส่วนวั่นเจียวเจียวดูเหมือนว่ายิ่งมองกงฮุยอวี่ก็ยิ่งรู้สึกไม่รื่นหูรื่นตา แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากองค์รัชทายาทอยู่ตรงหน้านาง นางจึงไม่กล้าแสดงท่าทางที่ไม่ดีออกมา จึงทำได้แค่อดกลั้นเท่านั้น กงฮุยอวี่ก็สังเกตเห็นสายตาที่ไม่เป็นมิตรของวั่นเจียวเจียวที่ส่งมาเป็นครั้งคราว แต่ด้วยนิสัยที่เย็นชาของนาง นางจึงไม่สนใจอีกฝ่ายสำหรับนาง ยกเว้นบางคน ทุกคนก็ไม่ต่างจากก้อนหินที่อยู่ริมถนนไม่ว่าคนอื่นจะชอบหรือเกลียด กงฮุยอวี่ก็ไม่เก็บมาใส่ใจสภาพแวดล้อมอันเงียบสงบดำเนินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในตอนเย็น มันก็ถูกทำลายด้วยรายงานทหาร “เยี่ยมมาก!”หลี่เฉินตะโกนอย่างตื่นเต้น ทำให้หวันวั่นเจียวเจียวตกใจ แม้แต่กงฮุยอวี่ก็ยังต้องเงยหน้ามองก่อนที่วั่นเจียวเจียวจะถามอย่างสงสัย นางได้ยินหลี่เฉินสั่งว่า “เจียวเจียว ไปบอกให้ห้องเครื่องจัดโต๊ะพร้อมอาหารเลิศรสกับสุราดีๆ สัก คืนนี้ข้าอยากจะดื่มฉลองสักสองจอก”วั่นเจียวเจียวรู้ว่า ในวันธรรมดาหลี่เฉินจะไม่ดื่มสุรา แต่ไม่ได้หมายความว่าหลี่เฉินจะดื่มไม่ได้ วั่นเจียวเจียวสามารถเป็นพยานได
คำถามนี้ทำให้สีหน้าของซูผิงเป่ยเปลี่ยนไปเล็กน้อยขณะที่ซูเจิ้นถิง ผู้เงียบขรึมมาโดยตลอดก็ขมวดคิ้ว ดวงตาสะท้อนความเคร่งเครียดออกมาหากจะพูดกันตามตรง การบัญชาการศึกตลอดทั้งแผนการของซูผิงเป่ยนั้นถือว่าโดดเด่นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะผู้ที่เพิ่งได้รับมอบหมายให้คุมศึกขนาดกลางครั้งแรกก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้วแต่ในสนามรบ ไม่มีใครไร้ข้อผิดพลาด และซูผิงเป่ยก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นความล้มเหลวครั้งใหญ่ที่สุดของเขาอยู่ที่การรบในทุ่งราบภูเขาฝูหู่ ก่อนศึกใหญ่กับตงอิ๋งเพื่อยุติสงครามให้รวดเร็ว ซูผิงเป่ยเลือกเปิดศึกตัดสินโดยพลการซึ่งส่งผลให้กลยุทธ์ของเราถูกฝ่ายตงอิ๋งจับไต๋ได้ และใช้แผนลวงตอบโต้กลับจนกองทัพกลางที่ซูผิงเป่ยบัญชาการถูกล้อมตี ทำให้กองทัพปีกซ้ายและขวาต้องละทิ้งเป้าหมายเดิมเพื่อหันกลับมาช่วยการถอยทัพเพื่อช่วยเหลือกองทัพกลางเช่นนี้ ทำให้แผนการเดิมล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง จากการเป็นฝ่ายครอบงำตงอิ๋งกลับกลายเป็นการต้องช่วยชีวิตกองทัพกลางแทนแม้ว่าสุดท้ายสถานการณ์จะพลิกกลับมาได้ แต่กองทัพของเราก็สูญเสียอย่างหนัก ซูผิงเป่ยเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสผลลัพธ์สุดท้ายอาจถือว่าเป็นชัยชนะ แต่หากนำ
หลี่เฉินกล่าวคำประกาศเพียงหนึ่งประโยค แต่กลับดุจดั่งบัญชาสวรรค์ที่หน้าประตูพระที่นั่งไท่เหอ ขันทีผู้หนึ่งที่มีเสียงดังที่สุดขานประกาศออกมาอย่างกึกก้องการขานประกาศนั้นเป็นเพียงพิธีกรรมเบื้องหน้า แต่มีผู้วิ่งเหยาะๆ ไปเรียกซูผิงเป่ย ผู้ที่รออยู่ด้านนอกพระที่นั่งให้เข้ามาตำแหน่งของซูผิงเป่ยยังไม่สูงพอที่จะเข้าร่วมการประชุมเช้ายามปกติ แต่วันนี้มีแผนที่จะพระราชทานรางวัลแก่เขา การที่เขามารออยู่ด้านนอกจึงเป็นเรื่องสมควรอยู่แล้วอย่างไรก็ตาม ซูผิงเป่ยไม่คาดคิดเลยว่า ก่อนจะได้พูดถึงเรื่องรางวัลสำหรับเขา กลับมีเสียงจากภายในกล่าวถึงการลงโทษเขาแทนเสียงจากในพระที่นั่งดังมาก และเขาที่รออยู่ด้านนอกได้ยินชัดเจนทุกคำซูผิงเป่ยก้าวเข้าพระที่นั่งด้วยท่วงท่าองอาจราวมังกรและพยัคฆ์ แสดงให้เห็นถึงบุคลิกของแม่ทัพที่โดดเด่น เขาคุกเข่าลงตรงกลางพระที่นั่ง ประสานหมัดกล่าวว่า "กระหม่อม ซูผิงเป่ย ขอคารวะองค์รัชทายาท ขอองค์รัชทายาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี"หลี่เฉินกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า "มีบางประเด็นที่เสนาบดีกรมยุทธนาการต้องการเผชิญหน้ากับเจ้าโดยตรง จงตอบคำถามของเขาให้ละเอียด""พ่ะย่ะค
แม้แต่ขุนนางหน้าใหม่ในราชสำนักยังรู้ว่าควรรักษาคำพูดไว้บ้าง กล่าวอย่างพอดีเจ็ดในสิบส่วน ทิ้งสามส่วนไว้เผื่อโอกาสต่อไปแต่หลิวถงปี้ผู้เป็นแม่ทัพกลับมีอารมณ์ร้อนแรงดั่งเพลิง ไม่เพียงแต่ด่าซั่งกวนเจาอย่างรุนแรง ยังพูดจาตรงไปตรงมาจนเผยให้เห็นจุดอ่อนของซั่งกวนเจาอย่างชัดเจนคราวนี้ ซั่งกวนเจาทนไม่ไหวเช่นกันใบหน้าของเขาแดงก่ำราวตับหมูและตะโกนกลับไปด้วยความโกรธ “หลิวถงปี้! เจ้าพูดจาใส่ร้ายเช่นนี้ เจ้าไม่รู้หรือว่าคำพูดที่เลินเล่ออาจนำภัยมาสู่ตัว!”“ภัย?”หลิวถงปี้หัวเราะเยาะ “ข้าเข้าร่วมกองทัพตั้งแต่อายุสิบหก ตอนอายุสิบเก้าก็ฆ่าทหารฮั่นได้สี่สิบคนด้วยมือเปล่า ในสนามรบล้วนเต็มไปด้วยลมฝนเลือดเนื้อ ข้าผ่านการต่อสู้นับไม่ถ้วนและได้รับตำแหน่งมาด้วยความสามารถของตัวเอง ข้ารู้แค่ว่าคำพูดของคนต้องมีความซื่อสัตย์ จะให้ข้ากลัวภัยจากคำพูด? น่าขำสิ้นดี!”“แต่เจ้าซั่งกวนเจา กลับกล่าวหาซูผิงเป่ยอย่างไร้เหตุผลราวกับว่าเขาเป็นคนทรยศชาติ เจ้าไม่กลัวหรือว่าทหารทั้งหลายที่เห็นต่างจะไปเคาะประตูบ้านเจ้าในยามค่ำคืน และฆ่าทั้งครอบครัวของเจ้าเสีย?”ถ้าก่อนหน้านี้ยังเป็นการด่าทั่วไป ตอนนี้หลิวถงปี้พูดจาข่มขู่ก
คำกล่าวของซั่งกวนเจาทำให้บรรยากาศที่เงียบสงบอยู่แล้วในพระที่นั่งไท่เหอกลับกลายเป็นความเงียบที่แทบไม่มีแม้แต่เสียงหายใจสิ่งเดียวที่สามารถได้ยิน คือเสียงหัวใจที่เต้นรัวของเหล่าขุนนางไม่มีใครคาดคิดว่า ซั่งกวนเจา ซึ่งขึ้นเป็นเสนาบดีกรมยุทธนาการด้วยการสนับสนุนของจ้าวเสวียนจี และมักทำตัวเงียบๆ นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง จะเปิดฉากโจมตีใส่ซูผิงเป่ยแบบไม่ไว้หน้าซูผิงเป่ยคือใคร?เขาคือหลานชายของเทพเจ้าแห่งสงคราม และเป็นบุตรชายของซูเจิ้นถิงที่สำคัญยิ่งกว่านั้น เขาคือคนสนิทขององค์รัชทายาทหลี่เฉิน และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่สุดในชัยชนะครั้งใหญ่ของสงครามนี้ในขณะที่ตำหนักบูรพากำลังวางแผนจะมอบรางวัลให้ซูผิงเป่ยเพื่อยกย่องและผลักดันเขาให้กลายเป็นตัวแทนของตำหนักบูรพาในแวดวงทหารแต่ซั่งกวนเจากลับเปิดฉากโจมตีใส่ซูผิงเป่ยแบบตรงๆนี่เป็นความบ้า…หรือความมั่นใจอย่างถึงที่สุดกันแน่?สายตาส่วนใหญ่ในที่ประชุมหันไปมองจ้าวเสวียนจีแต่จ้าวเสวียนจีกลับนิ่งเฉย ราวกับกำลังฟังเรื่องที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาซั่งกวนเจากล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น “สิ่งที่กระหม่อมกล่าวหาแม่ทัพซูผิงเป่ยนั้น มีทั้งพยานบุคคล
ในเช้าวันที่สดใส หลี่เฉินที่กำลังครุ่นคิดเรื่องพัฒนาปืนไฟ เดินทางไปยังพระที่นั่งไท่เหอ หลังจากเสวยมื้อเช้าแบบง่ายๆวันนี้คือวันประชุมเช้าซึ่งหลี่เฉินมีประเด็นสำคัญหลายเรื่องที่ต้องผ่านมติในที่ประชุม เพื่อออกเป็นนโยบายอย่างเป็นทางการของราชสำนักหนึ่งในเรื่องสำคัญคือการมอบรางวัลและการเลื่อนตำแหน่งให้กับกองทัพผู้ชนะนอกจากจะเป็นการยกย่องเหล่าทหารที่เสียสละชีวิตเพื่อบ้านเมืองแล้ว ยังเป็นโอกาสที่หลี่เฉินจะสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับกองทัพ และขยายอิทธิพลของตำหนักบูรพาในแวดวงการทหารเมื่อแสงแรกของวันพาดผ่านเมฆหมอก สะท้อนแสงอันงดงามบนสะพานทองหน้าพระที่นั่งไท่เหอ เหล่าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ทยอยเดินข้ามสะพานทองเข้าสู่ลานหน้าพระที่นั่งบนลานกว้างเหนือขั้นบันไดของพระที่นั่งไท่เหอ ที่หน้าประตูพระที่นั่งไท่เหอ ขันทีคนหนึ่งยืนถือแส้สำหรับประกาศความสงบในมือเพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!...เสียงป่าวร้องของขันทีดังขึ้นอย่างหนักแน่น "เข้า…เฝ้า!"ขุนนางฝ่ายบุ๋นนำโดยจ้าวเสวียนจี และฝ่ายบู๊นำโดยซูเจิ้นถิงฝ่ายบุ๋นอยู่ทางซ้าย ฝ่ายบู๊อยู่ทางขวา ขุนนางนับสิบคนที่มีคุณสมบัติเข้าเฝ้าต่างเดินเรียงแถวเ
เมื่อกงฮุยอวี่พูดจบ นางก็หลับตาลงพักผ่อนอีกครั้งโดยไม่สนใจหลี่เฉินแต่หลังจากนั้นไม่นาน นางก็ลืมตาขึ้นแอบมองเล็กน้อย และเห็นหลี่เฉินทำหน้าหม่นหมองอย่างหนักหน่วง ริมฝีปากของนางเผยรอยยิ้มเล็กๆ อย่างพึงพอใจ มันเป็นรอยยิ้มที่แม้จะเบาบาง แต่ก็แสดงความลำพองได้ชัดเจน“องค์ชาย!”เสียงของวั่นเจียวเจียวที่ดังขึ้นอย่างจงใจ ทำลายความเงียบบนหลังคา“ถึงเวลาเสวยมื้อเช้าแล้วเพคะ เสร็จแล้วต้องเสด็จไปประชุมเช้าเพคะ”วั่นเจียวเจียวมองกงฮุยอวี่ที่นั่งอยู่ข้างหลี่เฉินด้วยสายตาไม่พอใจ ในใจนางคิดว่า (นางจิ้งจอกนี่ เผยธาตุแท้ออกมาแล้วสินะ!)(ผู้หญิงที่ไหนจะไม่หลงเสน่ห์องค์ชายกัน!)(หน้าไม่อาย!)“มาแล้ว”หลี่เฉินลุกขึ้น ปัดฝุ่นออกจากชุดแล้วปีนลงจากบันได“จริงสิ”หลี่เฉินที่อยู่กลางบรรไดเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาเงยหน้าขึ้นพูดกับกงฮุยอวี่ “ส่งข่าวไปบอกเจ้าสำนักของเจ้าให้ไปฆ่าผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักหยินหยางที่ตงอิ๋งเสีย”กงฮุยอวี่ยังคงนิ่งเฉย แต่ในใจรู้สึกว่าหลี่เฉินช่างไร้เดียงสา นางคิดว่าเขาคงไม่เข้าใจว่าโลกนี้ไม่ได้หมุนรอบคำสั่งขององค์รัชทายาทคำขอเช่นนี้ช่างไร้สาระนัก“ไม่เช่นนั้น ราชสำ
กงฮุยอวี่ยิ้มบางๆ ก่อนตอบเรียบๆ “การบรรลุถึงระดับเซียนบนดินนั้น พรสวรรค์สำคัญกว่าความพยายาม และที่สำคัญยิ่งกว่าพรสวรรค์ คือโชคชะตา การฝึกฝนเพียงลำพังไม่อาจพาให้เข้าสู่ระดับนี้ได้ หากสวรรค์ไม่มอบโอกาส หรือหากตนเองไขว่คว้าโอกาสนั้นไว้ไม่ได้ ไม่ว่าจะฝึกหนักเพียงใดก็ไม่มีทางไปถึง และเจ้าสำนักรุ่นปัจจุบันของสำนักบัวขาว ก็คือผู้ที่บรรลุถึงระดับเซียนบนดิน”“ในระดับนี้ เขาสามารถอยู่ในสภาพที่คมดาบและหอกธรรมดาทำอะไรไม่ได้ ใช้ดอกไม้หรือใบไม้เป็นอาวุธสังหารได้ทุกชนิด เพียงแค่ปล่อยแรงกดดันจากพลังลมปราณออกมาก็สามารถสังหารผู้อื่นได้”คำอธิบายของกงฮุยอวี่ทำให้หลี่เฉินรู้สึกถึงภัยอันตรายที่ยิ่งใหญ่ในทันที เขาชี้ไปที่เหล่าองครักษ์เสื้อแพรที่ยืนคุ้มกันอยู่โดยรอบก่อนถาม “ถ้าหากเจ้าสำนักของเจ้ามาที่นี่ เหล่าองครักษ์เหล่านี้จะสามารถต้านทานเขาได้กี่คน?”กงฮุยอวี่ดูเหมือนจะรู้ว่าหลี่เฉินคิดอะไร นางตอบเสียงเรียบว่า “หากเป็นเพียงนักยุทธ์ธรรมดา ต่อให้มาหลายร้อยก็เป็นเพียงการมอบชีวิต แต่หากเป็นกองทัพที่มีการฝึกอย่างดีและครบเครื่อง ทั้งกำลังพลและอาวุธ เพียงไม่กี่พันก็สามารถทำให้เซียนบนดินต้องจบชีวิตได้”เมื่อไ
เป็นที่พิสูจน์ว่า หากต้องการยั่วโทสะหญิงสาว เพียงแค่เรียกนางด้วยชื่อที่ไม่น่าฟังเท่านั้นก็เพียงพอแม้ว่ากงฮุยอวี่จะเป็นคนเยือกเย็นปานใด แต่นางก็ยังเป็นมนุษย์ปุถุชน ไม่ใช่เซียนที่ลอยอยู่เหนือวิถีแห่งโลกียะ และยิ่งถ้าหากแม้แต่เซียนจริงๆ ได้ยินคำเรียกเช่นนี้จากหลี่เฉิน ก็คงอดที่จะเกิดโทสะไม่ได้เมื่อเห็นแววตาขุ่นเคืองของกงฮุยอวี่ หลี่เฉินหัวเราะเสียงดังพลางเอ่ยว่า “ทำไม เจ้าโปรดปรานการนั่งอยู่บนหลังคามากนักหรือ?”กงฮุยอวี่ส่งเสียงฮึเบาๆ อย่างเย็นชา ก่อนจะหลับตาลงนั่งสมาธิต่อ โดยไม่สนใจหลี่เฉินหลังจากนางหลับตา หลี่เฉินกลับเงียบไปอย่างน่าประหลาดเดิมที กงฮุยอวี่คิดว่าหลี่เฉินคงเบื่อและเดินจากไปแล้ว แต่เมื่อได้ยินเสียงที่ค่อยๆ ใกล้เข้ามา และลืมตาขึ้นอีกครั้ง นางกลับเห็นหลี่เฉินสั่งให้คนยกบันไดขึ้นมา และเขากำลังปีนบันไดขึ้นมาบนหลังคากงฮุยอวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย มองดูหลี่เฉินที่กำลังปีนขึ้นมา และเริ่มชั่งใจว่าควรจะลุกออกไปจากที่นี่หรือไม่แต่ก่อนที่นางจะตัดสินใจ หลี่เฉินก็ขึ้นมาถึงบนหลังคาแล้ว“บนนี้ วิวทิวทัศน์ดีไม่น้อยเลยทีเดียว”ตำหนักบูรพาตั้งอยู่ในที่สูงอยู่แล้ว และเมื่อขึ้นมาบนหล
ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “ท่านอ๋อง ข้ามั่นใจว่าสวีเว่ยต้องมีปัญหาแน่นอน เขาออกจากจวนบ่อยครั้งโดยไม่มีเหตุผล และทุกครั้งก็หายตัวไปโดยไร้ร่องรอย แม้เขาจะมีข้อแก้ตัวเสมอ แต่ข้ากล้าพูดได้ว่ามันต้องเป็นข้อแก้ตัวที่โกหก!”หลี่อิ๋นหู่มองชายชราอย่างไม่พอใจ ก่อนกล่าวว่า “เรื่องที่เขาเลี้ยงดูหญิงงามคนหนึ่ง ข้ารู้ดีอยู่แล้ว ผู้ชายจะมีผู้หญิงคนที่ชอบมันก็ธรรมดา หากเป็นเจ้า เจ้าออกไปหาผู้หญิงเจ้าจะป่าวประกาศให้ใครๆ รู้หรือไม่?”คำพูดของหลี่อิ๋นหู่ทำให้ชายชราพูดไม่ออก แต่เขายังยืนกรานว่า “โปรดให้เวลาข้าอีกสักนิด ข้าสัญญาว่าจะสืบหาความจริงเกี่ยวกับเขาให้ได้!”“เจ้าสืบเรื่องอ๋องแห่งแคว้นที่สนับสนุนหลงไหวอี้ให้ได้ก่อนเถอะ”หลี่อิ๋นหู่โบกมืออย่างรำคาญ “เอาเถอะ ออกไปซะ วันๆ เอาแต่ทำให้ข้าหนักใจ”ชายชราเปิดปากเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบ ถอนหายใจ แล้วออกจากห้องไปคืนนั้น หลี่เฉินถูกปลุกขึ้นจากการนอนอีกครั้งแม้ว่าดวงตาจะล้าจนร้อนผ่าว แต่เขายังรับรายงานลับสุดยอดจากเฉินทงมาพิจารณาเมื่ออ่านรายงานที่สวีเว่ยส่งมา หลี่เฉินถึงกับหายง่วงเป็นปลิดทิ้งรายงานแบ่งเป็นสองส่วน