เมื่อมองไปที่เอกสารจากกรมโยธาธิการ หลี่เฉินก็ยกมือขึ้นจับถ้วยชาอุณหภูมิกำลังพอดี และชาที่ใช้คือชาต้าหงเผาที่ตัวเองชอบหลี่เฉินและวั่นเจียวเจียวเข้ากันได้มากขึ้นเรื่อยๆ “ไปเรียกกวนจือเหวยมา”หลังจากอ่านเอกสารต่อแล้ว หลี่เฉินไม่อนุมัติ แต่บอกให้วั่นเจียวเจียวนำไปส่งวั่นเจียวเจียวลุกขึ้นทันทีและออกไปสั่งงาน นางไม่จำเป็นต้องไปที่กรมโยธาธิการด้วยตัวเอง เพราะมีคนข้างนอกที่รับผิดชอบในการทำธุระและส่งข้อความให้หนึ่งเค่อต่อมา กวนจือเหวยก็มาถึงอย่างเร่งรีบ“ใครเป็นผู้ร่างโครงการนี้?”ไม่รอให้กวนจือเหวยทำความเคารพ หลี่เฉินก็ถามคำถามทันที“มันถูกร่างโดยขุนนางหลายคนของกรมโยธาธิการ โดยมีกระหม่อมและใต้เท้าอีกสองท่านร่วมกันตัดสินใจ” กวนจือเหวยตอบอย่างระมัดระวัง “นำกลับไปเขียนใหม่”สิ่งที่เกิดขึ้นทันทีหลังจากที่หลี่เฉินพูดจบคือ เอกสารถูกปาออกไปเอกสารลอยไปชนหมวกขุนนางของกวนจือเหวย และเขาก็ไม่กล้าขัดขืน เขารีบประคองหมวกของตัวเองแล้วหยิบเอกสารขึ้นมา ก่อนจะถามอย่างระมัดระวังว่า “ฝ่าบาท มีส่วนไหนที่ไม่เหมาะสมหรือไม่? กระหม่อมจะรีบกลับไปแก้ทันที”“มีส่วนไหนที่ไม่เหมาะสมหรือไม่? ทุกส่วนนั่
หลี่เฉินพูดด้วยน้ำเสียงตกตะลึง “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เจ้าจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ไปทำไม หยุดยกยอข้า แล้วออกไปพร้อมเอกสารงี่เง่านั่นซะ และถ้าเจ้าเขียนอะไรแบบนี้มาอีก ข้าจะให้เจ้าเป็นคนเฝ้าประตูหน้าตำหนักบูรพา”หลังจากที่กวนจือเหวยจากไป หลี่เฉินก็ยังคงจัดการราชกิจต่อไปเขาเรียกซานเป่าเข้ามา“เมื่อวันก่อน ราชสำนักได้จัดสรรเงิน 400,000 ตำลึงให้กับหยางโจวเพื่อซื้ออุปกรณ์สำหรับการเพาะปลูก เจ้าส่งองครักษ์เสื้อแพรไปตรวจสอบดูสิ ว่ามีใครกล้ายื่นมือออกมาหยิบเงินไปหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้นให้สับเป็นชิ้นๆ โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องรายงาน”“เงินพวกนี้ ข้าควักมาจากค่าพิธีอภิเษกสมรสของตัวเอง ใครกล้าแตะต้องเงินนี้ ก็เท่ากับเหยียบย่ำข้าเพื่อหากิน ข้าจะตัดหัวพวกมันทุกคน” ซานเป่ารับคำสั่งกงฮุยอวี่เฝ้าดูอย่างเงียบ ๆนางไม่เคยสัมผัสกับกิจบ้านเมือง จึงไม่เคยเห็นองค์รัชทายาทจัดการราชกิจเลย เดิมทีนางคิดว่าองค์รัชทายาทจะใช้เล่ห์เหลี่ยมและวิธีการอันโหดร้ายเพื่อควบคุมลูกน้องของตัวเองแต่นางก็พบว่านางคิดผิดตั้งแต่การจัดการเอกสารชุดแรกจากกรมโยธาธิการของหลี่เฉิน ไปจนถึงการจัดการกิจของรัฐในเวลาต่อมา กงฮุยอวี่จึงต
ไม่รู้ว่าทำไม แต่คราวนี้ กงฮุยอวี่ไม่ปฏิเสธนางเพิกเฉยต่อสายตาระมัดระวังและไม่พอใจของวั่นเจียวเจียว หลังจากนั่งตรงข้ามกับหลี่เฉินแล้ว นางก็มองไปที่อาหารสามจานกับซุปหนึ่งถ้วยบนโต๊ะด้วยความประหลาดใจเต้าหู้ฝูหรง, เมล็ดบัวตุ๋นแตงกวา, หัวสิงโตนึ่ง และน้ำซุปแปดสมบัติ นี่คืออาหารกลางวันสำหรับองค์รัชทายาทผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิต้าฉินถึงแม้ว่าอาหารเหล่านี้จะดูประณีตและอร่อย แต่เมื่อเทียบกับสถานะของหลี่เฉินแล้ว มันค่อนข้างดูยาจกมาก “อาหารไม่จำเป็นต้องฟุ่มเฟือย แค่อร่อยและอิ่มท้องก็พอ”หลี่เฉินรับถ้วยข้าวที่วั่นเจียวเจียวส่งให้ แล้วหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหาร พลางพูดกับกงฮุยอวี่ว่า “ทานอาหารด้วยกันสิ แต่ถ้าไม่คุ้นเคย กลับไปแล้ว ข้าบอกให้ห้องเครื่องทำอาหารที่เจ้าชอบ”กงฮุยอวี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นแล้วถอดผ้าคลุมออกท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าวรยุทธ์ของนางจะสูงแค่ไหน หรือนิสัยจะเย็นชาเพียงใด แต่นางก็ไม่สามารถเอาอาหารเข้าปากผ่านผ้าคลุมหน้าได้ความงามของกงฮุยอวี่ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าหลี่เฉินอีกครั้งอย่าว่าแต่หลี่เฉินเลย ในฐานะผู้หญิงด้วยกันอย่างวั่นเจียวเจียว เมื่อเห็นรูปโฉมของกงฮ
เมื่อเผชิญหน้ากับขุนนางชราผู้นี้ หลี่เฉินก็สุภาพมาก“เสนาบดีหูไม่ต้องมากพิธี ทานอาหารเที่ยงมาหรือยัง?”หูพีมารอที่ตำหนักบูรพาตั้งนานแล้ว แต่เวลานี้ หลี่เฉินกลับตั้งคำถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ และไม่ได้เชิญให้หูพีนั่งลง ความหมายนั้นชัดเจนดีอยู่แล้วแม้ว่าหูพีจะแก่ แต่ไม่ได้โง่เขลาเบาปัญญา เขารีบตอบกลับไปว่า “ก่อนจะมาก็ทานไปบ้างแล้ว พูดแล้วก็ละอายใจนัก กระหม่อมแก่แล้ว ท้องไส้จึงอ่อนแอ และยังป่วยมาสักระยะหนึ่งแล้ว ดังนั้น หมอจึงแนะนำอาหารเฉพาะให้กระหม่อมทานทุกวัน”หลี่เฉินพยักหน้า พอใจมากกับไหวพริบของเขาเขากำลังทานอาหารกับสาวงามกันสองคน แล้วจู่ๆ จะให้เพิ่มตาแก่อายุเจ็ดสิบแปดสิบปีเข้ามาได้อย่างไร“ถ้าอย่างนั้น ข้าจะไม่เชิญเสนาบดีหูมานั่งทานอาหารเที่ยงด้วยกัน”หูพีรีบคำนับ “ฝ่าบาทโปรดตามสบาย กระหม่อมรอได้”“ไม่ต้องรอ ท่านก็อายุมากแล้ว จะให้นั่งรอข้าขณะที่ทานอาหารได้อย่างไร นั่นคงจะน่าเกลียดมาก”หลี่เฉินกินไปพลางก็ดึงเข้าสู่หัวข้อไปพลาง“การสอบหน้าพระที่นั่งจะมีขึ้นในอีกไม่กี่วัน ข้ารู้ว่ากรมขุนนางอย่างพวกเจ้ากำลังกังวลเรื่องอะไร” “แต่วันนี้ ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังอย่างชัดเจน”“การ
หลังจากที่หูพีจากไปแล้ว หลี่เฉินก็วางชามและตะเกียบลง แต่กงฮุยอวี่ที่อยู่ตรงข้ามเขา กลับไม่ค่อยอยากอาหารมากนัก จึงทานอาหารเสร็จตั้งนานแล้ว จะเห็นได้ว่ากงฮุยอวี่อารมณ์ดี แม้แต่ชามซุปที่หลี่เฉินมอบให้ก็ยังทานไปตั้งครึ่งจู่ๆ หลี่เฉินก็ต้องการสำรวจความสามารถทางการเมืองของกงฮุยอวี่ เขาจึงถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า “จริงๆ แล้ว ข้าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกับเขามากนัก แต่เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงพูดคำเหล่านั้น?”กงฮุยอวี่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ยืมหูและปากของเขา เพื่อบอกให้คนอื่นฟัง?” หลี่เฉินยกยิ้มขึ้นมาตอนนี้เขาแน่ใจแล้วว่าวิธีการและการตอบสนองที่ผิดปกติของสำนักบัวขาวก่อนหน้านี้ จะต้องเกี่ยวข้องกับกงฮุยอวี่อย่างแน่นอน อาจต้องใช้เวลาในการตรวจสอบความสามารถทางการเมืองของนาง แต่อย่างน้อย ความฉลาดของผู้หญิงคนนี้ก็เป็นรองแค่ซูจิ่นพ่าเท่านั้น“หูพีที่เจ้าเห็นเมื่อครู่คือเสนาบดีกรมขุนนาง เขาเป็นผลผลิตของการต่อสู้และการประนีประนอมระหว่างตำหนักบูรพาและสำนักราชเลขา ข้าไม่จำเป็นต้องอธิบายถึงความสำคัญของกรมขุนนาง แต่กรมนี้ ทั้งตำหนักบูรพาและสำนักราชเลขาต่างต้องการที่จะควบคุมมัน และเห็
หลี่เฉินซึ่งมีงานยุ่งไม่ได้สนใจทัศนคติของวั่นเจียวเจียวที่มีต่อกงฮุยอวี่ส่วนวั่นเจียวเจียวดูเหมือนว่ายิ่งมองกงฮุยอวี่ก็ยิ่งรู้สึกไม่รื่นหูรื่นตา แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากองค์รัชทายาทอยู่ตรงหน้านาง นางจึงไม่กล้าแสดงท่าทางที่ไม่ดีออกมา จึงทำได้แค่อดกลั้นเท่านั้น กงฮุยอวี่ก็สังเกตเห็นสายตาที่ไม่เป็นมิตรของวั่นเจียวเจียวที่ส่งมาเป็นครั้งคราว แต่ด้วยนิสัยที่เย็นชาของนาง นางจึงไม่สนใจอีกฝ่ายสำหรับนาง ยกเว้นบางคน ทุกคนก็ไม่ต่างจากก้อนหินที่อยู่ริมถนนไม่ว่าคนอื่นจะชอบหรือเกลียด กงฮุยอวี่ก็ไม่เก็บมาใส่ใจสภาพแวดล้อมอันเงียบสงบดำเนินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในตอนเย็น มันก็ถูกทำลายด้วยรายงานทหาร “เยี่ยมมาก!”หลี่เฉินตะโกนอย่างตื่นเต้น ทำให้หวันวั่นเจียวเจียวตกใจ แม้แต่กงฮุยอวี่ก็ยังต้องเงยหน้ามองก่อนที่วั่นเจียวเจียวจะถามอย่างสงสัย นางได้ยินหลี่เฉินสั่งว่า “เจียวเจียว ไปบอกให้ห้องเครื่องจัดโต๊ะพร้อมอาหารเลิศรสกับสุราดีๆ สัก คืนนี้ข้าอยากจะดื่มฉลองสักสองจอก”วั่นเจียวเจียวรู้ว่า ในวันธรรมดาหลี่เฉินจะไม่ดื่มสุรา แต่ไม่ได้หมายความว่าหลี่เฉินจะดื่มไม่ได้ วั่นเจียวเจียวสามารถเป็นพยานได
ข่าวชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่แนวหน้าไม่อาจปกปิดได้และหลี่เฉินก็ไม่มีเจตนาที่จะซ่อนมันเลยเรื่องดีๆ แบบนี้ หลี่เฉินยังไม่มีเวลาจะได้ประกาศ แล้วจะเริ่มปกปิดมันได้อย่างไรดังนั้นในวันนั้น ข่าวที่ว่าซูผิงเป่ยของต้าฉินเอาชนะกองทัพตงอิ๋ง และจับกุมแม่ทัพใหญ่อย่าง เคียวจิโระ คุซานางิ ทั้งเป็นได้ ก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงในทันที และข่าวนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วประเทศในอัตราที่น่าตกใจราชสำนักทั้งบนจรดล่างต่างพากันดีใจอย่างบ้าคลั่งอย่างน้อยนั่นคือสิ่งที่แสดงออกมาบนผิวเผินไม่รู้ว่ามีขุนนางและประชาชนสักกี่คนที่อดไม่ได้ที่จะร้องไห้เมื่อได้ทราบข่าวนี้ต้าฉินอ่อนแอมาเป็นเวลานานจนผู้คนหวาดกลัวสงคราม เพราะทุกครั้งที่พวกเขาทำสงคราม พวกเขาจะต้องพ่ายแพ้เป็นผลให้ทั้งทหาร ขุนนาง หรือแม้แต่ประชาชนทั่วไปได้สูญเสียจิตวิญญาณของต้าฉินที่ใช้กำลังในการสร้างประเทศเมื่อต้องเผชิญกับความขัดแย้งและสงคราม การแสวงหาสันติภาพจะเป็นกระแสหลักอยู่เสมอเราไม่สามารถเอาชนะเขาได้อยู่ดี ถ้าเราแพ้ เราไม่เพียงแต่ต้องจ่ายเงินเท่านั้น แต่ยังถูกฆ่าด้วย แล้วทำไมจะต้องสู้?การรบในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ชนะการต่อสู้เท่านั้น แต่ยังได
คำขอของซูเจิ้นถิงดูเหมือนจะอุกอาจยิ่งนักหากซูผิงเป่ยได้ยินประโยคนี้เข้า เกรงว่าเขาอาจจะตัดความสัมพันธ์พ่อลูกกับซูเจิ้นถิงทันทีแต่หลี่เฉินกลับมองเห็นถึงความคิดและความพยายามอันอุตสาหะเบื้องหลังซูเจิ้นถิง ซูผิงเป่ยยังเด็กเกินไป ตำแหน่งราชการสูงเงินเดือนมาก ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะควบคุมได้ เพราะท้ายที่สุดแล้วตระกูลซูก็เจริญรุ่งเรืองจนเกินไปตอนนี้ตระกูลซูมีตำหนักบูรพาคอยหนุนหลัง และซูเจิ้นถิงก็ได้รับการปฏิบัติเป็นขุนนางใหญ่ท่านหนึ่ง ถ้าหากซูผิงเป่ยจะคิดใช้คุณูปการทางทหารจริงๆ นี่ไม่ได้หมายความว่าจะมีจอมทัพสองคนจากตระกูลซูงั้นหรือ?ไม่ต้องพูดถึงว่าคนในราชสำนักจะคิดอย่างไรเลย ถึงตอนนั้น แม้แต่หลี่เฉินก็ต้องระแวงสำหรับอำนาจรัฐแล้ว สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่พวกขุนนางกังฉินเหล่านั้น เพราะถึงแม้ว่าพวกเขาจะกระโดดโลดเต้นรุนแรงกว่านี้ แต่ด้วยอำนาจทหารในมือ ชั่วชีวิตของนักวิชาการพวกนั้นก็ไม่มีทางโค่นล้มราชบัลลังก์ได้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม หลี่เฉินถึงเอาแต่แบ่งแยกราชสำนัก และต่อกรกับจ้าวเสวียนจีมาโดยตลอด แต่กลับไม่เริ่มลงมือกับอ๋องข้าราชบริพารสักที แม้ว่าหนิงอ๋องจะขยายกรงเล็บของเข
หลี่เฉินต้องการถอดถอนอำนาจและตำแหน่งทั้งหมดของหลี่อิ๋นหู่ จำเป็นต้องผ่านสำนักคุมประพฤติเว้นแต่ว่าเขาจะเป็นฮ่องเต้ที่สามารถใช้อำนาจแห่งราชบัลลังก์บังคับบัญชาได้โดยตรง มิฉะนั้น ต่อให้เป็นองค์รัชทายาทผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็ยังต้องคำนึงถึงท่าทีของสำนักคุมประพฤติเรื่องของสำนักคุมประพฤติจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยากง่ายตรงที่หากหาคนที่มีอำนาจตัดสินใจถูกต้อง และมอบผลประโยชน์ที่อีกฝ่ายต้องการ เรื่องนี้ก็สามารถจัดการได้ทันที ยากตรงที่หากสำนักคุมประพฤติยืนกรานขัดขวาง หลี่เฉินก็แทบไม่มีหนทางจัดการกับพวกผู้เฒ่าที่สูงศักดิ์แต่หัวโบราณเหล่านั้น โชคดีที่ครั้งนี้หลี่เฉินเลือกถูกคน หลี่ชางหลานคือกุญแจสำคัญ และผลประโยชน์ที่เสนอให้ก็เป็นสิ่งที่อีกฝ่ายปฏิเสธไม่ได้ดังนั้นโอกาสที่จะได้รับการจัดการเรื่องนี้จึงสูงมากในช่วงเย็นของวัน สำนักคุมประพฤติส่งข่าวมาว่าพวกเขายอมรับบทลงโทษทั้งหมดที่ตำหนักบูรพากำหนดแก่หลี่อิ๋นหู่"องค์ชาย ได้ยินว่าครั้งนี้จงเหรินลิ่งต้องจ่ายไม่น้อย สำนักคุมประพฤติยังมีผู้อาวุโสบางคนที่เห็นว่าการกระทำขององค์ชายเป็นการทำร้ายสายเลือดเดียวกัน เกรงว่าฝ่าบาทอาจไม่พอพระทัย"
หลี่เฉินไม่ได้ยืนยันเรียกเขาว่าเสด็จปู่ใหญ่ และก็ไม่ได้เรียกตำแหน่งของเขา แต่เลือกใช้คำว่าผู้อาวุโสหลี่เมื่อปัญหาเรื่องสรรพนามถูกแก้ไขอย่างลงตัว หลี่ชางหลานจึงรับถ้วยชาด้วยสองมือ แล้วยกขึ้นจิบเบาๆหลังจากวางถ้วยชาลง เขากล่าวว่า “ชาดีจริงๆ”หลี่เฉินยิ้มพลางกล่าว “หากผู้อาวุโสหลี่ชอบ ข้าจะให้คนเตรียมไว้ให้ท่านนำกลับไป”หลี่ชางหลานโบกมือ “สุภาพชนไม่แย่งของรักของผู้อื่น ชาดีที่องค์ชายสะสมไว้ ข้าไม่ควรนำไป”“ก็ไม่ได้มีค่าอะไรมาก ก่อนหน้านี้ตอนข้าพระราชทานตำแหน่งท่านอ๋องให้หลี่อิ๋นหู่ เขามอบชานี้มาเป็นของขวัญขอบคุณ”เพียงประโยคเดียว ทำให้มือของหลี่ชางหลานที่กำลังจะยกถ้วยชาขึ้นดื่มค้างอยู่กลางอากาศเมืองหลวงไม่มีความลับ โดยเฉพาะเหตุการณ์วันนี้ที่หลี่อิ๋นหู่ขึ้นไปเดินบนภูเขาจิ่งซานเพื่อขอพร แต่กลับเป็นต้นเหตุทำให้ราษฎรหลายพันคนต้องเสียชีวิตเรื่องนี้ทำให้ทั้งเมืองหลวงปั่นป่วนไปหมดแม้ว่าหลี่ชางหลานจะถูกเรียกตัวมาอย่างเร่งรีบ แต่เขาก็รับรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างองค์รัชทายาทและจ้าวอ๋องได้ขาดสะบั้นลงโดยสิ้นเชิงบัดนี้เมื่อได้ยินชื่อของหลี่อิ๋นหู่จากปากของหลี่เฉิน เขารู้สึกเหมือนมีดเห
"เมื่อครั้งกระหม่อมกวาดล้างหมู่บ้านเหมียว ก็เป็นเพียงฐานที่มั่นหลักของตระกูลโจวเท่านั้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีหญิงสาวจากตระกูลโจวแต่งงานออกไปมากมายจนยากจะนับได้ บุตรหลานของพวกนางหลายคนต่างก็มีอำนาจในมือ หากโจวสิงเจี่ยเปล่งวาจาเรียกหา พวกมันสามารถรวมกำลังคนจำนวนมากได้ในเวลาอันสั้น อย่างน้อยก็สามารถฟื้นฟูหมู่บ้านตระกูลโจวขึ้นมาใหม่ได้อย่างแน่นอน"ซานเป่าอธิบายอย่างละเอียด แต่สีหน้าของหลี่เฉินกลับไร้ความรู้สึกผ่านไปครู่หนึ่ง หลี่เฉินกล่าวว่า "ปัญหาของเหมียวเจียงเป็นเรื่องใหญ่ ไม่อาจลงมือโดยพลการได้ในตอนนี้ แต่โจวสิงเจี่ยและหลี่อิ๋นหู่ร่วมมือกันสังหารราษฎรไปนับพัน รวมถึงหลี่อิ๋นหู่ยังฆ่าองค์ชายเก้า เรื่องเหล่านี้ไม่มีทางปล่อยผ่านไปได้"น้ำเสียงของหลี่เฉินเรียบเฉย "ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ประกาศจับตัวหลี่อิ๋นหู่และโจวสิงเจี่ย หน่วยบูรพาต้องไล่ล่าพวกมันอย่างเต็มกำลัง ผู้ใดพบร่องรอยและรายงานเข้ามาจะได้รับรางวัลใหญ่"ซานเป่าได้ยินดังนั้นก็เอ่ยถาม "แต่ว่าตำแหน่งของจ้าวอ๋อง"การที่ราชสำนักประกาศจับท่านอ๋อง เป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและถือเป็นเรื่องอื้อฉาวของราชวงศ์หลี่เฉินกล่าวเรี
ซานเป่ากัดฟันแน่น จำต้องล้มเลิกการไล่ตามหลี่อิ๋นหู่และโจวสิงเจี่ยเขากวาดตามองไปรอบๆ พบว่าฝูงแมลงที่หนาแน่นจนมองแทบไม่เห็นพื้นกำลังเริ่มถอยกลับ ทิ้งไว้เพียงซากศพจำนวนมากนับพันในคลื่นแมลงครั้งนี้ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่โชคดีหรือมีฝีมือพอจะรอดพ้นจากหายนะได้ ส่วนที่เหลือซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ รวมถึงต้าหลี่ซื่อชิง หวังฟู่ย่ง ต่างก็กลายเป็นวิญญาณใต้ฝูงแมลงไปทั้งหมดเมื่อฝูงแมลงสลายไป สิ่งที่เผยออกมาก็คือซากศพที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น ซากศพเหล่านี้ไม่มีเลือดไหลออกมา แต่เนื้อหนังทั้งหมดถูกแมลงกัดแทะจนขาดวิ่นแทบไม่เหลือชิ้นดีที่โชคร้ายที่สุดคงเป็นหวังฟู่ย่ง ศพของเขาตอนนี้เหลือเพียงโครงกระดูกเท่านั้น แม้แต่เศษเนื้อขนาดฝ่ามือก็ไม่เหลือกลิ่นคาวเลือดและกลิ่นเหม็นของแมลงลอยคลุ้งไปทั่วอากาศ ผสานกับภาพของซากศพที่เกลื่อนกลาดอยู่รอบตัว เป็นภาพที่สร้างแรงกระแทกให้จิตใจอย่างรุนแรง ใบหน้าของซานเป่าดำทะมึนจนแทบจะบีบหยดน้ำออกมาได้เขารู้ดีว่าตัวเองกำลังเผชิญกับปัญหาใหญ่แล้ว…พระที่นั่งสีเจิ้งหลี่เฉินมองดูซากศพของแมลงสีดำที่วางอยู่ตรงหน้า กับซานเป่าที่คุกเข่าอยู่บนพื้นมานานกว่าครึ่งชั่วยาม ใบห
ผู้ที่ซุ่มโจมตีมีความชำนาญอย่างยิ่ง ขณะที่เขาจู่โจมออกมาอย่างกะทันหัน ซานเป่าทำได้เพียงบิดร่างหลบเลี่ยงจุดสำคัญ แต่ก็ยังไม่อาจหนีจากฝ่ามือที่พุ่งเข้ากระแทกไหล่ของเขาเสียงกระแทกหนักหน่วงดังขึ้น ท่ามกลางเสียงอุทานของซานเป่า ร่างทั้งสองแยกออกจากกัน ซานเป่าถูกกระแทกจนลอยกระเด็นไปไกลกว่าสิบก้าว เมื่อตกลงสู่พื้นยังต้องถอยหลังอีกสามก้าว แต่ละก้าวหนักแน่นราวขุนเขาถล่ม พื้นดินที่เหยียบย่ำแตกร้าวสะเทือนทันทีที่ซานเป่าตั้งหลักได้ ฝูงแมลงสีดำรอบตัวก็คล้ายได้รับคำสั่ง พวกมันพุ่งโจมตีเข้าใส่เขาอย่างบ้าคลั่งซานเป่าครางเสียงต่ำ พลังภายในพลุ่งพล่านออกจากร่าง ส่งแรงสั่นสะเทือนกระจายออกไป แมลงที่ไต่ขึ้นบนตัวเขาถูกสังหารจนหมดสิ้น ร่วงหล่นลงบนพื้นแต่ก่อนที่เขาจะทันได้หายใจ โลหิตของแมลงที่ถูกฆ่าล่อให้แมลงจำนวนมากยิ่งกว่าถาโถมเข้ามาอีกครั้ง ซานเป่ารู้ว่าสถานการณ์นี้ไม่อาจปล่อยให้ยืดเยื้อ เขากลืนลมหายใจลงคอ พลังลมปราณรวมศูนย์ในปาก ก่อนจะเปล่งเสียงร้องกึกก้องเสียงคำรามแหลมสูงดั่งระเบิดเสียง สร้างคลื่นพลังที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า คลื่นพลังกระจายออกไปทุกทิศทาง แมลงทุกตัวที่อยู่ในรัศมีของคลื่นพลังสั่นสะ
เมื่อฝูงแมลงสีดำเหล่านี้ปรากฏตัวขึ้น ก็สร้างความหวาดกลัวอย่างรุนแรงในทันทีเพราะผู้คนพบว่า แมลงเหล่านี้ไม่เพียงแต่ไม่กลัวมนุษย์เท่านั้น แต่ยังมองมนุษย์เป็นเป้าหมายโจมตีโดยตรงทันทีที่พวกมันไต่ขึ้นบนร่างของผู้ใด ร่างนั้นจะรู้สึกคันอย่างรุนแรงเกินจะทนไหว และเมื่อพยายามใช้มือเกา ก็จะพบว่าแมลงเหล่านี้สามารถปล่อยของเหลวชนิดหนึ่งออกมา ทำให้ผิวหนังอ่อนแอลงอย่างมาก เพียงเกาเบาๆ ผิวก็ปริแตกกลายเป็นบาดแผลเลือดไหลและเมื่อได้กลิ่นเลือด แมลงพวกนี้ก็ยิ่งคลุ้มคลั่งพวกมันจะแทรกตัวเข้าไปในบาดแผลที่เปิดออก ยิ่งมีมันมากเท่าใด ความคันก็ยิ่งรุนแรงขึ้น จนเจ้าของร่างทนไม่ไหวและเผลอเกาจนแผลขยายกว้างออกไปเรื่อยๆ ชาวบ้านจำนวนมากล้มลงกลางฝูงแมลงสีดำ แมลงเหล่านี้เลื้อยปกคลุมทั่วร่างผู้เคราะห์ร้าย ภายในพริบตาเดียว ทุกเสียงร้องขอความช่วยเหลือก็เงียบหายไป ผู้ที่ล้มลงไปจะถูกแมลงปกคลุมจนมิดร่าง และเพียงไม่กี่อึดใจ ก็ไร้ซึ่งสัญญาณของชีวิตภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้ซานเป่ากัดฟันแน่นด้วยความโกรธจัด"เจียวเจียว หนีไปเร็ว!"ซานเป่าฟาดฝ่ามือออกไป ปลดปล่อยพลังทำลายล้างเปิดเส้นทางออกจากวงล้อมของฝูงแมลง แมลงนับไม่ถ้วนถูก
“สิ่งใดเล่ายากจะปิดปากที่สุด ก็คือเสียงของปวงประชาที่เล่าขานไปทั่วแผ่นดิน!”“องค์รัชทายาทต้องการกำจัดข้า แต่กลับไม่ต้องการให้ถูกตราหน้าว่าฆ่าพี่น้องร่วมสายโลหิต จึงต้องใช้เล่ห์กลมากมาย เขาคิดว่าข้าไม่รู้หรือ? คิดว่าผู้อื่นล้วนตาบอดกระนั้นหรือ!?”หลี่อิ๋นหู่ที่อยู่ในสภาพคล้ายคนเสียสติ กล่าวถ้อยคำเหล่านี้ออกมา ซานเป่าเพียงกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “จ้าวอ๋อง อย่าได้ทำตัวไร้สาระต่อหน้าฝูงชนไปมากกว่านี้เลย มีประโยชน์อันใด? หากพูดถึงเรื่องฆ่าพี่น้องร่วมสายเลือดแล้ว จะมีผู้ใดเลือดเย็นและเหี้ยมโหดไปมากกว่าท่านที่ลงมือสังหารน้องชายแท้ๆ ของตนเองอีกหรือ?”สิ้นคำ ซานเป่าดูเหมือนไม่ต้องการเสียเวลาอีกต่อไป เขาก้าวเท้าเดินตรงไปหาหลี่อิ๋นหู่ยิ่งเดินยิ่งเร่งฝีเท้า เพียงก้าวไม่กี่ครั้ง ก็เข้ามาอยู่ในระยะไม่ถึงสองจั้งจากหลี่อิ๋นหู่หวังฟู่ย่งเห็นซานเป่าเพิกเฉยต่อความปลอดภัยของตนเอง และคิดจะลงมือจับกุมหลี่อิ๋นหู่ให้ได้ จึงหวาดกลัวจนแทบวิญญาณหลุดจากร่างภายในดวงตาของซานเป่าเต็มไปด้วยประกายคมกล้า เขารู้ดีว่าระยะห่างนี้เพียงพอให้ตนเองจัดการทุกอย่างได้ตามที่ต้องการ“อย่าหวังเลย!”หลี่อิ๋นหู่ตะโกนลั่
สำหรับหลี่อิ๋นหู่ในยามนี้ เรื่องของแผนการในอนาคตหรือการรักษาสถานการณ์ให้อยู่ในมือ ล้วนไม่สำคัญอีกต่อไปสิ่งที่สำคัญที่สุด คือการเอาชีวิตรอดจากสถานการณ์ตรงหน้าเขารู้ดีว่าหากตนถูกจับตัวไปโดยไม่มีทางขัดขืน สิ่งที่รออยู่เบื้องหน้าคือหายนะอันมิอาจหลีกเลี่ยงถึงตอนนั้น อย่าว่าแต่การแย่งชิงแผ่นดินกับองค์รัชทายาทเลย แม้แต่การมีชีวิตรอดไปจนเห็นแสงอาทิตย์ของวันพรุ่งนี้ก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มาดังนั้นหลี่อิ๋นหู่จึงตัดสินใจทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาชีวิตของตนเองและขั้นตอนแรก คือการทำให้หวังฟู่ย่งไม่สามารถเดินทางไปยังตำหนักบูรพาได้หวังฟู่ย่งมีสีหน้าลำบากใจ เขาพูดเสียงเบา “จ้าวอ๋อง ข้าน้อยเองก็ไม่อยากไป แต่หากข้าขัดขืนคำสั่งของตำหนักบูรพาตรงๆ เกรงว่าเหล่าหน่วยบูรพาจะมีข้ออ้างในการสังหารข้า ณ ที่นี้ทันที ถึงตอนนั้นเราทั้งสองคงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากกว่าเดิม”“เช่นนั้นแล้ว จ้าวอ๋องโปรดเดินทางไปกับข้าก่อน แล้วค่อยดูสถานการณ์เป็นขั้นๆ หากแย่ที่สุด อย่างน้อยเราก็สามารถถ่วงเวลาให้ผู้อาวุโสได้เตรียมการรองรับไว้ ผู้อาวุโสไม่มีทางนั่งมองให้จ้าวอ๋องถูกตำหนักบูรพากลืนกินไปแน่”“เจ้าหุบป
เพียงแค่เป็นบุคคลสำคัญผู้มีอำนาจ ย่อมต้องมีอย่างน้อยหนึ่งหรือสองคนที่มีสถานะพิเศษอยู่เคียงข้างเช่น ซานเป่าผู้ติดตามข้างกายฮ่องเต้องค์ก่อน หรือวั่นเจียวเจียวที่อยู่เคียงข้างหลี่เฉินในตอนนี้วั่นเจียวเจียว แม้จะมีตำแหน่งเป็นข้าราชสำนักสตรี แต่เมื่อครั้งที่ได้รับเลือกให้ติดตามหลี่เฉิน นางก็ไม่ได้ถูกบรรจุเข้าเป็นขุนนางในราชสำนักต้าฉินกล่าวคือ วั่นเจียวเจียวไม่มีตำแหน่ง ไม่มีฐานะขุนนางในระบบหากจะกล่าวให้ถูกต้อง วั่นเจียวเจียวขึ้นตรงต่อตำหนักบูรพา ได้รับเงินเดือนจากตำหนักบูรพา และหน้าที่ของนางโดยแท้จริงก็คือการรับใช้ข้างกายองค์รัชทายาทแต่เพราะนางอยู่ใกล้ชิดองค์รัชทายาท วันหนึ่งสิบสองชั่วยาม นอกจากเวลานอนแล้ว นางแทบไม่ห่างจากพระองค์เลย ดังนั้น แม้จะไม่มีตำแหน่งเป็นทางการ แต่กลับเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลอย่างมากไม่มีผู้ใดอยากขัดใจคนที่ติดตามองค์รัชทายาทตลอดเวลา เผลอๆ ในช่วงเวลาสำคัญ นางอาจกล่าวเพียงประโยคเดียวก็สามารถกำหนดชะตาชีวิตผู้คนได้ยิ่งไปกว่านั้น หากวั่นเจียวเจียวปรากฏตัวอยู่ที่ใด ก็เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนขององค์รัชทายาท คำพูดของนาง ย่อมศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าผู้ใดวั่นเจียวเจียวม