ไม่รู้ว่าทำไม แต่คราวนี้ กงฮุยอวี่ไม่ปฏิเสธนางเพิกเฉยต่อสายตาระมัดระวังและไม่พอใจของวั่นเจียวเจียว หลังจากนั่งตรงข้ามกับหลี่เฉินแล้ว นางก็มองไปที่อาหารสามจานกับซุปหนึ่งถ้วยบนโต๊ะด้วยความประหลาดใจเต้าหู้ฝูหรง, เมล็ดบัวตุ๋นแตงกวา, หัวสิงโตนึ่ง และน้ำซุปแปดสมบัติ นี่คืออาหารกลางวันสำหรับองค์รัชทายาทผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิต้าฉินถึงแม้ว่าอาหารเหล่านี้จะดูประณีตและอร่อย แต่เมื่อเทียบกับสถานะของหลี่เฉินแล้ว มันค่อนข้างดูยาจกมาก “อาหารไม่จำเป็นต้องฟุ่มเฟือย แค่อร่อยและอิ่มท้องก็พอ”หลี่เฉินรับถ้วยข้าวที่วั่นเจียวเจียวส่งให้ แล้วหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหาร พลางพูดกับกงฮุยอวี่ว่า “ทานอาหารด้วยกันสิ แต่ถ้าไม่คุ้นเคย กลับไปแล้ว ข้าบอกให้ห้องเครื่องทำอาหารที่เจ้าชอบ”กงฮุยอวี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นแล้วถอดผ้าคลุมออกท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าวรยุทธ์ของนางจะสูงแค่ไหน หรือนิสัยจะเย็นชาเพียงใด แต่นางก็ไม่สามารถเอาอาหารเข้าปากผ่านผ้าคลุมหน้าได้ความงามของกงฮุยอวี่ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าหลี่เฉินอีกครั้งอย่าว่าแต่หลี่เฉินเลย ในฐานะผู้หญิงด้วยกันอย่างวั่นเจียวเจียว เมื่อเห็นรูปโฉมของกงฮ
เมื่อเผชิญหน้ากับขุนนางชราผู้นี้ หลี่เฉินก็สุภาพมาก“เสนาบดีหูไม่ต้องมากพิธี ทานอาหารเที่ยงมาหรือยัง?”หูพีมารอที่ตำหนักบูรพาตั้งนานแล้ว แต่เวลานี้ หลี่เฉินกลับตั้งคำถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ และไม่ได้เชิญให้หูพีนั่งลง ความหมายนั้นชัดเจนดีอยู่แล้วแม้ว่าหูพีจะแก่ แต่ไม่ได้โง่เขลาเบาปัญญา เขารีบตอบกลับไปว่า “ก่อนจะมาก็ทานไปบ้างแล้ว พูดแล้วก็ละอายใจนัก กระหม่อมแก่แล้ว ท้องไส้จึงอ่อนแอ และยังป่วยมาสักระยะหนึ่งแล้ว ดังนั้น หมอจึงแนะนำอาหารเฉพาะให้กระหม่อมทานทุกวัน”หลี่เฉินพยักหน้า พอใจมากกับไหวพริบของเขาเขากำลังทานอาหารกับสาวงามกันสองคน แล้วจู่ๆ จะให้เพิ่มตาแก่อายุเจ็ดสิบแปดสิบปีเข้ามาได้อย่างไร“ถ้าอย่างนั้น ข้าจะไม่เชิญเสนาบดีหูมานั่งทานอาหารเที่ยงด้วยกัน”หูพีรีบคำนับ “ฝ่าบาทโปรดตามสบาย กระหม่อมรอได้”“ไม่ต้องรอ ท่านก็อายุมากแล้ว จะให้นั่งรอข้าขณะที่ทานอาหารได้อย่างไร นั่นคงจะน่าเกลียดมาก”หลี่เฉินกินไปพลางก็ดึงเข้าสู่หัวข้อไปพลาง“การสอบหน้าพระที่นั่งจะมีขึ้นในอีกไม่กี่วัน ข้ารู้ว่ากรมขุนนางอย่างพวกเจ้ากำลังกังวลเรื่องอะไร” “แต่วันนี้ ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังอย่างชัดเจน”“การ
หลังจากที่หูพีจากไปแล้ว หลี่เฉินก็วางชามและตะเกียบลง แต่กงฮุยอวี่ที่อยู่ตรงข้ามเขา กลับไม่ค่อยอยากอาหารมากนัก จึงทานอาหารเสร็จตั้งนานแล้ว จะเห็นได้ว่ากงฮุยอวี่อารมณ์ดี แม้แต่ชามซุปที่หลี่เฉินมอบให้ก็ยังทานไปตั้งครึ่งจู่ๆ หลี่เฉินก็ต้องการสำรวจความสามารถทางการเมืองของกงฮุยอวี่ เขาจึงถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า “จริงๆ แล้ว ข้าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกับเขามากนัก แต่เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงพูดคำเหล่านั้น?”กงฮุยอวี่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ยืมหูและปากของเขา เพื่อบอกให้คนอื่นฟัง?” หลี่เฉินยกยิ้มขึ้นมาตอนนี้เขาแน่ใจแล้วว่าวิธีการและการตอบสนองที่ผิดปกติของสำนักบัวขาวก่อนหน้านี้ จะต้องเกี่ยวข้องกับกงฮุยอวี่อย่างแน่นอน อาจต้องใช้เวลาในการตรวจสอบความสามารถทางการเมืองของนาง แต่อย่างน้อย ความฉลาดของผู้หญิงคนนี้ก็เป็นรองแค่ซูจิ่นพ่าเท่านั้น“หูพีที่เจ้าเห็นเมื่อครู่คือเสนาบดีกรมขุนนาง เขาเป็นผลผลิตของการต่อสู้และการประนีประนอมระหว่างตำหนักบูรพาและสำนักราชเลขา ข้าไม่จำเป็นต้องอธิบายถึงความสำคัญของกรมขุนนาง แต่กรมนี้ ทั้งตำหนักบูรพาและสำนักราชเลขาต่างต้องการที่จะควบคุมมัน และเห็
หลี่เฉินซึ่งมีงานยุ่งไม่ได้สนใจทัศนคติของวั่นเจียวเจียวที่มีต่อกงฮุยอวี่ส่วนวั่นเจียวเจียวดูเหมือนว่ายิ่งมองกงฮุยอวี่ก็ยิ่งรู้สึกไม่รื่นหูรื่นตา แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากองค์รัชทายาทอยู่ตรงหน้านาง นางจึงไม่กล้าแสดงท่าทางที่ไม่ดีออกมา จึงทำได้แค่อดกลั้นเท่านั้น กงฮุยอวี่ก็สังเกตเห็นสายตาที่ไม่เป็นมิตรของวั่นเจียวเจียวที่ส่งมาเป็นครั้งคราว แต่ด้วยนิสัยที่เย็นชาของนาง นางจึงไม่สนใจอีกฝ่ายสำหรับนาง ยกเว้นบางคน ทุกคนก็ไม่ต่างจากก้อนหินที่อยู่ริมถนนไม่ว่าคนอื่นจะชอบหรือเกลียด กงฮุยอวี่ก็ไม่เก็บมาใส่ใจสภาพแวดล้อมอันเงียบสงบดำเนินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในตอนเย็น มันก็ถูกทำลายด้วยรายงานทหาร “เยี่ยมมาก!”หลี่เฉินตะโกนอย่างตื่นเต้น ทำให้หวันวั่นเจียวเจียวตกใจ แม้แต่กงฮุยอวี่ก็ยังต้องเงยหน้ามองก่อนที่วั่นเจียวเจียวจะถามอย่างสงสัย นางได้ยินหลี่เฉินสั่งว่า “เจียวเจียว ไปบอกให้ห้องเครื่องจัดโต๊ะพร้อมอาหารเลิศรสกับสุราดีๆ สัก คืนนี้ข้าอยากจะดื่มฉลองสักสองจอก”วั่นเจียวเจียวรู้ว่า ในวันธรรมดาหลี่เฉินจะไม่ดื่มสุรา แต่ไม่ได้หมายความว่าหลี่เฉินจะดื่มไม่ได้ วั่นเจียวเจียวสามารถเป็นพยานได
ข่าวชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่แนวหน้าไม่อาจปกปิดได้และหลี่เฉินก็ไม่มีเจตนาที่จะซ่อนมันเลยเรื่องดีๆ แบบนี้ หลี่เฉินยังไม่มีเวลาจะได้ประกาศ แล้วจะเริ่มปกปิดมันได้อย่างไรดังนั้นในวันนั้น ข่าวที่ว่าซูผิงเป่ยของต้าฉินเอาชนะกองทัพตงอิ๋ง และจับกุมแม่ทัพใหญ่อย่าง เคียวจิโระ คุซานางิ ทั้งเป็นได้ ก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงในทันที และข่าวนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วประเทศในอัตราที่น่าตกใจราชสำนักทั้งบนจรดล่างต่างพากันดีใจอย่างบ้าคลั่งอย่างน้อยนั่นคือสิ่งที่แสดงออกมาบนผิวเผินไม่รู้ว่ามีขุนนางและประชาชนสักกี่คนที่อดไม่ได้ที่จะร้องไห้เมื่อได้ทราบข่าวนี้ต้าฉินอ่อนแอมาเป็นเวลานานจนผู้คนหวาดกลัวสงคราม เพราะทุกครั้งที่พวกเขาทำสงคราม พวกเขาจะต้องพ่ายแพ้เป็นผลให้ทั้งทหาร ขุนนาง หรือแม้แต่ประชาชนทั่วไปได้สูญเสียจิตวิญญาณของต้าฉินที่ใช้กำลังในการสร้างประเทศเมื่อต้องเผชิญกับความขัดแย้งและสงคราม การแสวงหาสันติภาพจะเป็นกระแสหลักอยู่เสมอเราไม่สามารถเอาชนะเขาได้อยู่ดี ถ้าเราแพ้ เราไม่เพียงแต่ต้องจ่ายเงินเท่านั้น แต่ยังถูกฆ่าด้วย แล้วทำไมจะต้องสู้?การรบในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ชนะการต่อสู้เท่านั้น แต่ยังได
คำขอของซูเจิ้นถิงดูเหมือนจะอุกอาจยิ่งนักหากซูผิงเป่ยได้ยินประโยคนี้เข้า เกรงว่าเขาอาจจะตัดความสัมพันธ์พ่อลูกกับซูเจิ้นถิงทันทีแต่หลี่เฉินกลับมองเห็นถึงความคิดและความพยายามอันอุตสาหะเบื้องหลังซูเจิ้นถิง ซูผิงเป่ยยังเด็กเกินไป ตำแหน่งราชการสูงเงินเดือนมาก ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะควบคุมได้ เพราะท้ายที่สุดแล้วตระกูลซูก็เจริญรุ่งเรืองจนเกินไปตอนนี้ตระกูลซูมีตำหนักบูรพาคอยหนุนหลัง และซูเจิ้นถิงก็ได้รับการปฏิบัติเป็นขุนนางใหญ่ท่านหนึ่ง ถ้าหากซูผิงเป่ยจะคิดใช้คุณูปการทางทหารจริงๆ นี่ไม่ได้หมายความว่าจะมีจอมทัพสองคนจากตระกูลซูงั้นหรือ?ไม่ต้องพูดถึงว่าคนในราชสำนักจะคิดอย่างไรเลย ถึงตอนนั้น แม้แต่หลี่เฉินก็ต้องระแวงสำหรับอำนาจรัฐแล้ว สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่พวกขุนนางกังฉินเหล่านั้น เพราะถึงแม้ว่าพวกเขาจะกระโดดโลดเต้นรุนแรงกว่านี้ แต่ด้วยอำนาจทหารในมือ ชั่วชีวิตของนักวิชาการพวกนั้นก็ไม่มีทางโค่นล้มราชบัลลังก์ได้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม หลี่เฉินถึงเอาแต่แบ่งแยกราชสำนัก และต่อกรกับจ้าวเสวียนจีมาโดยตลอด แต่กลับไม่เริ่มลงมือกับอ๋องข้าราชบริพารสักที แม้ว่าหนิงอ๋องจะขยายกรงเล็บของเข
ขบวนต้อนรับค่อนข้างหรูหราไม่ว่าจะเป็นขุนนางตำแหน่งใหญ่แค่ไหน ก็ทำได้เพียงยืนอยู่นอกศาลาต้อนรับ ในศาลานั้น มีเพียงหลี่เฉิน วั่นเจียวเจียว และซานเป่าเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นก็ไม่ใครมีคุณสมบัติจะเข้ามาเนื่องจากมีการคำนวณเวลาไว้ล่วงหน้า ไม่นานนักหลังจากที่หลี่เฉินมาถึง รถม้าของถานไถจิ้งจือก็ปรากฏขึ้นบนถนนหลวงเป็นไปตามที่หน่วยบูรพารายงาน รถม้าคันเล็กๆ ที่ถานไถจิ้งจือนั่งอยู่นั้นทรุดโทรมมาก แต่รถม้าขนาดใหญ่หลายสิบคันด้านหลังนั้นกลับมีม้าสูงใหญ่กำยำคอยลากจูง โดยบนรถม้าเหล่านั้นเต็มไปด้วยกล่องต่างๆ ซึ่งไม่ได้บรรจุสิ่งของมีค่าอย่างเงินทองแต่อย่างใด แต่กลับเป็นหนังสือทั้งหมด หลี่เฉินออกมาจากศาลาเพื่อต้อนรับเป็นการส่วนตัว และถานไถจิ้งจือก็ลงจากรถม้าเช่นกัน กษัตริย์ขุนนางต่างเดินมาพบกันคนละครึ่งทาง“กระหม่อมถานไถจิ้งจือ มีความสามารถอะไร ถึงได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาทเช่นนี้ กระหม่อมรู้สึกละอายใจจริงๆ”ไม่ว่าจะมาจากใจหรือเสแสร้งก็ตาม แต่ทัศนคติของถานไถจิ้งจือนั้นถ่อมตัวและสุภาพมาก เขาโค้งคำนับก่อน แล้วพูดจาอย่างกระตือรือร้นหลี่เฉินรอจนกระทั่งเขาก้มโค้งได้ครึ่งทาง ก่อนจะยกมือขึ้นมาประคองเ
ระบบข้าราชการของต้าฉินมีทั้งหมด 18 ระดับ ตั้งแต่ระดับต่ำสุดอย่างขั้น 9 ไปจนถึงระดับสูงสุดอย่างขั้น 1 เหนือพวกเขาขึ้นไป ก็จะเป็นไท่ซือ ไท่ฟู่ ไท่เป่า ซึ่งเรียกโดยรวมว่าซานซือ และยังมีเสี่ยวซือ เสี่ยวฟู่ และเสี่ยวเป่า ซึ่งเรียกว่าซานกูเพียงแต่ว่าไม่ว่าจะเป็นซานซือหรือซานกู แม้จะมีสถานะที่สูงส่งแต่ก็ไม่มีอำนาจ เป็นแค่ตำแหน่งกิตติมศักดิ์ ซึ่งเทียบเท่ากับการเป็นขุนนางระดับสูงสุดนอกจากนี้เพื่อควบคุมอำนาจของขุนนาง ราชสำนักต้าฉินจึงไม่ได้แต่งตั้งตำแหน่งซานซือหรือซานกูให้กับใครมานานกว่าสองร้อยปีแล้วดังนั้นสำหรับในตอนนี้ การเป็นขุนนางขั้นที่หนึ่งและเข้าสู่สำนักราชเลขา ก็จะได้รับการแต่งตั้งเป็นต้าฟู่ ซึ่งนับว่าเป็นตำแหน่งที่ได้รับความเคารพอย่างสูงสุดขุนนางทั่วไป แม้แต่ผู้ที่มาจากการสอบขุนนาง ก็เริ่มต้นจากการเป็นนายอำเภอ โดยมีตำแหน่งต่ำสุดคือขั้นที่ 7 อย่างไรก็ตาม จักรวรรดิต้าฉินนั้นกว้างใหญ่มาก จึงมีเหล่าขุนนางเป็นจำนวนมากทุกคนจะเริ่มต้นจากขั้นที่ 7 ไปจนถึงขั้นที่ 1 ซึ่งระหว่างนั้นก็ยังมีขั้นที่ต้องข้ามอีกสิบสามขั้น ซึ่งคนส่วนใหญ่พยายามตะเกียกตะกายมาทั้งชีวิต ก็ดิ้นรนมาถึงแค่ขั้นที่ 4 ร
คำถามนี้ทำให้สีหน้าของซูผิงเป่ยเปลี่ยนไปเล็กน้อยขณะที่ซูเจิ้นถิง ผู้เงียบขรึมมาโดยตลอดก็ขมวดคิ้ว ดวงตาสะท้อนความเคร่งเครียดออกมาหากจะพูดกันตามตรง การบัญชาการศึกตลอดทั้งแผนการของซูผิงเป่ยนั้นถือว่าโดดเด่นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะผู้ที่เพิ่งได้รับมอบหมายให้คุมศึกขนาดกลางครั้งแรกก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้วแต่ในสนามรบ ไม่มีใครไร้ข้อผิดพลาด และซูผิงเป่ยก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นความล้มเหลวครั้งใหญ่ที่สุดของเขาอยู่ที่การรบในทุ่งราบภูเขาฝูหู่ ก่อนศึกใหญ่กับตงอิ๋งเพื่อยุติสงครามให้รวดเร็ว ซูผิงเป่ยเลือกเปิดศึกตัดสินโดยพลการซึ่งส่งผลให้กลยุทธ์ของเราถูกฝ่ายตงอิ๋งจับไต๋ได้ และใช้แผนลวงตอบโต้กลับจนกองทัพกลางที่ซูผิงเป่ยบัญชาการถูกล้อมตี ทำให้กองทัพปีกซ้ายและขวาต้องละทิ้งเป้าหมายเดิมเพื่อหันกลับมาช่วยการถอยทัพเพื่อช่วยเหลือกองทัพกลางเช่นนี้ ทำให้แผนการเดิมล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง จากการเป็นฝ่ายครอบงำตงอิ๋งกลับกลายเป็นการต้องช่วยชีวิตกองทัพกลางแทนแม้ว่าสุดท้ายสถานการณ์จะพลิกกลับมาได้ แต่กองทัพของเราก็สูญเสียอย่างหนัก ซูผิงเป่ยเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสผลลัพธ์สุดท้ายอาจถือว่าเป็นชัยชนะ แต่หากนำ
หลี่เฉินกล่าวคำประกาศเพียงหนึ่งประโยค แต่กลับดุจดั่งบัญชาสวรรค์ที่หน้าประตูพระที่นั่งไท่เหอ ขันทีผู้หนึ่งที่มีเสียงดังที่สุดขานประกาศออกมาอย่างกึกก้องการขานประกาศนั้นเป็นเพียงพิธีกรรมเบื้องหน้า แต่มีผู้วิ่งเหยาะๆ ไปเรียกซูผิงเป่ย ผู้ที่รออยู่ด้านนอกพระที่นั่งให้เข้ามาตำแหน่งของซูผิงเป่ยยังไม่สูงพอที่จะเข้าร่วมการประชุมเช้ายามปกติ แต่วันนี้มีแผนที่จะพระราชทานรางวัลแก่เขา การที่เขามารออยู่ด้านนอกจึงเป็นเรื่องสมควรอยู่แล้วอย่างไรก็ตาม ซูผิงเป่ยไม่คาดคิดเลยว่า ก่อนจะได้พูดถึงเรื่องรางวัลสำหรับเขา กลับมีเสียงจากภายในกล่าวถึงการลงโทษเขาแทนเสียงจากในพระที่นั่งดังมาก และเขาที่รออยู่ด้านนอกได้ยินชัดเจนทุกคำซูผิงเป่ยก้าวเข้าพระที่นั่งด้วยท่วงท่าองอาจราวมังกรและพยัคฆ์ แสดงให้เห็นถึงบุคลิกของแม่ทัพที่โดดเด่น เขาคุกเข่าลงตรงกลางพระที่นั่ง ประสานหมัดกล่าวว่า "กระหม่อม ซูผิงเป่ย ขอคารวะองค์รัชทายาท ขอองค์รัชทายาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี"หลี่เฉินกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า "มีบางประเด็นที่เสนาบดีกรมยุทธนาการต้องการเผชิญหน้ากับเจ้าโดยตรง จงตอบคำถามของเขาให้ละเอียด""พ่ะย่ะค
แม้แต่ขุนนางหน้าใหม่ในราชสำนักยังรู้ว่าควรรักษาคำพูดไว้บ้าง กล่าวอย่างพอดีเจ็ดในสิบส่วน ทิ้งสามส่วนไว้เผื่อโอกาสต่อไปแต่หลิวถงปี้ผู้เป็นแม่ทัพกลับมีอารมณ์ร้อนแรงดั่งเพลิง ไม่เพียงแต่ด่าซั่งกวนเจาอย่างรุนแรง ยังพูดจาตรงไปตรงมาจนเผยให้เห็นจุดอ่อนของซั่งกวนเจาอย่างชัดเจนคราวนี้ ซั่งกวนเจาทนไม่ไหวเช่นกันใบหน้าของเขาแดงก่ำราวตับหมูและตะโกนกลับไปด้วยความโกรธ “หลิวถงปี้! เจ้าพูดจาใส่ร้ายเช่นนี้ เจ้าไม่รู้หรือว่าคำพูดที่เลินเล่ออาจนำภัยมาสู่ตัว!”“ภัย?”หลิวถงปี้หัวเราะเยาะ “ข้าเข้าร่วมกองทัพตั้งแต่อายุสิบหก ตอนอายุสิบเก้าก็ฆ่าทหารฮั่นได้สี่สิบคนด้วยมือเปล่า ในสนามรบล้วนเต็มไปด้วยลมฝนเลือดเนื้อ ข้าผ่านการต่อสู้นับไม่ถ้วนและได้รับตำแหน่งมาด้วยความสามารถของตัวเอง ข้ารู้แค่ว่าคำพูดของคนต้องมีความซื่อสัตย์ จะให้ข้ากลัวภัยจากคำพูด? น่าขำสิ้นดี!”“แต่เจ้าซั่งกวนเจา กลับกล่าวหาซูผิงเป่ยอย่างไร้เหตุผลราวกับว่าเขาเป็นคนทรยศชาติ เจ้าไม่กลัวหรือว่าทหารทั้งหลายที่เห็นต่างจะไปเคาะประตูบ้านเจ้าในยามค่ำคืน และฆ่าทั้งครอบครัวของเจ้าเสีย?”ถ้าก่อนหน้านี้ยังเป็นการด่าทั่วไป ตอนนี้หลิวถงปี้พูดจาข่มขู่ก
คำกล่าวของซั่งกวนเจาทำให้บรรยากาศที่เงียบสงบอยู่แล้วในพระที่นั่งไท่เหอกลับกลายเป็นความเงียบที่แทบไม่มีแม้แต่เสียงหายใจสิ่งเดียวที่สามารถได้ยิน คือเสียงหัวใจที่เต้นรัวของเหล่าขุนนางไม่มีใครคาดคิดว่า ซั่งกวนเจา ซึ่งขึ้นเป็นเสนาบดีกรมยุทธนาการด้วยการสนับสนุนของจ้าวเสวียนจี และมักทำตัวเงียบๆ นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง จะเปิดฉากโจมตีใส่ซูผิงเป่ยแบบไม่ไว้หน้าซูผิงเป่ยคือใคร?เขาคือหลานชายของเทพเจ้าแห่งสงคราม และเป็นบุตรชายของซูเจิ้นถิงที่สำคัญยิ่งกว่านั้น เขาคือคนสนิทขององค์รัชทายาทหลี่เฉิน และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่สุดในชัยชนะครั้งใหญ่ของสงครามนี้ในขณะที่ตำหนักบูรพากำลังวางแผนจะมอบรางวัลให้ซูผิงเป่ยเพื่อยกย่องและผลักดันเขาให้กลายเป็นตัวแทนของตำหนักบูรพาในแวดวงทหารแต่ซั่งกวนเจากลับเปิดฉากโจมตีใส่ซูผิงเป่ยแบบตรงๆนี่เป็นความบ้า…หรือความมั่นใจอย่างถึงที่สุดกันแน่?สายตาส่วนใหญ่ในที่ประชุมหันไปมองจ้าวเสวียนจีแต่จ้าวเสวียนจีกลับนิ่งเฉย ราวกับกำลังฟังเรื่องที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาซั่งกวนเจากล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น “สิ่งที่กระหม่อมกล่าวหาแม่ทัพซูผิงเป่ยนั้น มีทั้งพยานบุคคล
ในเช้าวันที่สดใส หลี่เฉินที่กำลังครุ่นคิดเรื่องพัฒนาปืนไฟ เดินทางไปยังพระที่นั่งไท่เหอ หลังจากเสวยมื้อเช้าแบบง่ายๆวันนี้คือวันประชุมเช้าซึ่งหลี่เฉินมีประเด็นสำคัญหลายเรื่องที่ต้องผ่านมติในที่ประชุม เพื่อออกเป็นนโยบายอย่างเป็นทางการของราชสำนักหนึ่งในเรื่องสำคัญคือการมอบรางวัลและการเลื่อนตำแหน่งให้กับกองทัพผู้ชนะนอกจากจะเป็นการยกย่องเหล่าทหารที่เสียสละชีวิตเพื่อบ้านเมืองแล้ว ยังเป็นโอกาสที่หลี่เฉินจะสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับกองทัพ และขยายอิทธิพลของตำหนักบูรพาในแวดวงการทหารเมื่อแสงแรกของวันพาดผ่านเมฆหมอก สะท้อนแสงอันงดงามบนสะพานทองหน้าพระที่นั่งไท่เหอ เหล่าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ทยอยเดินข้ามสะพานทองเข้าสู่ลานหน้าพระที่นั่งบนลานกว้างเหนือขั้นบันไดของพระที่นั่งไท่เหอ ที่หน้าประตูพระที่นั่งไท่เหอ ขันทีคนหนึ่งยืนถือแส้สำหรับประกาศความสงบในมือเพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!...เสียงป่าวร้องของขันทีดังขึ้นอย่างหนักแน่น "เข้า…เฝ้า!"ขุนนางฝ่ายบุ๋นนำโดยจ้าวเสวียนจี และฝ่ายบู๊นำโดยซูเจิ้นถิงฝ่ายบุ๋นอยู่ทางซ้าย ฝ่ายบู๊อยู่ทางขวา ขุนนางนับสิบคนที่มีคุณสมบัติเข้าเฝ้าต่างเดินเรียงแถวเ
เมื่อกงฮุยอวี่พูดจบ นางก็หลับตาลงพักผ่อนอีกครั้งโดยไม่สนใจหลี่เฉินแต่หลังจากนั้นไม่นาน นางก็ลืมตาขึ้นแอบมองเล็กน้อย และเห็นหลี่เฉินทำหน้าหม่นหมองอย่างหนักหน่วง ริมฝีปากของนางเผยรอยยิ้มเล็กๆ อย่างพึงพอใจ มันเป็นรอยยิ้มที่แม้จะเบาบาง แต่ก็แสดงความลำพองได้ชัดเจน“องค์ชาย!”เสียงของวั่นเจียวเจียวที่ดังขึ้นอย่างจงใจ ทำลายความเงียบบนหลังคา“ถึงเวลาเสวยมื้อเช้าแล้วเพคะ เสร็จแล้วต้องเสด็จไปประชุมเช้าเพคะ”วั่นเจียวเจียวมองกงฮุยอวี่ที่นั่งอยู่ข้างหลี่เฉินด้วยสายตาไม่พอใจ ในใจนางคิดว่า (นางจิ้งจอกนี่ เผยธาตุแท้ออกมาแล้วสินะ!)(ผู้หญิงที่ไหนจะไม่หลงเสน่ห์องค์ชายกัน!)(หน้าไม่อาย!)“มาแล้ว”หลี่เฉินลุกขึ้น ปัดฝุ่นออกจากชุดแล้วปีนลงจากบันได“จริงสิ”หลี่เฉินที่อยู่กลางบรรไดเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาเงยหน้าขึ้นพูดกับกงฮุยอวี่ “ส่งข่าวไปบอกเจ้าสำนักของเจ้าให้ไปฆ่าผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักหยินหยางที่ตงอิ๋งเสีย”กงฮุยอวี่ยังคงนิ่งเฉย แต่ในใจรู้สึกว่าหลี่เฉินช่างไร้เดียงสา นางคิดว่าเขาคงไม่เข้าใจว่าโลกนี้ไม่ได้หมุนรอบคำสั่งขององค์รัชทายาทคำขอเช่นนี้ช่างไร้สาระนัก“ไม่เช่นนั้น ราชสำ
กงฮุยอวี่ยิ้มบางๆ ก่อนตอบเรียบๆ “การบรรลุถึงระดับเซียนบนดินนั้น พรสวรรค์สำคัญกว่าความพยายาม และที่สำคัญยิ่งกว่าพรสวรรค์ คือโชคชะตา การฝึกฝนเพียงลำพังไม่อาจพาให้เข้าสู่ระดับนี้ได้ หากสวรรค์ไม่มอบโอกาส หรือหากตนเองไขว่คว้าโอกาสนั้นไว้ไม่ได้ ไม่ว่าจะฝึกหนักเพียงใดก็ไม่มีทางไปถึง และเจ้าสำนักรุ่นปัจจุบันของสำนักบัวขาว ก็คือผู้ที่บรรลุถึงระดับเซียนบนดิน”“ในระดับนี้ เขาสามารถอยู่ในสภาพที่คมดาบและหอกธรรมดาทำอะไรไม่ได้ ใช้ดอกไม้หรือใบไม้เป็นอาวุธสังหารได้ทุกชนิด เพียงแค่ปล่อยแรงกดดันจากพลังลมปราณออกมาก็สามารถสังหารผู้อื่นได้”คำอธิบายของกงฮุยอวี่ทำให้หลี่เฉินรู้สึกถึงภัยอันตรายที่ยิ่งใหญ่ในทันที เขาชี้ไปที่เหล่าองครักษ์เสื้อแพรที่ยืนคุ้มกันอยู่โดยรอบก่อนถาม “ถ้าหากเจ้าสำนักของเจ้ามาที่นี่ เหล่าองครักษ์เหล่านี้จะสามารถต้านทานเขาได้กี่คน?”กงฮุยอวี่ดูเหมือนจะรู้ว่าหลี่เฉินคิดอะไร นางตอบเสียงเรียบว่า “หากเป็นเพียงนักยุทธ์ธรรมดา ต่อให้มาหลายร้อยก็เป็นเพียงการมอบชีวิต แต่หากเป็นกองทัพที่มีการฝึกอย่างดีและครบเครื่อง ทั้งกำลังพลและอาวุธ เพียงไม่กี่พันก็สามารถทำให้เซียนบนดินต้องจบชีวิตได้”เมื่อไ
เป็นที่พิสูจน์ว่า หากต้องการยั่วโทสะหญิงสาว เพียงแค่เรียกนางด้วยชื่อที่ไม่น่าฟังเท่านั้นก็เพียงพอแม้ว่ากงฮุยอวี่จะเป็นคนเยือกเย็นปานใด แต่นางก็ยังเป็นมนุษย์ปุถุชน ไม่ใช่เซียนที่ลอยอยู่เหนือวิถีแห่งโลกียะ และยิ่งถ้าหากแม้แต่เซียนจริงๆ ได้ยินคำเรียกเช่นนี้จากหลี่เฉิน ก็คงอดที่จะเกิดโทสะไม่ได้เมื่อเห็นแววตาขุ่นเคืองของกงฮุยอวี่ หลี่เฉินหัวเราะเสียงดังพลางเอ่ยว่า “ทำไม เจ้าโปรดปรานการนั่งอยู่บนหลังคามากนักหรือ?”กงฮุยอวี่ส่งเสียงฮึเบาๆ อย่างเย็นชา ก่อนจะหลับตาลงนั่งสมาธิต่อ โดยไม่สนใจหลี่เฉินหลังจากนางหลับตา หลี่เฉินกลับเงียบไปอย่างน่าประหลาดเดิมที กงฮุยอวี่คิดว่าหลี่เฉินคงเบื่อและเดินจากไปแล้ว แต่เมื่อได้ยินเสียงที่ค่อยๆ ใกล้เข้ามา และลืมตาขึ้นอีกครั้ง นางกลับเห็นหลี่เฉินสั่งให้คนยกบันไดขึ้นมา และเขากำลังปีนบันไดขึ้นมาบนหลังคากงฮุยอวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย มองดูหลี่เฉินที่กำลังปีนขึ้นมา และเริ่มชั่งใจว่าควรจะลุกออกไปจากที่นี่หรือไม่แต่ก่อนที่นางจะตัดสินใจ หลี่เฉินก็ขึ้นมาถึงบนหลังคาแล้ว“บนนี้ วิวทิวทัศน์ดีไม่น้อยเลยทีเดียว”ตำหนักบูรพาตั้งอยู่ในที่สูงอยู่แล้ว และเมื่อขึ้นมาบนหล
ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “ท่านอ๋อง ข้ามั่นใจว่าสวีเว่ยต้องมีปัญหาแน่นอน เขาออกจากจวนบ่อยครั้งโดยไม่มีเหตุผล และทุกครั้งก็หายตัวไปโดยไร้ร่องรอย แม้เขาจะมีข้อแก้ตัวเสมอ แต่ข้ากล้าพูดได้ว่ามันต้องเป็นข้อแก้ตัวที่โกหก!”หลี่อิ๋นหู่มองชายชราอย่างไม่พอใจ ก่อนกล่าวว่า “เรื่องที่เขาเลี้ยงดูหญิงงามคนหนึ่ง ข้ารู้ดีอยู่แล้ว ผู้ชายจะมีผู้หญิงคนที่ชอบมันก็ธรรมดา หากเป็นเจ้า เจ้าออกไปหาผู้หญิงเจ้าจะป่าวประกาศให้ใครๆ รู้หรือไม่?”คำพูดของหลี่อิ๋นหู่ทำให้ชายชราพูดไม่ออก แต่เขายังยืนกรานว่า “โปรดให้เวลาข้าอีกสักนิด ข้าสัญญาว่าจะสืบหาความจริงเกี่ยวกับเขาให้ได้!”“เจ้าสืบเรื่องอ๋องแห่งแคว้นที่สนับสนุนหลงไหวอี้ให้ได้ก่อนเถอะ”หลี่อิ๋นหู่โบกมืออย่างรำคาญ “เอาเถอะ ออกไปซะ วันๆ เอาแต่ทำให้ข้าหนักใจ”ชายชราเปิดปากเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบ ถอนหายใจ แล้วออกจากห้องไปคืนนั้น หลี่เฉินถูกปลุกขึ้นจากการนอนอีกครั้งแม้ว่าดวงตาจะล้าจนร้อนผ่าว แต่เขายังรับรายงานลับสุดยอดจากเฉินทงมาพิจารณาเมื่ออ่านรายงานที่สวีเว่ยส่งมา หลี่เฉินถึงกับหายง่วงเป็นปลิดทิ้งรายงานแบ่งเป็นสองส่วน