แชร์

บทที่ 547

ผู้เขียน: ไห่ตงชิง
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-11-30 18:00:01
เมื่อเผชิญหน้ากับขุนนางชราผู้นี้ หลี่เฉินก็สุภาพมาก

“เสนาบดีหูไม่ต้องมากพิธี ทานอาหารเที่ยงมาหรือยัง?”

หูพีมารอที่ตำหนักบูรพาตั้งนานแล้ว แต่เวลานี้ หลี่เฉินกลับตั้งคำถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ และไม่ได้เชิญให้หูพีนั่งลง ความหมายนั้นชัดเจนดีอยู่แล้ว

แม้ว่าหูพีจะแก่ แต่ไม่ได้โง่เขลาเบาปัญญา เขารีบตอบกลับไปว่า “ก่อนจะมาก็ทานไปบ้างแล้ว พูดแล้วก็ละอายใจนัก กระหม่อมแก่แล้ว ท้องไส้จึงอ่อนแอ และยังป่วยมาสักระยะหนึ่งแล้ว ดังนั้น หมอจึงแนะนำอาหารเฉพาะให้กระหม่อมทานทุกวัน”

หลี่เฉินพยักหน้า พอใจมากกับไหวพริบของเขา

เขากำลังทานอาหารกับสาวงามกันสองคน แล้วจู่ๆ จะให้เพิ่มตาแก่อายุเจ็ดสิบแปดสิบปีเข้ามาได้อย่างไร

“ถ้าอย่างนั้น ข้าจะไม่เชิญเสนาบดีหูมานั่งทานอาหารเที่ยงด้วยกัน”

หูพีรีบคำนับ “ฝ่าบาทโปรดตามสบาย กระหม่อมรอได้”

“ไม่ต้องรอ ท่านก็อายุมากแล้ว จะให้นั่งรอข้าขณะที่ทานอาหารได้อย่างไร นั่นคงจะน่าเกลียดมาก”

หลี่เฉินกินไปพลางก็ดึงเข้าสู่หัวข้อไปพลาง

“การสอบหน้าพระที่นั่งจะมีขึ้นในอีกไม่กี่วัน ข้ารู้ว่ากรมขุนนางอย่างพวกเจ้ากำลังกังวลเรื่องอะไร”

“แต่วันนี้ ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังอย่างชัดเจน”

“การ
บทที่ถูกล็อก
อ่านต่อเรื่องนี้บน Application

บทที่เกี่ยวข้อง

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 548

    หลังจากที่หูพีจากไปแล้ว หลี่เฉินก็วางชามและตะเกียบลง แต่กงฮุยอวี่ที่อยู่ตรงข้ามเขา กลับไม่ค่อยอยากอาหารมากนัก จึงทานอาหารเสร็จตั้งนานแล้ว จะเห็นได้ว่ากงฮุยอวี่อารมณ์ดี แม้แต่ชามซุปที่หลี่เฉินมอบให้ก็ยังทานไปตั้งครึ่งจู่ๆ หลี่เฉินก็ต้องการสำรวจความสามารถทางการเมืองของกงฮุยอวี่ เขาจึงถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า “จริงๆ แล้ว ข้าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกับเขามากนัก แต่เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงพูดคำเหล่านั้น?”กงฮุยอวี่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ยืมหูและปากของเขา เพื่อบอกให้คนอื่นฟัง?” หลี่เฉินยกยิ้มขึ้นมาตอนนี้เขาแน่ใจแล้วว่าวิธีการและการตอบสนองที่ผิดปกติของสำนักบัวขาวก่อนหน้านี้ จะต้องเกี่ยวข้องกับกงฮุยอวี่อย่างแน่นอน อาจต้องใช้เวลาในการตรวจสอบความสามารถทางการเมืองของนาง แต่อย่างน้อย ความฉลาดของผู้หญิงคนนี้ก็เป็นรองแค่ซูจิ่นพ่าเท่านั้น“หูพีที่เจ้าเห็นเมื่อครู่คือเสนาบดีกรมขุนนาง เขาเป็นผลผลิตของการต่อสู้และการประนีประนอมระหว่างตำหนักบูรพาและสำนักราชเลขา ข้าไม่จำเป็นต้องอธิบายถึงความสำคัญของกรมขุนนาง แต่กรมนี้ ทั้งตำหนักบูรพาและสำนักราชเลขาต่างต้องการที่จะควบคุมมัน และเห็

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-30
  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 549

    หลี่เฉินซึ่งมีงานยุ่งไม่ได้สนใจทัศนคติของวั่นเจียวเจียวที่มีต่อกงฮุยอวี่ส่วนวั่นเจียวเจียวดูเหมือนว่ายิ่งมองกงฮุยอวี่ก็ยิ่งรู้สึกไม่รื่นหูรื่นตา แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากองค์รัชทายาทอยู่ตรงหน้านาง นางจึงไม่กล้าแสดงท่าทางที่ไม่ดีออกมา จึงทำได้แค่อดกลั้นเท่านั้น กงฮุยอวี่ก็สังเกตเห็นสายตาที่ไม่เป็นมิตรของวั่นเจียวเจียวที่ส่งมาเป็นครั้งคราว แต่ด้วยนิสัยที่เย็นชาของนาง นางจึงไม่สนใจอีกฝ่ายสำหรับนาง ยกเว้นบางคน ทุกคนก็ไม่ต่างจากก้อนหินที่อยู่ริมถนนไม่ว่าคนอื่นจะชอบหรือเกลียด กงฮุยอวี่ก็ไม่เก็บมาใส่ใจสภาพแวดล้อมอันเงียบสงบดำเนินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในตอนเย็น มันก็ถูกทำลายด้วยรายงานทหาร “เยี่ยมมาก!”หลี่เฉินตะโกนอย่างตื่นเต้น ทำให้หวันวั่นเจียวเจียวตกใจ แม้แต่กงฮุยอวี่ก็ยังต้องเงยหน้ามองก่อนที่วั่นเจียวเจียวจะถามอย่างสงสัย นางได้ยินหลี่เฉินสั่งว่า “เจียวเจียว ไปบอกให้ห้องเครื่องจัดโต๊ะพร้อมอาหารเลิศรสกับสุราดีๆ สัก คืนนี้ข้าอยากจะดื่มฉลองสักสองจอก”วั่นเจียวเจียวรู้ว่า ในวันธรรมดาหลี่เฉินจะไม่ดื่มสุรา แต่ไม่ได้หมายความว่าหลี่เฉินจะดื่มไม่ได้ วั่นเจียวเจียวสามารถเป็นพยานได

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-30
  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 550

    ข่าวชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่แนวหน้าไม่อาจปกปิดได้และหลี่เฉินก็ไม่มีเจตนาที่จะซ่อนมันเลยเรื่องดีๆ แบบนี้ หลี่เฉินยังไม่มีเวลาจะได้ประกาศ แล้วจะเริ่มปกปิดมันได้อย่างไรดังนั้นในวันนั้น ข่าวที่ว่าซูผิงเป่ยของต้าฉินเอาชนะกองทัพตงอิ๋ง และจับกุมแม่ทัพใหญ่อย่าง เคียวจิโระ คุซานางิ ทั้งเป็นได้ ก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงในทันที และข่าวนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วประเทศในอัตราที่น่าตกใจราชสำนักทั้งบนจรดล่างต่างพากันดีใจอย่างบ้าคลั่งอย่างน้อยนั่นคือสิ่งที่แสดงออกมาบนผิวเผินไม่รู้ว่ามีขุนนางและประชาชนสักกี่คนที่อดไม่ได้ที่จะร้องไห้เมื่อได้ทราบข่าวนี้ต้าฉินอ่อนแอมาเป็นเวลานานจนผู้คนหวาดกลัวสงคราม เพราะทุกครั้งที่พวกเขาทำสงคราม พวกเขาจะต้องพ่ายแพ้เป็นผลให้ทั้งทหาร ขุนนาง หรือแม้แต่ประชาชนทั่วไปได้สูญเสียจิตวิญญาณของต้าฉินที่ใช้กำลังในการสร้างประเทศเมื่อต้องเผชิญกับความขัดแย้งและสงคราม การแสวงหาสันติภาพจะเป็นกระแสหลักอยู่เสมอเราไม่สามารถเอาชนะเขาได้อยู่ดี ถ้าเราแพ้ เราไม่เพียงแต่ต้องจ่ายเงินเท่านั้น แต่ยังถูกฆ่าด้วย แล้วทำไมจะต้องสู้?การรบในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ชนะการต่อสู้เท่านั้น แต่ยังได

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-30
  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 551

    คำขอของซูเจิ้นถิงดูเหมือนจะอุกอาจยิ่งนักหากซูผิงเป่ยได้ยินประโยคนี้เข้า เกรงว่าเขาอาจจะตัดความสัมพันธ์พ่อลูกกับซูเจิ้นถิงทันทีแต่หลี่เฉินกลับมองเห็นถึงความคิดและความพยายามอันอุตสาหะเบื้องหลังซูเจิ้นถิง ซูผิงเป่ยยังเด็กเกินไป ตำแหน่งราชการสูงเงินเดือนมาก ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะควบคุมได้ เพราะท้ายที่สุดแล้วตระกูลซูก็เจริญรุ่งเรืองจนเกินไปตอนนี้ตระกูลซูมีตำหนักบูรพาคอยหนุนหลัง และซูเจิ้นถิงก็ได้รับการปฏิบัติเป็นขุนนางใหญ่ท่านหนึ่ง ถ้าหากซูผิงเป่ยจะคิดใช้คุณูปการทางทหารจริงๆ นี่ไม่ได้หมายความว่าจะมีจอมทัพสองคนจากตระกูลซูงั้นหรือ?ไม่ต้องพูดถึงว่าคนในราชสำนักจะคิดอย่างไรเลย ถึงตอนนั้น แม้แต่หลี่เฉินก็ต้องระแวงสำหรับอำนาจรัฐแล้ว สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่พวกขุนนางกังฉินเหล่านั้น เพราะถึงแม้ว่าพวกเขาจะกระโดดโลดเต้นรุนแรงกว่านี้ แต่ด้วยอำนาจทหารในมือ ชั่วชีวิตของนักวิชาการพวกนั้นก็ไม่มีทางโค่นล้มราชบัลลังก์ได้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม หลี่เฉินถึงเอาแต่แบ่งแยกราชสำนัก และต่อกรกับจ้าวเสวียนจีมาโดยตลอด แต่กลับไม่เริ่มลงมือกับอ๋องข้าราชบริพารสักที แม้ว่าหนิงอ๋องจะขยายกรงเล็บของเข

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-01
  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 552

    ขบวนต้อนรับค่อนข้างหรูหราไม่ว่าจะเป็นขุนนางตำแหน่งใหญ่แค่ไหน ก็ทำได้เพียงยืนอยู่นอกศาลาต้อนรับ ในศาลานั้น มีเพียงหลี่เฉิน วั่นเจียวเจียว และซานเป่าเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นก็ไม่ใครมีคุณสมบัติจะเข้ามาเนื่องจากมีการคำนวณเวลาไว้ล่วงหน้า ไม่นานนักหลังจากที่หลี่เฉินมาถึง รถม้าของถานไถจิ้งจือก็ปรากฏขึ้นบนถนนหลวงเป็นไปตามที่หน่วยบูรพารายงาน รถม้าคันเล็กๆ ที่ถานไถจิ้งจือนั่งอยู่นั้นทรุดโทรมมาก แต่รถม้าขนาดใหญ่หลายสิบคันด้านหลังนั้นกลับมีม้าสูงใหญ่กำยำคอยลากจูง โดยบนรถม้าเหล่านั้นเต็มไปด้วยกล่องต่างๆ ซึ่งไม่ได้บรรจุสิ่งของมีค่าอย่างเงินทองแต่อย่างใด แต่กลับเป็นหนังสือทั้งหมด หลี่เฉินออกมาจากศาลาเพื่อต้อนรับเป็นการส่วนตัว และถานไถจิ้งจือก็ลงจากรถม้าเช่นกัน กษัตริย์ขุนนางต่างเดินมาพบกันคนละครึ่งทาง“กระหม่อมถานไถจิ้งจือ มีความสามารถอะไร ถึงได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาทเช่นนี้ กระหม่อมรู้สึกละอายใจจริงๆ”ไม่ว่าจะมาจากใจหรือเสแสร้งก็ตาม แต่ทัศนคติของถานไถจิ้งจือนั้นถ่อมตัวและสุภาพมาก เขาโค้งคำนับก่อน แล้วพูดจาอย่างกระตือรือร้นหลี่เฉินรอจนกระทั่งเขาก้มโค้งได้ครึ่งทาง ก่อนจะยกมือขึ้นมาประคองเ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-01
  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 553

    ระบบข้าราชการของต้าฉินมีทั้งหมด 18 ระดับ ตั้งแต่ระดับต่ำสุดอย่างขั้น 9 ไปจนถึงระดับสูงสุดอย่างขั้น 1 เหนือพวกเขาขึ้นไป ก็จะเป็นไท่ซือ ไท่ฟู่ ไท่เป่า ซึ่งเรียกโดยรวมว่าซานซือ และยังมีเสี่ยวซือ เสี่ยวฟู่ และเสี่ยวเป่า ซึ่งเรียกว่าซานกูเพียงแต่ว่าไม่ว่าจะเป็นซานซือหรือซานกู แม้จะมีสถานะที่สูงส่งแต่ก็ไม่มีอำนาจ เป็นแค่ตำแหน่งกิตติมศักดิ์ ซึ่งเทียบเท่ากับการเป็นขุนนางระดับสูงสุดนอกจากนี้เพื่อควบคุมอำนาจของขุนนาง ราชสำนักต้าฉินจึงไม่ได้แต่งตั้งตำแหน่งซานซือหรือซานกูให้กับใครมานานกว่าสองร้อยปีแล้วดังนั้นสำหรับในตอนนี้ การเป็นขุนนางขั้นที่หนึ่งและเข้าสู่สำนักราชเลขา ก็จะได้รับการแต่งตั้งเป็นต้าฟู่ ซึ่งนับว่าเป็นตำแหน่งที่ได้รับความเคารพอย่างสูงสุดขุนนางทั่วไป แม้แต่ผู้ที่มาจากการสอบขุนนาง ก็เริ่มต้นจากการเป็นนายอำเภอ โดยมีตำแหน่งต่ำสุดคือขั้นที่ 7 อย่างไรก็ตาม จักรวรรดิต้าฉินนั้นกว้างใหญ่มาก จึงมีเหล่าขุนนางเป็นจำนวนมากทุกคนจะเริ่มต้นจากขั้นที่ 7 ไปจนถึงขั้นที่ 1 ซึ่งระหว่างนั้นก็ยังมีขั้นที่ต้องข้ามอีกสิบสามขั้น ซึ่งคนส่วนใหญ่พยายามตะเกียกตะกายมาทั้งชีวิต ก็ดิ้นรนมาถึงแค่ขั้นที่ 4 ร

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-01
  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 554

    เสียงตะโกนที่พลุ่งพล่านของคนข้างนอกราวกับระลอกคลื่น คลื่นลูกหลังมักจะสูงกว่าลูกแรกเสมอถานไถจิ้งจือลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว เขาไม่ได้ทักทาย แค่ยืนอยู่นอกรถม้าเท่านั้นเป็นผลให้ผู้คนยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นและไล่ตามรถม้าตอนนี้เอง ซานเป่าก็เข้ามาอย่างเงียบๆ และกระซิบพูดกับหลี่เฉินว่า “ฝ่าบาท มีคนหลายร้อยคนอยู่ข้างนอก พวกเขาทุกคนได้ยินเกี่ยวกับการมาถึงของถานไถจิ้งจือ จึงพากันแห่ตามมา จะให้องครักษ์เสื้อแพรขับไล่ไปหรือไม่?” “ไม่เป็นไร”หลี่เฉินโบกมือ และมองถานไถจิ้งจือซึ่งกำลังทักทายผู้คนที่มาต้อนรับด้วยสายตาลึกล้ำ “นั่นคือสิ่งที่ผู้คนต้องการ นี่เป็นการพิสูจน์ว่าทางเลือกและการลงทุนของข้าถูกต้องแล้ว”เมื่อได้ยินประโยคนี้ ซานเป่าก็ไม่พูดมาก และค่อยๆ ถอยออกไปเพียงแต่ตอนที่หันกลับไปมองถานไถจิ้งจือ เขาก็ส่ายหน้าเบาๆแค่เรื่องนี้เพียงอย่างเดียว เขาก็มองออกว่านักวิชาการเช่น ถานไถจิ้งจือ หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากตำหนักบูรพา คงมีชีวิตอยู่ในราชการได้ไม่นานในสถานการณ์เดียวกันนั้น อย่าว่าแต่สุนัขจิ้งจอกเฒ่าอย่างจ้าวเสวียนจีหรือสัตว์ประหลาดแก่ๆ ในสำนักราชเลขาเลย ต่อให้ลากสวีฉังชิงเข้ามาร่วมด้ว

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-01
  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 555

    สถานที่ที่หลี่เฉินพาถานไถจิ้งจือมาดูก็ไม่ใช่ที่ไหน มันคือราชบัณฑิตยสถานในอนาคตเมื่อตามหลี่เฉินลงมาจากรถม้า และมองไปยังสถานที่ก่อสร้างที่พลุกพล่านตรงหน้า สีหน้าของถานไถจิ้งจือก็ดูประหลาดใจขึ้นมา“ที่นี่คือราชบัณฑิตยสถานในอนาคต”หลี่เฉินมองสถานที่ก่อสร้างตรงหน้าด้วยความพอใจแล้วพูดว่า “พื้นที่นี้มีขนาด 130 หมู่ ทั้งสถาบันแบ่งออกเป็นพื้นที่เรียน พื้นที่นั่งเล่น และพื้นที่พักผ่อน ไม่เพียงแต่จะมีอาคารไว้อ่านหนังสือและเรียนเท่านั้น แต่ยังมีห้องทำงานให้เหล่าอาจารย์อีกด้วย นอกจากนี้นักเรียนทุกคน อาจารย์ทุกท่าน ต่างมีที่พักแยกต่างหาก” “พื้นที่พักผ่อนหย่อนใจมีหินจำลอง สวนดอกไม้ และมีการขุดสระเป็นแม่น้ำเล็กๆ”“ข้ายังสงวนแผงขายของไว้มากมาย ในอนาคต สถานที่แห่งนี้สามารถรองรับผู้อยู่อาศัยและทำงานได้หลายหมื่นคน เนื่องจากมีผู้คนเป็นจำนวนมาก ย่อมมีการค้าข้ายเป็นเรื่องธรรมดา ฉะนั้นจึงต้องมีร้านอาหารและโรงน้ำชาสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ”“เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จตามพิมพ์เขียวที่ข้าออกแบบแล้ว สถานที่แห่งนี้ก็สามารถขยายไปสู่เขตเมืองหลวงได้”เมื่อหันไปมองถานไถจิ้งจือ หลี่เฉินก็หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “และ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-02

บทล่าสุด

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 674

    ความเงียบภายในพระที่นั่ง ไม่ใช่เพราะไม่มีสิ่งใดจะพูดแต่เป็นเพราะทุกคนกำลังรอให้หลี่เฉินปริปากในความเงียบงันนี้ เป็นเหมือนการสะสมพลังเพื่อความขัดแย้งที่ใหญ่ยิ่งกว่าในภายหลังความขัดแย้งนี้ แม้ดูเหมือนจะสมเหตุสมผล แต่ก็มาพร้อมกับความไม่คาดคิดทุกสิ่งเกิดขึ้นรวดเร็วและกะทันหันเกินไปพูดตามตรง มันเกินความคาดหมายของหลี่เฉินไปบ้างเขารู้ว่าจ้าวเสวียนจีต้องลงมือทำบางอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาเลือกจะสกัดจับจดหมายของเย่ลู่กู่จ้านฉีที่ส่งไปยังแคว้นเหลียว หลี่เฉินรู้ทันทีว่า คนเฒ่าผู้นี้เริ่มหมดความอดทนแล้วแต่เพราะความสัมพันธ์อันเข้าใจกันระหว่างเขากับจ้าวเสวียนจี ทำให้หลี่เฉินประมาทความสามารถของจ้าวเสวียนจีไปบ้างแต่ตอนนี้ ท่อนไม้ขนาดใหญ่นี้ได้ฟาดหัวของหลี่เฉินจนสติกลับมาถ้าเขาคิดว่าตัวเองเป็นผู้เดินทางข้ามเวลาที่มีความรู้จากประวัติศาสตร์หลายพันปี จะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ จ้าวเสวียนจีที่เป็นจิ้งจอกเฒ่าผู้นี้ คงกลืนกินเขาจนไม่เหลือแม้เศษซากแล้วในยุคสมัยศักดินา คนที่สามารถเดินเข้าสู่ศูนย์กลางอำนาจได้ ย่อมไม่มีใครธรรมดาแน่นอนเหตุการณ์ขุนนางกดดันเจ้าเหนือหัวนั้น ถือเป็นเ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 673

    จ้าวเสวียนจีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา "เสนาบดีซั่งกวนก็แค่ทำหน้าที่ของตน หากองค์ชายทรงมีความโกรธเกรี้ยวเช่นนี้ ขุนนางในวังทั้งหมด จะมีใครกล้ารายงานสิ่งใดได้?""ยิ่งไปกว่านั้น ซั่งกวนเจาในฐานะที่เป็นเสนาบดีกรมยุทธนาการ ย่อมมีอำนาจในการตรวจสอบการทหาร หากเขาพบสิ่งที่ผิดปกติ ก็ย่อมควรทำการสอบสวน แม้ว่าในท้ายที่สุดจะเป็นการเข้าใจผิด ก็สามารถอธิบายได้ และยิ่งเป็นการพิสูจน์ว่าแม่ทัพซูผิงเป่ยเป็นผู้ที่เปิดเผยและไร้ซึ่งความคดโกง องค์ชายจะทรงทำถึงเช่นนี้เพื่ออะไร?"การเผชิญหน้าครั้งนี้ เปลี่ยนจากการที่ซูผิงเป่ยและซั่งกวนเจาเถียงกันไปเป็นการเผชิญหน้าระหว่างหลี่เฉินและจ้าวเสวียนจีแทนทุกคนในพระที่นั่งต่างสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตึงเครียดและดุเดือดโดยปกติแล้ว องค์รัชทายาทและผู้อาวุโสจะมีความขัดแย้งกันบ้าง แต่ก็จะพูดจาครึ่งๆ กลางๆ และถอยกันไปคนละก้าว เพื่อรักษาความสงบในวังแต่วันนี้ ดูเหมือนทุกอย่างจะแตกต่างออกไปทั้งสองฝ่ายที่ดูเหมือนจะโต้แย้งกันเรื่องชีวิตของซั่งกวนเจา กลับกลายเป็นการปะทะกันครั้งแรกระหว่างสองกลุ่มการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นต้าฉินเมื่อทุกคนตระหนักถึงเรื่องนี้ พวกเขาจึงย

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 672

    หากปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินต่อไป องค์รัชทายาทย่อมมีเหตุผลที่จะเอาผิดตนตามที่กล่าวไว้ก่อนหน้า เพียงแค่ข้อหาดูหมิ่นวีรบุรุษ ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาต้องรับโทษหนักแล้วและองค์รัชทายาทที่จับจุดอ่อนไว้ได้ ย่อมไม่มีทางปล่อยตนไปแน่นอนด้วยความหวาดกลัว ซั่งกวนเจาจึงตัดสินใจสู้กลับ เขาตะโกนเสียงดังว่า “ไม่ว่าท่านจะพูดอะไร ความจริงก็คือความจริง ท่านยอมรับเองว่าทำผิดพลาด เช่นนั้นท่านก็ควรรับผิดชอบ”ซูผิงเป่ยหัวเราะเยาะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าไม่รู้ว่าเสนาบดีซั่งกวนหมายถึงความจริงใด แต่ในสายตาของข้า ความจริงก็คือ...มีคนในแคว้นของเราสมคบกับแคว้นอื่นและขายข่าวกรองของกองทัพเราให้แก่ตงอิ๋ง!”“เรื่องนี้ ข้ามีหลักฐานเป็นคำสารภาพที่เขียนด้วยลายมือของคุโซะจิกิโยทาโร่ ผู้ที่ข้าจับตัวมาได้ก่อนหน้านี้ เขายอมรับว่า มีคนส่งข่าวกรองของกองทัพเราให้เขา จนเขาสามารถจัดการรับมือได้”ดวงตาของซูผิงเป่ยเปล่งประกายดุจสายฟ้าฟาด กวาดมองไปรอบพระที่นั่ง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “และคนผู้นั้น อาจจะอยู่ในพระที่นั่งนี้ด้วย!”คำพูดที่ไม่คาดคิดนี้เปรียบเสมือนระเบิดที่ทำให้ทุกคนแตกตื่นในพระที่นั่งไท่เหอ ขุนนางส่วนใหญ่

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 671

    ร่างกายช่วงบนที่เต็มไปด้วยบาดแผลเป็นไขว้กันไปมา สร้างความสะเทือนใจแก่ผู้พบเห็นอย่าว่าแต่บรรดาขุนนางฝ่ายบุ๋นเลย แม้แต่ขุนนางฝ่ายบู๊เองก็ยังอดชื่นชมซูผิงเป่ยไม่ได้บาดแผลเหล่านี้ ล้วนเป็นเครื่องหมายแห่งเกียรติยศซูผิงเป่ยมองไปยังซั่งกวนเจา พลางกล่าวว่า “ตั้งแต่ข้านำกองทัพออกจากเมืองหลวง จนถึงวันที่กลับมา การเข้าสู่เสียนเฉาเพื่อทำสงครามกับตงอิ๋ง ใช้เวลาทั้งสิ้นหนึ่งร้อยหกวัน”“ในหนึ่งร้อยหกวันนี้ กองทัพของข้าเข้าปะทะกับกองทัพตงอิ๋งที่มีขนาดเกินพันคน ทั้งใหญ่และเล็ก รวมทั้งหมดสามร้อยยี่สิบห้าครั้ง เฉลี่ยแล้วมากกว่าสามครั้งต่อวัน และศึกระดับกองทัพที่มีกำลังพลมากกว่าหมื่นคนเกิดขึ้นสามสิบสี่ครั้ง ในจำนวนนี้ ข้าลงไปร่วมศึกเองยี่สิบแปดครั้ง”“จากยี่สิบแปดศึก ข้าได้รับบาดเจ็บหกครั้ง ข้าราชบริพารประจำตัวที่ข้านำออกไปด้วยมีทั้งหมดสี่สิบคน กลับมาครบสี่สิบคน แต่ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปทุกคน เพราะเมื่อคนเก่าตายในสนามรบ คนใหม่ก็ต้องถูกส่งมาแทน บางคนถึงกับถูกเปลี่ยนหลายรอบ”“ข้าไม่กล้าพูดว่าตนเองกล้าหาญไร้เทียมทาน แต่ข้าทำทุกอย่างสุดกำลังแล้ว”“สำหรับศึกที่ทุ่งราบฟู่หู่ซานที่ท่านพูดถึงนั้น ข้าไ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 670

    คำถามนี้ทำให้สีหน้าของซูผิงเป่ยเปลี่ยนไปเล็กน้อยขณะที่ซูเจิ้นถิง ผู้เงียบขรึมมาโดยตลอดก็ขมวดคิ้ว ดวงตาสะท้อนความเคร่งเครียดออกมาหากจะพูดกันตามตรง การบัญชาการศึกตลอดทั้งแผนการของซูผิงเป่ยนั้นถือว่าโดดเด่นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะผู้ที่เพิ่งได้รับมอบหมายให้คุมศึกขนาดกลางครั้งแรกก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้วแต่ในสนามรบ ไม่มีใครไร้ข้อผิดพลาด และซูผิงเป่ยก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นความล้มเหลวครั้งใหญ่ที่สุดของเขาอยู่ที่การรบในทุ่งราบภูเขาฝูหู่ ก่อนศึกใหญ่กับตงอิ๋งเพื่อยุติสงครามให้รวดเร็ว ซูผิงเป่ยเลือกเปิดศึกตัดสินโดยพลการซึ่งส่งผลให้กลยุทธ์ของเราถูกฝ่ายตงอิ๋งจับไต๋ได้ และใช้แผนลวงตอบโต้กลับจนกองทัพกลางที่ซูผิงเป่ยบัญชาการถูกล้อมตี ทำให้กองทัพปีกซ้ายและขวาต้องละทิ้งเป้าหมายเดิมเพื่อหันกลับมาช่วยการถอยทัพเพื่อช่วยเหลือกองทัพกลางเช่นนี้ ทำให้แผนการเดิมล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง จากการเป็นฝ่ายครอบงำตงอิ๋งกลับกลายเป็นการต้องช่วยชีวิตกองทัพกลางแทนแม้ว่าสุดท้ายสถานการณ์จะพลิกกลับมาได้ แต่กองทัพของเราก็สูญเสียอย่างหนัก ซูผิงเป่ยเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสผลลัพธ์สุดท้ายอาจถือว่าเป็นชัยชนะ แต่หากนำ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 669

    หลี่เฉินกล่าวคำประกาศเพียงหนึ่งประโยค แต่กลับดุจดั่งบัญชาสวรรค์ที่หน้าประตูพระที่นั่งไท่เหอ ขันทีผู้หนึ่งที่มีเสียงดังที่สุดขานประกาศออกมาอย่างกึกก้องการขานประกาศนั้นเป็นเพียงพิธีกรรมเบื้องหน้า แต่มีผู้วิ่งเหยาะๆ ไปเรียกซูผิงเป่ย ผู้ที่รออยู่ด้านนอกพระที่นั่งให้เข้ามาตำแหน่งของซูผิงเป่ยยังไม่สูงพอที่จะเข้าร่วมการประชุมเช้ายามปกติ แต่วันนี้มีแผนที่จะพระราชทานรางวัลแก่เขา การที่เขามารออยู่ด้านนอกจึงเป็นเรื่องสมควรอยู่แล้วอย่างไรก็ตาม ซูผิงเป่ยไม่คาดคิดเลยว่า ก่อนจะได้พูดถึงเรื่องรางวัลสำหรับเขา กลับมีเสียงจากภายในกล่าวถึงการลงโทษเขาแทนเสียงจากในพระที่นั่งดังมาก และเขาที่รออยู่ด้านนอกได้ยินชัดเจนทุกคำซูผิงเป่ยก้าวเข้าพระที่นั่งด้วยท่วงท่าองอาจราวมังกรและพยัคฆ์ แสดงให้เห็นถึงบุคลิกของแม่ทัพที่โดดเด่น เขาคุกเข่าลงตรงกลางพระที่นั่ง ประสานหมัดกล่าวว่า "กระหม่อม ซูผิงเป่ย ขอคารวะองค์รัชทายาท ขอองค์รัชทายาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี"หลี่เฉินกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า "มีบางประเด็นที่เสนาบดีกรมยุทธนาการต้องการเผชิญหน้ากับเจ้าโดยตรง จงตอบคำถามของเขาให้ละเอียด""พ่ะย่ะค

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 668

    แม้แต่ขุนนางหน้าใหม่ในราชสำนักยังรู้ว่าควรรักษาคำพูดไว้บ้าง กล่าวอย่างพอดีเจ็ดในสิบส่วน ทิ้งสามส่วนไว้เผื่อโอกาสต่อไปแต่หลิวถงปี้ผู้เป็นแม่ทัพกลับมีอารมณ์ร้อนแรงดั่งเพลิง ไม่เพียงแต่ด่าซั่งกวนเจาอย่างรุนแรง ยังพูดจาตรงไปตรงมาจนเผยให้เห็นจุดอ่อนของซั่งกวนเจาอย่างชัดเจนคราวนี้ ซั่งกวนเจาทนไม่ไหวเช่นกันใบหน้าของเขาแดงก่ำราวตับหมูและตะโกนกลับไปด้วยความโกรธ “หลิวถงปี้! เจ้าพูดจาใส่ร้ายเช่นนี้ เจ้าไม่รู้หรือว่าคำพูดที่เลินเล่ออาจนำภัยมาสู่ตัว!”“ภัย?”หลิวถงปี้หัวเราะเยาะ “ข้าเข้าร่วมกองทัพตั้งแต่อายุสิบหก ตอนอายุสิบเก้าก็ฆ่าทหารฮั่นได้สี่สิบคนด้วยมือเปล่า ในสนามรบล้วนเต็มไปด้วยลมฝนเลือดเนื้อ ข้าผ่านการต่อสู้นับไม่ถ้วนและได้รับตำแหน่งมาด้วยความสามารถของตัวเอง ข้ารู้แค่ว่าคำพูดของคนต้องมีความซื่อสัตย์ จะให้ข้ากลัวภัยจากคำพูด? น่าขำสิ้นดี!”“แต่เจ้าซั่งกวนเจา กลับกล่าวหาซูผิงเป่ยอย่างไร้เหตุผลราวกับว่าเขาเป็นคนทรยศชาติ เจ้าไม่กลัวหรือว่าทหารทั้งหลายที่เห็นต่างจะไปเคาะประตูบ้านเจ้าในยามค่ำคืน และฆ่าทั้งครอบครัวของเจ้าเสีย?”ถ้าก่อนหน้านี้ยังเป็นการด่าทั่วไป ตอนนี้หลิวถงปี้พูดจาข่มขู่ก

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 667

    คำกล่าวของซั่งกวนเจาทำให้บรรยากาศที่เงียบสงบอยู่แล้วในพระที่นั่งไท่เหอกลับกลายเป็นความเงียบที่แทบไม่มีแม้แต่เสียงหายใจสิ่งเดียวที่สามารถได้ยิน คือเสียงหัวใจที่เต้นรัวของเหล่าขุนนางไม่มีใครคาดคิดว่า ซั่งกวนเจา ซึ่งขึ้นเป็นเสนาบดีกรมยุทธนาการด้วยการสนับสนุนของจ้าวเสวียนจี และมักทำตัวเงียบๆ นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง จะเปิดฉากโจมตีใส่ซูผิงเป่ยแบบไม่ไว้หน้าซูผิงเป่ยคือใคร?เขาคือหลานชายของเทพเจ้าแห่งสงคราม และเป็นบุตรชายของซูเจิ้นถิงที่สำคัญยิ่งกว่านั้น เขาคือคนสนิทขององค์รัชทายาทหลี่เฉิน และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่สุดในชัยชนะครั้งใหญ่ของสงครามนี้ในขณะที่ตำหนักบูรพากำลังวางแผนจะมอบรางวัลให้ซูผิงเป่ยเพื่อยกย่องและผลักดันเขาให้กลายเป็นตัวแทนของตำหนักบูรพาในแวดวงทหารแต่ซั่งกวนเจากลับเปิดฉากโจมตีใส่ซูผิงเป่ยแบบตรงๆนี่เป็นความบ้า…หรือความมั่นใจอย่างถึงที่สุดกันแน่?สายตาส่วนใหญ่ในที่ประชุมหันไปมองจ้าวเสวียนจีแต่จ้าวเสวียนจีกลับนิ่งเฉย ราวกับกำลังฟังเรื่องที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาซั่งกวนเจากล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น “สิ่งที่กระหม่อมกล่าวหาแม่ทัพซูผิงเป่ยนั้น มีทั้งพยานบุคคล

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 666

    ในเช้าวันที่สดใส หลี่เฉินที่กำลังครุ่นคิดเรื่องพัฒนาปืนไฟ เดินทางไปยังพระที่นั่งไท่เหอ หลังจากเสวยมื้อเช้าแบบง่ายๆวันนี้คือวันประชุมเช้าซึ่งหลี่เฉินมีประเด็นสำคัญหลายเรื่องที่ต้องผ่านมติในที่ประชุม เพื่อออกเป็นนโยบายอย่างเป็นทางการของราชสำนักหนึ่งในเรื่องสำคัญคือการมอบรางวัลและการเลื่อนตำแหน่งให้กับกองทัพผู้ชนะนอกจากจะเป็นการยกย่องเหล่าทหารที่เสียสละชีวิตเพื่อบ้านเมืองแล้ว ยังเป็นโอกาสที่หลี่เฉินจะสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับกองทัพ และขยายอิทธิพลของตำหนักบูรพาในแวดวงการทหารเมื่อแสงแรกของวันพาดผ่านเมฆหมอก สะท้อนแสงอันงดงามบนสะพานทองหน้าพระที่นั่งไท่เหอ เหล่าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ทยอยเดินข้ามสะพานทองเข้าสู่ลานหน้าพระที่นั่งบนลานกว้างเหนือขั้นบันไดของพระที่นั่งไท่เหอ ที่หน้าประตูพระที่นั่งไท่เหอ ขันทีคนหนึ่งยืนถือแส้สำหรับประกาศความสงบในมือเพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!...เสียงป่าวร้องของขันทีดังขึ้นอย่างหนักแน่น "เข้า…เฝ้า!"ขุนนางฝ่ายบุ๋นนำโดยจ้าวเสวียนจี และฝ่ายบู๊นำโดยซูเจิ้นถิงฝ่ายบุ๋นอยู่ทางซ้าย ฝ่ายบู๊อยู่ทางขวา ขุนนางนับสิบคนที่มีคุณสมบัติเข้าเฝ้าต่างเดินเรียงแถวเ

DMCA.com Protection Status