ครึ่งชั่วยามต่อมา ตำหนักบูรพาซานเป่ายืนโค้งคำนับต่อหน้าหลี่เฉินแล้วพูดเบาๆ ว่า “ฝ่าบาท จ้าวอ๋องทรงกล้าหาญมากจนกล้าที่จะวางแผนปล้นคุก พระองค์ต้องการให้บ่าวจัดยอดฝีมือของหน่วยบูรพาเข้าซุ่มโจมตีหรือไม่ รวบทั้งคนทั้งของกลาง?”หลี่เฉินเล่นเศษกระดาษในมือ โดยที่ลายมือของสวีเว่ยบนกระดาษ มีเพียงประโยคเดียวและเรียบง่ายมาก เที่ยงคืนคืนนี้ จ้าวอ๋องจะปล้นคุกเพื่อช่วยเหลือบัวขาวหลี่เฉินวางเศษกระดาษลงแล้วเปิดปากพูด “ไม่ต้อง เจ้าไปเรียกโจวผิงอันมา”ซานเป่าตอบรับด้วยความเคารพและจากไปทันทีในไม่ช้า โจวผิงอันก็เดินเข้ามาในพระที่นั่งสีเจิ้งอย่างไม่ช้าไม่เร็ว เขาก้าวย่างอย่างมั่นคง และคำนับหลี่เฉิน“กระหม่อมโจวผิงอัน ขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาท” หลี่เฉินโบกมือให้ซานเป่าส่งเศษกระดาษให้โจวผิงอันเมื่อโจวผิงอันอ่านเนื้อหาในเศษกระดาษแผ่นนั้นเสร็จ หลี่เฉินก็กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ ข้าได้สั่งให้จ้าวอ๋องเป็นผู้ควบคุมการประหารของเหล่าสาวกสำนักบัวขาว”โจวผิงอันครุ่นคิดเพียงแวบหนึ่ง ก็เข้าใจความหมายส่วนใหญ่ได้“จ้าวอ๋องไม่ต้องการยั่วยุสำนักบัวขาว หรือไม่ก็อาจจะมีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถเ
“ข้าชอบความไร้ยางอายของเจ้า”หลี่เฉินหัวเราะและพูดว่า “ข้าต้องการยาพิษที่หลังจากดื่มเข้าไปแล้ว มันจะไม่แสดงผลในสองสามชั่วยาม แต่เมื่อถึงเวลา ต่อให้อัญเชิญมหาเทพลงมาก็ช่วยก็ยังหนีจากความตายไม่ได้ ยาพิษแบบนี้มีหรือไม่?”ซานเป่ารีบตอบว่า “มีพ่ะย่ะค่ะ และบ่าวรับประกันว่าไม่มีใครในโลกนี้สามารถรักษามันได้” “ยอดเยี่ยม”หลี่เฉินอย่างพอใจแน่นอนว่าหน่วยบูรพาเป็นสถานที่ที่เหมาะสมในการค้นหาสิ่งที่สกปรกที่ไม่สามารถบอกใครได้เขาหันหน้ากลับมาพูดกับโจวผิงอันว่า “เจ้ารับผิดชอบในการจัดการเรื่องนี้ หน่วยบูรพาจะให้ร่วมมือกับเจ้าโดยไม่มีเงื่อนไข” โจวผิงอันประสานมือคำนับแล้วพูดว่า “กระหม่อมน้อมรับพระราชดำรัสสั่ง” หลี่เฉินโบกมือพร้อมกับหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ไปทำงานเถอะ” หลังจากที่ทั้งสองคนจากไปแล้ว หลี่เฉินก็เบื่อที่จะอุดอู้อยู่ในพระที่นั่งสีเจิ้ง จึงไปที่อุทยานด้านหลังเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์ทันทีที่ก้าวเท้าออกมา ก็ถูกวั่นเจียวเจียวที่เรียกจางเฮ่อจือมาเข้ามาขวางไว้“ฝ่าบาท หมอหลวงจางมาแล้ว ให้หมอหลวงจางตรวจดูฝ่าบาทเถอะเพคะ”เมื่อเห็นท่าทางคาดหวังและระมัดระวังของวั่นเจียวเจียว หลี่เฉินก
วั่นเจียวเจียวพยักหน้ารีบตอบว่า “เริ่มออกเดินทางวันนี้เพคะ เมื่อคำนวณเวลาแล้ว อย่างช้าที่สุดก็น่าจะมาถึงตอนเที่ยงของวันมะรืน” “ดี”หลี่เฉินอารมณ์ดีขึ้นมากและพูดว่า “เจ้าออกไปจากตำหนักสักรอบแล้วซื้อปิ่นปักผมสักอันกลับมา เอาแบบธรรมดาๆ เรียบง่าย นางไม่ชอบอะไรที่หรูหราเกินไป จากนั้นก็ตกแต่งพระที่นั่งร้อยบุปผาตามความชอบตามปกติของนาง และบอกให้ทางห้องเครื่องจัดสำรับจานโปรดของนาง เมื่อถึงเวลาข้าจะเลี้ยงรับขวัญนาง”วั่นเจียวเจียวจดจำทุกคำพูด ก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “ทราบแล้วเพคะ...องค์รัชทายาทดีกับนางสนมจริงๆ เพคะ”หลี่เฉินเหลือบมองวั่นเจียวเจียวแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “นี่คือสิ่งที่ข้าสามารถทำให้นางได้ เจ้าริษยาหรือ?” วั่นเจียวเจียวหน้าแดงเล็กน้อย นางรีบปฏิเสธและพูดว่า “เปล่า เปล่าเพคะ เพียงแค่อิจฉานางสนม”“เช่นนั้นก็ซื้อปิ่นปักผมมาสองอัน แต่อันหนึ่งยกให้เจ้า เจ้าเลือกซื้อตามใจชอบเลย”วั่นเจียวเจียวเม้มปากแน่นและพูดเสียงแผ่วเบาว่า “บ่าวขอบพระทัยองค์รัชทายาท” แม้ปากจะขอบคุณ แต่ในใจกลับไม่ได้รู้สึกยินดีเลยสักนิดซื้อของขวัญให้กับซื้อให้ตัวเองมันแตกต่างกัน เมื่อเทียบกับเกียรติยศของนางสนมแล
คนเหล่านี้ทั้งหมดกว่าหน่วยบูรพาจะตามจับตัวมาได้ ไม่รู้ว่าต้องเสียไปตั้งเท่าไหร่ ดังนั้นซานเป่าจึงรู้จักพวกเขาทุกคนเป็นอย่างดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับหัวหน้าของเขตเจียงเจ้อที่อยู่ตรงหน้าเขา เพื่อที่จะจับกุมเขา หน่วยบูรพาได้ส่งคนมากกว่า 60 คน โดยสามในหกสิบกว่าคนนั้นเป็นลูกน้องฝีมือดีของเขา ซึ่งออกจากเมืองหลวงเพื่อสนับสนุนหน่วยบูรพาสาขาเจียงเจ้อเป็นพิเศษ พวกเขาต้องใช้กลยุทธ์แหฟ้าตะข่ายดินล้อมกรอบอยู่หลายสิบวัน กว่าจะจับตัวคนได้ ด้วยเหตุนี้ หน่วยบูรพาหกสิบกว่าคนที่ไป ขากลับก็กลับมาแค่สิบกว่าคนเท่านั้น และลูกน้องฝีมือดีของเขาทั้งสามคน ก็เหลือแค่คนเดียวที่กลับมาได้ ซ้ำร้ายยังบาดเจ็บสาหัสอีกด้วย และด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ซานเป่าเข้าใจอย่างชัดเจนว่า คนพวกนี้บ้าคลั่งและโหดร้ายเพียงใดเมื่อบวกกับความศรัทธาอย่างไม่ลืมหูลืมตา คนพวกนี้ก็ยอมตายอย่างจงรักและบ้าบิ่นอย่างเหลือเชื่อ แม้แต่องครักษ์เสื้อแพรแห่งหน่วยบูรพาที่ว่ากันว่าเลือดเย็นและไร้ความรู้สึก ก็ยังหงอยไปเลยเมื่อเจอคนพวกนี้แต่เหล่าสาวกที่โหดร้ายเช่นนี้ กลับถูกบัณฑิตที่อ่อนแอคนหนึ่งอย่างโจวผิงอันทำให้ตกใจกลัวได้ คิดถึงตรงนี้ สายตาข
นักโทษคนอื่นๆ ต่อจากนั้นก็ทำตามอย่างไม่อิดออดเช่นกัน ทุกคนได้ยินว่าตราบใดที่ดื่มสิ่งนี้เข้าไปก็จะสามารถนอนหลับได้หนึ่งชั่วยาม ทุกคนก็ดื่มมันเข้าไปโดยไม่ต้องให้พูดซ้ำเมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ซานเป่าและโจวผิงอันก็ออกจากเรือนจำของกรมยุติธรรมเมื่อเห็นท้องฟ้าสีครามและดวงอาทิตย์สีขาวข้างนอก ซานเป่าผู้โหดเหี้ยมก็รู้สึกราวกับว่าเขาอยู่ในอีกโลกหนึ่ง เขากล่าวอย่างจริงใจว่า “ใต้เท้าโจว วันนี้ข้าได้เปิดประสบการณ์แล้ว”โจวผิงอันประสานมืออย่างถ่อมตัวแล้วพูดว่า “ท่านกวางกงชมเกินไปแล้ว ข้าเพียงทำสิ่งต่างๆ ตามที่ฝ่าบาททรงสั่งเท่านั้นเอง วันหน้าหากกวางกงต้องการความช่วยเหลือ ก็สามารถส่งคนมาแจ้งได้”ซานเป่ายิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “เยี่ยมมาก เช่นนั้นข้าต้องขอบคุณล่วงหน้า”“ท่านกวางกงเกรงใจไปแล้ว”เมื่อพูดจาปราศรัยจบ ซานเป่าก็กล่าวว่า “อีกฝ่ายกำลังจะดำเนินการในคืนนี้แล้ว ไม่สะดวกที่ข้าจะอยู่ที่นี่นานๆ ใต้เท้าโจวโปรดดูแลตัวเองด้วย” “ท่านกวางกงเดินระวังๆ”เมื่อเห็นซานเป่าพาคนของหน่วยบูรพาเดินจากไป โจวผิงอันก็หรี่ตาเล็กน้อย จากนั้นจึงหัวเราะเบาๆ หมุนตัวเดินกลับไปที่กรมยุติธรรมในวันนั้น เมื
“องค์รัชทายาทผู้นี้ มีจิตใจที่ยากจะคาดเดาได้ ข้าอายุไล่เลี่ยพอๆ กับเขา และได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างลงไปแล้ว ระหว่างข้ากับเขามีแค่คนเดียวเท่านั้นที่จะมีชีวิตรอดไปได้ ผู้ชนะจะได้ทุกอย่าง!”หลี่อิ๋นหู่ได้พิจารณาถึงปัญหานี้มานานแล้ว เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกว่า “การเกิดมาในราชวงศ์ ซ้ำยังเป็นผู้ชาย มีเพียงจุดจบเดียวสำหรับพวกเราเท่านั้น หากไม่กลายเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ เช่นนั้นก็กลายเป็นคนตาย”สิ้นเสียงของหลี่อิ๋นหู่ จู่ๆ ก็เกิดเพลิงไหม้ขึ้นอย่างกะทันหัน จากทิศทางของเรือนจำกรมยุติธรรมในเมืองหลวง ตามมาด้วยเสียงตะโกนว่าฆ่าดังมาแต่ลิบๆ ที่ตั้งของจวนจ้าวอ๋องอยู่ห่างจากเรือนจำของกรมยุติธรรมไปไกลมาก แต่ถึงกระนั้นก็สามารถสังเกตเห็นแสงสว่างที่ย้อมท้องฟ้าอีกด้านหนึ่งจนเป็นสีแดงฉานได้อย่างชัดเจน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเปลวไฟนั้นรุนแรงเพียงใดเสียงตะโกนว่าฆ่าค่อยๆ ถูกกลบด้วยเสียงฆ้องและกลองพร้อมด้วยเสียงตะโกนว่าดับไฟ เมืองหลวงที่เพิ่งสงบสุข ก็เริ่มเดือดพล่านขึ้นมาอีกครั้งแสงจากเพลิงไหม้นี้ส่องสว่างไปทั่วเมืองหลวงเกือบครึ่งหนึ่ง แม้แต่ตำหนักบูรพาก็สามารถมองเห็นอย่างชัดเจนหลี่เฉินยังขึ้นไปบนหลังคาเพื่อ
ภายในพระที่นั่งสีเจิ้ง เหล่าราชาภาพยนตร์กำลังขึ้นแสดงบนเวทีอยู่ใบหน้าของหลี่เฉินดูราบเรียบ ไม่แสดงอารมณ์ยินดียินร้ายใดๆ ส่วนทางด้านของโจวผิงอันนั้นก็กำลังขมวดคิ้ว ท่าทางดูกังวลมากแต่การแสดงของหลี่อิ๋นหู่นั้นดูเกินจริงไปเล็กน้อย ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและเจ็บปวด ซึ่งพยายามอย่างหนักที่จะแสดงถึงความตกอกตกใจและความโกรธภายในใจด้วยการแสดงออกที่เกินจริง “ช่างไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตา! ราวกับใต้หล้าไร้ซึ่งกฎหมาย!”“เมืองหลวงอยู่ใต้เท้าของโอรสสวรรค์ ไม่ต้องพูดถึงการลอบสังหารที่เกิดขึ้นติดต่อกัน คืนนี้พวกโจรชั่วบางคนได้ทำการปล้นคุกของกรมยุติธรรม ราชวงศ์ฉินก่อตั้งมานานกว่า 300 ปี เรื่องที่เลวร้ายเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ฝ่าบาท โปรดให้กระหม่อมดำเนินการสืบสวนคดีนี้อย่างละเอียด เพื่อลากตัวผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังออกมา และนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม!”หลี่เฉินนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ โดยวางศอกบนหมอนอิงนุ่มๆ และมองไปที่หลี่อิ๋นหู่แวบหนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าอย่างเสียใจกับทักษะการแสดงที่เกินจริงของเขาการแสดงที่ย่ำแย่เช่นนี้ ทำให้มาตรฐานของการแสดงลดลง เขายกมือขึ้น วั่นเจียวเ
ทันทีที่ประโยคเหล่านี้หลุดออกมา หัวใจของหลี่อิ๋นหู่ก็เด้งไปที่ลำคอวินาทีนั้น ความคิดแรกของเขาก็คือหรือว่านักโทษในเรือนจำถูกสับเปลี่ยนออกไปแล้ว ส่วนคนที่ตัวเองช่วยออกมานั้นคือตัวปลอม!?ความคิดนี้ทำให้หลี่อิ๋นหู่สับสนและทำอะไรไม่ถูก “จ้าวอ๋องยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้นล่ะ?”เสียงของหลี่เฉินดังขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้หลี่อิ๋นหู่หลุดจากภวังค์ หลี่เฉินเดินมาหยุดตรงหน้าของหลี่อิ๋นหู่หลี่อิ๋นหู่เงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ และมองไปที่หลี่เฉินซึ่งมีสีหน้ายิ้มคล้ายไม่ยิ้มตรงหน้า ลางสังหรณ์ที่ไม่ดีในใจของเขา ได้กลายเป็นความรู้สึกที่วิกฤตอย่างแท้จริง ทำให้ร่างกายของเขาพลันเกร็งตัวขึ้นมาความกลัวราวกับงูพิษที่เลื้อยขึ้นมาตามขาของเขาไปที่คอ ทำให้หลี่อิ๋นหู่รู้สึกหนาวไปทั้งตัวหลี่อิ๋นหู่พยายามอย่างหนักเพื่อควบคุมการแสดงออกทางสีหน้าของเขา โดยไม่ให้มีข้อผิดพลาดใดๆ เขาแสดงรอยยิ้มที่น่าเกลียดออกมา และพูดด้วยความยากลำบากว่า “กระหม่อม กระหม่อมเพียงสงสัยคำพูดของฝ่าบาทจนไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน”“แน่นอน เจ้าจะรู้ทีหลัง”หลี่เฉินมองหลี่อิ๋นหู่ด้วยสายตามีเลศนัย จากนั้นจึงเดินผ่านเขาไปโดยเอามือไพล่หลังหลี่อิ๋นหู่
ตามคำอธิบายและเรื่องราวของฮ่องเต้ต้าสิง หลี่เฉินก็เริ่มมองเห็นถึงเบื้องลึกในจิตใจที่แท้จริงของฮ่องเต้พระองค์นี้ สิ่งที่พระองค์ต้องการ คือการสืบทอดราชบัลลังก์โดยไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงรากฐานของบ้านเมือง และขุนนางชั่วอย่างจ้าวเสวียนจี ก็คือประกันภัยอีกชั้นหนึ่งที่พระองค์วางไว้ ตราบใดที่จ้าวเสวียนจียังอยู่ เขาก็จะกระหายอำนาจ และต้องพยายามลดบทบาทของฮ่องเต้แน่นอน แต่การลดบทบาทของฮ่องเต้หาใช่ปัญหาไม่ ขอเพียงฮ่องเต้ยังคงดำรงอยู่ อ๋องแห่งแคว้นย่อมไม่อาจก่อหวอด สถานการณ์ก็จะยังดำเนินต่อไปได้ กล่าวได้ว่า ฮ่องเต้ต้าสิงได้วางหมากไว้สองทาง ทางแรก คือหวังว่าจะมีบุตรผู้หนึ่งสามารถเติบโตขึ้นมาเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ มีสติปัญญาและความสามารถลึกซึ้ง กอบกู้สถานการณ์ได้ แต่เรื่องนี้ยากเกินไป อย่างน้อยในขณะวางแผน ฮ่องเต้ต้าสิงเองก็มองไม่เห็นความหวัง ดังนั้นพระองค์จึงเตรียมทางที่สอง ผลักดันให้เกิดขุนนางชั่วคนหนึ่ง เพื่อรักษาความมั่นคงของการถ่ายโอนอำนาจ แม้ฮ่องเต้จะเป็นเพียงหุ่นเชิด ตราบใดที่ยังเป็นบุตรของฮ่องเต้ต้าสิง แผ่นดินก็จะไม่ล่มสลาย ส่วนอำนาจนั้
“เขาวางแผนมาอย่างยาวนาน บัดนี้ลูกกับเขาก็ถึงคราวแตกหัก ต่อให้มิใช่จ้าวเสวียนจี ลูกก็ไม่อาจอยู่อย่างสงบได้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” หลี่เฉินเงยหน้าขึ้นอย่างกล้าหาญ จ้องสบสายพระเนตรของฮ่องเต้เบื้องหน้า แม้พระวรกายจะซูบผอมดั่งน้ำมันหมดไส้เทียนใกล้มอด แต่ก็ยังเปี่ยมด้วยพลังสุดท้าย แล้วกล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกไป ฮ่องเต้ต้าสิงทรงฟังด้วยรอยยิ้ม รอจนหลี่เฉินพูดจบจึงเอ่ยว่า “ข้ากล่าวไปแล้ว เขา มิใช่สิ่งที่ควรกังวล” “เจ้าจะฆ่าเขาก็ได้ แต่ไม่ใช่เวลานี้” หลี่เฉินขมวดคิ้ว สีหน้างุนงงยิ่งนัก ฮ่องเต้ต้าสิงทอดถอนใจเบาๆ แล้วตรัสว่า “สามารถเดินมาถึงจุดนี้ เจ้าก็เกินกว่าความคาดหวังเดิมของข้าไปมาก แม้แต่อีกหลายการจัดวางที่ข้าวางไว้แต่แรก ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะได้ใช้จริง แต่ก้าวแล้วก้าวเล่า เจ้าก็ผ่านมาได้ทั้งหมด” “เจ้าควรรู้ว่า บางแผนที่ข้าวางไว้นั้น เริ่มตั้งแต่เมื่อครานานมาแล้ว” หลี่เฉินนึกถึงพี่น้องสกุลอู๋ จึงพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อทรงวางแผนอย่างลึกซึ้ง ลูกนับถือยิ่งนัก” “รอจนเจ้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ เจ้าก็จะเข้าใจเอง” ฮ่องเต้ต้าสิงตรัสเสียงเรียบ “ข้าวางแผนไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เจ้าคิดว่
จ้าวหรุ่ยเงยหน้าขึ้น แม้ใบหน้ายังคงซีดเซียวอ่อนแรง แต่กลับมีสีเลือดระเรื่อขึ้นเล็กน้อย “ฝ่าบาท รีบเสด็จเข้าไปเถิด” จ้าวหรุ่ยกล่าวจบ ก็หลีกทางไปด้านข้าง หลี่เฉินจับมือของจ้าวหรุ่ยแน่น แล้วจึงก้าวเข้าไปภายใน จ้าวเสวียนจีตามเข้าไปติดๆ นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวเสวียนจีสนทนากับจ้าวหรุ่ยหลังจากจ้าวหรุ่ยทรยศ “เจ้าคุกเข่าจนฮ่องเต้ทรงฟื้นคืนหรือ?” จ้าวเสวียนจีกล่าวเสียงเรียบ จ้าวหรุ่ยก้มหน้า ไม่กล้ามองจ้าวเสวียนจี เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ฮ่องเต้ทรงมีฟ้าคุ้มครองเพคะ” “ข้าไม่คาดคิดเลยจริงๆ” จ้าวเสวียนจีทิ้งประโยคหนึ่งอย่างมีนัย แล้วจึงติดตามหลี่เฉินเข้าไป จ้าวหรุ่ยเม้มริมฝีปาก ก้มหน้าถอยออกจากประตูตำหนักบรรทม ภายในตำหนักเฉียนชิง หลี่เฉินเห็นฮ่องเต้ต้าสิง...ทรงยืนขึ้นแล้ว พระองค์ทรงสวมเสื้อชั้นในสีเหลืองอ่อนที่เพิ่งผลัดเปลี่ยนใหม่ ซึ่งอาจนับเป็นชุดนอนหรือชุดชั้นในก็ได้ หลี่เฉินไม่รู้สึกแปลกตากับฉลองพระองค์ชุดนี้นัก ขณะฮ่องเต้ต้าสิงบรรทมบนเตียง ก็ทรงสวมเช่นนี้ แต่หลังจากเขาข้ามมิติมา ก็เป็นครั้งแรกที่เห็นฮ่องเต้ทรงมีสติและยืนอยู่ “อย่างไรหรือ เห็นข้าแล้ว ถึงกับลืมคำ
ประโยคเดียวว่าฮ่องเต้ทรงฟื้นแล้วสร้างแรงสะเทือนใจแก่ทุกผู้คนยิ่งกว่าเสียงฟ้าร้องเหนือศีรษะแม้กระทั่งทหารที่ไล่ตามขันทีน้อยมาแต่แรกยังถึงกับตื่นตะลึงถ้อยคำของขันทีน้อยยังไม่ทันจบประโยค เงาร่างสายหนึ่งพลันแวบขึ้นตรงหน้าเขา ซานเป่าได้คว้าตัวเขาไว้แล้ว“เจ้าว่าอะไรนะ?!”ขันทีน้อยผู้นั้นเป็นเพียงขันทีระดับต่ำสุด เคยเห็นซานเป่าจากที่ไกลๆ เท่านั้น หากแต่ความแตกต่างระหว่างฐานะของทั้งสองทำให้เขาไม่เคยมีสิทธิแม้แต่จะกล่าวคำกับซานเป่ายังไม่ทันตั้งสติจากแรงกดดันของซานเป่า ซูเจิ้นถิงและเหล่าขุนนางใหญ่น้อยก็พากันล้อมเขาไว้หมดแล้ว“บ่าว...บ่าวกล่าวว่า...ฮ่อง...ฮ่องเต้ทรงฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีน้อยตัวสั่นระริก พูดติดขัดแทบจับใจความไม่ได้ โชคยังดีที่เขายังจำหน้าที่ของตนเองได้“ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่ง ขอให้องค์รัชทายาทและสำนักราชเลขาเข้าเฝ้าทันที”ซานเป่ากับซูเจิ้นถิงสบตากัน แล้วก็ตัดสินใจได้ทันควัน“ไม่ได้!”จางปี้อู่ตะโกนลั่น “ใครจะรู้ว่านั่นไม่ใช่ราชโองการปลอมล่ะ!”“เจ้าบังอาจแอบอ้างหาบรรพบุรุษงั้นรึ!”ซูเจิ้นถิงสบถกลับด้วยความโกรธ แล้วซัดหมัดหนักเข้าที่ใบหน้าของจางปี้อู่อย่างจังจางปี้
“จ้าวเสวียนจี เจ้าทำเรื่องมากมาย วางแผนมานักหนา ท้ายที่สุดแล้วก็เพื่อสิ่งใดกันแน่”หลี่เฉินชี้ไปยังบัลลังก์มังกร ถามว่า “เพื่อจะได้ขึ้นนั่งบนนั้นหรือ”จ้าวเสวียนจีมองตามนิ้วของหลี่เฉินไปยังบัลลังก์มังกร กล่าวอย่างราบเรียบว่า “มิใช่ หากกระหม่อมประสงค์จะขึ้นนั่งบัลลังก์ กระหม่อมสามารถลงมือได้ตั้งแต่เมื่อปีกลายแล้ว แม้แต่ก่อนหน้านั้น กระหม่อมก็ยังมีโอกาสดีกว่านี้อีกมาก จะต้องรอให้ฝ่าบาททรงมีอำนาจมั่นคงก่อนแล้วจึงลงมือไปเพื่ออันใดกันเล่า”“หรือมิใช่เพราะเจ้าคิดว่าควบคุมตัวข้าได้ยาก จึงต้องเสี่ยงเอาดาบเข้าวัดอย่างนั้นหรือ” หลี่เฉินหัวเราะเย็นชาจ้าวเสวียนจีถอนหายใจเบาๆ สีหน้ากลับแฝงด้วยความหดหู่ยิ่งนัก กล่าวว่า “ฝ่าบาท พระองค์มิใช่กระหม่อม ย่อมไม่รู้ความลำบากของกระหม่อม”“บัลลังก์นั้น นั่งแล้วสบายหรือ ไม่เลย”จ้าวเสวียนจีหันหน้ากลับมามองหลี่เฉิน กล่าวว่า “กระหม่อมแทบจะเฝ้าดูฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์กับตาตนเอง ตลอดหลายปีมานี้ ในท้ายที่สุด ฮ่องเต้ได้อะไรกลับมาบ้าง”“กระหม่อมชราภาพแล้ว ไม่รู้ว่ายังจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่ปี อีกทั้งบุตรหลานของกระหม่อมก็สูญสิ้นไร้ร่องรอย หากกระหม่อมขึ้นไปนั่ง
หลี่เฉินหันขวับกลับมาเผชิญหน้าจ้าวเสวียนจี ดวงตาเย็นเยียบดั่งน้ำแข็งจ้าวเสวียนจีเงยหน้าขึ้น ยืนตัวตรง มาดอ่อนน้อมเมื่อครู่พลันสลาย เหลือเพียงท่วงท่าท้าทายอย่างเปิดเผยหลี่เฉินเอ่ยเรียบเย็น “ข้าเพิ่งรู้ว่า...ขุนนางอาวุโส สูงไม่น้อยเลยทีเดียว”จ้าวเสวียนจีตอบ “กระหม่อม...แค่เคยชินกับการโค้งก้มเท่านั้น แต่ครั้งนี้...กระหม่อมไม่อยากก้มอีกแล้ว”เขายกมือชี้ออกไปทางประตูพระที่นั่งไท่เหอ ก่อนกล่าวว่า “ทหารมีดดาบชั้นยอดจำนวนสามพันนาย บัดนี้อยู่ภายนอกพระที่นั่งไท่เหอเรียบร้อยแล้ว”“กระหม่อมรู้ดีว่า ฝ่าบาทมีปืนไฟ และอาวุธที่ระเบิดเทพต้าฉินทรงพลังยิ่ง หากให้เวลาพัฒนา คงกลายเป็นอาวุธสังหารอันน่าสะพรึงกลัวในอนาคต แต่เวลานี้ ฝ่าบาทมีน้อยเกินไป อีกทั้งในค่ำคืนที่ฝนตกหนักเช่นนี้ อานุภาพของอาวุธไฟก็จะลดลงจนเหลือน้อยนิด”“ที่สำคัญที่สุดก็คือ... ทหารทั้งสามพันนายของกระหม่อม ล้วนเป็นยอดฝีมือระดับแนวหน้าแห่งยุทธภพ สามารถกวาดล้างกองทัพปกติหนึ่งหมื่นนายได้ภายในเวลาอันสั้น”จ้าวเสวียนจีหัวเราะเบาๆ ราวกับได้พลิกไพ่ลับที่เตรียมไว้มาเนิ่นนาน มีความภูมิใจอย่างปิดไม่มิด “ที่สำคัญที่สุดคือ… ทหารสามพันนี้ มิใ
คำพูดของจ้าวเสวียนจี ได้เผยให้เห็นสถานการณ์ที่น่าอึดอัดที่สุดของหลี่เฉินอย่างหมดเปลือก ไม่มีแม้แต่นิดเดียวที่หลงเหลือให้ปิดบังหลี่เฉินในตอนนี้ แม้จะเป็นองค์รัชทายาท แม้จะทำหน้าที่สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่สิทธิอำนาจในมือของเขา โดยรากแท้แล้วยังคงเป็นสิ่งที่ฮ่องเต้ประทานให้ตราบใดที่หลี่เฉินยังไม่ขึ้นครองราชย์ ไม่ได้สวมชุดมังกร เช่นนั้นเขาก็ไม่อาจครอบครองราชอำนาจแท้จริงได้เลยต่อบรรดาข้าราชการท้องถิ่นแล้ว พวกเขายอมรับแค่สิ่งเดียว...ราชโองการ ยอมรับแค่บุคคลเดียว...ฮ่องเต้นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพายุการเมืองในครั้งนี้ ถึงเรียกได้เพียงว่า "พายุการเมือง" มิใช่การชิงราชสมบัติในสายตาของปวงชนแผ่นดิน สิ่งที่พวกเขาเห็น ก็แค่ความขัดแย้งระหว่างองค์รัชทายาทกับฝ่ายสำนักราชเลขาที่รุนแรงจนถึงขั้นยกทัพใส่กัน มิใช่การกบฏแย่งชิงราชบัลลังก์ของสำนักราชเลขาสองสิ่งนี้...แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงหากหลี่เฉินคือฮ่องเต้จริงๆ การกระทำของจ้าวเสวียนจีทั้งหมดนี้ ก็จะกลายเป็นการชิงบัลลังก์อย่างชัดเจน และจะก่อให้เกิดความโกลาหลไปทั่วทั้งแผ่นดิน ขุนนางในทุกหัวระแหงที่ยังมีความจงรักภักดีและสำนึกในคุณธรรม ย่อมต้องลุ
“ด้านนอกลมฝนรุนแรง ฝ่าบาททรงเปียกโชกทั้งตัว ดูก็รู้ว่าเส้นทางที่ก้าวเข้ามา ไม่ได้ราบรื่นเลยแม้แต่น้อย”จ้าวเสวียนจีมองหลี่เฉินด้วยแววตาสงบนิ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ใบหน้าแลดูใจดีอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ“ลมฝนหนักเช่นนี้ มีใครเล่าจะก้าวเดินได้อย่างสบาย?”หลี่เฉินพลิกมือปิดประตูพระที่นั่ง ลมฝนภายนอกถูกสกัดไว้ทันที ความสงบและอบอุ่นจึงกลับคืนสู่ท้องพระโรงอีกครั้ง“หากเพียงต้องการมุมหนึ่งอันสงบสุข ก็แค่ปิดประตูเท่านั้น ความสงบก็จะอยู่กับเราแล้วไม่ใช่หรือ?”จ้าวเสวียนจีกล่าว “ดี ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้องอย่างยิ่ง”หลี่เฉินย่างเท้าเข้าสู่พระที่นั่งไท่เหอด้วยฝีเท้าหนักแน่น หยุดยืนอยู่เบื้องล่างบัลลังก์ หันไปมองเก้าอี้มังกรแล้วเอ่ยกับจ้าวเสวียนจีข้างกาย “เก้าอี้ตัวนี้ ช่างเย้ายวนใจนักใช่หรือไม่?”จ้าวเสวียนจีก็มองไปยังเก้าอี้มังกรร่วมกับหลี่เฉินเขาไม่ได้ตอบคำถามของหลี่เฉิน กลับกล่าวเพียงว่า “ฝ่าบาท ถอยเถิด”หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ ไม่ขยับสายตา ไม่ตอบคำใด“กระหม่อมให้คำมั่น ว่าจะปกป้องฝ่าบาทให้ปลอดภัยไปตลอดชีวิต คำมั่นของกระหม่อมนี้ ฝ่าบาทเชื่อถือได้แน่นอน”หลี่เฉินพยักหน้า “ฟังดูจริงใจดี”
หลี่เฉินหันไปมองซูจิ่นพ่าที่อยู่ข้างกาย ยิ้มอ่อนเอ่ยว่า “เจ้าทำให้ข้ารู้สึกประหลาดใจมาก”ซูจิ่นพ่าไม่ได้ตอบ เพียงยอบกายทำความเคารพแบบสตรีผู้สูงศักดิ์อย่างอ่อนช้อยหลี่เฉินหลุดหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันไปกล่าวกับซูเจิ้นถิงว่า “แม่ทัพซู ลูกหลานตระกูลแม่ทัพเสือเจ้าฝีมือ เจ้าช่างมีบุตรีที่ดีนัก”ซูเจิ้นถิงก่อนหน้านี้อยู่หน้าประตูวัง เมื่อเขามาถึงพอดีกับที่ซูจิ่นพ่ากำลังตำหนีขุนนางพวกนั้น ด้วยสัญชาตญาณจึงไม่ได้รีบเข้าไป และการรอเพียงครู่เดียวนี้ ก็ทำให้เขาได้เห็นฝีมือกับสติปัญญาของบุตรสาวตัวเองอย่างชัดเจน นับว่ายอดเยี่ยมอย่างแท้จริง“ฝ่าบาทตรัสเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูเจิ้นถิงยกมือขึ้นคารวะ แล้วหันไปมองจางปี้อู่และขุนนางฝ่ายสำนักราชเลขาที่ใบหน้านิ่งสงบ จากนั้นกล่าวว่า “ฝ่าบาท ที่นี่ขอให้เป็นหน้าที่ของกระหม่อมกับท่านอาจารย์เถิดพ่ะย่ะค่ะ”ทหารย่อมต่อสู้กับทหาร แม่ทัพย่อมรับมือแม่ทัพบุคคลที่หลี่เฉินตั้งใจจะรับมือมาตลอด ไม่ใช่จางปี้อู่ และไม่ใช่ขุนนางทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังเขาเหล่านั้นแต่คือ...จ้าวเสวียนจี“ดี”หลี่เฉินพยักหน้าเบาๆ แล้วหมุนกาย มุ่งหน้าเข้าสู่พระที่นั่งไท่เหอในขณะที่หลี