วั่นเจียวเจียวพยักหน้ารีบตอบว่า “เริ่มออกเดินทางวันนี้เพคะ เมื่อคำนวณเวลาแล้ว อย่างช้าที่สุดก็น่าจะมาถึงตอนเที่ยงของวันมะรืน” “ดี”หลี่เฉินอารมณ์ดีขึ้นมากและพูดว่า “เจ้าออกไปจากตำหนักสักรอบแล้วซื้อปิ่นปักผมสักอันกลับมา เอาแบบธรรมดาๆ เรียบง่าย นางไม่ชอบอะไรที่หรูหราเกินไป จากนั้นก็ตกแต่งพระที่นั่งร้อยบุปผาตามความชอบตามปกติของนาง และบอกให้ทางห้องเครื่องจัดสำรับจานโปรดของนาง เมื่อถึงเวลาข้าจะเลี้ยงรับขวัญนาง”วั่นเจียวเจียวจดจำทุกคำพูด ก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “ทราบแล้วเพคะ...องค์รัชทายาทดีกับนางสนมจริงๆ เพคะ”หลี่เฉินเหลือบมองวั่นเจียวเจียวแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “นี่คือสิ่งที่ข้าสามารถทำให้นางได้ เจ้าริษยาหรือ?” วั่นเจียวเจียวหน้าแดงเล็กน้อย นางรีบปฏิเสธและพูดว่า “เปล่า เปล่าเพคะ เพียงแค่อิจฉานางสนม”“เช่นนั้นก็ซื้อปิ่นปักผมมาสองอัน แต่อันหนึ่งยกให้เจ้า เจ้าเลือกซื้อตามใจชอบเลย”วั่นเจียวเจียวเม้มปากแน่นและพูดเสียงแผ่วเบาว่า “บ่าวขอบพระทัยองค์รัชทายาท” แม้ปากจะขอบคุณ แต่ในใจกลับไม่ได้รู้สึกยินดีเลยสักนิดซื้อของขวัญให้กับซื้อให้ตัวเองมันแตกต่างกัน เมื่อเทียบกับเกียรติยศของนางสนมแล
คนเหล่านี้ทั้งหมดกว่าหน่วยบูรพาจะตามจับตัวมาได้ ไม่รู้ว่าต้องเสียไปตั้งเท่าไหร่ ดังนั้นซานเป่าจึงรู้จักพวกเขาทุกคนเป็นอย่างดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับหัวหน้าของเขตเจียงเจ้อที่อยู่ตรงหน้าเขา เพื่อที่จะจับกุมเขา หน่วยบูรพาได้ส่งคนมากกว่า 60 คน โดยสามในหกสิบกว่าคนนั้นเป็นลูกน้องฝีมือดีของเขา ซึ่งออกจากเมืองหลวงเพื่อสนับสนุนหน่วยบูรพาสาขาเจียงเจ้อเป็นพิเศษ พวกเขาต้องใช้กลยุทธ์แหฟ้าตะข่ายดินล้อมกรอบอยู่หลายสิบวัน กว่าจะจับตัวคนได้ ด้วยเหตุนี้ หน่วยบูรพาหกสิบกว่าคนที่ไป ขากลับก็กลับมาแค่สิบกว่าคนเท่านั้น และลูกน้องฝีมือดีของเขาทั้งสามคน ก็เหลือแค่คนเดียวที่กลับมาได้ ซ้ำร้ายยังบาดเจ็บสาหัสอีกด้วย และด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ซานเป่าเข้าใจอย่างชัดเจนว่า คนพวกนี้บ้าคลั่งและโหดร้ายเพียงใดเมื่อบวกกับความศรัทธาอย่างไม่ลืมหูลืมตา คนพวกนี้ก็ยอมตายอย่างจงรักและบ้าบิ่นอย่างเหลือเชื่อ แม้แต่องครักษ์เสื้อแพรแห่งหน่วยบูรพาที่ว่ากันว่าเลือดเย็นและไร้ความรู้สึก ก็ยังหงอยไปเลยเมื่อเจอคนพวกนี้แต่เหล่าสาวกที่โหดร้ายเช่นนี้ กลับถูกบัณฑิตที่อ่อนแอคนหนึ่งอย่างโจวผิงอันทำให้ตกใจกลัวได้ คิดถึงตรงนี้ สายตาข
นักโทษคนอื่นๆ ต่อจากนั้นก็ทำตามอย่างไม่อิดออดเช่นกัน ทุกคนได้ยินว่าตราบใดที่ดื่มสิ่งนี้เข้าไปก็จะสามารถนอนหลับได้หนึ่งชั่วยาม ทุกคนก็ดื่มมันเข้าไปโดยไม่ต้องให้พูดซ้ำเมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ซานเป่าและโจวผิงอันก็ออกจากเรือนจำของกรมยุติธรรมเมื่อเห็นท้องฟ้าสีครามและดวงอาทิตย์สีขาวข้างนอก ซานเป่าผู้โหดเหี้ยมก็รู้สึกราวกับว่าเขาอยู่ในอีกโลกหนึ่ง เขากล่าวอย่างจริงใจว่า “ใต้เท้าโจว วันนี้ข้าได้เปิดประสบการณ์แล้ว”โจวผิงอันประสานมืออย่างถ่อมตัวแล้วพูดว่า “ท่านกวางกงชมเกินไปแล้ว ข้าเพียงทำสิ่งต่างๆ ตามที่ฝ่าบาททรงสั่งเท่านั้นเอง วันหน้าหากกวางกงต้องการความช่วยเหลือ ก็สามารถส่งคนมาแจ้งได้”ซานเป่ายิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “เยี่ยมมาก เช่นนั้นข้าต้องขอบคุณล่วงหน้า”“ท่านกวางกงเกรงใจไปแล้ว”เมื่อพูดจาปราศรัยจบ ซานเป่าก็กล่าวว่า “อีกฝ่ายกำลังจะดำเนินการในคืนนี้แล้ว ไม่สะดวกที่ข้าจะอยู่ที่นี่นานๆ ใต้เท้าโจวโปรดดูแลตัวเองด้วย” “ท่านกวางกงเดินระวังๆ”เมื่อเห็นซานเป่าพาคนของหน่วยบูรพาเดินจากไป โจวผิงอันก็หรี่ตาเล็กน้อย จากนั้นจึงหัวเราะเบาๆ หมุนตัวเดินกลับไปที่กรมยุติธรรมในวันนั้น เมื
“องค์รัชทายาทผู้นี้ มีจิตใจที่ยากจะคาดเดาได้ ข้าอายุไล่เลี่ยพอๆ กับเขา และได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างลงไปแล้ว ระหว่างข้ากับเขามีแค่คนเดียวเท่านั้นที่จะมีชีวิตรอดไปได้ ผู้ชนะจะได้ทุกอย่าง!”หลี่อิ๋นหู่ได้พิจารณาถึงปัญหานี้มานานแล้ว เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกว่า “การเกิดมาในราชวงศ์ ซ้ำยังเป็นผู้ชาย มีเพียงจุดจบเดียวสำหรับพวกเราเท่านั้น หากไม่กลายเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ เช่นนั้นก็กลายเป็นคนตาย”สิ้นเสียงของหลี่อิ๋นหู่ จู่ๆ ก็เกิดเพลิงไหม้ขึ้นอย่างกะทันหัน จากทิศทางของเรือนจำกรมยุติธรรมในเมืองหลวง ตามมาด้วยเสียงตะโกนว่าฆ่าดังมาแต่ลิบๆ ที่ตั้งของจวนจ้าวอ๋องอยู่ห่างจากเรือนจำของกรมยุติธรรมไปไกลมาก แต่ถึงกระนั้นก็สามารถสังเกตเห็นแสงสว่างที่ย้อมท้องฟ้าอีกด้านหนึ่งจนเป็นสีแดงฉานได้อย่างชัดเจน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเปลวไฟนั้นรุนแรงเพียงใดเสียงตะโกนว่าฆ่าค่อยๆ ถูกกลบด้วยเสียงฆ้องและกลองพร้อมด้วยเสียงตะโกนว่าดับไฟ เมืองหลวงที่เพิ่งสงบสุข ก็เริ่มเดือดพล่านขึ้นมาอีกครั้งแสงจากเพลิงไหม้นี้ส่องสว่างไปทั่วเมืองหลวงเกือบครึ่งหนึ่ง แม้แต่ตำหนักบูรพาก็สามารถมองเห็นอย่างชัดเจนหลี่เฉินยังขึ้นไปบนหลังคาเพื่อ
ภายในพระที่นั่งสีเจิ้ง เหล่าราชาภาพยนตร์กำลังขึ้นแสดงบนเวทีอยู่ใบหน้าของหลี่เฉินดูราบเรียบ ไม่แสดงอารมณ์ยินดียินร้ายใดๆ ส่วนทางด้านของโจวผิงอันนั้นก็กำลังขมวดคิ้ว ท่าทางดูกังวลมากแต่การแสดงของหลี่อิ๋นหู่นั้นดูเกินจริงไปเล็กน้อย ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและเจ็บปวด ซึ่งพยายามอย่างหนักที่จะแสดงถึงความตกอกตกใจและความโกรธภายในใจด้วยการแสดงออกที่เกินจริง “ช่างไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตา! ราวกับใต้หล้าไร้ซึ่งกฎหมาย!”“เมืองหลวงอยู่ใต้เท้าของโอรสสวรรค์ ไม่ต้องพูดถึงการลอบสังหารที่เกิดขึ้นติดต่อกัน คืนนี้พวกโจรชั่วบางคนได้ทำการปล้นคุกของกรมยุติธรรม ราชวงศ์ฉินก่อตั้งมานานกว่า 300 ปี เรื่องที่เลวร้ายเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ฝ่าบาท โปรดให้กระหม่อมดำเนินการสืบสวนคดีนี้อย่างละเอียด เพื่อลากตัวผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังออกมา และนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม!”หลี่เฉินนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ โดยวางศอกบนหมอนอิงนุ่มๆ และมองไปที่หลี่อิ๋นหู่แวบหนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าอย่างเสียใจกับทักษะการแสดงที่เกินจริงของเขาการแสดงที่ย่ำแย่เช่นนี้ ทำให้มาตรฐานของการแสดงลดลง เขายกมือขึ้น วั่นเจียวเ
ทันทีที่ประโยคเหล่านี้หลุดออกมา หัวใจของหลี่อิ๋นหู่ก็เด้งไปที่ลำคอวินาทีนั้น ความคิดแรกของเขาก็คือหรือว่านักโทษในเรือนจำถูกสับเปลี่ยนออกไปแล้ว ส่วนคนที่ตัวเองช่วยออกมานั้นคือตัวปลอม!?ความคิดนี้ทำให้หลี่อิ๋นหู่สับสนและทำอะไรไม่ถูก “จ้าวอ๋องยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้นล่ะ?”เสียงของหลี่เฉินดังขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้หลี่อิ๋นหู่หลุดจากภวังค์ หลี่เฉินเดินมาหยุดตรงหน้าของหลี่อิ๋นหู่หลี่อิ๋นหู่เงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ และมองไปที่หลี่เฉินซึ่งมีสีหน้ายิ้มคล้ายไม่ยิ้มตรงหน้า ลางสังหรณ์ที่ไม่ดีในใจของเขา ได้กลายเป็นความรู้สึกที่วิกฤตอย่างแท้จริง ทำให้ร่างกายของเขาพลันเกร็งตัวขึ้นมาความกลัวราวกับงูพิษที่เลื้อยขึ้นมาตามขาของเขาไปที่คอ ทำให้หลี่อิ๋นหู่รู้สึกหนาวไปทั้งตัวหลี่อิ๋นหู่พยายามอย่างหนักเพื่อควบคุมการแสดงออกทางสีหน้าของเขา โดยไม่ให้มีข้อผิดพลาดใดๆ เขาแสดงรอยยิ้มที่น่าเกลียดออกมา และพูดด้วยความยากลำบากว่า “กระหม่อม กระหม่อมเพียงสงสัยคำพูดของฝ่าบาทจนไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน”“แน่นอน เจ้าจะรู้ทีหลัง”หลี่เฉินมองหลี่อิ๋นหู่ด้วยสายตามีเลศนัย จากนั้นจึงเดินผ่านเขาไปโดยเอามือไพล่หลังหลี่อิ๋นหู่
ค่ำคืนที่หนาวเย็นราวกับสายน้ำ และแสงจันทร์ที่ปกคลุมทั่วพื้นโลก ในมุมที่ห่างไกลและเงียบสงบของเมืองหลวง ปรากฏศพหลายศพขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้คนที่เห็นต่างรู้สึกขนลุกขนชันแต่สำหรับหลี่อิ๋นหู่นั้นเขาตกใจจนขวัญกระเจิงไปหมดเขาไม่เคยคิดว่าหลี่เฉินจะพาเขามาดูศพ ซึ่งเป็นศพของนักโทษจากสำนักบัวขาว!ไม่ใช่ว่าคนเหล่านี้ได้รับการช่วยเหลือจากคนของเขาและหนีไปแล้วหรือ!? แล้วเหตุใดถึงมาตายกันตรงนี้!?แล้วหลี่เฉินควบคุมเรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างไร!คำถามนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมาในจิตใจ ทำให้หลี่อิ๋นหู่ยืนอึ้งอยู่กับที่“จ้าวอ๋องมานี่สิ”หลี่เฉินที่อยู่ข้างหน้าโบกมือเรียกหลี่อิ๋นหู่ให้เข้ามาทั้งสองยืนเคียงข้างกัน และหลี่เฉินก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นอย่างไร แม้ว่าภาพจะไม่สวยนัก แต่ก็น่าประทับใจมากใช่หรือไม่?”หลี่อิ๋นหู่มุมปากกระตุก และถามออกมาอย่างยากลำบากว่า “ฝ่า ฝ่าบาท นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”ทันใดนั้นหลี่เฉินก็ยกมือขึ้น และโอบไหล่ของหลี่อิ๋นหู่ ทำให้ทั้งสองคนดูสนิทสนมกันมากในขณะเดียวกัน หลี่เฉินก็ลดเสียงลงและพูดว่า “แน่นอนว่ามันคือแผนการ”“เสนาบดีกรมยุติธรรมโจวผิงอันของข้าได้คาดการณ์ว่าจะมีคนมาป
“บัดซบเอ๊ย!”ทันใดนั้นหลี่อิ๋นหู่ก็หันศีรษะและจ้องมองโจวผิงอันตาขวาง เขากัดฟันพูดว่า “พวกเจ้าทำงานหนักกันจริงๆ!”โจวผิงอันยิ้มและเพิกเฉยต่อคำพูดแดกดันของหลี่อิ๋นหู่ เขากล่าวว่า “ขอบพระทัยจ้าวอ๋องสำหรับคำชม แต่กระหม่อมยังพูดไม่จบ”“โลกนี้ไม่มีอะไรที่แน่นอน ดังนั้นในกรณีนี้กระหม่อมจึงขอให้ฝ่าบาทป้องกันอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งกระหม่อมต้องขอให้จ้าวอ๋องทรงทอดพระเนตรดูดีๆ”ขณะที่พูด โจวผิงอันก็ชี้นิ้ววนไปรอบๆ แล้วพูดว่า “ในค่ำคืนที่มืดมิดเช่นนี้ ไม่รู้ว่ามีดวงตาสักกี่คู่ที่จ้องมองสถานที่แห่งนี้กัน? จ้าวอ๋องตกเป็นผู้ต้องสงสัยไปแล้ว ดังนั้นกระหม่อมขอใช้ภาษาชาวบ้านที่ไม่น่าฟังสักประโยค ฉี่หกใส่กางเกง จะซักอย่างไรก็ไม่สะอาด” “ฮ่าๆ!”หลี่อิ๋นหู่ที่ในใจตึงเครียดถึงขีดสุดอยู่แล้วเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเยาะส่งท้ายของโจวผิงอัน ก็ทำให้เขาสูญเสียความยับยั้งชั่งใจไป เขาตวาดอย่างเกรี้ยวกราด แล้วกระชากคอเสื้อของโจวผิงอัน ก่อนจะตะคอกใส่อย่างรุนแรงว่า “โจวผิงอัน! เจ้าไม่กลัวข้าสังหารเจ้ารึ!?”แม้จะถูกหลี่อิ๋นหู่กระชากคอเสื้อ แต่โจวผิงอันก็ไม่ได้โกรธหรือวิตกกังวลแต่อย่างใด เขาแค่มองหลี่อิ๋นหู่อย่างเงียบๆ ร
ถ้าเป็นไปได้ ตอนนี้สวีฉังชิงอยากชักดาบออกมาฆ่าหลานชายของตัวเองทันที จากนั้นก็ฆ่าตัวตายต่อหน้าองค์รัชทายาทแม้ว่าชีวิตของเขาและหลานชายจะต้องจบลง แต่ตระกูลสวียังอาจมีโอกาสรอดพ้นจากการถูกทำลายล้างคำพูดประโยคแรกของสวีจวินโหลวหมายความว่าอย่างไร!?เข้าใจง่ายมากนั่นก็คือ มนุษย์ล้วนต้องตาย และแคว้นย่อมมีวันล่มสลาย เหมือนกับการเปลี่ยนแปลงของกลางวันกลางคืน และการผลัดเปลี่ยนฤดูกาล ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นกฎธรรมชาติที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้!คำพูดนี้ ไม่ว่ากษัตริย์พระองค์ใดได้ยิน ย่อมถือเป็นการดูหมิ่นอย่างร้ายแรงไม่ใช่แค่ตัดหัวแต่ถึงขั้นล้างโคตรตระกูล!หากเจอกษัตริย์ที่มีอารมณ์ร้อน อาจถึงขั้นสังหารเก้าชั่วโคตรโดยไม่มีใครกล้าเรียกร้องความเป็นธรรมนี่มันการดูหมิ่นที่ร้ายแรงที่สุด!แม้เข่าของสวีฉังชิงจะอ่อนจนแทบทรุดลงไปกับพื้น แต่เขาก็พยายามอดทนไม่คุกเข่าต่อหน้าองค์รัชทายาทเขาแอบเหลือบมองสีหน้าของหลี่เฉิน แต่กลับเห็นว่าองค์รัชทายาทไม่ได้แสดงความโกรธใดๆ แถมยังมีท่าทีสนุกสนาน หยิบลิ้นจี่ที่นางกำนัลยื่นให้เข้าปากด้วยความผ่อนคลายในมุมมองของหลี่เฉิน ประโยคเปิดเรื่องนี้แม้จะดูเหมือนเป็นการดูหมิ่
เวลาสอบทั้งหมดกำหนดไว้หนึ่งชั่วยาม หรือราวๆ สองชั่วโมงในหน่วยเวลาสมัยใหม่แต่โจทย์ที่ยากลำบากขนาดนี้ กลับมีคนส่งกระดาษคำตอบตั้งแต่ยังไม่ถึงครึ่งชั่วยามคนแรกที่ส่งกระดาษคำตอบ ย่อมดึงดูดความสนใจจากทุกคนในทันทีองครักษ์รีบรับกระดาษคำตอบของเขา นำส่งให้เสนาบดีกรมขุนนาง หูพี่ ก่อนที่หูพี่จะหมุนตัวและนำเสนอด้วยความเคารพต่อหลี่เฉินหลี่เฉินหยุดการเขียนนิยายของตน ช้อนตามองนักศึกษาร่างเล็กหน้าตาเรียบๆ คนหนึ่งที่ยืนเก็บของเตรียมตัวออกจากสนามสอบ ก่อนจะรับกระดาษคำตอบมาเมื่อเห็นตัวอักษรบนกระดาษคำตอบเป็นครั้งแรก หลี่เฉินเอ่ยชมออกมาเบาๆ ว่า "ลายมือช่างงดงามยิ่งนัก"ไม่ว่าจะเป็นการสอบจอหงวนในยุคโบราณหรือการสอบระดับชาติในยุคปัจจุบัน การที่มีคะแนนจากความเรียบร้อยของกระดาษคำตอบย่อมมีส่วนสำคัญ และลายมือที่สวยงามย่อมทำให้ผู้ตรวจรู้สึกชื่นชมเพราะอย่างน้อยก็ไม่เหนื่อยเวลาอ่านในยุคโบราณยิ่งเป็นเช่นนั้นนักศึกษาจะใช้เวลาเป็นสิบๆ ปีฝึกฝนลายมือ ถ้าหากพวกเขาไม่มีลายมือที่สวยงาม ก็ย่อมไม่มีทางก้าวมาถึงการสอบจอหงวนรอบสุดท้าย"นักศึกษาจากแคว้นเจียงเจ๋อ ฟู่หมิ่นชิง ตอบคำถามในหัวข้อ 'ปรัชญาแห่งชาติ' ต่อเบ
มีขุนนางที่กล้ากล่าวความจริงและตักเตือนอย่างตรงไปตรงมา สามารถช่วยกษัตริย์มองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งในตัวเองและนโยบายและยังมีขุนนางที่มีความสามารถเฉพาะด้านสูงมาก งานในส่วนที่เกี่ยวข้อง เมื่อมอบหมายให้พวกเขาแล้วแทบไม่ต้องกังวลนอกจากนี้ ยังมีขุนนางประเภทที่สามารถช่วยกษัตริย์จัดการเรื่องที่กษัตริย์ไม่สะดวกจะลงมือเอง แม้ว่าคนเหล่านี้อาจมีความสามารถระดับปานกลาง หรือแม้แต่มีข้อเสียหลายประการ พวกเขาก็ยังนับเป็นคนสำคัญ เช่น เหอคุนจักรวรรดิที่กว้างใหญ่เกินไป ย่อมต้องการผู้คนที่หลากหลายมาช่วยหลี่เฉินบริหารจัดการ ไม่เช่นนั้น ต่อให้เขาเป็นเทพเซียนก็คงไม่สามารถขับเคลื่อนจักรวรรดิได้ด้วยตัวเองสำหรับสถานการณ์ที่ต้าฉินกำลังเผชิญ หลี่เฉินต้องการคนที่มีสายตากว้างไกลและความสามารถเชิงกลยุทธ์ระดับสูงบุคคลประเภทนี้ โจวผิงอันถือว่าเป็นตัวอย่างหนึ่ง แต่คนอื่นๆ อย่างสวีฉังชิงและกวนจือเหวยเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเท่านั้นคนเหล่านี้ หากใช้อย่างเหมาะสม จะกลายเป็นอาวุธสำคัญ แต่หากใช้ผิดวิธีก็อาจกลายเป็นหายนะ ดูได้จากตัวอย่างของจ้าวเสวียนจีแม้ว่าหลี่เฉินอยากให้จ้าวเสวียนจีตายไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่เข
"เมื่อข้าอ่านโจทย์การสอบจบแล้ว นักศึกษาทุกคนจึงจะเริ่มเขียนคำตอบได้ เวลาที่กำหนดคือหนึ่งชั่วยาม เมื่อครบเวลา ทุกคนต้องหยุดเขียนและส่งกระดาษคำตอบ อนุญาตให้ส่งก่อนเวลาได้ แต่ห้ามส่งช้ากว่าเวลาที่กำหนด""ต่อไป ข้าจะอ่านโจทย์การสอบ"เมื่อคำกล่าวของหูพี่จบลง ไม่เพียงแต่นักศึกษาทุกคนจะเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ แม้แต่ขุนนางฝ่ายบุ๋นและบู๊ทั้งหมดก็ยังรู้สึกอยากรู้อยากเห็นในอดีต การสอบจอหงวนรอบสุดท้าย โจทย์จะถูกจัดเตรียมโดยสำนักราชเลขา ซึ่งมักเสนอโจทย์หลายชุดให้ฮ่องเต้เลือกหนึ่งชุดเป็นโจทย์สอบแต่ปีนี้ไม่เหมือนปีก่อนสำหรับการสอบครั้งนี้ โจทย์ทั้งหมดถูกตัดสินโดยองค์รัชทายาท โดยไม่มีการเกี่ยวข้องจากสำนักราชเลขาเลยดังนั้น แม้แต่ขุนนางในราชสำนักหรือสำนักราชเลขาก็ยังไม่รู้ว่าโจทย์จะเป็นเช่นไรกระทั่งหูพี่เองก็ไม่ทราบเนื้อหาโจทย์จนกระทั่งซานเป่ามอบซองปิดผนึกให้แก่เขาหลังจากเปิดซองออก หูพี่ก็กลายเป็นบุคคลที่สองรองจากหลี่เฉินที่รู้เนื้อหาโจทย์เมื่อเห็นเนื้อหาโจทย์ เขาก็ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นมองไปที่กลุ่มนักศึกษาด้วยสีหน้าประหลาดใจปนความเห็นใจเขาเข้าใจทันทีว่าทำไมองค์รัชทายาทจึงเลือกให้เขาเ
"พวกเจ้าทุกคนล้วนเป็นยอดคนที่ถูกคัดเลือกจากนับร้อยในพัน หากมองทั่วแผ่นดินที่มีประชากรนับสิบล้าน พวกเจ้าย่อมเป็นหนึ่งในแสน!"คำกล่าวของหลี่เฉินทำให้เลือดลมของเหล่านักศึกษาเดือดพล่านทุกคนล้วนตระหนักดีว่าหนทางที่ผ่านมานั้นไม่ง่ายเลย บางคนถึงกับต้องขายสมบัติทั้งครอบครัวเพื่อให้สามารถเดินทางมาถึงจุดนี้หากการสอบจอหงวนล้มเหลว พวกเขาส่วนใหญ่อาจต้องจบชีวิตไปพร้อมกับความยากจนและไร้หนทางดังนั้น แม้ว่าการสอบจอหงวนจะไม่ใช่สมรภูมิที่มีคมดาบ แต่ความโหดร้ายของมันก็แทบไม่แตกต่างจากสนามรบเมื่อย้อนระลึกถึงความยากลำบากที่ผ่านมา นักศึกษาทั้งหมดล้วนแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกส่วนเหล่าขุนนางที่อยู่ในบริเวณนั้น ต่างก็รู้สึกสะเทือนใจเช่นกันเพราะในอดีต พวกเขาส่วนใหญ่ก็ล้วนเดินมาบนเส้นทางการสอบจอหงวนเช่นเดียวกันแต่โชคชะตาของพวกเขาดีกว่าคนรุ่นเดียวกันอย่างมาก เพราะในวันนี้ พวกเขาสามารถยืนอยู่หน้าพระที่นั่งไท่เหอ และเข้าร่วมราชสำนักได้เมื่อมองย้อนกลับไป ผู้คนที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันในรุ่นเดียวกันนั้น บัดนี้เหลืออยู่ข้างกายน้อยมาก"การสอบจอหงวนเป็นเส้นทางที่ราชสำนักใช้ในการคัดเลือกบุคคลที่มีค
เสียงเขาสัตว์อันแสนเศร้าสร้อยดังก้องไปทั่วบริเวณเหล่านักศึกษาค่อยๆ เดินเข้าสู่พื้นที่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยภายใต้การนำของเจ้าหน้าที่จากสำนักฮั่นหลิน พวกเขาถูกจัดให้อยู่ในลำดับอย่างเหมาะสมและมายืนประจำตำแหน่งในจัตุรัสสะพานจินสุ่ยในเวลานั้น ราชสำนักช่วงเช้าทั้งหมดได้ถูกย้ายออกจากพระที่นั่งไท่เหอ มาจัดขึ้นภายนอกแทน หลี่เฉินนั่งอยู่ที่ประตูใหญ่ของพระที่นั่งบริเวณนี้เองคือสถานที่ที่เขาเคยใช้ปืนจ่อยิงฮาเล่ย์ต้าลี่จนเสียชีวิตในวันนั้นเมื่อทุกคนประจำตำแหน่งแล้ว จ้าวเสวียนจีและถานไถจิ้งจือในฐานะผู้นำฝ่ายบุ๋น ซูเจิ้นถิงในฐานะผู้นำฝ่ายบู๊ ทั้งสามคนโค้งคำนับพร้อมเปล่งเสียงดังว่า"ขอถวายบังคมองค์รัชทายาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี"เมื่อฮ่องเต้ไม่อยู่ องค์รัชทายาทในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ย่อมเป็นผู้แทนของฮ่องเต้ในสถานการณ์อันเป็นทางการเช่นนี้หลังจากนั้น บรรดาขุนนางฝ่ายบุ๋นและบู๊ทั้งหมด รวมถึงนักศึกษาที่เข้าสอบจอหงวนต่างก็กล่าวถวายบังคมไม่มีผู้ใดกล้าละเลย"ขอถวายบังคมองค์รัชทายาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี"ที่จัตุรัสสะพานจินส
กงฮุยอวี่ที่แสดงท่าทางออกมานั้น หลี่เฉินมองเห็นทุกสิ่งในสายตา แต่เขาเลือกที่จะไม่เอ่ยถึงให้กระจ่าง ในใจนั้นกลับเข้าใจอย่างแจ่มชัด ทว่ากลับไม่คิดสนใจนางต่อไปกงฮุยอวี่มองหลี่เฉินที่หันหลังกลับไปจัดการงานราชการในทันที ดวงตาที่เย็นเยียบของนางปรากฏความไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมาส่วนวั่นเจียวเจียวนั้น... นางรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชนะในชีวิต ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้นางมีความสุขมากกว่านี้อีกแล้วในการรับมือกับสตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรีเช่นกงฮุยอวี่ การเร่งร้อนย่อมไม่เป็นผลดีไม่เช่นนั้น ความพยายามทั้งหมดอาจสิ้นเปลืองจนกลายเป็นแรงเกินไป ทำให้ทุกอย่างย้อนกลับและต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้งอย่างน่าอึดอัดหลี่เฉินในตอนนี้ได้ก้าวไปอีกหนึ่งก้าว สำเร็จในการก่อกวนจิตใจของกงฮุยอวี่ ดังนั้นต่อไปจึงควรปล่อยให้อารมณ์คลี่คลายไปก่อน ทิ้งให้นางได้ครุ่นคิด จะได้ไม่เร่งร้อนเกินไปในมุมมองของหลี่เฉิน ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับกงฮุยอวี่ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับนักล่าและเหยื่อนักล่าต้องการจับเหยื่อ แต่เหยื่อกลับระแวดระวังสูงมาก หากผิดพลาดเพียงนิด ไม่เพียงแค่เหยื่อจะหนีไป แต่อาจจะหันกลับมาเล่นงานนักล่าเ
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ความคิดของหลี่เฉินที่จะเอาชนะใจของกงฮุยอวี่ก็ยิ่งรุนแรงขึ้นในชีวิตของผู้ชาย ย่อมต้องการผู้หญิงหลากหลายแบบอ่อนโยนและมีเสน่ห์อย่างจ้าวหรุ่ย เด็ดเดี่ยวและมั่นคงอย่างซูจิ่นพ่า และดื้อรั้นไม่ยอมคนอย่างกงฮุยอวี่ที่อยู่ตรงหน้า"นิยายเล่มนั้น สนุกไหม?" หลี่เฉินถามเหมือนไม่มีอะไรจะพูดกงฮุยอวี่ตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ก็ดี"หลี่เฉินยิ้มเมื่อได้ยินคำตอบนั้น ก่อนจะบอกให้วั่นเจียวเจียวไปหยิบสมุดเล่มหนึ่งมา แล้วส่งให้กงฮุยอวี่ "ลองดูนี่สิ"กงฮุยอวี่มองสมุดที่เห็นได้ชัดว่าเป็นงานเขียนด้วยมือ แล้วมองหน้าหลี่เฉิน แต่ไม่ได้ยื่นมือไปรับ"ข้าเขียนเอง"คำพูดนั้นทำให้ทุกคนในห้องตกใจวั่นเจียวเจียวที่ยืนอยู่ข้างๆ ถึงกับตาโตนางรู้ดีว่าหลี่เฉินยุ่งแค่ไหน งานราชกิจในพระที่นั่งสีเจิ้งแทบจะทำให้เขาไม่มีเวลาหายใจ แล้วเขายังมีเวลามาเขียนนิยายได้ด้วยหรือ?และยิ่งไปกว่านั้น … องค์รัชทายาทยังเขียนนิยายเป็น!วั่นเจียวเจียวมองหลี่เฉินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจและชื่นชม รู้สึกว่าองค์รัชทายาทที่ดูเหมือนจะไร้ที่ติ ตอนนี้ดูเหมือนจะไร้ข้อบกพร่องอย่างแท้จริงรูปงาม สถานะสูงส่ง มีความ
ซูผิงเป่ยยังคงไม่เข้าใจในสิ่งที่บิดากล่าว และเพียงเปิดปากจะถามอะไรบางอย่าง แต่ซูเจิ้นถิงก็ยกมือขึ้นห้ามและกล่าวว่า "เรื่องพวกนี้ เจ้าเดินตามข้ากับองค์ชายไปเรื่อยๆ ก็จะค่อยๆ ซึมซับและเข้าใจเอง ตอนนี้เจ้าคิดไม่ออก ต่อให้ข้าอธิบายมากเท่าใด เจ้าก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี""การเมืองนั้นแตกต่างจากการรบ มันต้องใช้ความเข้าใจลึกซึ้ง และที่สำคัญที่สุดคือ ต้องใช้เวลาบ่มเพาะอย่างช้าๆ""ในตอนนี้ สิ่งที่เจ้าควรทำคือ ฟังให้มาก ดูให้มาก พูดให้น้อย และถามให้น้อยเข้าไว้""เอาล่ะ ในช่วงนี้ หากเจ้าไม่มีเรื่องจำเป็น ก็อย่ากลับบ้าน จงไปอยู่ในค่ายทหาร เข้าไปใกล้ชิดกับเหล่าทหารให้มากขึ้น การเมืองถึงที่สุดแล้วก็ต้องพึ่งกำลังทหาร""รู้ไหมว่าทำไมองค์ชายถึงฝากคนหนึ่งพันนายที่เจ้าพามาไว้กับหน่วยบูรพา? นั่นเพราะเพื่อเป็นแผนสำรองในกรณีฉุกเฉิน เจ้าต้องรับรองได้ว่า ในยามจำเป็น คนหนึ่งพันนายนี้ต้องยอมตายเพื่อองค์ชายโดยไม่ลังเล"ซูผิงเป่ยกลืนคำถามทั้งหมดกลับไป และรับคำอย่างนอบน้อม…เมื่อหลี่เฉินกลับถึง พระที่นั่งสีเจิ้ง วั่นเจียวเจียวกำลังสั่งการให้เหล่าขันทีนำก้อนน้ำแข็งมาวางทั่วทั้งท้องพระโรงในยุคโบราณ การผลิตน้