“ขอรับ!”ผู้บังคับกองพันองครักษ์เสื้อแพรตอบรับเสียงดังด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็ไม่ให้โอกาสจางหวังหยางได้โต้ตอบ เขายกขาขึ้นแล้วเตะข้อพับของจางหวังหยางสามารถเป็นผู้บังคับกองพันองครักษ์เสื้อแพร และได้รับมอบหมายจากซานเป่าให้มาคุ้มกันหลี่เฉิน ก็แสดงให้เห็นว่าวรยุทธ์และความสามารถของเขานั้นไม่ธรรมดาดังนั้นลูกเตะนี้ จางหวังหยางไม่มีทางต้านทานได้เลย เขาร้องโหยหวนออกมา ก่อนที่เข่าของเขาจะกระแทกลงกับพื้นหิมะอย่างแรงความเจ็บปวดนี้ทำให้จางหวังหยางถึงกับหน้าบิดเบี้ยว และหลั่งเหงื่อออกมาจิตใต้สำนึกของเขาสั่งให้เขาลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว แต่ผู้บังคับกองพันองครักษ์เสื้อแพรใช้มือแค่ข้างเดียวกดไหล่ของเขา ก็ทำให้เขารู้สึกราวกับว่ามีภูเขาลูกใหญ่กดทับร่างกาย จนขยับตัวไม่ได้ “เจ้าเป็นใคร!”จางหวังหยางที่เสียหน้าและเสียศักดิ์ศรีก็คำรามด้วยความโกรธ “บอกชื่อของเจ้ามาซะ ข้าจะทำให้เจ้าตายอย่างทรมาน!” “เจ้าไม่คู่ควรที่จะรู้”หลี่เฉินพูดอย่างเฉยเมย “อยากแก้แค้นเหรอ? ได้ ข้าจะอยู่ที่สวนอี้เหมย และรอดูว่าใครจะกล้ามาช่วยเจ้า?”สิ้นเสียงของหลี่เฉิน เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากสวนอี้เหม่ยเสียงหัวเ
เมื่อมีเสียงตะโกนดังขึ้น ฝูงชนก็พากันตื่นเต้น ทุกคนต่างตั้งตารอการมาถึงของคุณชายจ้าวไท่ไหล ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าตระกูลจ้าวและตระกูลจางเป็นพันธมิตร? แม้แต่จ้าวไท่ไหลและจางหวังหยางก็เป็นสหายคนสนิทที่มีบุคลิกคล้ายกันตอนนี้จางหวังหยางกำลังเสียเปรียบ ถ้าจ้าวไท่ไหลมาเห็นเข้า เขาจะปล่อยมันไปง่ายๆ หรือ?จางหวังหยางได้ยินเสียงตะโกนของฝูงชน จึงหันศีรษะไปมอง และเห็นรถม้าของจ้าวไท่ไหลแล่นเข้ามา ทันใดนั้น จางหวังหยางก็รู้สึกตื่นเต้นจนแทบน้ำตาไหลไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้นไปกว่าการได้พบกับผู้ช่วยให้รอดในช่วงเวลาที่สิ้นหวังเช่นนี้ “พี่จ้าว! มาช่วยข้าเร็วเข้า!” เสียงตะโกนของจางหวังหยาง ทำให้รถม้าหยุดลงจ้าวไท่ไหลลงจากรถม้าด้วยสีหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นจางหวังหยางถูกคนกดตัวให้คุกเข่าลงกับพื้น จ้าวไท่ไหลก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ “พี่จาง ทำไมท่านถึงอยู่ในสภาพนี้? ใครกล้าให้ท่านคุกเข่าเช่นนี้?”จ้าวไท่ไหลเงยหน้าขึ้น ก็เห็นหลี่เฉินดูโดดเด่นสะดุดตาในหมู่ฝูงชน ครั้งสุดท้ายที่เห็นหลี่เฉิน เขาถูกทำให้รู้สึกอับอายที่หอเถิงหวัง ครั้งนี้ หลังจากห่างหายไปหลายเดือน ศัตรูเก่าก็หวนกลับมาพบหน้ากันอีก
“ข้าน้อยพบคุณชาย”เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาของหลี่เฉิน ชายวัยกลางคนจึงก้มหน้า ขณะเดียวกันก็ดึงจ้าวไท่ไหลไปอยู่ข้างหลังตน“ก่อนจะออกมา นายท่านเคยกำชับไว้ว่า คุณชายไม่ได้รับอนุญาตให้ก่อปัญหา หากล่วงเกินคุณชายท่านนี้ ข้าน้อยต้องขออภัยด้วย”จ้าวไท่ไหลจำชายวัยกลางคนผู้นี้ได้ และรู้ว่าเขาเป็นคนสนิทของท่านพ่อ ทันใดนั้นอารมณ์ที่ซับซ้อนก็ปรากฏขึ้นในใจแน่นอนว่าท่านพ่อคอยระวังเขาและส่งคนมาติดตามเขาจริงๆแต่ก็โชคดีที่มีคนติดตามมาด้วย ไม่เช่นนั้น เกรงว่าวันนี้เขาคงจะเสียเปรียบไปแล้วไม่ว่าอย่างไร จ้าวไท่ไหลก็ไม่กล้าโต้แย้งชายผู้นี้ เพราะการตำหนิชายวัยกลาง ก็เท่ากับต่อต้านบิดาของตัวเอง หลี่เฉินหรี่ตาเล็กน้อย ดูจากทัศนคติของชายวัยกลางคนที่มีต่อเขา เขารู้ว่าอีกฝ่ายคงจะรู้ตัวตนของเขาแล้ว“ท่านราชเลขาช่างรักลูกชายหัวแก้วหัวแหวนจริงๆ” หลี่เฉินกล่าวเสียงเรียบชายวัยกลางคนไม่กล้าตอบ หลังจากคำนับหลี่เฉินแล้ว เขาก็ลากจ้าวไท่ไหลออกไปจ้าวไท่ไหลกลับรู้สึกกังวลเขามาที่นี่เพื่อช่วยจางหวังหยาง ถ้าเขาจากไปแบบนี้ เขาจะสูญเสียศักดิ์ศรีทั้งหมด! “พาพี่จางมาด้วย!”คำพูดของจ้าวไท่ไหล ทำให้ชายวัยกลางคนขมวด
คำเชิญอย่างจริงใจของรัฐทายาทเหวินอ๋อง ในสายตาของคนนอก ดูเหมือนนี่จะเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความหวาดกลัวภูมิหลังอันลึกลับของหลี่เฉินจึงถ่อมตัวลง แต่หลี่เฉินรู้ว่ามันไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น เขาไม่ปฏิเสธ แต่พยักหน้าแล้วพูดว่า “ตกลง เข้าไปด้วยกันเถอะ”ทั้งสองพูดคุยและหัวเราะ ทำให้บรรยากาศที่ตึงเครียดระหว่างพวกเขาจางหายไปจนหมด และพวกเขาก็เข้าไปในสวนอี้เหม่ยด้วยกันในทางตรงกันข้าม จางหวังหยาง หลังจากลุกขึ้นมาด้วยความอับอาย เขาก็ไม่มีหน้าที่จะเข้าร่วมการชุมนุมกวีอีกต่อไป เขาจึงลุกขึ้นและจากไปด้วยความอับอายส่วนคนอื่นๆ กำลังคาดเดาตัวตนของหลี่เฉินอย่างมีความสุข ไม่มีใครสนใจว่าจางหวังหยางจะไปที่ไหน“สวนอี้เหมยเป็นหนึ่งในจุดชมวิวที่งดงามที่สุดของเมืองหลวง โดยเฉพาะในช่วงกลางฤดูหนาว เพราะดอกบ๊วยจะบานสะพรั่งอย่างเต็มที่ มีดอกบ๊วยรวมกว่า 20 สายพันธุ์ อาจกล่าวได้ว่าทุกสายพันธุ์ที่สามารถพบเห็นได้ในประเทศ ล้วนสามารถพบได้ในสวนอี้เหมย”ในระหว่างการสนทนากับหลี่เฉิน รัฐทายาทเหวินอ๋องมีท่าทางอ่อนโยนและช่างพูด ดูเหมือนจะสามารถสนทนาได้ทุกหัวข้อในขณะที่กำลังแนะนำสถานที่ต่างๆ ในสวนอี้เหมยอย่างคล่องแคล้ว
เขาจ้องมองอย่างดุเดือดไปที่คนที่เขาด่าเป็นครั้งที่สอง หลี่เฉินคร้านจะพูดเรื่องไร้สาระกับเขา จึงดึงซูจิ่นพ่าจากไปแม้จะรู้สึกว่าการกระทำของหลี่เฉินนั้นป่าเถื่อนและกล้าหาญเกินไป ซูจิ่นพ่าลองบิดข้อมือดูก็พบว่าไม่สามารถสลัดมือออกมาได้ จึงต้องยอมรับชะตากรรมของตัวเอง...มันไม่ใช่ครั้งแรกอยู่แล้วทั้งสองมาถึงสถานที่ที่เงียบสงบและยืนอยู่ใต้ดอกบ๊วย หลี่เฉินขมวดคิ้วและพูดว่า “แมลงวันตอมเจ้ามากมายเช่นนี้ เจ้าทนไหวหรือ?”ซูจิ่นพ่าที่เพิ่งดึงมือออกจากมือของหลี่เฉินได้ จึงกล่าวเสียงเบาว่า “ข้าชินแล้ว”“ดูเหมือนข้าต้องให้คนในวังรีบไปสู่ขอเจ้าโดยเร็ว รอจนมีการประกาศข่าวออกมา ทุกคนจะรู้ว่าเจ้าคือพระชายาองค์รัชทายาทในอนาคต คนพวกนั้นถึงจะตัดใจ” หลี่เฉินกล่าวอย่างจริงจังเมื่อเห็นว่าหลี่เฉินจริงจังกับสิ่งที่เขาพูด ซูจิ่นพ่าจึงพูดอย่างโกรธเคือง “พูดจาไร้สาระ มีการกำหนดวันเวลาอันเป็นมงคลแล้ว จะยอมให้เจ้าเปลี่ยนตามใจชอบได้อย่างไร?”“เจ้าไม่อยากอภิเษกสมรสไม่ใช่หรือ? ตอนนี้มากังวลเรื่องวันเวลาอันเป็นมงคลซะแล้ว” หลี่เฉินกล่าวยิ้มๆซูจิ่นพ่ารู้ว่าตัวเองถูกหลี่เฉินหลอกอีกแล้ว จึงกระทืบเท้าด้วยความโกรธ อย่าง
“เจ้าหมอนี่มาจากไหนกันนะ? เหตุใดคุณหนูซูถึงนั่งข้างเขา!”“ไม่รู้สิ ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ดูไม่คุ้นหน้าเลย”“จุ๊ๆ พวกเจ้าสองคนเงียบเสียงหน่อยเถอะ ชายคนนั้นบ้าไปแล้ว ตอนที่ข้าอยู่ข้างนอก ข้าเห็นเขาทะเลาะกับคุณชายจาง จางหวังหยาง แม้ว่ารัฐทายาทจะมาไกล่เกลี่ยด้วยตนเอง และต่อมาคุณชายจ้าว จ้าวไท่ไหลจะมาถึง แต่คนผู้นี้กลับไม่ไว้หน้าใครเลย”“พวกเจ้าลองเดาผลดูสิ เขาไม่เพียงแต่จะทำให้คุณชายจางต้องคุกเข่าบนพื้นหิมะ แต่ยังทำให้คุณชายจ้าว จ้าวไท่ไหลต้องจากไปอย่างสิ้นหวังอีกด้วย”“ซี๊ด...คนผู้นี้บ้าไปแล้วจริงๆ เขาล่วงเกินคนใหญ่คนโตถึงสามคน อยู่ห่างๆ เขาไว้จะดีกว่า”งานชุมนุมกวียังไม่ได้เริ่มอย่างเป็นทางการ แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์หลี่เฉินก็เริ่มดังสนั่นแล้ว บางครั้งก็มีคำพูดสองสามคำที่ลอยเข้ามาในหูของหลี่เฉิน และทำให้หลี่เฉินต้องหัวเราะออกมา แต่เขาก็ไม่ได้สนใจพวกเขาเท่าไหร่นัก ในทางตรงกันข้าม ซูจิ่นพ่าฟังด้วยความสนใจเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินใครบางคนอธิบายว่าหลี่เฉินเป็นสัตว์ประหลาดมาจากไหน ก็อดไม่ได้ที่จะปิดปากและยิ้มออกมาอย่างภูมิใจมากหลี่เฉินจ้องมองนางแต่ไม่ได้พูดอะไรมากตอนนั้นเอง ก็มีคน
ประโยคนี้พูดอย่างไม่เห็นแก่ตัวและเหมาะสมอยู่บนเวทีเหล่าชนชั้นสูงรุ่นที่สองของเมืองหลวงที่อยู่ด้านล่าง ต่างก็ยกย่องความมีน้ำใจของรัฐทายาทเหวินอ๋องเป็นอันดับแรกด้วยรูปลักษณ์ที่อ่อนโยน สุภาพ นอบน้อม แต่สง่างามของรัฐทายาทเหวินอ๋อง ก็ได้ดึงดูดความสนใจของเหล่าสตรีที่ยังไม่ออกเรือน ในขณะนั้น ก็มีผู้กล้าสองสามคนเริ่มถามรัฐทายาทเหวินอ๋องว่าแต่งงานแล้วหรือยัง“เจ้ารู้สึกอย่างไร?” หลี่เฉินเอนตัวไปกระซิบที่ข้างหูของซูจิ่นพ่าซูจิ่นพ่ากำลังฟังคำพูดของรัฐทายาทเหวินอ๋อง จนไม่ทันระวังหลี่เฉินก็สะดุ้งตกใจ นางผลักหลี่เฉิน และบอกให้เขานั่งดีๆ อย่าอยู่ใกล้นางมาก จากนั้นก็พูดว่า “บุคลิกสง่างาม วาจาไพเราะ ลีลาการสนทนาพาทีเหนือขั้น ช่างไร้ที่ติ” “ดูหน้าซื่อใจคดนิดหน่อย” หลี่เฉินพูดอย่างเฉยชาซูจิ่นพ่าพูดยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เจ้าอิจฉาเพราะคนอื่นหลีกเลี่ยงเจ้าเหมือนเจองูหรือแมงป่อง แต่พวกเขากลับแห่แหนกันไปหาเขาหรือเปล่า?” “อิจฉา?”หลี่เฉินหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “เจ้าให้หน้าเขาเกินไปแล้ว”ที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับพวกเขา จ้าวไท่ไหลรู้สึกอิจฉามากจนดวงตาร้อนผ่าว เมื่อมองดูพวกเขาสองพูดคุยและหัวเราะกันเ
การโต้แย้งของจ้าวไท่ไหลนั้นเกินความคาดหมายของทุกคนแม้แต่หลี่เฉินยังรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยจ้าวไท่ไหลพูดด้วยใบหน้าบูดบึ้ง “สิ่งที่ราชสำนักทำ ย่อมเป็นเจตนาของราชสำนักอยู่แล้ว พวกเราแค่ดูมัน แสดงความคิดเห็นของเราได้ แต่รัฐทายาท ท่านกลับสนับสนุนทุกคนให้เป็นปรปักษ์กับราชสำนักอย่างเปิดเผย ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป คงจะมีคนถามไม่น้อยว่ารัฐทายาทคิดจะทำอะไร”“จู่ๆ ก็เกิดตรัสรู้ขึ้นมา?” ซูจิ่นพ่ามองหลี่เฉินด้วยความสับสน หลี่เฉินส่ายหัว แต่ไม่พูดอะไรบรรยากาศที่อบอุ่นแต่เดิมตอนนี้กลับเย็นลงทันที เนื่องจากจ้าวไท่ไหลแสดงท่าทีต่อต้านรัฐทายาทเหวินอ๋องรัฐทายาทเหวินอ๋องไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะล่วงเกิน แต่ไม่ว่าจะอย่างไร จ้าวไท่ไหลกลับล่วงเกินไม่ได้ยิ่งกว่าไม่มีใครกล้าลุกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์จ้าวไท่ไหลเพื่อรัฐทายาทเหวินอ๋อง บางคนถึงกับคิดว่าสิ่งที่จ้าวไท่ไหลพูดนั้นค่อนข้างถูกต้อง...รัฐทายาทเหวินอ๋องครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก็เข้าใจเหตุผลว่าทำไมจ้าวไท่ไหลถึงต่อต้านเขา แทนที่จะโกรธ เขากลับประสานมือให้จ้าวไท่ไหลอย่างสุภาพและพูดว่า “คุณชายจ้าว โปรดให้อภัยที่ข้าอธิบายไม่ชัดเจนนัก ข้าหมายความว่ากลยุทธของรา