“จะเริ่มตรงไหน?” จ้าวเสวียนจีถามจางปี้อู่และฟู่อวี้จือมองหน้ากันแล้วยิ้ม ก่อนจะพูดว่า “สวีฉังชิงดีไหม?”“กรมครัวเรือน...”จ้าวเสวียนจีครุ่นคิด พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “กรมครัวเรือนก็ได้ มีหลายประเด็นที่เล่นได้ สวีฉังชิงผู้นี้มีความสำคัญต่อตำหนักบูรพามาก และมีความเป็นไปได้ที่จะใช้ชีวิตของเขาเพื่อแลกกับการประนีประนอมของตำหนักบูรพา”ฟู่อวี้จือกับจางปี้อู่จึงยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ในเมื่อท่านราชเลขาเห็นด้วย เช่นนั้นพวกเราสองคนจะดำเนินการทันที”จ้าวเสวียนจีโบกมือกล่าวว่า “เอาเลย ในปีที่ผ่านมา ท่านในตำหนักบูรพาผู้นั้นจู่ๆ ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน ทำให้พวกเราไม่ทันระวังตั้งหลายครั้ง ตอนนี้ถึงเวลาแสดงให้เขาเห็นว่าสำนักราชเลขาได้ช่วยราชวงศ์บริหารประเทศมาหลายปี แต่ก็ยังมีอุปสรรคอยู่บ้าง”หลังจากที่ฟู่อวี้จือและจางปี้อู่จากไปแล้ว จ้าวเสวียนจีก็ค่อยๆ เดินออกจากห้องโถง เขายืนอยู่ใต้ชายคาและมองดูหิมะสีขาวในสนามหญ้า ก่อนจะพูดอย่างช้าๆ ว่า “ฤดูหนาวปีนี้ดูเหมือนจะหนาวและยาวนานมาก ไม่รู้ว่าปีหน้าเวลานี้ จะเป็นอย่างไร”ขณะที่เขาทอดถอนใจอยู่นั้น จ้าวเสวียนจีก็มองเห็นร่างที่คุ้นเคยกำลังเดินผ่านระเบียง
และความแข็งแกร่งของเหวินอ๋องนั้นยังกระตุ้นความกลัวของจักรพรรดิองค์ปัจจุบันอีกด้วย ดังนั้นเขาจึงออกพระราชโองการ เรียกโอรสองค์โตของเหวินอ๋องให้มาที่เมืองหลวงปากบอกว่าคิดถึงหลานชาย อยากนำมาเลี้ยงดูข้างกาย แต่ความจริงนั้นไม่ว่าใครก็รู้ว่า พามาเป็นตัวประกันรัฐทายาทเหวินอ๋องมักทำตัวไม่โดดเด่นในเมืองหลวงมาโดยตลอด และไม่เคยมีส่วนร่วมในข้อพิพาทใดๆ เลย แต่บัดนี้ ในวันแรกของปีใหม่ เขากลับจัดงานชุมนุมกวีครั้งใหญ่ขึ้นมา เบื้องลึกเบื้องหลังนั้น ทำให้จ้าวเสวียนจีอดตื่นตัวขึ้นมาไม่ได้เมื่อเห็นความกังวลในดวงตาของลูกชาย จ้าวเสวียนจีก็ตระหนักรู้ขึ้นมา เขาจึงถามว่า “ซูจิ่นพ่าก็ไป?” จ้าวไท่ไหลพลันหน้าแดง เขากล่าวเสียงกระซิบว่า “ไปขอรับ” รัฐทายาทเหวินอ๋องอะไรนั่น จ้าวไท่ไหลไม่สนใจ สิ่งที่เขาสนใจคือซูจิ่นพ่าไป หากนางไป เขาก็ไปเหมือนกัน เพียงแต่ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกหมดหวังขึ้นมาเมื่อพิจารณาจากทัศนคติของบิดาที่คัดค้านเรื่องของเขากับซูจิ่นพ่า ถ้าหากบิดารู้ว่าซูจิ่นพ่าจะไป ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะยอมตกลงให้ตัวเองไป แต่กลับคาดไม่ถึงว่า ประโยคถัดมาของจ้าวเสวียนจีจะขจัดความสิ้นหวังของจ้า
ราวกับได้ยินบางสิ่งที่ผิดปกติในคำพูดของหลี่เฉิน ซูจิ่นพ่าจึงถลึงตาใส่หลี่เฉินและพูดด้วยความโกรธว่า “ข้าไม่รู้จักรัฐทายาทเหวินอ๋อง แต่ทายาทของผู้มีอำนาจในเมืองหลวงส่วนใหญ่จะเข้าร่วมงานชุมนุมในครั้งนี้ เมื่อรัฐทายาทเหวินอ๋องส่งเทียบเชิญมาให้ ก็ฝากให้ข้าเชิญผู้เขียน มาด้วย ยิ่งไปกว่านั้น นี่ยังเป็นการระดมทุนให้กับผู้ประสบภัยจริงๆ ข้าจึงเชิญเจ้ามา ถ้าหากเจ้ามีความคิดเลอะเทอะ งั้นก็อย่าไป” “ไปๆ ทำไมจะไม่ไปล่ะ”หลี่เฉินถือโอกาสจับมือซูจิ่นพ่าแล้วพูดว่า “เจ้านัดข้ามา ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟข้าก็จะไป”ซูจิ่นพ่าเคยผ่านประสบการณ์เสียเปรียบมาแล้วหลายครั้ง แต่คราวนี้นางเรียนรู้ที่จะฉลาด นางซ่อนมือของตัวเองจากหลี่เฉินอย่างว่องไว และพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “อย่าพยายามเอาเปรียบข้าง่ายๆ เลย” เมื่อหลี่เฉินเห็นแบบนั้นก็ไม่ได้บีบบังคับ วันเวลานั้นยาวนาน เขายังมีเวลาที่จะสร้างฐานขึ้นมาเดิมทีหลี่เฉินวางแผนที่จะขึ้นรถม้าเดียวกับซูจิ่นพ่า แต่ไม่คิดว่าจะถูกซูจิ่นพ่าปฏิเสธ“เจ้านัดข้าออกมา แต่จะให้ข้าไปเองงั้นหรือ?”หลี่เฉินขมวดคิ้วพูด “นี่สมเหตุสมผลหรือไม่?”ซูจิ่นพ่ารู้ตัวว่าผิดจึง
เสียงตะโกนด่ารอบที่สอง ทำให้หลี่เฉินมีน้ำโหขึ้นมาจริงๆ เขาหมุนตัวเดินต่อไปยังสวนอี้เหม่ย และพูดอย่างใจเย็นกับผู้บังคับกองพันองครักษ์เสื้อแพรที่ขับรถของตัวเองว่า “จัดการให้เรียบร้อย”ผู้บังคับกองพันองครักษ์เสื้อแพรคำนับหลี่เฉิน จากนั้นก็หันหน้ากลับมา และเดินไปหาข้ารับใช้ด้วยรอยยิ้มที่เหี้ยมกริบ ข้ารับใช้ไม่รู้ว่าความตายกำลังใกล้เข้ามา จึงเอาแต่ตะโกนด่าทอไม่หยุด“เจ้ารู้ไหมว่าคุณชายของข้าคือใคร? เขาเป็นบุตรชายของมหาอำมาตย์พระที่นั่งอู่อิง ถ้าฉลาดพอก็รีบมาคุกเข่ายอมรับความผิดกับคุณชายของข้าซะ บางทีอาจจะมีโอกาส...” ถ้าพูดกับคนอื่นก็ช่างเถอะแต่ผู้บังคับกองพันองครักษ์เสื้อแพรได้รับคำสั่งมาจากหลี่เฉิน อย่าว่าแต่ลูกชายของจางปี้อู่เลย ต่อให้จางปี้อู่มาเอง เขาก็กล้าฆ่าดังนั้นก่อนที่ข้ารับใช้ที่กำลังรนหาที่ตายจะพูดจบ องครักษ์เสื้อแพรก็คว้าคอของเขาไว้ กร๊อบ เสียงกังวานพลันดังขึ้น นั่นคือเสียงหักกระดูกคอแม้จะเห็นชีวิตมนุษย์ปลิดปลิวไป แต่ผู้คนรอบข้างไม่เพียงแต่จะไม่กลัว กลับส่งเสียงโห่ร้องขึ้นมา ตอนนั้นเอง เจ้าของรถม้าก็ออกมาจางหวังหยางเหลือบมองข้ารับใช้ที่เสียชีวิตขอ
“ขอรับ!”ผู้บังคับกองพันองครักษ์เสื้อแพรตอบรับเสียงดังด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็ไม่ให้โอกาสจางหวังหยางได้โต้ตอบ เขายกขาขึ้นแล้วเตะข้อพับของจางหวังหยางสามารถเป็นผู้บังคับกองพันองครักษ์เสื้อแพร และได้รับมอบหมายจากซานเป่าให้มาคุ้มกันหลี่เฉิน ก็แสดงให้เห็นว่าวรยุทธ์และความสามารถของเขานั้นไม่ธรรมดาดังนั้นลูกเตะนี้ จางหวังหยางไม่มีทางต้านทานได้เลย เขาร้องโหยหวนออกมา ก่อนที่เข่าของเขาจะกระแทกลงกับพื้นหิมะอย่างแรงความเจ็บปวดนี้ทำให้จางหวังหยางถึงกับหน้าบิดเบี้ยว และหลั่งเหงื่อออกมาจิตใต้สำนึกของเขาสั่งให้เขาลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว แต่ผู้บังคับกองพันองครักษ์เสื้อแพรใช้มือแค่ข้างเดียวกดไหล่ของเขา ก็ทำให้เขารู้สึกราวกับว่ามีภูเขาลูกใหญ่กดทับร่างกาย จนขยับตัวไม่ได้ “เจ้าเป็นใคร!”จางหวังหยางที่เสียหน้าและเสียศักดิ์ศรีก็คำรามด้วยความโกรธ “บอกชื่อของเจ้ามาซะ ข้าจะทำให้เจ้าตายอย่างทรมาน!” “เจ้าไม่คู่ควรที่จะรู้”หลี่เฉินพูดอย่างเฉยเมย “อยากแก้แค้นเหรอ? ได้ ข้าจะอยู่ที่สวนอี้เหมย และรอดูว่าใครจะกล้ามาช่วยเจ้า?”สิ้นเสียงของหลี่เฉิน เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากสวนอี้เหม่ยเสียงหัวเ
เมื่อมีเสียงตะโกนดังขึ้น ฝูงชนก็พากันตื่นเต้น ทุกคนต่างตั้งตารอการมาถึงของคุณชายจ้าวไท่ไหล ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าตระกูลจ้าวและตระกูลจางเป็นพันธมิตร? แม้แต่จ้าวไท่ไหลและจางหวังหยางก็เป็นสหายคนสนิทที่มีบุคลิกคล้ายกันตอนนี้จางหวังหยางกำลังเสียเปรียบ ถ้าจ้าวไท่ไหลมาเห็นเข้า เขาจะปล่อยมันไปง่ายๆ หรือ?จางหวังหยางได้ยินเสียงตะโกนของฝูงชน จึงหันศีรษะไปมอง และเห็นรถม้าของจ้าวไท่ไหลแล่นเข้ามา ทันใดนั้น จางหวังหยางก็รู้สึกตื่นเต้นจนแทบน้ำตาไหลไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้นไปกว่าการได้พบกับผู้ช่วยให้รอดในช่วงเวลาที่สิ้นหวังเช่นนี้ “พี่จ้าว! มาช่วยข้าเร็วเข้า!” เสียงตะโกนของจางหวังหยาง ทำให้รถม้าหยุดลงจ้าวไท่ไหลลงจากรถม้าด้วยสีหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นจางหวังหยางถูกคนกดตัวให้คุกเข่าลงกับพื้น จ้าวไท่ไหลก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ “พี่จาง ทำไมท่านถึงอยู่ในสภาพนี้? ใครกล้าให้ท่านคุกเข่าเช่นนี้?”จ้าวไท่ไหลเงยหน้าขึ้น ก็เห็นหลี่เฉินดูโดดเด่นสะดุดตาในหมู่ฝูงชน ครั้งสุดท้ายที่เห็นหลี่เฉิน เขาถูกทำให้รู้สึกอับอายที่หอเถิงหวัง ครั้งนี้ หลังจากห่างหายไปหลายเดือน ศัตรูเก่าก็หวนกลับมาพบหน้ากันอีก
“ข้าน้อยพบคุณชาย”เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาของหลี่เฉิน ชายวัยกลางคนจึงก้มหน้า ขณะเดียวกันก็ดึงจ้าวไท่ไหลไปอยู่ข้างหลังตน“ก่อนจะออกมา นายท่านเคยกำชับไว้ว่า คุณชายไม่ได้รับอนุญาตให้ก่อปัญหา หากล่วงเกินคุณชายท่านนี้ ข้าน้อยต้องขออภัยด้วย”จ้าวไท่ไหลจำชายวัยกลางคนผู้นี้ได้ และรู้ว่าเขาเป็นคนสนิทของท่านพ่อ ทันใดนั้นอารมณ์ที่ซับซ้อนก็ปรากฏขึ้นในใจแน่นอนว่าท่านพ่อคอยระวังเขาและส่งคนมาติดตามเขาจริงๆแต่ก็โชคดีที่มีคนติดตามมาด้วย ไม่เช่นนั้น เกรงว่าวันนี้เขาคงจะเสียเปรียบไปแล้วไม่ว่าอย่างไร จ้าวไท่ไหลก็ไม่กล้าโต้แย้งชายผู้นี้ เพราะการตำหนิชายวัยกลาง ก็เท่ากับต่อต้านบิดาของตัวเอง หลี่เฉินหรี่ตาเล็กน้อย ดูจากทัศนคติของชายวัยกลางคนที่มีต่อเขา เขารู้ว่าอีกฝ่ายคงจะรู้ตัวตนของเขาแล้ว“ท่านราชเลขาช่างรักลูกชายหัวแก้วหัวแหวนจริงๆ” หลี่เฉินกล่าวเสียงเรียบชายวัยกลางคนไม่กล้าตอบ หลังจากคำนับหลี่เฉินแล้ว เขาก็ลากจ้าวไท่ไหลออกไปจ้าวไท่ไหลกลับรู้สึกกังวลเขามาที่นี่เพื่อช่วยจางหวังหยาง ถ้าเขาจากไปแบบนี้ เขาจะสูญเสียศักดิ์ศรีทั้งหมด! “พาพี่จางมาด้วย!”คำพูดของจ้าวไท่ไหล ทำให้ชายวัยกลางคนขมวด
คำเชิญอย่างจริงใจของรัฐทายาทเหวินอ๋อง ในสายตาของคนนอก ดูเหมือนนี่จะเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความหวาดกลัวภูมิหลังอันลึกลับของหลี่เฉินจึงถ่อมตัวลง แต่หลี่เฉินรู้ว่ามันไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น เขาไม่ปฏิเสธ แต่พยักหน้าแล้วพูดว่า “ตกลง เข้าไปด้วยกันเถอะ”ทั้งสองพูดคุยและหัวเราะ ทำให้บรรยากาศที่ตึงเครียดระหว่างพวกเขาจางหายไปจนหมด และพวกเขาก็เข้าไปในสวนอี้เหม่ยด้วยกันในทางตรงกันข้าม จางหวังหยาง หลังจากลุกขึ้นมาด้วยความอับอาย เขาก็ไม่มีหน้าที่จะเข้าร่วมการชุมนุมกวีอีกต่อไป เขาจึงลุกขึ้นและจากไปด้วยความอับอายส่วนคนอื่นๆ กำลังคาดเดาตัวตนของหลี่เฉินอย่างมีความสุข ไม่มีใครสนใจว่าจางหวังหยางจะไปที่ไหน“สวนอี้เหมยเป็นหนึ่งในจุดชมวิวที่งดงามที่สุดของเมืองหลวง โดยเฉพาะในช่วงกลางฤดูหนาว เพราะดอกบ๊วยจะบานสะพรั่งอย่างเต็มที่ มีดอกบ๊วยรวมกว่า 20 สายพันธุ์ อาจกล่าวได้ว่าทุกสายพันธุ์ที่สามารถพบเห็นได้ในประเทศ ล้วนสามารถพบได้ในสวนอี้เหมย”ในระหว่างการสนทนากับหลี่เฉิน รัฐทายาทเหวินอ๋องมีท่าทางอ่อนโยนและช่างพูด ดูเหมือนจะสามารถสนทนาได้ทุกหัวข้อในขณะที่กำลังแนะนำสถานที่ต่างๆ ในสวนอี้เหมยอย่างคล่องแคล้ว