ราวกับได้ยินบางสิ่งที่ผิดปกติในคำพูดของหลี่เฉิน ซูจิ่นพ่าจึงถลึงตาใส่หลี่เฉินและพูดด้วยความโกรธว่า “ข้าไม่รู้จักรัฐทายาทเหวินอ๋อง แต่ทายาทของผู้มีอำนาจในเมืองหลวงส่วนใหญ่จะเข้าร่วมงานชุมนุมในครั้งนี้ เมื่อรัฐทายาทเหวินอ๋องส่งเทียบเชิญมาให้ ก็ฝากให้ข้าเชิญผู้เขียน มาด้วย ยิ่งไปกว่านั้น นี่ยังเป็นการระดมทุนให้กับผู้ประสบภัยจริงๆ ข้าจึงเชิญเจ้ามา ถ้าหากเจ้ามีความคิดเลอะเทอะ งั้นก็อย่าไป” “ไปๆ ทำไมจะไม่ไปล่ะ”หลี่เฉินถือโอกาสจับมือซูจิ่นพ่าแล้วพูดว่า “เจ้านัดข้ามา ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟข้าก็จะไป”ซูจิ่นพ่าเคยผ่านประสบการณ์เสียเปรียบมาแล้วหลายครั้ง แต่คราวนี้นางเรียนรู้ที่จะฉลาด นางซ่อนมือของตัวเองจากหลี่เฉินอย่างว่องไว และพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “อย่าพยายามเอาเปรียบข้าง่ายๆ เลย” เมื่อหลี่เฉินเห็นแบบนั้นก็ไม่ได้บีบบังคับ วันเวลานั้นยาวนาน เขายังมีเวลาที่จะสร้างฐานขึ้นมาเดิมทีหลี่เฉินวางแผนที่จะขึ้นรถม้าเดียวกับซูจิ่นพ่า แต่ไม่คิดว่าจะถูกซูจิ่นพ่าปฏิเสธ“เจ้านัดข้าออกมา แต่จะให้ข้าไปเองงั้นหรือ?”หลี่เฉินขมวดคิ้วพูด “นี่สมเหตุสมผลหรือไม่?”ซูจิ่นพ่ารู้ตัวว่าผิดจึง
เสียงตะโกนด่ารอบที่สอง ทำให้หลี่เฉินมีน้ำโหขึ้นมาจริงๆ เขาหมุนตัวเดินต่อไปยังสวนอี้เหม่ย และพูดอย่างใจเย็นกับผู้บังคับกองพันองครักษ์เสื้อแพรที่ขับรถของตัวเองว่า “จัดการให้เรียบร้อย”ผู้บังคับกองพันองครักษ์เสื้อแพรคำนับหลี่เฉิน จากนั้นก็หันหน้ากลับมา และเดินไปหาข้ารับใช้ด้วยรอยยิ้มที่เหี้ยมกริบ ข้ารับใช้ไม่รู้ว่าความตายกำลังใกล้เข้ามา จึงเอาแต่ตะโกนด่าทอไม่หยุด“เจ้ารู้ไหมว่าคุณชายของข้าคือใคร? เขาเป็นบุตรชายของมหาอำมาตย์พระที่นั่งอู่อิง ถ้าฉลาดพอก็รีบมาคุกเข่ายอมรับความผิดกับคุณชายของข้าซะ บางทีอาจจะมีโอกาส...” ถ้าพูดกับคนอื่นก็ช่างเถอะแต่ผู้บังคับกองพันองครักษ์เสื้อแพรได้รับคำสั่งมาจากหลี่เฉิน อย่าว่าแต่ลูกชายของจางปี้อู่เลย ต่อให้จางปี้อู่มาเอง เขาก็กล้าฆ่าดังนั้นก่อนที่ข้ารับใช้ที่กำลังรนหาที่ตายจะพูดจบ องครักษ์เสื้อแพรก็คว้าคอของเขาไว้ กร๊อบ เสียงกังวานพลันดังขึ้น นั่นคือเสียงหักกระดูกคอแม้จะเห็นชีวิตมนุษย์ปลิดปลิวไป แต่ผู้คนรอบข้างไม่เพียงแต่จะไม่กลัว กลับส่งเสียงโห่ร้องขึ้นมา ตอนนั้นเอง เจ้าของรถม้าก็ออกมาจางหวังหยางเหลือบมองข้ารับใช้ที่เสียชีวิตขอ
“ขอรับ!”ผู้บังคับกองพันองครักษ์เสื้อแพรตอบรับเสียงดังด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็ไม่ให้โอกาสจางหวังหยางได้โต้ตอบ เขายกขาขึ้นแล้วเตะข้อพับของจางหวังหยางสามารถเป็นผู้บังคับกองพันองครักษ์เสื้อแพร และได้รับมอบหมายจากซานเป่าให้มาคุ้มกันหลี่เฉิน ก็แสดงให้เห็นว่าวรยุทธ์และความสามารถของเขานั้นไม่ธรรมดาดังนั้นลูกเตะนี้ จางหวังหยางไม่มีทางต้านทานได้เลย เขาร้องโหยหวนออกมา ก่อนที่เข่าของเขาจะกระแทกลงกับพื้นหิมะอย่างแรงความเจ็บปวดนี้ทำให้จางหวังหยางถึงกับหน้าบิดเบี้ยว และหลั่งเหงื่อออกมาจิตใต้สำนึกของเขาสั่งให้เขาลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว แต่ผู้บังคับกองพันองครักษ์เสื้อแพรใช้มือแค่ข้างเดียวกดไหล่ของเขา ก็ทำให้เขารู้สึกราวกับว่ามีภูเขาลูกใหญ่กดทับร่างกาย จนขยับตัวไม่ได้ “เจ้าเป็นใคร!”จางหวังหยางที่เสียหน้าและเสียศักดิ์ศรีก็คำรามด้วยความโกรธ “บอกชื่อของเจ้ามาซะ ข้าจะทำให้เจ้าตายอย่างทรมาน!” “เจ้าไม่คู่ควรที่จะรู้”หลี่เฉินพูดอย่างเฉยเมย “อยากแก้แค้นเหรอ? ได้ ข้าจะอยู่ที่สวนอี้เหมย และรอดูว่าใครจะกล้ามาช่วยเจ้า?”สิ้นเสียงของหลี่เฉิน เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากสวนอี้เหม่ยเสียงหัวเ
เมื่อมีเสียงตะโกนดังขึ้น ฝูงชนก็พากันตื่นเต้น ทุกคนต่างตั้งตารอการมาถึงของคุณชายจ้าวไท่ไหล ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าตระกูลจ้าวและตระกูลจางเป็นพันธมิตร? แม้แต่จ้าวไท่ไหลและจางหวังหยางก็เป็นสหายคนสนิทที่มีบุคลิกคล้ายกันตอนนี้จางหวังหยางกำลังเสียเปรียบ ถ้าจ้าวไท่ไหลมาเห็นเข้า เขาจะปล่อยมันไปง่ายๆ หรือ?จางหวังหยางได้ยินเสียงตะโกนของฝูงชน จึงหันศีรษะไปมอง และเห็นรถม้าของจ้าวไท่ไหลแล่นเข้ามา ทันใดนั้น จางหวังหยางก็รู้สึกตื่นเต้นจนแทบน้ำตาไหลไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้นไปกว่าการได้พบกับผู้ช่วยให้รอดในช่วงเวลาที่สิ้นหวังเช่นนี้ “พี่จ้าว! มาช่วยข้าเร็วเข้า!” เสียงตะโกนของจางหวังหยาง ทำให้รถม้าหยุดลงจ้าวไท่ไหลลงจากรถม้าด้วยสีหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นจางหวังหยางถูกคนกดตัวให้คุกเข่าลงกับพื้น จ้าวไท่ไหลก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ “พี่จาง ทำไมท่านถึงอยู่ในสภาพนี้? ใครกล้าให้ท่านคุกเข่าเช่นนี้?”จ้าวไท่ไหลเงยหน้าขึ้น ก็เห็นหลี่เฉินดูโดดเด่นสะดุดตาในหมู่ฝูงชน ครั้งสุดท้ายที่เห็นหลี่เฉิน เขาถูกทำให้รู้สึกอับอายที่หอเถิงหวัง ครั้งนี้ หลังจากห่างหายไปหลายเดือน ศัตรูเก่าก็หวนกลับมาพบหน้ากันอีก
“ข้าน้อยพบคุณชาย”เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาของหลี่เฉิน ชายวัยกลางคนจึงก้มหน้า ขณะเดียวกันก็ดึงจ้าวไท่ไหลไปอยู่ข้างหลังตน“ก่อนจะออกมา นายท่านเคยกำชับไว้ว่า คุณชายไม่ได้รับอนุญาตให้ก่อปัญหา หากล่วงเกินคุณชายท่านนี้ ข้าน้อยต้องขออภัยด้วย”จ้าวไท่ไหลจำชายวัยกลางคนผู้นี้ได้ และรู้ว่าเขาเป็นคนสนิทของท่านพ่อ ทันใดนั้นอารมณ์ที่ซับซ้อนก็ปรากฏขึ้นในใจแน่นอนว่าท่านพ่อคอยระวังเขาและส่งคนมาติดตามเขาจริงๆแต่ก็โชคดีที่มีคนติดตามมาด้วย ไม่เช่นนั้น เกรงว่าวันนี้เขาคงจะเสียเปรียบไปแล้วไม่ว่าอย่างไร จ้าวไท่ไหลก็ไม่กล้าโต้แย้งชายผู้นี้ เพราะการตำหนิชายวัยกลาง ก็เท่ากับต่อต้านบิดาของตัวเอง หลี่เฉินหรี่ตาเล็กน้อย ดูจากทัศนคติของชายวัยกลางคนที่มีต่อเขา เขารู้ว่าอีกฝ่ายคงจะรู้ตัวตนของเขาแล้ว“ท่านราชเลขาช่างรักลูกชายหัวแก้วหัวแหวนจริงๆ” หลี่เฉินกล่าวเสียงเรียบชายวัยกลางคนไม่กล้าตอบ หลังจากคำนับหลี่เฉินแล้ว เขาก็ลากจ้าวไท่ไหลออกไปจ้าวไท่ไหลกลับรู้สึกกังวลเขามาที่นี่เพื่อช่วยจางหวังหยาง ถ้าเขาจากไปแบบนี้ เขาจะสูญเสียศักดิ์ศรีทั้งหมด! “พาพี่จางมาด้วย!”คำพูดของจ้าวไท่ไหล ทำให้ชายวัยกลางคนขมวด
คำเชิญอย่างจริงใจของรัฐทายาทเหวินอ๋อง ในสายตาของคนนอก ดูเหมือนนี่จะเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความหวาดกลัวภูมิหลังอันลึกลับของหลี่เฉินจึงถ่อมตัวลง แต่หลี่เฉินรู้ว่ามันไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น เขาไม่ปฏิเสธ แต่พยักหน้าแล้วพูดว่า “ตกลง เข้าไปด้วยกันเถอะ”ทั้งสองพูดคุยและหัวเราะ ทำให้บรรยากาศที่ตึงเครียดระหว่างพวกเขาจางหายไปจนหมด และพวกเขาก็เข้าไปในสวนอี้เหม่ยด้วยกันในทางตรงกันข้าม จางหวังหยาง หลังจากลุกขึ้นมาด้วยความอับอาย เขาก็ไม่มีหน้าที่จะเข้าร่วมการชุมนุมกวีอีกต่อไป เขาจึงลุกขึ้นและจากไปด้วยความอับอายส่วนคนอื่นๆ กำลังคาดเดาตัวตนของหลี่เฉินอย่างมีความสุข ไม่มีใครสนใจว่าจางหวังหยางจะไปที่ไหน“สวนอี้เหมยเป็นหนึ่งในจุดชมวิวที่งดงามที่สุดของเมืองหลวง โดยเฉพาะในช่วงกลางฤดูหนาว เพราะดอกบ๊วยจะบานสะพรั่งอย่างเต็มที่ มีดอกบ๊วยรวมกว่า 20 สายพันธุ์ อาจกล่าวได้ว่าทุกสายพันธุ์ที่สามารถพบเห็นได้ในประเทศ ล้วนสามารถพบได้ในสวนอี้เหมย”ในระหว่างการสนทนากับหลี่เฉิน รัฐทายาทเหวินอ๋องมีท่าทางอ่อนโยนและช่างพูด ดูเหมือนจะสามารถสนทนาได้ทุกหัวข้อในขณะที่กำลังแนะนำสถานที่ต่างๆ ในสวนอี้เหมยอย่างคล่องแคล้ว
เขาจ้องมองอย่างดุเดือดไปที่คนที่เขาด่าเป็นครั้งที่สอง หลี่เฉินคร้านจะพูดเรื่องไร้สาระกับเขา จึงดึงซูจิ่นพ่าจากไปแม้จะรู้สึกว่าการกระทำของหลี่เฉินนั้นป่าเถื่อนและกล้าหาญเกินไป ซูจิ่นพ่าลองบิดข้อมือดูก็พบว่าไม่สามารถสลัดมือออกมาได้ จึงต้องยอมรับชะตากรรมของตัวเอง...มันไม่ใช่ครั้งแรกอยู่แล้วทั้งสองมาถึงสถานที่ที่เงียบสงบและยืนอยู่ใต้ดอกบ๊วย หลี่เฉินขมวดคิ้วและพูดว่า “แมลงวันตอมเจ้ามากมายเช่นนี้ เจ้าทนไหวหรือ?”ซูจิ่นพ่าที่เพิ่งดึงมือออกจากมือของหลี่เฉินได้ จึงกล่าวเสียงเบาว่า “ข้าชินแล้ว”“ดูเหมือนข้าต้องให้คนในวังรีบไปสู่ขอเจ้าโดยเร็ว รอจนมีการประกาศข่าวออกมา ทุกคนจะรู้ว่าเจ้าคือพระชายาองค์รัชทายาทในอนาคต คนพวกนั้นถึงจะตัดใจ” หลี่เฉินกล่าวอย่างจริงจังเมื่อเห็นว่าหลี่เฉินจริงจังกับสิ่งที่เขาพูด ซูจิ่นพ่าจึงพูดอย่างโกรธเคือง “พูดจาไร้สาระ มีการกำหนดวันเวลาอันเป็นมงคลแล้ว จะยอมให้เจ้าเปลี่ยนตามใจชอบได้อย่างไร?”“เจ้าไม่อยากอภิเษกสมรสไม่ใช่หรือ? ตอนนี้มากังวลเรื่องวันเวลาอันเป็นมงคลซะแล้ว” หลี่เฉินกล่าวยิ้มๆซูจิ่นพ่ารู้ว่าตัวเองถูกหลี่เฉินหลอกอีกแล้ว จึงกระทืบเท้าด้วยความโกรธ อย่าง
“เจ้าหมอนี่มาจากไหนกันนะ? เหตุใดคุณหนูซูถึงนั่งข้างเขา!”“ไม่รู้สิ ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ดูไม่คุ้นหน้าเลย”“จุ๊ๆ พวกเจ้าสองคนเงียบเสียงหน่อยเถอะ ชายคนนั้นบ้าไปแล้ว ตอนที่ข้าอยู่ข้างนอก ข้าเห็นเขาทะเลาะกับคุณชายจาง จางหวังหยาง แม้ว่ารัฐทายาทจะมาไกล่เกลี่ยด้วยตนเอง และต่อมาคุณชายจ้าว จ้าวไท่ไหลจะมาถึง แต่คนผู้นี้กลับไม่ไว้หน้าใครเลย”“พวกเจ้าลองเดาผลดูสิ เขาไม่เพียงแต่จะทำให้คุณชายจางต้องคุกเข่าบนพื้นหิมะ แต่ยังทำให้คุณชายจ้าว จ้าวไท่ไหลต้องจากไปอย่างสิ้นหวังอีกด้วย”“ซี๊ด...คนผู้นี้บ้าไปแล้วจริงๆ เขาล่วงเกินคนใหญ่คนโตถึงสามคน อยู่ห่างๆ เขาไว้จะดีกว่า”งานชุมนุมกวียังไม่ได้เริ่มอย่างเป็นทางการ แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์หลี่เฉินก็เริ่มดังสนั่นแล้ว บางครั้งก็มีคำพูดสองสามคำที่ลอยเข้ามาในหูของหลี่เฉิน และทำให้หลี่เฉินต้องหัวเราะออกมา แต่เขาก็ไม่ได้สนใจพวกเขาเท่าไหร่นัก ในทางตรงกันข้าม ซูจิ่นพ่าฟังด้วยความสนใจเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินใครบางคนอธิบายว่าหลี่เฉินเป็นสัตว์ประหลาดมาจากไหน ก็อดไม่ได้ที่จะปิดปากและยิ้มออกมาอย่างภูมิใจมากหลี่เฉินจ้องมองนางแต่ไม่ได้พูดอะไรมากตอนนั้นเอง ก็มีคน
ราตรีล่วงเลยไปโคมไฟที่ถูกจุดขึ้นไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด เมื่อหลี่เฉินเสร็จสิ้นงานราชการของวันและเงยหน้าขึ้นมอง ท้องฟ้าภายนอกก็กลายเป็นสีดำสนิทวั่นเจียวเจียวสั่งให้คนเพิ่มแสงสว่างด้วยการจุดเทียนเพิ่มอีกสองสามเล่ม ก่อนที่นางจะไปนำถ้วยกระเบื้องเคลือบใส่น้ำบ๊วยแช่เย็นมาให้ด้วยตัวเองมือนุ่มขาวสะอาดของนางถือถ้วยกระเบื้องเคลือบส่งให้หลี่เฉิน พร้อมกล่าวว่า“องค์ชาย วันนี้อากาศร้อนขึ้นมาก ดื่มน้ำบ๊วยแช่เย็นสักหน่อยเถอะเพคะ จะได้คลายร้อนและแก้กระหาย”หลี่เฉินรับถ้วยมาดื่มสองอึก รสชาติหวานเย็นสดชื่นช่วยให้ความเหนื่อยล้าของเขาหายไปไม่น้อยเขารู้สึกคุ้นเคยกับการรับใช้ของวั่นเจียวเจียวมากขึ้นเรื่อยๆ จึงถามขึ้นว่า “เจ้ามักออกจากวังไปซื้อหนังสือคำกลอน เจ้าเคยเห็นว่าขายสบู่ในหมู่ชาวบ้านเป็นอย่างไรบ้าง?”วั่นเจียวเจียวที่ตั้งใจจะอธิบายว่าไม่ได้ออกไปบ่อยนัก แต่ก็เลือกตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “ขายดีมากเลยเพคะ ตอนนี้ร้านหลานเยว่เสวียน อ้อ ก็คือร้านของตระกูลหลิวที่ทำตามคำสั่งขององค์ชาย ได้พัฒนาสบู่สูตรธรรมดาที่คนทั่วไปสามารถซื้อได้ ทุกวันนี้บ้านที่มีฐานะในเมืองหลวงก็มักจะซื้อติดบ้านไว้”“บ่าวยังได้ยินม
เหอคุนไม่ได้พูดอะไรมากนัก ทิ้งเวลาให้เซียวเทียนหนานและสือเซวียนเหว่ยได้ไตร่ตรองทั้งสองมองตากันหลายครั้ง ก่อนจะพบว่าในสายตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความลังเลพูดตามตรง เหอคุนพูดถูกในสถานการณ์ตอนนี้ หากมองจากมุมที่กว้างออกไป มันคือคำถามที่มีตัวเลือกเดียวคือตกลง หรือปฏิเสธถ้าตกลง ยังมีโอกาสรอดถ้าปฎิเสธ พวกเขาไม่มีข้อสงสัยเลยว่าเหอคุนที่ดูเป็นมิตรและรักสหายฝูงจะพลิกโฉมหน้าได้ในทันทีการขึ้นเรือโจรนั้นง่าย แต่จะลงจากเรือนั้นไม่ง่ายเลยท่ามกลางความลังเล เซียวเทียนหนานจึงกระซิบพูดคุยกับสือเซวียนเหว่ยอย่างรวดเร็ว หลังจากสนทนาสั้นๆ เซียวเทียนหนานก็พูดกับเหอคุนว่า “ทองคำ เราขอเพิ่มเป็นสองเท่า!”เหอคุนได้ยินดังนั้น ก็ยิ้มพร้อมตอบตกลงทันที “ไม่มีปัญหา ทองคำไม่ใช่สิ่งที่ข้าผู้แซ่เหอให้ความสำคัญนัก เดี๋ยวจะส่งมาให้ในทันที”“ตกลง”เซียวเทียนหนานกัดฟันพูด “เจ้าถามมาเถอะ อยากรู้อะไร เราจะบอกทุกอย่าง”พวกเขาคิดว่าเหอคุนจะถามเพียงไม่กี่คำถาม แต่เหอคุนกลับหยิบกระดาษที่เต็มไปด้วยคำถามมากมายออกมา และเริ่มซักถามทีละข้อพร้อมกับจดบันทึก...ครึ่งชั่วยามต่อมา หลี่เฉินมองข้อมูลลับสุดยอดของแคว้นเหลียว
ไม่ว่าในยุคสมัยใดหรือสถานที่ใด หลักการหลายอย่างก็ยังคงเป็นจริงเสมอ เช่น โลกนี้ไม่มีอาหารกลางวันฟรี และไม่มีโชคหล่นลงมาจากฟ้าเซียวเทียนหนานและสือเซวียนเหว่ยไม่ใช่คนโง่พวกเขารู้ดีว่าเหอคุนต้องการใช้ประโยชน์จากพวกเขาอย่างแน่นอนเรื่องนี้พวกเขาได้คุยกันมาก่อนแล้วดังนั้นเมื่อเหอคุนเปิดเผยเจตนาออกมา พวกเขาก็ไม่ได้แปลกใจนัก เพราะผลประโยชน์ที่เหอคุนยื่นให้มันยากเกินกว่าจะปฏิเสธได้ ทั้งสองจึงตั้งใจฟังว่าเหอคุนต้องการอะไรสำหรับเหอคุน การแสดงละครจัดเต็ม ตั้งแต่การเลี้ยงดูอย่างดี ซื้อของขวัญ พาหญิงสาวมาบริการ และสุดท้ายยังยื่นทองคำให้ทุกอย่างนี้นับว่าเป็นแผนการที่ลงทุนอย่างมากและในที่สุดแผนการนี้ก็มาถึงจุดที่ผลลัพธ์จะปรากฏ เหอคุนรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยเรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป เหอคุนเรียบเรียงความคิด และตัดสินใจพูดออกมาตรงๆ“จริงๆ แล้วเรื่องที่ข้าต้องการให้พวกท่านช่วยมันง่ายมาก สำหรับพวกท่านแทบไม่ต้องลงแรง และไม่มีความเสี่ยงอะไรเลย เพียงแค่บอกข้อมูลเกี่ยวกับแคว้นเหลียว และรายงานการเคลื่อนไหวขององค์รัชทายาทเย่ลู่เสินเสวียนในเมืองหลวงให้ข้าทราบเท่านั้น”
เมื่อได้พบกับเหอคุนอีกครั้ง เซียวเทียนหนานและสือเซวียนเหว่ยมีท่าทีที่เป็นกันเองมากขึ้น“พอใจ พอใจ พอใจมาก”สือเซวียนเหว่ยหัวเราะเสียงดัง ก่อนขยิบตาให้เหอคุน “ของพวกนี้ คงไม่ถูกใช่หรือไม่?” มารดามันเถอะ ไร้สาระสิ้นดี พวกแม่นางเหล่านี้ล้วนแต่เป็นอันดับต้นๆ ของเมืองหลวง ข้าต้องเสียเงินไปถึงหนึ่งพันตำลึงเงิน แถมยังต้องให้องครักษ์เสื้อแพรจากหน่วยบูรพาไปกดหัวแม่นางเจ้าของหอนางโลมให้ยอมส่งสาวๆ มาที่นี่ ข้าเองยังไม่ได้ลิ้มลองด้วยซ้ำ!”ในใจเหอคุนสบถเงียบๆ แม้ในใจจะคิดเช่นนั้น แต่สีหน้าของเหอคุนกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูใจกว้าง “พูดถึงค่าใช้จ่ายก็ไม่สมควรนัก ในโลกนี้ ความเป็นมิตรภาพระหว่างสหายคือสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้”“จริงด้วย จริงด้วย”เซียวเทียนหนานพยักหน้าเห็นด้วย ขณะในใจครุ่นคิดถึงวิธีที่จะขอพาหญิงสาวสองคนนี้กลับไปยังแคว้นเหลียวคนโง่ก็รู้ว่าผู้หญิงที่มีคุณภาพเช่นนี้ไม่ใช่ของราคาถูกการจะพาตัวกลับไปย่อมต้องใช้เงินจำนวนมากแต่หลังจากได้ลิ้มรสความงดงามนี้แล้ว การจะกลับไปหาผู้หญิงที่แข็งแรงเหมือนวัวแกะในแคว้นเหลียวคงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาเหอคุนมองแวบเดียวก็รู้
เมื่อเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้น จ้าวเสวียนจีก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมากต้าสิงฮ่องเต้จะสิ้นพระชนม์เมื่อใดก็ได้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้หลังจากจัดระเบียบความคิดของตัวเอง จ้าวเสวียนจีก็หันมามองหลี่อิ๋นหู่ แม้ว่าภายในใจจะเบาใจขึ้น แต่สีหน้ากลับยังคงเคร่งเครียด“ดูเหมือนสถานการณ์จะพัฒนาไปในทิศทางที่เลวร้ายที่สุดแล้ว”จ้าวเสวียนจีถอนหายใจยาว สีหน้าที่หม่นหมองของเขาสร้างแรงกดดันให้หลี่อิ๋นหู่มากยิ่งขึ้นเห็นได้ชัดว่า จ้าวเสวียนจีเช่นนี้ ทำให้หลี่อิ๋นหู่กดดันยิ่งกว่าเดิม“ท่านผู้อาวุโส พวกเราไม่สามารถนั่งรอความตายได้!”หลี่อิ๋นหู่กล่าวอย่างเร่งร้อน จ้าวเสวียนจีพยักหน้า “ถูกต้อง เราไม่สามารถนั่งรอเฉยๆ ได้”“จากนี้ไป ข้าจะเริ่มรวบรวมกำลังคน ติดต่อขุนนางและพรรคพวกในแต่ละพื้นที่ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เราจะยกทัพทันที”หลี่อิ๋นหู่รู้สึกหัวใจเต้นแรง ถามด้วยเสียงสั่น “ท่านผู้อาวุโส หมายถึงเมื่อใด?”จ้าวเสวียนจีหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “สิบวันจากนี้ พิธีอภิเษกสมรสขององค์รัชทายาท”สิบวัน!เหลือเวลาเพียงสิบวันเท่านั้นหลี่อิ๋นหู่กลืนน้ำลาย สีหน้าเริ่มแดงระเรื่อเขารู้สึกตื่นเต้น แต่ในขณะเดียวกั
กงฮุยอวี่กล่าวเพียงคำเดียว ก่อนวางหนังสือในมือและก้าวออกจากพระที่นั่งสีเจิ้ง ร่างของนางหายไปในพริบตาหลี่เฉินที่รู้สึกถึงกลิ่นหอมบางเบาพัดผ่านใบหน้า และเมื่อกระพริบตาอีกครั้งก็ไม่เห็นร่างของกงฮุยอวี่ ทำให้เขาอดอิจฉาไม่ได้เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายล้วนมีความสามารถที่ดูเหมือนจะหายตัวได้ หากเขาไม่ได้ถามซานเป่ามาก่อนว่าการฝึกเช่นนี้ต้องเริ่มตั้งแต่เจ็ดแปดขวบ และใช้เวลาสองสามสิบปีจึงจะสำเร็จ หลี่เฉินคงอยากลองฝึกดูบ้างเมื่อกงฮุยอวี่ออกไป วั่นเจียวเจียวก็รีบวิ่งไปหยิบหนังสือที่กงฮุยอวี่ทิ้งไว้ แล้วซ่อนมันไว้อย่างรวดเร็วเมื่อหันกลับมาเห็นหลี่เฉินที่มองมาด้วยสายตายิ้มๆ วั่นเจียวเจียวหน้าแดงก่ำจากนั้นนางก็นึกขึ้นได้ว่านั่นคือหนังสือที่ตนหามาอย่างยากลำบาก จึงกระทืบเท้าแล้วกล่าวว่า “องค์ชาย ท่านดูสิ หญิงคนนั้น นางชอบแย่งหนังสือของบ่าวไปอ่าน! บ่าวขอคืนนางยังไม่สนใจเลย นางช่างหยิ่งยโสนัก!”หลี่เฉินมองดูวั่นเจียวเจียวที่พยายามฟ้องอย่างน่าสงสาร ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก เขาหัวเราะออกมา “ถ้าเจ้าเก่งจริง ก็ไปแย่งคืนมาเองสิ มาฟ้องข้าไม่มีประโยชน์หรอก เจ้าไม่เห็นหรือว่าข้าเองยังต้องต่อรองกับนางเล
ความดื้อรั้นของหลี่อิ๋นหู่ทำให้หลี่เฉินเกิดความสงสัยเขาหรี่ตาจ้องมองหลี่อิ๋นหู่ สังเกตเห็นว่าความพยายามของหลี่อิ๋นหู่นั้นย่อมมีจุดประสงค์บางอย่างแต่การพบจ้าวชิงหลานหรือฮ่องเต้ หลี่อิ๋นหู่จะมีจุดประสงค์ใดได้เล่า?หลี่เฉินมิใช่เซียนผู้หยั่งรู้ความคิดคนอื่นได้ แม้จะพยายามคาดเดาหลายประการในใจ แต่ในที่สุดเขาก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมหลี่อิ๋นหู่ถึงยืนกรานที่จะพบจ้าวชิงหลานและฮ่องเต้เช่นนี้ในเมื่อคิดไม่ออก หลี่เฉินก็ตัดสินใจ...“ข้ากำลังยุ่ง เจ้ากลับไปก่อนเถิด”คำพูดของหลี่เฉินทำให้หัวใจของหลี่อิ๋นหู่ร่วงลงสู่ก้นเหวในสายตาของเขา นั่นหมายความว่าเสด็จพ่อคงเกิดเหตุไม่ดีขึ้นแน่ ไม่เช่นนั้นองค์รัชทายาทคงไม่ขัดขวางเขาเช่นนี้หลี่อิ๋นหู่กัดฟันแน่น ราวกับอยากพูดบางสิ่งแต่เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นสีหน้าเย็นชาของหลี่เฉิน คำพูดทั้งหมดก็จมหายไป“จ้าวอ๋องมีเรื่องอื่นอีกหรือ?”สายตาเย็นยะเยือกนั้นทำให้คำพูดของหลี่อิ๋นหู่ถูกกลืนกลับไปเขาก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตาหลี่เฉิน ก่อนกล่าวว่า “น้อง ไม่มีเรื่องใดแล้ว”“ถ้าเช่นนั้นก็กลับไปพักผ่อนเสีย”“น้อง...ขอลา”แม้จะรู้สึกไม่พอใจ หลี่อิ๋นหู่ก็ต้องยอมจำนน
หลี่อิ๋นหู่มีท่าทีตื่นตัวทันที ก่อนกล่าวว่า “น้องเพิ่งไปที่ตำหนักเฟิ่งสี่เพื่อจะเข้าไปถวายบังคมเสด็จแม่ แต่ขันทีที่นั่นกลับกล้าขัดขวางน้อง แถมยังพูดจาไม่เหมาะสม น้องจึงมาขอพระบัญชาองค์ชาย เพื่อให้น้องเข้าไปถวายบังคมเสด็จแม่ พร้อมทั้งลงโทษขันทีผู้นั้นด้วย”หลี่เฉินฟังคำกล่าวโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “จ้าวอ๋องดูจะมีโทสะไม่น้อย เจ้าหมายความว่าขันทีผู้นั้นสมควรตายหรือ? เขาทำสิ่งใดให้เจ้า?”หลี่อิ๋นหู่รีบเสริมว่า “ขันทีผู้นั้นไม่เพียงแต่ขัดขวางน้อง แต่ยังพูดจาเสียดสีน้อง อย่างไรน้องก็คือองค์ชาย เป็นพระญาติราชวงศ์ ไฉนเลยขันทีจะมีสิทธิ์มาดูหมิ่นน้อง? ดังนั้นขอองค์ชายช่วยน้องจัดการเรื่องนี้ด้วย”หลี่เฉินถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าถามว่า เขาดูหมิ่นเจ้าด้วยวิธีใดหรือ? เขาด่าเจ้าหรือ เขาเยาะเย้ยเจ้าหรือ?”หลี่อิ๋นหู่สะดุ้งเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นเห็นสีหน้าของหลี่เฉินที่ไร้อารมณ์ใดๆแม้แต่คนโง่ก็ยังดูออกว่า หลี่เฉินกำลังโกรธหลี่อิ๋นหู่รู้สึกหวาดกลัวและอึดอัดความทรงจำอันเลวร้ายในอดีตผุดขึ้นในใจ เขาเคยถูกหลี่เฉินดุด่าจนกลัวหัวหดหลี่เฉินตบโต๊ะอย่างแรง ก่อนดุด่าว่า “คนทั้งตำหนักเฟิ
หลี่อิ๋นหู่เดินออกจากจวนจ้าวด้วยความตื่นเต้นในใจ และมุ่งหน้าสู่พระราชวังหลวงองครักษ์ของพระราชวังหลวงไม่ได้ขัดขวางเขา แต่เมื่อเขาไปถึงตำหนักเฟิ่งสี่กลับถูกปฏิเสธไม่ให้เข้า“บังอาจนัก!”หลี่อิ๋นหู่ตวาดใส่ขันทีที่ยืนขวางหน้า “เจ้าคนไร้ค่า กล้าขวางทางข้า? ข้าจะเข้าไปถวายบังคมต่อฮองเฮา เจ้าเป็นใครถึงกล้ามาสั่งข้า?”ขันทีค้อมศีรษะด้วยความเคารพ แต่ยังยืนนิ่งไม่ขยับ กล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ “จ้าวอ๋องโปรดอภัย องค์ชายสั่งไว้ว่า หากไม่มีพระบัญชา ผู้ใดก็มิอาจเข้าเฝ้าฮองเฮาได้ หากท่านอ๋องต้องการเข้า โปรดแสดงพระบัญชาขององค์ชายด้วยพ่ะย่ะค่ะ”หลี่อิ๋นหู่หรี่ตาลง ขันทีผู้นี้ยกองค์รัชทายาทขึ้นมาเป็นเกราะป้องกัน ทำให้เขาไม่กล้าทำอะไรเกินเลยหลี่อิ๋นหู่กัดฟันแน่นกล่าวว่า “ข้าเพียงต้องการเข้าไปถวายบังคมต่อเสด็จแม่ และจะออกมาโดยไม่ทำให้เจ้าเดือดร้อน”พูดจบ เขาหยิบตั๋วเงินจากอกเสื้อออกมา ยื่นให้พร้อมกล่าว “กงกง ช่วยอำนวยความสะดวกให้ข้าสักครั้งเถิด”การที่หลี่อิ๋นหู่ในฐานะอ๋องต้องลดตัวลงมาส่งสินบนให้ขันทีนั้นนับเป็นการเสียศักดิ์ศรีอย่างมาก แต่ขันทีกลับถอยหลังคุกเข่าลงทันทีพร้อมกล่าวด้วยความกลัว “ท่านอ๋