สีหน้าของซานเป่าพลันเคร่งขรึม เขาสงสัยด้วยซ้ำว่าฝ่าบาทเคยต่อกรกับสำนักบัวขาวมาก่อนแล้วหรือไม่มิฉะนั้นจะรู้พฤติกรรมของสำนักบัวขาวได้อย่างไร? ซึ่งในความเข้าใจของซานเป่าที่มีต่อสำนักบัวขาว พวกเขาจะไม่ปล่อยให้ใครมีชีวิตอยู่จริงๆอู๋เจียงอี้ผู้น่าสงสารคงคิดไม่ถึงว่า เมื่อข่าวที่เขาถูกจับทั้งเป็นแพร่กระจายออกไป วันนั้นก็คือวันตายของแม่เขา “ฝ่าบาท บ่าวมีแผน”ซานเป่าลดเสียงลงและพูดว่า “บ่าววางแผนที่จะประกาศข่าวว่าสองคนนี้ถูกจับทั้งเป็น จากนั้นก็เลือกวันสอบสวนและสังหารต่อหน้าสาธารณชน ด้วยวิธีนี้ สำนักบัวขาวจะต้องมาช่วยคนอย่างแน่นอน พวกเขาสองคนคือเหยื่อล่อชั้นดี” หลี่เฉินเข้าใจทันทีว่าซานเป่าหมายถึงอะไร เขามองขันทีที่มีน้ำเสียอยู่เต็มท้องอย่างรังเกียจ ก่อนจะโบกมือแล้วพูดว่า “เจ้าจัดการตามที่เห็นสมควรเถอะ”แต่หลี่เฉินไม่รู้ว่ากระบวนการทั้งหมดที่เขาจัดการกับมือสังหารสองคนนั้น ถูกจับตามองด้วยดวงตาสองคู่ ในมุมบอดของห้องด้านข้างพระที่นั่งสีเจิ้ง ย่าเมิ่งโกรธจัดจนตัวสั่นไปทั้งตัว นางปรารถนาจะออกไปสับหลี่เฉินออกเป็นชิ้นๆ ด้วยความโกรธเมื่อเห็นว่าอู๋เจียงอี้ต้องการที่จะสารภาพ เ
สตรีศักดิ์สิทธิ์ตกตะลึงกับเหตุการณ์นี้ความจริงแล้ว นางมั่นใจว่าตัวเองนั้นสามารถพาย่าเมิ่งหลบฝ่ามือของขันทีซานเป่าได้ หรือจะกล่าวตรงๆ ก็คือ ย่าเมิ่งตายเปล่าแต่ที่เรื่องมาถึงจุดนี้ได้ เป็นเพราะสตรีศักดิ์สิทธิ์ถูกย่าเมิ่งหาเหามาใส่หัวไม่ขาดสาย นางจึงไม่สนใจย่าเมิ่งอีกต่อไป ไม่ว่าความสัมพันธ์จะดีแค่ไหน แต่ถูกทำให้ลำบากซ้ำแล้วซ้ำเล่ามันก็ทนไม่ไหวสตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่กล่าวสิ่งใด ร่างอันบอบบางพุ่งทะยานไปในทิศทางตรงกันข้ามอย่างรวดเร็วดุจเทพเซียนส่วนย่าเมิ่งที่ตั้งใจจะตายอยู่แล้ว ก็ใช้หน้าอกของนางรับพลังฝ่ามือของซานเป่าเข้าอย่างจัง ทันใดนั้นเลือดก็พุ่งออกมาจากปาก ท่าทางของนางดูเหมือนแสงสายัณห์ของตะวันรอน[footnoteRef:1] นางเปิดปากที่เต็มไปด้วยเลือด แล้วพุ่งเข้าหาซานเป่าด้วยรอยยิ้มที่บ้าคลั่ง [1: แสงสายัณห์ของตะวันรอน อุปมาว่า สีหน้าดูสดใสขึ้นก่อนที่จะตาย] “กำเนิดมาจากโคลนตมผลิบานในความโกลาหล ดอกบัวขาวจงเจริญ!”“มีนางเฒ่าคนนี้อยู่ เจ้าอย่าหวังว่าจะจับสตรีศักดิ์สิทธิ์ได้!”ซานเป่าที่ถูกถ่วงเวลาก็ระเบิดความโมโหออกมา เขากระแทกฝ่ามือไปที่ร่างของย่าเมิ่งอย่างต่อเนื่องถึงสามครั้งย่าเ
กลางคืนเย็นเหมือนน้ำ หิมะเย็นเหมือนน้ำแข็งสุรารสร้อนแรงไหลเข้าไปในลำคอของเขา และก่อนที่ความเผ็ดร้อนของสุราจะออกฤทธิ์ หัวของหลี่เฉินก็พลันเย็นยะเยือกขึ้นมาทันทีที่เขาเห็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ หลี่เฉินก็เกือบตะโกนเรียกทหารองค์รักษ์ แต่จู่ๆ คำพูดนั้นก็ติดค้างที่ริมฝีปาก เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ไม่มีเหตุผลเลยที่ตัวเขาเห็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ แต่สตรีศักดิ์สิทธิ์กลับไม่เห็นเขาเพราะมีความเป็นไปได้ว่าตอนที่เขาปีนขึ้นหลังคามาหาที่ตายด้วยตัวเองนั้น สตรีศักดิ์สิทธิ์ซึ่งนั่งรอคอยกระต่าย[footnoteRef:1] ก็จะฆ่าเขาทันทีด้วยการโบกมือครั้งเดียว [1: นั่งรอคอยกระต่าย อุปมาว่า มีความคิดที่ไม่ได้เรื่องแต่บังเอิญประสบความสำเร็จ] หากคิดเรื่องนี้จากมุมมองของสตรีศักดิ์สิทธิ์แล้ว หลี่เฉินคงหัวเราะแทนนางซะด้วยซ้ำ เพราะจู่ๆ ก็มีพายตกลงมาจากฟ้าแต่ความจริงก็คือสตรีศักดิ์สิทธิ์นอนแน่นิ่งอยู่บนหลังคากระเบื้อง สวมเสื้อผ้าสีขาวราวกับหิมะ ซึ่งกลมกลืนไปกับหิมะสีขาวที่อยู่รอบๆ ทำให้การอำพรางตัวสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ถ้าหากไม่เข้าไปใกล้ก็จะมองไม่ออก เมื่อพิจารณาอย่างใกล้ชิด หลี่เฉินก็พบว่าดวงตาของสตรี
ผิวบอบบางไร้ที่ติเหมือนดั่งไข่ปอก ความเนียนละเอียดยิ่งไม่ต้องพูดถึงราวกับว่าพระเจ้าตั้งใจจะสร้างสตรีผู้นี้ขึ้นมา โดยไม่คิดถึงความสมดุลใดๆ เพียงเอาสิ่งที่ดีที่สุดมอบให้กับนาง ความงามประเภทนี้ สร้างภาพลักษณ์ที่เรียบง่ายและบริสุทธิ์ในสมัยโบราณ เพื่อทำให้นางเปาซื่อยิ้มออกมา โจวโยวอ๋องจึงจุดไฟสัญญาณหลอกเจ้าเมืองหรือนางปีศาจจิ้งจอกต๋าจี่ที่ทำให้ประเทศชาติต้องล่มจม เพราะนางเปลี่ยนโจ้วอ๋องผู้ชาญฉลาดให้กลายเป็นเผด็จการที่โหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์จีน ยังมีอู๋ซานกุ้ยของราชวงศ์ก่อนที่ลุ่มหลงในเฉินหยวนหยวน เขาโกรธจนไฟลุกเพื่อโฉมงามแต่สตรีเหล่านี้ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นความสวยและความงดงามนั้นแตกต่างกัน ความสวย จำกัดอยู่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น หากมองแล้วสบายตา ก็เรียกว่าสวยงาม แต่ความงดงาม ความสวยเป็นเพียงรากฐาน และต้องมีอะไรแฝงมากกว่านั้นจึงจะเรียกว่างดงามได้ยกตัวอย่างเช่น จ้าวชิงหลานที่สูงส่งมีเกียรติจนหาใครเทียบไม่ได้ หรือจ้าวหรุ่ยที่มีเสน่ห์ราวกับสายน้ำ และซูจิ่นพ่าที่มีความสง่างามและเปี่ยมไปด้วยอิสระ ส่วนสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ตรงหน้า นางงดงามแบบเยือกเย็น เ
ครั้งแรกที่ต้องซ่อนตัว สตรีศักดิ์สิทธิ์เลือกซ่อนตัวอยู่ที่ตำหนักบูรพา อาจกล่าวได้ว่ากล้าหาญ ระมัดระวัง และเฉลียวฉลาดและเมื่อถูกค้นพบในตำหนักบูรพา นางก็หนีรอดไปได้เป็นครั้งที่สองด้วยสภาพร่างกายที่บาดเจ็บหนัก แต่นางก็ยังคงกลับมาที่ตำหนักบูรพา จุดนี้ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ถึงความกล้าหาญและความคิดของนาง ซึ่งอยู่เหนือคนธรรมดา ดังนั้นการประนีประนอมของนางในตอนนี้ จึงไม่น่าแปลกใจสำหรับหลี่เฉินสตรีศักดิ์สิทธิ์อาจไม่กลัวความตาย แต่ไม่ว่าจะเป็นฐานะของผู้หญิงหรือสัญลักษณ์ทางจิตวิญญาณของสำนักบัวขาว นางจะไม่มีวันยอมให้ตัวตนทั้งสองนี้ถูกดูหมิ่น นี่เป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าความตายเมื่อเผชิญหน้ากับการประนีประนอมของสตรีศักดิ์สิทธิ์ หลี่เฉินก็ไม่ลังเล เขาหันกลับมาพูดกับทหารองค์รักษ์ที่อยู่ด้านล่างว่า “ไปเรียกซานเป่ามา”หลังจากทหารองค์รักษ์ส่งเสียงตอบรับ หลี่เฉินจึงหันศีรษะกลับมาอีกครั้ง และเห็นสายตาที่เย็นชาของสตรีศักดิ์สิทธิ์กำลังจ้องมอง“ทำไมถึงมองข้าเช่นนี้ล่ะ ข้าก็แค่กลัวว่าเจ้าจะถ่วงเวลาเพื่อฟื้นฟูพลัง เพราะท้ายที่สุดแล้วยอดฝีมืออย่างพวกเจ้า ก็อาจจะฟื้นพลังขึ้นมาได้ในหนึ่งก้านธูปและสังห
หลี่เฉินหรี่ตาลง เมื่อได้ยินชื่อนี้หลุดออกมาจากปากของสตรีศักดิ์สิทธิ์แม้จะมีการคาดเดามาก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่มีหลักฐานที่เป็นรูปธรรมแต่ทว่าตอนนี้ก็มีหลักฐานแล้ว “จริงหรือ?” หลี่เฉินถามสตรีศักดิ์สิทธิ์เยาะเย้ยและพูดว่า “ข้าจะบอกทิศทางให้กับเจ้า เจ้าสามารถไปตรวจสอบความถูกต้องได้ เมื่อไม่กี่เดือนก่อน เขาติดต่อมาที่สำนักของเรา ทั้งที่พักสำหรับซ่อนตัวที่เมืองหลวงหรือข้อมูล เขาก็เป็นคนหามาให้” “ดีมาก”หลี่เฉินพยักหน้า เขาระงับจิตสังหารอันแรงกล้าในใจของเขา และพูดอย่างไม่แยแสว่า “ข้าเห็นความจริงใจของเจ้าแล้ว” “ข้าจะปล่อยเจ้าไป”เมื่อประโยคนี้หลุดออกมา ทั้งสตรีศักดิ์สิทธิ์และซานเป่าก็ตกตะลึงเล็กน้อย“ตราบใดที่เจ้ายอมรับเงื่อนไขข้อหนึ่ง”เมื่อมองไปที่สตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ไร้ความรู้สึก หลี่เฉินก็พูดอย่างใจเย็นว่า “ร่วมมือกับหลี่อิ๋นหู่ต่อไป” สตรีศักดิ์สิทธิ์ก็เข้าใจทันทีว่าหลี่เฉินหมายถึงอะไรเขาต้องนางร่วมมือกับเขาเพื่อกำจัดจ้าวอ๋องในตอนแรกสตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่เห็นด้วย นางพูดว่า “การลอบสังหารครั้งนี้ล้มเหลว เขาจะยอมร่วมมือกับพวกเราอีกไหมก็บอกได้ยาก” “เขาจะทำเช่นนั้นอย่างแน่
หลังจากถูกหลี่เฉินตำหนิ ในที่สุดซานเป่าก็ล้มเลิกความคิดที่จะไล่ฆ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ “แยกย้ายเถอะ กลับไปฉลองปีใหม่อย่างมีความสุขซะ”พูดจบ หลี่เฉินก็โบกมือแล้วหันหลังเพื่อลงจากหลังคา “ฝ่าบาท แล้วเหล้านี้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”เมื่อมองดูสุราที่ยังเหลืออีกครึ่งกาที่หลี่เฉินทิ้งไว้ ซานเป่าก็ถามขึ้นมา “มอบให้เจ้า”หลี่เฉินพูดอย่างสบายๆ จากนั้นเขาก็กระโดดลงจากหลังคาโดยได้รับความช่วยเหลือจากทหารองค์รักษ์ และกลับไปที่ห้องบรรทมเพื่อพักผ่อนซานเป่าประหนึ่งพบทรัพย์สมบัติ เขาหยิบกาสุราที่ฝ่าบาทเสวยไปแล้วครึ่งหนึ่งขึ้นมาอย่างระมัดระวัง แล้วกล่าวด้วยความยินดีว่า “บ่าวขอบพระทัยฝ่าบาท” ……วันรุ่งขึ้น แสงแรกของปีใหม่ลอยขึ้นมาจากพื้นโลก ส่องสว่างไปทั่วเมืองหลวงที่มีอายุนับพันปีแห่งนี้ หิมะที่ตกทั้งคืน ในที่สุดก็หยุดลงวันนี้เป็นวันแรกของปีใหม่ แม้แต่ขันทีและนางกำนัลในวังก็ได้รับข้อยกเว้นให้หยุดงานหนึ่งวัน แต่อย่างไรก็ตาม การดำเนินการต่างๆ เช่น ทำความสะอาดหิมะไม่สามารถล่าช้าได้ แต่พวกเขาก็ได้รับอนุญาตให้ทำงานหลังรุ่งสางได้เมื่อท้องฟ้าสว่างเต็มที่ ขันทีที่ได้รับมอบหมายให้มาทำความสะอาดหิมะด้านนอ
สาวใช้ที่หายใจไม่ออกพยายามดิ้นรนร้องขอความช่วยเหลือแต่เสียงที่อยู่ด้านใน ใช่ว่าคนข้างนอกจะไม่ได้ยิน แต่ใครเล่าจะกล้าเข้ามา?หมอที่กำลังสั่งยาอยู่ข้างๆ ก็หมอบลงกับพื้นตัวสั่น เขาหวังว่าจะซุกหัวของตัวเองเข้าไปในรอยแยกของพื้นได้ เขาไม่กล้าหยุดสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าใครก็มองออกว่าหลี่อิ๋นหู่กำลังคลุ้มคลั่งในตอนนี้ใครขวางทาง ก็เท่ากับรนหาที่ตายไม่ช้า แรงดิ้นของสาวใช้ก็ค่อยๆ อ่อนลง จนกระทั่งแน่ใจว่าสาวใช้ในมือไม่หายใจแล้ว หลี่อิ๋นหู่จึงเหวี่ยงนางลงกับพื้น เสียงหอบหายใจอย่างหนักหน่วงดังขึ้น หลังจากที่ระบายอารมณ์ไปแล้ว ในที่สุดหลี่อิ๋นหู่ก็ได้สติกลับมา“ลากตัวออกไปจัดการ”เสียงของหลี่อิ๋นหู่ทั้งสงบทั้งโหดเหี้ยม จากนั้นก็มีคนเข้ามาลากศพของสาวใช้ออกไปทันที “เจ้ามาทายาให้ข้า” หลี่อิ๋นหู่พูดกับหมออย่างเย็นชาหมอคนนั้นตกใจมากแต่ก็ไม่กล้าขัดขืนหลี่อิ๋นหู่ ทำได้เพียงหยิบยาบนพื้นขึ้นมาอย่างสั่นเทา และทายาให้กับหลี่อิ๋นหู่อย่างระมัดระวัง “วางใจเถอะ ข้าไม่ฆ่าผู้บริสุทธิ์” คำพูดของหลี่อิ๋นหู่กลับทำให้หมอหน้าซีดเขาไม่กล้าพูด แค่ทายาให้เร็วที่สุด“ทำได้ดีมาก ออกไปรั
ตามคำอธิบายและเรื่องราวของฮ่องเต้ต้าสิง หลี่เฉินก็เริ่มมองเห็นถึงเบื้องลึกในจิตใจที่แท้จริงของฮ่องเต้พระองค์นี้ สิ่งที่พระองค์ต้องการ คือการสืบทอดราชบัลลังก์โดยไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงรากฐานของบ้านเมือง และขุนนางชั่วอย่างจ้าวเสวียนจี ก็คือประกันภัยอีกชั้นหนึ่งที่พระองค์วางไว้ ตราบใดที่จ้าวเสวียนจียังอยู่ เขาก็จะกระหายอำนาจ และต้องพยายามลดบทบาทของฮ่องเต้แน่นอน แต่การลดบทบาทของฮ่องเต้หาใช่ปัญหาไม่ ขอเพียงฮ่องเต้ยังคงดำรงอยู่ อ๋องแห่งแคว้นย่อมไม่อาจก่อหวอด สถานการณ์ก็จะยังดำเนินต่อไปได้ กล่าวได้ว่า ฮ่องเต้ต้าสิงได้วางหมากไว้สองทาง ทางแรก คือหวังว่าจะมีบุตรผู้หนึ่งสามารถเติบโตขึ้นมาเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ มีสติปัญญาและความสามารถลึกซึ้ง กอบกู้สถานการณ์ได้ แต่เรื่องนี้ยากเกินไป อย่างน้อยในขณะวางแผน ฮ่องเต้ต้าสิงเองก็มองไม่เห็นความหวัง ดังนั้นพระองค์จึงเตรียมทางที่สอง ผลักดันให้เกิดขุนนางชั่วคนหนึ่ง เพื่อรักษาความมั่นคงของการถ่ายโอนอำนาจ แม้ฮ่องเต้จะเป็นเพียงหุ่นเชิด ตราบใดที่ยังเป็นบุตรของฮ่องเต้ต้าสิง แผ่นดินก็จะไม่ล่มสลาย ส่วนอำนาจนั้
“เขาวางแผนมาอย่างยาวนาน บัดนี้ลูกกับเขาก็ถึงคราวแตกหัก ต่อให้มิใช่จ้าวเสวียนจี ลูกก็ไม่อาจอยู่อย่างสงบได้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” หลี่เฉินเงยหน้าขึ้นอย่างกล้าหาญ จ้องสบสายพระเนตรของฮ่องเต้เบื้องหน้า แม้พระวรกายจะซูบผอมดั่งน้ำมันหมดไส้เทียนใกล้มอด แต่ก็ยังเปี่ยมด้วยพลังสุดท้าย แล้วกล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกไป ฮ่องเต้ต้าสิงทรงฟังด้วยรอยยิ้ม รอจนหลี่เฉินพูดจบจึงเอ่ยว่า “ข้ากล่าวไปแล้ว เขา มิใช่สิ่งที่ควรกังวล” “เจ้าจะฆ่าเขาก็ได้ แต่ไม่ใช่เวลานี้” หลี่เฉินขมวดคิ้ว สีหน้างุนงงยิ่งนัก ฮ่องเต้ต้าสิงทอดถอนใจเบาๆ แล้วตรัสว่า “สามารถเดินมาถึงจุดนี้ เจ้าก็เกินกว่าความคาดหวังเดิมของข้าไปมาก แม้แต่อีกหลายการจัดวางที่ข้าวางไว้แต่แรก ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะได้ใช้จริง แต่ก้าวแล้วก้าวเล่า เจ้าก็ผ่านมาได้ทั้งหมด” “เจ้าควรรู้ว่า บางแผนที่ข้าวางไว้นั้น เริ่มตั้งแต่เมื่อครานานมาแล้ว” หลี่เฉินนึกถึงพี่น้องสกุลอู๋ จึงพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อทรงวางแผนอย่างลึกซึ้ง ลูกนับถือยิ่งนัก” “รอจนเจ้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ เจ้าก็จะเข้าใจเอง” ฮ่องเต้ต้าสิงตรัสเสียงเรียบ “ข้าวางแผนไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เจ้าคิดว่
จ้าวหรุ่ยเงยหน้าขึ้น แม้ใบหน้ายังคงซีดเซียวอ่อนแรง แต่กลับมีสีเลือดระเรื่อขึ้นเล็กน้อย “ฝ่าบาท รีบเสด็จเข้าไปเถิด” จ้าวหรุ่ยกล่าวจบ ก็หลีกทางไปด้านข้าง หลี่เฉินจับมือของจ้าวหรุ่ยแน่น แล้วจึงก้าวเข้าไปภายใน จ้าวเสวียนจีตามเข้าไปติดๆ นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวเสวียนจีสนทนากับจ้าวหรุ่ยหลังจากจ้าวหรุ่ยทรยศ “เจ้าคุกเข่าจนฮ่องเต้ทรงฟื้นคืนหรือ?” จ้าวเสวียนจีกล่าวเสียงเรียบ จ้าวหรุ่ยก้มหน้า ไม่กล้ามองจ้าวเสวียนจี เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ฮ่องเต้ทรงมีฟ้าคุ้มครองเพคะ” “ข้าไม่คาดคิดเลยจริงๆ” จ้าวเสวียนจีทิ้งประโยคหนึ่งอย่างมีนัย แล้วจึงติดตามหลี่เฉินเข้าไป จ้าวหรุ่ยเม้มริมฝีปาก ก้มหน้าถอยออกจากประตูตำหนักบรรทม ภายในตำหนักเฉียนชิง หลี่เฉินเห็นฮ่องเต้ต้าสิง...ทรงยืนขึ้นแล้ว พระองค์ทรงสวมเสื้อชั้นในสีเหลืองอ่อนที่เพิ่งผลัดเปลี่ยนใหม่ ซึ่งอาจนับเป็นชุดนอนหรือชุดชั้นในก็ได้ หลี่เฉินไม่รู้สึกแปลกตากับฉลองพระองค์ชุดนี้นัก ขณะฮ่องเต้ต้าสิงบรรทมบนเตียง ก็ทรงสวมเช่นนี้ แต่หลังจากเขาข้ามมิติมา ก็เป็นครั้งแรกที่เห็นฮ่องเต้ทรงมีสติและยืนอยู่ “อย่างไรหรือ เห็นข้าแล้ว ถึงกับลืมคำ
ประโยคเดียวว่าฮ่องเต้ทรงฟื้นแล้วสร้างแรงสะเทือนใจแก่ทุกผู้คนยิ่งกว่าเสียงฟ้าร้องเหนือศีรษะแม้กระทั่งทหารที่ไล่ตามขันทีน้อยมาแต่แรกยังถึงกับตื่นตะลึงถ้อยคำของขันทีน้อยยังไม่ทันจบประโยค เงาร่างสายหนึ่งพลันแวบขึ้นตรงหน้าเขา ซานเป่าได้คว้าตัวเขาไว้แล้ว“เจ้าว่าอะไรนะ?!”ขันทีน้อยผู้นั้นเป็นเพียงขันทีระดับต่ำสุด เคยเห็นซานเป่าจากที่ไกลๆ เท่านั้น หากแต่ความแตกต่างระหว่างฐานะของทั้งสองทำให้เขาไม่เคยมีสิทธิแม้แต่จะกล่าวคำกับซานเป่ายังไม่ทันตั้งสติจากแรงกดดันของซานเป่า ซูเจิ้นถิงและเหล่าขุนนางใหญ่น้อยก็พากันล้อมเขาไว้หมดแล้ว“บ่าว...บ่าวกล่าวว่า...ฮ่อง...ฮ่องเต้ทรงฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีน้อยตัวสั่นระริก พูดติดขัดแทบจับใจความไม่ได้ โชคยังดีที่เขายังจำหน้าที่ของตนเองได้“ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่ง ขอให้องค์รัชทายาทและสำนักราชเลขาเข้าเฝ้าทันที”ซานเป่ากับซูเจิ้นถิงสบตากัน แล้วก็ตัดสินใจได้ทันควัน“ไม่ได้!”จางปี้อู่ตะโกนลั่น “ใครจะรู้ว่านั่นไม่ใช่ราชโองการปลอมล่ะ!”“เจ้าบังอาจแอบอ้างหาบรรพบุรุษงั้นรึ!”ซูเจิ้นถิงสบถกลับด้วยความโกรธ แล้วซัดหมัดหนักเข้าที่ใบหน้าของจางปี้อู่อย่างจังจางปี้
“จ้าวเสวียนจี เจ้าทำเรื่องมากมาย วางแผนมานักหนา ท้ายที่สุดแล้วก็เพื่อสิ่งใดกันแน่”หลี่เฉินชี้ไปยังบัลลังก์มังกร ถามว่า “เพื่อจะได้ขึ้นนั่งบนนั้นหรือ”จ้าวเสวียนจีมองตามนิ้วของหลี่เฉินไปยังบัลลังก์มังกร กล่าวอย่างราบเรียบว่า “มิใช่ หากกระหม่อมประสงค์จะขึ้นนั่งบัลลังก์ กระหม่อมสามารถลงมือได้ตั้งแต่เมื่อปีกลายแล้ว แม้แต่ก่อนหน้านั้น กระหม่อมก็ยังมีโอกาสดีกว่านี้อีกมาก จะต้องรอให้ฝ่าบาททรงมีอำนาจมั่นคงก่อนแล้วจึงลงมือไปเพื่ออันใดกันเล่า”“หรือมิใช่เพราะเจ้าคิดว่าควบคุมตัวข้าได้ยาก จึงต้องเสี่ยงเอาดาบเข้าวัดอย่างนั้นหรือ” หลี่เฉินหัวเราะเย็นชาจ้าวเสวียนจีถอนหายใจเบาๆ สีหน้ากลับแฝงด้วยความหดหู่ยิ่งนัก กล่าวว่า “ฝ่าบาท พระองค์มิใช่กระหม่อม ย่อมไม่รู้ความลำบากของกระหม่อม”“บัลลังก์นั้น นั่งแล้วสบายหรือ ไม่เลย”จ้าวเสวียนจีหันหน้ากลับมามองหลี่เฉิน กล่าวว่า “กระหม่อมแทบจะเฝ้าดูฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์กับตาตนเอง ตลอดหลายปีมานี้ ในท้ายที่สุด ฮ่องเต้ได้อะไรกลับมาบ้าง”“กระหม่อมชราภาพแล้ว ไม่รู้ว่ายังจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่ปี อีกทั้งบุตรหลานของกระหม่อมก็สูญสิ้นไร้ร่องรอย หากกระหม่อมขึ้นไปนั่ง
หลี่เฉินหันขวับกลับมาเผชิญหน้าจ้าวเสวียนจี ดวงตาเย็นเยียบดั่งน้ำแข็งจ้าวเสวียนจีเงยหน้าขึ้น ยืนตัวตรง มาดอ่อนน้อมเมื่อครู่พลันสลาย เหลือเพียงท่วงท่าท้าทายอย่างเปิดเผยหลี่เฉินเอ่ยเรียบเย็น “ข้าเพิ่งรู้ว่า...ขุนนางอาวุโส สูงไม่น้อยเลยทีเดียว”จ้าวเสวียนจีตอบ “กระหม่อม...แค่เคยชินกับการโค้งก้มเท่านั้น แต่ครั้งนี้...กระหม่อมไม่อยากก้มอีกแล้ว”เขายกมือชี้ออกไปทางประตูพระที่นั่งไท่เหอ ก่อนกล่าวว่า “ทหารมีดดาบชั้นยอดจำนวนสามพันนาย บัดนี้อยู่ภายนอกพระที่นั่งไท่เหอเรียบร้อยแล้ว”“กระหม่อมรู้ดีว่า ฝ่าบาทมีปืนไฟ และอาวุธที่ระเบิดเทพต้าฉินทรงพลังยิ่ง หากให้เวลาพัฒนา คงกลายเป็นอาวุธสังหารอันน่าสะพรึงกลัวในอนาคต แต่เวลานี้ ฝ่าบาทมีน้อยเกินไป อีกทั้งในค่ำคืนที่ฝนตกหนักเช่นนี้ อานุภาพของอาวุธไฟก็จะลดลงจนเหลือน้อยนิด”“ที่สำคัญที่สุดก็คือ... ทหารทั้งสามพันนายของกระหม่อม ล้วนเป็นยอดฝีมือระดับแนวหน้าแห่งยุทธภพ สามารถกวาดล้างกองทัพปกติหนึ่งหมื่นนายได้ภายในเวลาอันสั้น”จ้าวเสวียนจีหัวเราะเบาๆ ราวกับได้พลิกไพ่ลับที่เตรียมไว้มาเนิ่นนาน มีความภูมิใจอย่างปิดไม่มิด “ที่สำคัญที่สุดคือ… ทหารสามพันนี้ มิใ
คำพูดของจ้าวเสวียนจี ได้เผยให้เห็นสถานการณ์ที่น่าอึดอัดที่สุดของหลี่เฉินอย่างหมดเปลือก ไม่มีแม้แต่นิดเดียวที่หลงเหลือให้ปิดบังหลี่เฉินในตอนนี้ แม้จะเป็นองค์รัชทายาท แม้จะทำหน้าที่สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่สิทธิอำนาจในมือของเขา โดยรากแท้แล้วยังคงเป็นสิ่งที่ฮ่องเต้ประทานให้ตราบใดที่หลี่เฉินยังไม่ขึ้นครองราชย์ ไม่ได้สวมชุดมังกร เช่นนั้นเขาก็ไม่อาจครอบครองราชอำนาจแท้จริงได้เลยต่อบรรดาข้าราชการท้องถิ่นแล้ว พวกเขายอมรับแค่สิ่งเดียว...ราชโองการ ยอมรับแค่บุคคลเดียว...ฮ่องเต้นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพายุการเมืองในครั้งนี้ ถึงเรียกได้เพียงว่า "พายุการเมือง" มิใช่การชิงราชสมบัติในสายตาของปวงชนแผ่นดิน สิ่งที่พวกเขาเห็น ก็แค่ความขัดแย้งระหว่างองค์รัชทายาทกับฝ่ายสำนักราชเลขาที่รุนแรงจนถึงขั้นยกทัพใส่กัน มิใช่การกบฏแย่งชิงราชบัลลังก์ของสำนักราชเลขาสองสิ่งนี้...แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงหากหลี่เฉินคือฮ่องเต้จริงๆ การกระทำของจ้าวเสวียนจีทั้งหมดนี้ ก็จะกลายเป็นการชิงบัลลังก์อย่างชัดเจน และจะก่อให้เกิดความโกลาหลไปทั่วทั้งแผ่นดิน ขุนนางในทุกหัวระแหงที่ยังมีความจงรักภักดีและสำนึกในคุณธรรม ย่อมต้องลุ
“ด้านนอกลมฝนรุนแรง ฝ่าบาททรงเปียกโชกทั้งตัว ดูก็รู้ว่าเส้นทางที่ก้าวเข้ามา ไม่ได้ราบรื่นเลยแม้แต่น้อย”จ้าวเสวียนจีมองหลี่เฉินด้วยแววตาสงบนิ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ใบหน้าแลดูใจดีอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ“ลมฝนหนักเช่นนี้ มีใครเล่าจะก้าวเดินได้อย่างสบาย?”หลี่เฉินพลิกมือปิดประตูพระที่นั่ง ลมฝนภายนอกถูกสกัดไว้ทันที ความสงบและอบอุ่นจึงกลับคืนสู่ท้องพระโรงอีกครั้ง“หากเพียงต้องการมุมหนึ่งอันสงบสุข ก็แค่ปิดประตูเท่านั้น ความสงบก็จะอยู่กับเราแล้วไม่ใช่หรือ?”จ้าวเสวียนจีกล่าว “ดี ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้องอย่างยิ่ง”หลี่เฉินย่างเท้าเข้าสู่พระที่นั่งไท่เหอด้วยฝีเท้าหนักแน่น หยุดยืนอยู่เบื้องล่างบัลลังก์ หันไปมองเก้าอี้มังกรแล้วเอ่ยกับจ้าวเสวียนจีข้างกาย “เก้าอี้ตัวนี้ ช่างเย้ายวนใจนักใช่หรือไม่?”จ้าวเสวียนจีก็มองไปยังเก้าอี้มังกรร่วมกับหลี่เฉินเขาไม่ได้ตอบคำถามของหลี่เฉิน กลับกล่าวเพียงว่า “ฝ่าบาท ถอยเถิด”หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ ไม่ขยับสายตา ไม่ตอบคำใด“กระหม่อมให้คำมั่น ว่าจะปกป้องฝ่าบาทให้ปลอดภัยไปตลอดชีวิต คำมั่นของกระหม่อมนี้ ฝ่าบาทเชื่อถือได้แน่นอน”หลี่เฉินพยักหน้า “ฟังดูจริงใจดี”
หลี่เฉินหันไปมองซูจิ่นพ่าที่อยู่ข้างกาย ยิ้มอ่อนเอ่ยว่า “เจ้าทำให้ข้ารู้สึกประหลาดใจมาก”ซูจิ่นพ่าไม่ได้ตอบ เพียงยอบกายทำความเคารพแบบสตรีผู้สูงศักดิ์อย่างอ่อนช้อยหลี่เฉินหลุดหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันไปกล่าวกับซูเจิ้นถิงว่า “แม่ทัพซู ลูกหลานตระกูลแม่ทัพเสือเจ้าฝีมือ เจ้าช่างมีบุตรีที่ดีนัก”ซูเจิ้นถิงก่อนหน้านี้อยู่หน้าประตูวัง เมื่อเขามาถึงพอดีกับที่ซูจิ่นพ่ากำลังตำหนีขุนนางพวกนั้น ด้วยสัญชาตญาณจึงไม่ได้รีบเข้าไป และการรอเพียงครู่เดียวนี้ ก็ทำให้เขาได้เห็นฝีมือกับสติปัญญาของบุตรสาวตัวเองอย่างชัดเจน นับว่ายอดเยี่ยมอย่างแท้จริง“ฝ่าบาทตรัสเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูเจิ้นถิงยกมือขึ้นคารวะ แล้วหันไปมองจางปี้อู่และขุนนางฝ่ายสำนักราชเลขาที่ใบหน้านิ่งสงบ จากนั้นกล่าวว่า “ฝ่าบาท ที่นี่ขอให้เป็นหน้าที่ของกระหม่อมกับท่านอาจารย์เถิดพ่ะย่ะค่ะ”ทหารย่อมต่อสู้กับทหาร แม่ทัพย่อมรับมือแม่ทัพบุคคลที่หลี่เฉินตั้งใจจะรับมือมาตลอด ไม่ใช่จางปี้อู่ และไม่ใช่ขุนนางทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังเขาเหล่านั้นแต่คือ...จ้าวเสวียนจี“ดี”หลี่เฉินพยักหน้าเบาๆ แล้วหมุนกาย มุ่งหน้าเข้าสู่พระที่นั่งไท่เหอในขณะที่หลี