สาวใช้ที่หายใจไม่ออกพยายามดิ้นรนร้องขอความช่วยเหลือแต่เสียงที่อยู่ด้านใน ใช่ว่าคนข้างนอกจะไม่ได้ยิน แต่ใครเล่าจะกล้าเข้ามา?หมอที่กำลังสั่งยาอยู่ข้างๆ ก็หมอบลงกับพื้นตัวสั่น เขาหวังว่าจะซุกหัวของตัวเองเข้าไปในรอยแยกของพื้นได้ เขาไม่กล้าหยุดสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าใครก็มองออกว่าหลี่อิ๋นหู่กำลังคลุ้มคลั่งในตอนนี้ใครขวางทาง ก็เท่ากับรนหาที่ตายไม่ช้า แรงดิ้นของสาวใช้ก็ค่อยๆ อ่อนลง จนกระทั่งแน่ใจว่าสาวใช้ในมือไม่หายใจแล้ว หลี่อิ๋นหู่จึงเหวี่ยงนางลงกับพื้น เสียงหอบหายใจอย่างหนักหน่วงดังขึ้น หลังจากที่ระบายอารมณ์ไปแล้ว ในที่สุดหลี่อิ๋นหู่ก็ได้สติกลับมา“ลากตัวออกไปจัดการ”เสียงของหลี่อิ๋นหู่ทั้งสงบทั้งโหดเหี้ยม จากนั้นก็มีคนเข้ามาลากศพของสาวใช้ออกไปทันที “เจ้ามาทายาให้ข้า” หลี่อิ๋นหู่พูดกับหมออย่างเย็นชาหมอคนนั้นตกใจมากแต่ก็ไม่กล้าขัดขืนหลี่อิ๋นหู่ ทำได้เพียงหยิบยาบนพื้นขึ้นมาอย่างสั่นเทา และทายาให้กับหลี่อิ๋นหู่อย่างระมัดระวัง “วางใจเถอะ ข้าไม่ฆ่าผู้บริสุทธิ์” คำพูดของหลี่อิ๋นหู่กลับทำให้หมอหน้าซีดเขาไม่กล้าพูด แค่ทายาให้เร็วที่สุด“ทำได้ดีมาก ออกไปรั
สิ้นสียง คนผู้นั้นก็มาถึงประตูห้องแล้วประตูถูกผลักเปิดจนส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด สตรีศักดิ์สิทธิ์มองไปยังชายชราที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตู คนผู้นั้นสวมชุดสีดำทั้งตัว และเผยให้เห็นใบหน้าที่เหี่ยวย่นราวกับเปลือกไม้ ซึ่งไม่แสดงอารมณ์ใดๆชายชราตรงหน้าทำให้นางรู้สึกถึงอันตรายแต่อันตรายส่วนใหญ่นั้นมาจากการที่นางยังคงได้รับบาดเจ็บแม้จะด้อยกว่าตอนที่เผชิญหน้ากับซานเป่าซึ่งให้ความรู้สึกที่น่าสะพรึงกลัว เหมือนกับมีหนามแหลมคมทิ่มแทงที่ด้านหลัง ที่ถ้าหากไม่ระวังก็อาจจะถูกบดขยี้ไปตลอดกาลการหยั่งเชิงระหว่างยอดฝีมือด้วยกัน ทำให้สตรีศักดิ์สิทธิ์ตระหนักได้ทันทีว่า ชายชราที่อยู่ตรงหน้าเป็นปรมาจารย์ในขอบเขตเดียวกันกับนางในตอนที่ยังแข็งแรงสมบูรณ์ ถึงแม้ว่าตอนนี้นางจะได้รับบาดเจ็บและไร้ซึ่งพลัง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวจนเกินไปเมื่อชายชรามาถึง จิตใจของหลี่อิ๋นหู่ก็กลับมาแจ่มใสทันทีเขาถอยหลังไปสองก้าว ยืนอยู่ข้างชายชราที่หน้าประตูห้อง และพูดด้วยความโกรธว่า “เจ้าใช้เสียงเสียงปีศาจล่อลวงข้า!?” สตรีศักดิ์สิทธิ์กล่าวอย่างสงบว่า “ท่านอ๋องทรงมีความรู้กว้างขวาง แม้แต่เสียงปีศาจก็ยังรู้จัก?”ท่าทางเช่นนี้
ประโยคนี้ ทำให้หลี่อิ๋นหูมองเห็นพฤติกรรมอันธพาลของสำนักบัวขาวเขากัดฟันแล้วพูดว่า “ข้าจะส่งคนไปติดต่อเจ้าภายในสองเดือน!”“ไม่ต้อง เมื่อถึงเวลาข้าจะมาเยี่ยมคารวะท่านอ๋องเอง”เมื่อสตรีศักดิ์สิทธิ์พูดจบ นางก็เดินตรงไปที่ประตูหลี่อิ๋นหู่และชายชราก็เปิดทางให้สตรีศักดิ์สิทธิ์เดินผ่านไป เมื่อเห็นสตรีศักดิ์สิทธิ์จากไป หลี่อิ๋นหู่ก็แสดงสีหน้าอึมครึมออกมาหลังจากยืนยันว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์จากไปแล้วจริงๆ เขาก็คว้าถ้วยชาขึ้นมาแล้วปามันลงบนพื้นพร้อมกับคำราม “ก่อนหน้านี้องค์รัชทายาทก็ข่มเหงข้า มาตอนนี้สำนักบัวขาวก็ข่มขู่ข้า หมากกระดานนี้ข้าเดินผิดไปจริงๆ!?” “ท่านอ๋องโปรดระงับโทสะ”ชายชรากระซิบปลอบเบาๆ เขาโน้มตัวไปใกล้หูของหลี่อิ๋นหู่แล้วพูดว่า “ใช่ว่าจะไม่มีวิธีจัดการสตรีศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้น” หลี่อิ๋นหู่เลิกคิ้วถาม “จะจัดการอย่างไร?”ชายชราหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ท่านอ๋อง ทักษะกลั่นกู่ของข้าไม่เป็นรองใครในใต้หล้า เหตุใดท่านถึงลืมทักษะของข้าไปแล้ว?”หลี่อิ๋นหู่พูดด้วยความโกรธว่า “เจ้าคิดว่าข้าไม่อยากทำงั้นหรือ? ข้าอยากจะลงมือกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกันแล้ว แต่วรยุทธ์ขอ
“จะเริ่มตรงไหน?” จ้าวเสวียนจีถามจางปี้อู่และฟู่อวี้จือมองหน้ากันแล้วยิ้ม ก่อนจะพูดว่า “สวีฉังชิงดีไหม?”“กรมครัวเรือน...”จ้าวเสวียนจีครุ่นคิด พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “กรมครัวเรือนก็ได้ มีหลายประเด็นที่เล่นได้ สวีฉังชิงผู้นี้มีความสำคัญต่อตำหนักบูรพามาก และมีความเป็นไปได้ที่จะใช้ชีวิตของเขาเพื่อแลกกับการประนีประนอมของตำหนักบูรพา”ฟู่อวี้จือกับจางปี้อู่จึงยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ในเมื่อท่านราชเลขาเห็นด้วย เช่นนั้นพวกเราสองคนจะดำเนินการทันที”จ้าวเสวียนจีโบกมือกล่าวว่า “เอาเลย ในปีที่ผ่านมา ท่านในตำหนักบูรพาผู้นั้นจู่ๆ ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน ทำให้พวกเราไม่ทันระวังตั้งหลายครั้ง ตอนนี้ถึงเวลาแสดงให้เขาเห็นว่าสำนักราชเลขาได้ช่วยราชวงศ์บริหารประเทศมาหลายปี แต่ก็ยังมีอุปสรรคอยู่บ้าง”หลังจากที่ฟู่อวี้จือและจางปี้อู่จากไปแล้ว จ้าวเสวียนจีก็ค่อยๆ เดินออกจากห้องโถง เขายืนอยู่ใต้ชายคาและมองดูหิมะสีขาวในสนามหญ้า ก่อนจะพูดอย่างช้าๆ ว่า “ฤดูหนาวปีนี้ดูเหมือนจะหนาวและยาวนานมาก ไม่รู้ว่าปีหน้าเวลานี้ จะเป็นอย่างไร”ขณะที่เขาทอดถอนใจอยู่นั้น จ้าวเสวียนจีก็มองเห็นร่างที่คุ้นเคยกำลังเดินผ่านระเบียง
และความแข็งแกร่งของเหวินอ๋องนั้นยังกระตุ้นความกลัวของจักรพรรดิองค์ปัจจุบันอีกด้วย ดังนั้นเขาจึงออกพระราชโองการ เรียกโอรสองค์โตของเหวินอ๋องให้มาที่เมืองหลวงปากบอกว่าคิดถึงหลานชาย อยากนำมาเลี้ยงดูข้างกาย แต่ความจริงนั้นไม่ว่าใครก็รู้ว่า พามาเป็นตัวประกันรัฐทายาทเหวินอ๋องมักทำตัวไม่โดดเด่นในเมืองหลวงมาโดยตลอด และไม่เคยมีส่วนร่วมในข้อพิพาทใดๆ เลย แต่บัดนี้ ในวันแรกของปีใหม่ เขากลับจัดงานชุมนุมกวีครั้งใหญ่ขึ้นมา เบื้องลึกเบื้องหลังนั้น ทำให้จ้าวเสวียนจีอดตื่นตัวขึ้นมาไม่ได้เมื่อเห็นความกังวลในดวงตาของลูกชาย จ้าวเสวียนจีก็ตระหนักรู้ขึ้นมา เขาจึงถามว่า “ซูจิ่นพ่าก็ไป?” จ้าวไท่ไหลพลันหน้าแดง เขากล่าวเสียงกระซิบว่า “ไปขอรับ” รัฐทายาทเหวินอ๋องอะไรนั่น จ้าวไท่ไหลไม่สนใจ สิ่งที่เขาสนใจคือซูจิ่นพ่าไป หากนางไป เขาก็ไปเหมือนกัน เพียงแต่ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกหมดหวังขึ้นมาเมื่อพิจารณาจากทัศนคติของบิดาที่คัดค้านเรื่องของเขากับซูจิ่นพ่า ถ้าหากบิดารู้ว่าซูจิ่นพ่าจะไป ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะยอมตกลงให้ตัวเองไป แต่กลับคาดไม่ถึงว่า ประโยคถัดมาของจ้าวเสวียนจีจะขจัดความสิ้นหวังของจ้า
ราวกับได้ยินบางสิ่งที่ผิดปกติในคำพูดของหลี่เฉิน ซูจิ่นพ่าจึงถลึงตาใส่หลี่เฉินและพูดด้วยความโกรธว่า “ข้าไม่รู้จักรัฐทายาทเหวินอ๋อง แต่ทายาทของผู้มีอำนาจในเมืองหลวงส่วนใหญ่จะเข้าร่วมงานชุมนุมในครั้งนี้ เมื่อรัฐทายาทเหวินอ๋องส่งเทียบเชิญมาให้ ก็ฝากให้ข้าเชิญผู้เขียน มาด้วย ยิ่งไปกว่านั้น นี่ยังเป็นการระดมทุนให้กับผู้ประสบภัยจริงๆ ข้าจึงเชิญเจ้ามา ถ้าหากเจ้ามีความคิดเลอะเทอะ งั้นก็อย่าไป” “ไปๆ ทำไมจะไม่ไปล่ะ”หลี่เฉินถือโอกาสจับมือซูจิ่นพ่าแล้วพูดว่า “เจ้านัดข้ามา ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟข้าก็จะไป”ซูจิ่นพ่าเคยผ่านประสบการณ์เสียเปรียบมาแล้วหลายครั้ง แต่คราวนี้นางเรียนรู้ที่จะฉลาด นางซ่อนมือของตัวเองจากหลี่เฉินอย่างว่องไว และพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “อย่าพยายามเอาเปรียบข้าง่ายๆ เลย” เมื่อหลี่เฉินเห็นแบบนั้นก็ไม่ได้บีบบังคับ วันเวลานั้นยาวนาน เขายังมีเวลาที่จะสร้างฐานขึ้นมาเดิมทีหลี่เฉินวางแผนที่จะขึ้นรถม้าเดียวกับซูจิ่นพ่า แต่ไม่คิดว่าจะถูกซูจิ่นพ่าปฏิเสธ“เจ้านัดข้าออกมา แต่จะให้ข้าไปเองงั้นหรือ?”หลี่เฉินขมวดคิ้วพูด “นี่สมเหตุสมผลหรือไม่?”ซูจิ่นพ่ารู้ตัวว่าผิดจึง
เสียงตะโกนด่ารอบที่สอง ทำให้หลี่เฉินมีน้ำโหขึ้นมาจริงๆ เขาหมุนตัวเดินต่อไปยังสวนอี้เหม่ย และพูดอย่างใจเย็นกับผู้บังคับกองพันองครักษ์เสื้อแพรที่ขับรถของตัวเองว่า “จัดการให้เรียบร้อย”ผู้บังคับกองพันองครักษ์เสื้อแพรคำนับหลี่เฉิน จากนั้นก็หันหน้ากลับมา และเดินไปหาข้ารับใช้ด้วยรอยยิ้มที่เหี้ยมกริบ ข้ารับใช้ไม่รู้ว่าความตายกำลังใกล้เข้ามา จึงเอาแต่ตะโกนด่าทอไม่หยุด“เจ้ารู้ไหมว่าคุณชายของข้าคือใคร? เขาเป็นบุตรชายของมหาอำมาตย์พระที่นั่งอู่อิง ถ้าฉลาดพอก็รีบมาคุกเข่ายอมรับความผิดกับคุณชายของข้าซะ บางทีอาจจะมีโอกาส...” ถ้าพูดกับคนอื่นก็ช่างเถอะแต่ผู้บังคับกองพันองครักษ์เสื้อแพรได้รับคำสั่งมาจากหลี่เฉิน อย่าว่าแต่ลูกชายของจางปี้อู่เลย ต่อให้จางปี้อู่มาเอง เขาก็กล้าฆ่าดังนั้นก่อนที่ข้ารับใช้ที่กำลังรนหาที่ตายจะพูดจบ องครักษ์เสื้อแพรก็คว้าคอของเขาไว้ กร๊อบ เสียงกังวานพลันดังขึ้น นั่นคือเสียงหักกระดูกคอแม้จะเห็นชีวิตมนุษย์ปลิดปลิวไป แต่ผู้คนรอบข้างไม่เพียงแต่จะไม่กลัว กลับส่งเสียงโห่ร้องขึ้นมา ตอนนั้นเอง เจ้าของรถม้าก็ออกมาจางหวังหยางเหลือบมองข้ารับใช้ที่เสียชีวิตขอ
“ขอรับ!”ผู้บังคับกองพันองครักษ์เสื้อแพรตอบรับเสียงดังด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็ไม่ให้โอกาสจางหวังหยางได้โต้ตอบ เขายกขาขึ้นแล้วเตะข้อพับของจางหวังหยางสามารถเป็นผู้บังคับกองพันองครักษ์เสื้อแพร และได้รับมอบหมายจากซานเป่าให้มาคุ้มกันหลี่เฉิน ก็แสดงให้เห็นว่าวรยุทธ์และความสามารถของเขานั้นไม่ธรรมดาดังนั้นลูกเตะนี้ จางหวังหยางไม่มีทางต้านทานได้เลย เขาร้องโหยหวนออกมา ก่อนที่เข่าของเขาจะกระแทกลงกับพื้นหิมะอย่างแรงความเจ็บปวดนี้ทำให้จางหวังหยางถึงกับหน้าบิดเบี้ยว และหลั่งเหงื่อออกมาจิตใต้สำนึกของเขาสั่งให้เขาลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว แต่ผู้บังคับกองพันองครักษ์เสื้อแพรใช้มือแค่ข้างเดียวกดไหล่ของเขา ก็ทำให้เขารู้สึกราวกับว่ามีภูเขาลูกใหญ่กดทับร่างกาย จนขยับตัวไม่ได้ “เจ้าเป็นใคร!”จางหวังหยางที่เสียหน้าและเสียศักดิ์ศรีก็คำรามด้วยความโกรธ “บอกชื่อของเจ้ามาซะ ข้าจะทำให้เจ้าตายอย่างทรมาน!” “เจ้าไม่คู่ควรที่จะรู้”หลี่เฉินพูดอย่างเฉยเมย “อยากแก้แค้นเหรอ? ได้ ข้าจะอยู่ที่สวนอี้เหมย และรอดูว่าใครจะกล้ามาช่วยเจ้า?”สิ้นเสียงของหลี่เฉิน เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากสวนอี้เหม่ยเสียงหัวเ
"องค์รัชทายาทช่างเฉลียวฉลาด"ระหว่างทางกลับไป ซูเจิ้นถิงอธิบายเรื่องราวให้หลี่เฉินฟัง"ฝ่าบาททรงวางแผนเรื่องพี่น้องตระกูลอู๋ไว้ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน ข้าเองก็เพิ่งจะได้รับรู้หลังจากที่ฝ่าบาทประชวรหนัก""ตามคำพูดของฝ่าบาท หากองค์รัชทายาทสามารถใช้ประโยชน์จากสองพี่น้องนี้ได้ ข้าจะต้องนำท่านมาที่ศาลบูรพกษัตริย์ แต่หากไม่สามารถใช้ได้ ก็ให้พวกเขาหายไปตลอดกาล"แม้ซูเจิ้นถิงจะพูดอย่างไม่ยี่หระ แต่ในถ้อยคำนั้นกลับแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายของการสังหารอันเยือกเย็นหลี่เฉินหน้าถมึงทึง "เจ้ายังปิดบังอะไรข้าอีก?"ซูเจิ้นถิงยกมือขึ้น แล้วกล่าวอย่างเรียบเฉย "ไม่มีอีกแล้ว เพราะแผนการที่ฝ่าบาททรงวางไว้ จบลงเพียงแค่ตรงนี้ ที่เหลือจากนี้ องค์รัชทายาทต้องเดินต่อไปด้วยตนเอง"หลี่เฉินถอนหายใจเบาๆ "บางครั้งข้าก็รู้สึกว่าเสด็จพ่อของข้า ช่างลึกล้ำเสียจนข้าเหมือนถูกควบคุมทุกย่างก้าว""ไม่ใช่เช่นนั้น"ซูเจิ้นถิงส่ายหน้า สีหน้าจริงจัง "ที่จริงแล้ว สถานการณ์ในตอนนี้ เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดที่ฝ่าบาทและข้าเคยคาดการณ์ไว้ แต่ถึงกระนั้น ฝ่าบาทก็ยังไม่มั่นใจว่าทุกอย่างจะราบรื่นได้ถึงเพียงนี้""ฝ่าบาทถึงกับเตรียมใจไว้สำ
"ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มันใช้โอกาสที่ควบคุมราชสำนัก มีสิทธิ์จัดสรรเสบียงและเงินเดือนของด่านเย่ว์หยา ทำให้สามารถดึงคนบางกลุ่มเข้ามาอยู่ใต้อำนาจของมันได้""แต่คนเหล่านั้นล้วนเป็นพวกตัวเล็กตัวน้อย พวกที่ไม่อาจอยู่รอดในศึกแย่งชิงระหว่างน้องชายข้ากับหนิงอ๋อง จึงเลือกไปพึ่งพาจ้าวเสวียนจี พวกมันไม่น่ากังวล"เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลี่เฉินจ้องมองอู๋ชิงชางก่อนจะถามว่า "หากจ้าวเสวียนจีคิดจะยึดด่านเย่ว์หยา...""มันต้องผ่านน้องชายข้าก่อน"หลี่เฉินพยักหน้า "แล้วเจ้ามั่นใจในตัวน้องชายเจ้าสักกี่ส่วน?"อู๋ชิงชางตอบอย่างสงบนิ่ง "พี่น้องร่วมสายเลือด ย่อมพร้อมตายแทนกันได้"หลี่เฉินเลิกคิ้วเล็กน้อย "ข้าเกิดในราชวงศ์ เจ้าย่อมรู้ว่าพี่น้องในราชวงศ์ไม่มีวันเชื่อใจกัน ยิ่งเวลาผ่านไปเป็นสิบปี ใจคนย่อมเปลี่ยน เจ้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าน้องชายเจ้าจะไม่เปลี่ยนใจ?""แต่เราสองพี่น้องไม่ใช่เชื้อพระวงศ์"อู๋ชิงชางค้อมตัวประสานมือ "เราสองคนเติบโตมาด้วยกัน ตั้งแต่เด็กต่างรู้ดีถึงความหมายของแผ่นดิน ขอให้องค์รัชทายาทวางพระทัย ด่านเย่ว์หยาจะเป็นของราชสำนัก และจะเป็นขององค์รัชทายาทตลอดไป""ดี"หลี่เฉินกล่าว "ถ้าเช่นนั้
"หากข้าเป็นเพียงคนไร้ความสามารถเล่า?" หลี่เฉินเผลอถามออกไปโดยไม่รู้ตัว"นั่นก็หมายความว่าราชวงศ์หลี่ควรสิ้นสุด และจักรวรรดิต้าฉินถึงคราวล่มสลาย"คำพูดของอู๋ชิงชางดุจค้อนหนักทุบลงบนหัวใจของหลี่เฉิน ทำให้รู้สึกหนักอึ้งไปทั้งใจ"ทุกสิ่งทุกอย่าง ฝ่าบาททรงพิจารณาไว้หมดแล้ว""แต่เช่นเดียวกับที่ข้าพูดไปก่อนหน้านี้ ฟ้าดินและผู้คนล้วนไม่เข้าข้างฝ่าบาท สิ่งที่ฝ่าบาททำได้ ก็คือใช้สิบปีวางหมากเพื่อให้องค์รัชทายาทมีเวลา เพื่อหาหนทางให้จักรวรรดิต้าฉินและราชวงศ์หลี่อยู่รอดต่อไป และองค์รัชทายาทก็คือความหวังเพียงหนึ่งเดียว"หลี่เฉินสูดลมหายใจลึกหากไม่ใช่เพราะตนทะลุไม่ติมาอยู่ร่างนี้ ด้วยพฤติกรรมของเจ้าของร่างเดิม คงเป็นได้แค่เสือลูกสุนัข ความหวังของต้าสิงฮ่องเต้คงมลายหายไป และราชวงศ์หลี่คงถึงคราวสิ้นสุดแต่เมื่อตนมาอยู่ที่นี่ ทุกสิ่งทุกอย่างเช่นนี้ อาจเป็นเพราะโชคชะตากำหนดไว้แล้วจริงๆ หรือ?หากไม่ใช่ เช่นนั้นจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด รวมถึงการทะลุไม่ติของตนได้อย่างไร?หัวใจของหลี่เฉินเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายชั่วขณะ"เช่นนั้นพวกเจ้าเอง ก็เป็นคนที่เสด็จพ่อทิ้งไว้ให้ข้าหรือ?" หลี่เฉินเอ่
"แน่นอน ตอนนี้ยังต้องเพิ่มอีกคน นั่นคือองค์รัชทายาทท่านด้วย"คำพูดของอู๋ชิงชางทำให้สมองของหลี่เฉินหมุนไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางบุคคลเหล่านี้ ดูเหมือนว่าจะมีความเกี่ยวข้องกันมากมาย และเส้นใยความเกี่ยวข้องเหล่านั้น สุดท้ายแล้วก็เหมือนปลายด้ายที่กระจัดกระจาย แต่จะต้องมีจุดเริ่มต้นและจุดเริ่มต้นของเส้นด้ายเหล่านั้น ก็อยู่ในพระหัตถ์ของต้าสิงฮ่องเต้ ที่กำลังบรรทมอยู่ในตำหนักเฉียนชิงใบหน้าของหลี่เฉินไร้ซึ่งอารมณ์ ดวงตาแฝงแววสงบนิ่งไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอู๋ชิงชางดูเหมือนไม่สนใจว่าเขาคิดอะไร เขากล่าวต่อไปว่า "เมื่อหลายปีก่อน จ้าวเสวียนจีได้วางหมากกระดานหนึ่งขึ้นมา กระดานนี้ก็คือให้น้องชายของข้าได้รับพระคุณจากเขา วันหนึ่งในอนาคตต้องตอบแทนบุญคุณนี้ และต้องลบล้างหลักฐานนี้ให้สิ้น""แต่ก่อนหน้านั้น ฝ่าบาทก็ทรงวางหมากกระดานหนึ่งขึ้นมาเช่นกัน กระดานนี้ก็คือให้จ้าวเสวียนจีเป็นผู้วางหมาก"หลี่เฉินมองอู๋ชิงชางก่อนจะกล่าวว่า "ตอนนี้ข้าเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าถึงบอกว่าเสด็จพ่อของข้าเป็นคนที่อยู่ลำดับที่สาม"อู๋ชิงชางหัวเราะ "กลอุบายของจักรพรรดิ ฝ่าบาททรงเล่นได้ถึงขีดสุด คนระดับต่ำย่อมเ
ในอดีต อู๋ชิงชาง เคยมีอิทธิพลสูงสุดในหมู่แม่ทัพแห่งต้าฉิน ทุกคนต่างคาดหวังว่าเขาจะกลายเป็น เทพแห่งสงครามคนที่สอง แต่ในเวลาที่ไม่มีใครคาดคิด เขากลับ หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยต้าสิงฮ่องเต้เพียงประกาศพระราชโองการสั้นๆ ว่ามีภารกิจอื่น จากนั้นก็ปลดเขาออกจากทุกตำแหน่งและริบอำนาจทางทหารทั้งหมด หลังจากนั้น ไม่มีผู้ใดเคยได้ยินข่าวของเขาอีกเลยจนกระทั่ง อู๋ปานซาน น้องชายของเขาได้รับแต่งตั้งเป็น แม่ทัพพิทักษ์ด่านเย่ว์หยา ผู้คนจึงหวนรำลึกถึงอดีตของน้องชายของเขาอีกครั้งทว่าจวบจนปัจจุบัน ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าอู๋ชิงชางหายไปที่ใดหลี่เฉินมองชายร่างกำยำที่อยู่ตรงหน้าแล้วถอนหายใจเบาๆ "เดิมทีเจ้าน่าจะมีอนาคตที่รุ่งโรจน์ที่สุด แต่กลับต้องใช้ชีวิตอย่างเงียบงันในศาลบูรพกษัตริย์นานถึงยี่สิบปี?"อู๋ชิงชางหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงปลอดโปร่ง "สายฟ้าและสายฝน ล้วนเป็นพระเมตตา ออกศึกฆ่าศัตรูเพื่อสร้างชื่อ ย่อมเป็นเรื่องที่เร้าใจ แต่หากฮ่องเต้ทรงบัญชาให้ข้ากวาดลานศาลบูรพกษัตริย์ไปชั่วชีวิต ก็ถือเป็นภารกิจของข้าเช่นกัน""เหตุผลล่ะ?"หลี่เฉินถามต่อ "เสด็จพ่อไม่มีทางให้เจ้ากวาดศาลบูรพกษัตริย์โดยไม่มีเหตุผลแ
หลี่เฉินถึงกับตกตะลึงเขาไม่คาดคิดว่าชายตรงหน้าจะกล่าวถึง ต้าสิงฮ่องเต้ ว่าเป็นจักรพรรดิผู้เปี่ยมอัจฉริยภาพเมื่อครุ่นคิดดูแล้ว เสด็จพ่อของเขาครองราชย์มาหลายปี แต่กลับไม่มีผลงานใดโดดเด่นนักคลังหลวงก็ยังคงขัดสนด้านการบริหารบ้านเมืองก็ไม่มีผลงานที่เป็นรูปธรรม ส่วนทางด้านการทหาร ขนาดค่าจ้างทหารยังแทบจะหาไม่ได้ แค่สามารถรักษาสถานะปัจจุบันของจักรวรรดิไว้ได้ ก็นับว่าดีแล้ว เช่นนี้แล้ว ไฉนจึงจัดอยู่ในอันดับสามของจักรพรรดิผู้เปี่ยมอัจฉริยภาพได้?ชายผู้นั้นดูเหมือนจะรู้ว่าหลี่เฉินต้องเกิดความฉงน เขาจึงกล่าวว่า "สิ่งที่ผู้คนเห็น มักเป็นเพียงสิ่งที่มีคนอยากให้เห็น สำหรับราชวงศ์นี้ มีหลายเรื่องที่ฝ่าบาทไม่ประสงค์ให้คนภายนอกรับรู้ ดังนั้น คนที่เข้าใจความจริงจึงมีน้อยยิ่งนัก"คำพูดนี้เหมือนพูดไปเปล่าๆหลี่เฉินไม่ได้ใส่ใจคำกล่าวนั้นแม้แต่น้อยในสายตาของเขา ต้าสิงฮ่องเต้แม้จะมีวิธีการที่น่าสะพรึงบ้าง แต่หากพูดถึงการบริหารบ้านเมืองแล้วพระองค์ก็ไม่ได้ทำให้ต้าฉินรุ่งเรืองขึ้นแม้แต่น้อยชายผู้นั้นสังเกตเห็นสีหน้าของหลี่เฉินที่ดูไม่แยแส จึงกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "ความจริงแล้ว เมื่อฝ่าบา
"ผู้คนต่างสรรเสริญ จักรพรรดิอู่จง ว่าเป็นผู้สร้างเกียรติภูไม่อันยิ่งใหญ่ให้ต้าฉินนับแต่สมัยไท่จู่พวกเขายังสรรเสริญ จักรพรรดิเหวินจง ว่าเป็นผู้สร้างยุคทองแห่งวัฒนธรรมอันรุ่งเรืองยาวนานถึงสามสิบปีแต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ ระหว่างอู่จงกับเหวินจง ยังมีจักรพรรดิ จิ่งเหรินจง ซึ่งในปีแรกที่พระองค์ขึ้นครองราชย์ต้องเผชิญกับคลังหลวงที่ว่างเปล่าเพราะสงครามยาวนาน และราษฎรที่ยากจนถึงขีดสุดประเทศที่เต็มไปด้วยทหาร ผู้คนชินชากับการรบพุ่ง และราชสำนักที่ก้าวไปสู่เส้นทางแห่งสงครามจนเกินพอดี""จิ่งเหรินจง ครองราชย์ได้สิบห้าปี ตลอดเวลานี้ พระองค์ไม่เพียงแต่ฟื้นฟูชีวิตราษฎร และสะสางปัญหาที่ อู่จงฮ่องเต้ ทิ้งไว้ให้ แต่ยังทำให้คลังหลวงมีเงินสะสมกว่า สามหมื่นล้านตำลึงเงิน ก่อนส่งราชบัลลังก์ต่อให้เหวินจงฮ่องเต้ ด้วยรากฐานที่มั่นคงเช่นนี้ การสร้างยุคทองทางวัฒนธรรมของเหวินจงจึงไม่ใช่เรื่องยาก""กล่าวได้ว่า กว่าครึ่งหนึ่งของความสำเร็จแห่งยุค ต้องยกให้แก่ จิ่งเหรินจง"หลี่เฉินฟังจบก็เห็นพ้องต้องกันแท้จริงแล้ว ฮ่องเต้ที่ได้รับการยกย่องจากคนรุ่นหลัง หลายพระองค์ไม่ได้สร้างความสำเร็จด้วยพระองค์เองทั้งหมดตั
ภายในศาลบูรพกษัตริย์ พื้นที่กว้างขวางโอ่อ่าทอดยาวขึ้นสู่เพดานสูงลิ่ว ด้านหน้ามุขหลักคือกำแพงทั้งผืนที่เรียงรายด้วยพระบรมสาทิสลักษณ์ของเหล่าฮ่องเต้แห่งต้าฉินในอดีตตรงกลางส่วนบนสุด โดดเด่นที่สุด คือภาพวาดและป้ายวิญญาณของปฐมจักรพรรดิต้าฉิน—ไท่จู่ถัดลงมา คือฮ่องเต้รุ่นต่อมา เช่น ไท่จง ซื่อจง เกาจง ไล่เรียงลงมาเป็นลำดับตามสายโลหิตแล้ว คนเหล่านี้ก็คือบรรพชนของร่างกายที่หลี่เฉินสวมอยู่ในตอนนี้สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือ ภายในศาลบูรพกษัตริย์ กลับยังมีชายวัยกลางคนสวมอาภรณ์สีน้ำเงินเข้ม ปลายผมเริ่มแซมขาว แต่ร่างกายยังดูแข็งแกร่งกำยำ กำลังปัดกวาดพื้นอยู่เมื่อสายตาหลี่เฉินสบกับเขา อีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นมองมาทางเขาเช่นกันทั้งสองไม่รู้จักกันมาก่อนแต่การที่พบกันในสถานที่แห่งนี้ ย่อมทำให้ต่างฝ่ายต่างรู้สึกฉงนสนเท่ห์ในตัวตนของอีกฝ่าย“ท่านเป็นใคร?” หลี่เฉินเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อนชายคนนั้นวางไม้กวาดลง ก่อนตอบเรียบๆ “เพียงราษฎรแห่งต้าฉินเท่านั้น”หลี่เฉินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนหัวเราะออกมา “ต้าฉินมีราษฎรเป็นล้านๆ คน แต่ผู้ที่เข้ามาที่นี่ได้ มีเพียงหยิบมือเดียว”“ก็จริง”ชายคนนั้นพยักหน้า ก่อนแ
เหล่าแม่ทัพทำงานให้ราชสำนักจนสุดกำลัง แต่สุดท้ายกลับถูกใช้เป็นเครื่องมือ ครอบครัวของพวกเขาถูกจับเป็นตัวประกัน เช่นนี้แล้วใครเล่าจะยอมรับได้?ยิ่งไปกว่านั้น ตำแหน่งแม่ทัพผู้พิทักษ์ด่านเย่ว์หยานั้นมีหน้าที่และอำนาจสำคัญยิ่ง หากข่าวเรื่องนี้รั่วไหลออกไป และตกไปอยู่ในมือของผู้ที่มีเจตนาร้าย ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือปั่นป่วนเบื้องหลัง ย่อมอาจก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงดังนั้น เรื่องนี้จึงถูกจัดเป็นหนึ่งในความลับที่สำคัญที่สุดของจักรวรรดิต้าฉิน ซึ่งมีเหตุผลอันสมควรทว่า ความลับเช่นนี้ ไฉนต้าสิงฮ่องเต้จึงบอกกับซูเจิ้นถิงไปตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน?พระองค์ทรงคาดการณ์แล้วว่าสถานการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นแน่นอน หรือว่าตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน พระองค์ก็ได้ล่วงรู้ถึงการเคลื่อนไหวบางอย่างของจ้าวเสวียนจีแล้ว?ข่าวที่มาถึงอย่างกะทันหัน ทำให้ความคิดของหลี่เฉินสับสนในทันทีเขารู้สึกอย่างประหลาด ตั้งแต่ตนเองรับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ ปัญหามากมายที่เกิดขึ้น ล้วนดูเหมือนจะอยู่ภายใต้การเตรียมการของเสด็จพ่อผู้ที่นอนอ่อนแรงอยู่บนพระแท่นบรรทมอำนาจของหน่วยบูรพา พันธไมตรีทางการเมืองของตระกูลซู แม้กระทั่งความลับท