แต่แล้วสิ่งที่คิดก็กำลังจะเกิดขึ้น หนทางเดียวที่นางจะยุติทุกอย่างลงได้ คือเรือนร่างที่จะมัดใจสามีให้อยู่หมัด ตามด้วยหัวใจที่ขาดหายไปของสามี ที่นางกำลังคว้ามันเอามาไว้ในมือ อาวุธที่ร้ายการของนาง คือใจของอ่องเฟยเทียนเองอย่างไรเล่า“ดูท่าข้าคงไม่อาจออมมือได้แล้ว”ชายชุดดำเอ่ยขึ้น พร้อมกับพุ่งเข้าหาหญิงสาวด้วยความดุดัน ทว่ามันกลัไม่ง่ายอย่างที่เขาคิด หญิงสาวตรงหน้าได้คิดที่จะหยอกเย้าเขาเล่นเช่นในคราแรก แต่นางกลับตอบกลับด้วยความโหดเหี้ยม เสมือนชีวิตนางหาได้มีหัวใจของความเป็นมนุษย์เลยแม้แต่น้อยชายชุดดำกระเด็นตกไปไกล เมื่อต้องปะทะกับพลังที่ปะทุออกจากร่างงาม ในสายตาของเขาตอนนี้ หญิงสาวไม่ใช่เพียงมีฝีมือ แต่เก่งกาจเกินไปเลยด้วยซ้ำ มิเว้นแม้แต่สาวใช้ข้างกายของหญิงสาว เพียงหางตาที่เขาเหลือบเห็นสาวใช้ผู้นั้นมีฝีมือทัดเทียมพวกเขาเลยทีเดียว ยิ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลก สกุลจื่อแม้จะสูงศักดิ์เป็นถึงพระญาติ แต่ทว่าเหตุใดบุตรสาวคนโต จึงมีสาวใช้ที่ฝึกวิชายุทธด้วยเล่าอึก! สิ่งที่ชายชุดดำคาดไม่ถึงก็ได้เกิดขึ้นอีก เมื่อดาวโค้งของหญิงสาว ตวัดโดนตัวเขา ทั้งที่หญิงสาวยังยืนห่างออกไปอยู่มาก โซ่ในมือเป็นการยืนย
ภายในรถม้า ขบวนเดินทางจิ้นอ๋องเฟยเทียน “พระชายาเพคะ จะทำอย่างไรต่อไปเพคะ ดูเหมือนของเล่นในท่านอ๋องจะติดตามเรามา” “อย่าได้แตกตื่นไป บุรุษแม้จะหลงใหลในตัณหา แต่ใช่ว่าจะเป็นไปเสียทุกคน หากวันนั้นท่านอ๋องยังอาวรณ์ในตัวนาง คงมิคิดจะก้าวออกมา โดยทอดทิ้งนางให้แก้ผ้าอยู่เพียงลำพังกระมัง” “หม่อมฉันเกรงว่านาง จะสร้างความร้าวฉานให้แก่พระนางนะเพคะ” “ตอนที่ข้ากับท่านอ๋องยังมิร่วมหอ ข้าก็ไม่เห็นจะเป็นเดือดเป็นร้อนที่ไม่มีเขาจริงไหม หากวันหนึ่งนางหมายจะแสดงตัว หรือท่านอ๋องยินดีรับนางเข้าจวน เจ้าคิดว่าข้าหาได้ใส่ใจนักหรืออย่างไร แค่เพียงนางไม่ล้ำเส้นของข้า” ‘แต่ดูเหมือนว่านางจะชื่นชอบความท้าทายอยู่ไม่น้อย’จื่อลู่ถิงไม่ได้เอ่ยความคิดสุดท้ายออกมา นางมิได้เก่งกาจอันใด แต่การมองสายตาของสตรีนั้น เสมือนนางยืนมองกระจกใส ที่ทะลุไปอีกด้านเลยทีเดียว “หากเป็นเช่นนั้นจริง นางคงมิยินยอมอยู่เพียงตำแหน่งอนุเป็นแน่เจ้าค่ะ” “บุตรสาวกบฏเช่นนาง มีสิทธิ์อันใดมาเทียบเคียงข้าเล่า” จื่อลู่ถิงไม่คิดจะหวั่นเกรงว่าผู้ใดจะมองว่านางร้
ยามบ่ายมีรถม้าคันใหญ่จอดหน้าโรงเตี๊ยม ร่างระหงของสตรีนางหนึ่งก้าวลงมาด้วยท่วงท่าดุจนางหงส์ สายตาคู่งามเงยมองขึ้นไปยังชั้นสองของโรงเตี๊ยม สายตาของสตรีสองนางสบกันพอดี หนึ่งสูงส่งโดยชาติกำเนิด หนึ่งวาดหวังจะยืนยังแทนที่ จื่อลู่ถิงหาได้หลบเลี่ยงสายตานั้นแม้แต่น้อย รอยยิ้มหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้างาม นางมีหรือจะไม่เข้าใจในสายตาของผู้มาใหม่ แค่ยังไม่ถึงเวลาที่นางจะลงมือก็เท่านั้น “สามีของข้า มันผู้ใดก็อย่าได้หวังช่วงชิง” “เหม่ยเหม่ยจะให้คนของเรา เฝ้าจับตานางให้ดีเจ้าค่ะ” “ไม่จำเป็น คนที่ข้าต้องห่วงคือลูกในท้อง เรื่องของนางกับท่านอ๋องก็ให้พวกเขาจัดการกันเอง เราแค่รอเก็บกวาดก็พอ” จื่อลู่ถิงเองใช่จะไม่มีความรู้สึกเป็นกังวล การกระทำของนางก็มิต่างอันใดกับหญิงสาวทั่วไป ที่หวงแหนของรัก มันอาจดูมิสูงค่าในสายของสตรีจากอีกโลก แต่อย่างไรเสียนางก็คือสตรีผู้หนึ่ง มิใช่โพธิ์สัตว์ที่ละได้จากกิเลส เมื่อต้องใช้ชีวิตในโลกของการแย่งชิง นางเองก็จำต้องกลมกลืนเพื่อความอยู่รอดมิใช่หรืออย่างไรกัน หากฝืนจนเกินไปชีวิตที่ว่ายากลำบากอยู่แล
“ท่านพี่” จื่อลู่ถิงผวาเข้าหาอ้อมกอดสามี เมื่อร่างสูงย่อกายลงข้างนาง ใบหน้าซุกยังอกแกร่ง ทว่ารอยยิ้มสาแกใจเกิดขึ้น โดยไร้สายตาผู้พบเห็น แม้ในใจของนางจะเต้นมิเป็นส่ำก็ตามที ยังดีที่นางรวบรวมพลังป้องกันเอาไว้ได้ทัน ทำให้การล้มของนางดูเป็นอันตราย ซึ่งแท้จริงนางแค่ทำให้สมจริง โดยที่ไม่เป็นอันตรายต่อลูกในท้อง “จับตัวนางไปลงโทษ หาญกล้าทำร้ายเชื้อพระวงศ์” เฟยเทียนสั่นสะท้านไปทั้งร่าง เมื่อภาพภรรยาล้มลงยังพื้นดิน ใจของชายหนุ่มแทบหยุดเต้น หากนางไม่กำลังตั้งครรภ์ เขาคงไม่หวาดกลัวเช่นนี้ “ท่านพี่ ข้าอยากกลับห้อง” จื่อลู่ถิงบอกสามีด้วยน้ำเสียงปนตื่นกลัว “ตามหมอไปตรวจอาการพระชายา”ชายหนุ่มสั่งการเสียงเข้ม มิใช่เพียงลูกที่เขาห่วง แต่เป็นทั้งแม่และลูก เพราะมิว่าอย่างไรย่อมกระทบใจภรรยาจนยากเยียวยาได้ หากเกิดสิ่งมิคาดฝันขึ้นมา “ท่านอ๋องเพคะ ได้โปรดฟังหม่อมฉันอธิบายก่อนเพคะ ท่านอ๋อง” ไร้คำตอบและการเหลียวแล นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าชายหนุ่ม จะลุ่มหลงในตัวของจื่อลู่ถิงถึงเพียงนี้ “หากเจ้ายังกล้ามองพระชายาของข้า
ชายหาดหน้าโรงแรมหรูริมทะเล ณ เกาะฮ่องกง ปิงปิง เดินเหม่อลอยไปตามชายหาด ภาพในหัวของเธอตอนนี้ คือเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสิบห้านาทีที่แล้ว เธอจำมันได้ดีว่าตั้งใจจะไปหาเพื่อนรัก ที่มาเที่ยวด้วยกันในทริปนี้ “อ่า! หยาง คุณทำฉันร้อนไปทั้งตัวแล้วนะคะ” มือบางที่ตั้งใจจะเคาะห้องนอนจำต้องชะงักค้าง ก่อนที่เธอจะค่อย ๆ เปิดประตูเข้าไปเบา ๆ แม้จะรู้ว่ามันคือการเสียมารยาท แต่ชื่อที่ออกจากปากของเพื่อนรัก มันสะกดให้เธอทำ พร้อมอาการสั่นเทาไปทั้งตัว ด้วยกลัวว่าสิ่งที่คิดจะเป็นเรื่องจริง หยางค่อย ๆ ลากปลายลิ้นไปทั่วตัวของหญิงสาว ที่นอนเหยียดยาวบนพื้นพรมหน้าเตาผิง หลี่เหว่ยบิดเร้าด้วยความเสียวซ่าน จากการถูกชายหนุ่มเล้าโลมด้วยปลายลิ้น และมืออันอุ่นร้อนของเขา ชายหนุ่มไม่ได้โต้ตอบหญิงสาว แต่กลับซุกใบหน้ากับเนินสวาทที่เกลี้ยงเกลาไร้ปุยขนบดบัง ทำให้มองเห็นสีแดงระเรื่อของปลายเม็ดสวาทโผล่พ้นกลีบอ่อนนุ่ม ชายหนุ่มใช้ปลายลิ้นแทรกตามร่องกลีบบอบบาง เพื่อเปิดเส้นทางอย่างเชื่องช้า เสมือนการกลั่นแกล้งร่างงามที่กำลังบิดเร้าอยู่บนพรมหนานุ่ม หยางตวัดปลายขึ้นลงตามร่องสวาท
มิติคู่ขนาน ณ จวนอ๋องชูจิ้งหยาง เรือนชูเพ่ย เจ้าของเรือนกำลังนั่งบดยาอยู่ในห้องหนังสือ โดยมีอีกสามชีวิตนั่งรวมอยู่ด้วย “เรียนท่านหญิง ข้าน้อยได้สืบมาแล้วว่าท่านแม่ทัพไป๋เจี้ยนถง มิเคยมีแม้แต่สาวใช้อุ่นเตียง ผู้คนทั่วทั้งชายแดนล่ำลือกันว่า...เอ่อ” “อะไร” เพ่ยเพ่ยเอ่ยถามองครักษ์หนุ่ม โดยที่สายตายังคงสนใจอยู่กับสมุนไพรที่นางนำลงไปบด “เอ่อ...คือ” ต้าจินมิรู้จะตอบผู้เป็นนายอย่างไรดี ด้วยเขาเองก็เป็นบุรุษ แม้ว่าเรื่องที่จะเอ่ยออกมาเป็นเรื่องที่เขาต้องสืบหาความจริง เพื่อมารายงานแก่ผู้เป็นนายก็ตามที “ต้าจิน ข้าร่ำเรียนวิชาแพทย์ จิตใจย่อมต้องเข้มแข็งกว่าสตรีทั่วไปมากมายนัก ดูอย่างเปี้ยนจิงสิ นางเป็นสตรีทว่ากลับมีฝีมือมิต่างจากบุรุษเช่นเจ้า จะมีเรื่องใหญ่อันใด ที่ข้าไม่ควรรู้เกี่ยวกับว่าที่สามีอีกเล่า” ท่านหญิงชูเอ่ยเสียงราบเรียบ อันเป็นสิ่งคุ้นชินของเหล่าผู้ติดตาม หญิงสาวรู้ดีว่าบุรุษและสตรีในยุคนี้ ย่อมจะมีข้อกำหนดและการถูกปลูกฝังมาแตกต่างจากโลกที่นางจากมา “ชาวเมืองเชี่ยหยาง
สองเดือนถัดมา พิธีแต่งงานถูกจัดขึ้นอย่างสมเกียรติ ในคืนเข้าหอนั้นคู่บ่าวสาวหาได้รู้สึกตื่นเต้นอันใดไม่ ต่างคนต่างจัดการกับตนเองแล้วก้าวขึ้นเตียงหลับใหลทว่ากลับเป็นครอบครัวของทั้งสองฝ่าย ที่คอยลุ้นจนเทียนในห้องดับลงไปกว่าครึ่งชั่วยาม ความเงียบจากคนภายในห้องหอ ทำให้ใบหน้าของคนที่แอบเฝ้ามอง ผิดหวังไปตาม ๆ กันเลยทีเดียว เสียงลมหายใจสม่ำเสมอของหญิงสาว ทำให้แม่ทัพหนุ่มรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างไรชอบกล เขาไม่เคยที่จะถูกเมินเช่นนี้มาก่อนเลยในชีวิต ต่อให้เขาดูเหมือนไร้ความรู้สึก แต่สตรีมากมายต่างก็พยายามช่วงชิงกันเข้าจวนเข้าอยู่มิขาดสาย ‘สตรีหน้ามิอาย หลับเหมือนหมู’ ชายหนุ่มก่นด่าภรรยาหมาด ๆ อยู่ภายในใจ ก่อนจะหันหลังให้แก่คนข้าง ๆ พร้อมทั้งหลับตาลงอีกครั้ง หลังงานแต่งได้เพียงเจ็ดวัน ชายหนุ่มได้พาภรรยากลับไปอำลาพ่อแม่ของนางยังจวนอ๋อง ก่อนจะพาออกเดินทางสู่ชายแดนในเช้าวันถัดมา โดยไม่มีผู้ใดหาญกล้าจะทัดทาน เมื่อได้ยินคำว่าอาจเกิดเรื่องเลวร้าย หากชายแดนขาดแม่ทัพนานเกินไป “ฮูหยิน เหนื่อยหรือไม่เจ้าคะ เอนหลังสักหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ
“อ่า เร็วอีก ข้าต้องการแรงขึ้นอีก” ชายหนุ่มเร่งเร้าจังหวะขับเคลื่อนตามคำร้องขอของหญิงสาว เสียงครางกระเส่าด้วยความพึงพอใจของนาง ทำให้ชายหนุ่มคำรามลั่นด้วยความเมามันในกามราคะ ที่เขาได้ปรนเปรอแก่นางอยู่ในตอนนี้ “ช่างดีอะไรเยี่ยงนี้อี้ชิว รูเจ้ารัดท่อนเอ็นของข้าแน่นยิ่งนัก” ชายหนุ่มโน้มกายแนบกับแผ่นหลังของหญิงสาว พร้อมกระซิบบอกนางด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ชายหนุ่มจูบซับต้นคอหอมกรุ่น ก่อนจะเลื่อนมือกลับลงไปลูบไล้ยังเนินสวาท นิ้วเรียวสะกิดยังเม็ดสวาทเบา ๆ ก่อนจะบี้วนไปมาให้รับกับจังหวะการกระแทกท่อนเอ็นของเขา หญิงสาวถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งกาย เมื่อถูกความเสียวซ่านแล่นไปทั่วกาย ทุกครั้งที่ชายหนุ่มปรนเปรอนางมิเคยผิดหวังเลยสักครั้ง “เจ้าทำให้ข้าสุขสมเช่นนี้ เห็นทีต้องเป็นข้าที่จะตอบแทนเจ้าบ้างแล้วเซียวหลาง” อี้ชิวตอบกลับคำพูดของชายหนุ่ม ก่อนจะแหงนหน้าครางด้วยความเสียวซ่าน เมื่อเนินสวาทของนางถูกจู่โจมจากนิ้วแกร่งและท่อนเอ็นลำใหญ่ เชียวหลางเร่งจังหวะกระชั้นถี่ขึ้น เมื่อเขาเองใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดของสงครามราคะใน
“ทำไม! ท่านคิดจะร้องขอชีวิตจากข้าเช่นนั้นรึ”แววตาไหวระริกด้วยความตื่นเต้นพลันฉายชัดให้เห็น เรียวปากบางคลี่ยิ้มกว้าง“ไม่จำเป็น เพราะข้ารู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้”แม่ทัพหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เหมือนกับสถานการณ์ที่กำลังตกเป็นรองของเขา มิใช่สิ่งที่เหนือความคาดหมาย“ยโสยิ่งนัก ไป๋เจี้ยนถง ข้าเองก็อยากรู้นัก ว่าท่านจะผยองเช่นนี้ได้อีกนานแค่ไหน”เมื่อได้ยินคำปฏิเสธอย่างไรเยื่อใย ความขุ่นเคืองพลันบังเกิดขึ้นมาภายในใจของหญิงสาว ประหนึ่งภูเขาไฟที่พร้อมจะปะทุก็มิปาน“สิ่งที่ถูกต้องเท่านั้นที่ข้ามองอยู่เสมอ เจ้าอยากทำร้ายข้านั้นมิใช่สิ่งที่เหนือความคาดหมาย แต่การที่เจ้าขายแผ่นดินบ้านเกิด นี่ต่างหากที่ทำให้ข้าไม่อาจลดตัวร้องขอสิ่งใดจากคนเช่นเจ้า”“เก็บคำพูดอันสวยงามของท่านแม่ทัพ ไปรอตอบคำถามของฝ่าบาทในยมโลกจะดีกว่านะ เพราะข้าสนแค่คนที่ข้ารักเท่านั้น ผู้อื่นหาได้อยู่ในสายตาข้าไม่”แม้คำพูดจะยังถากถางชายหนุ่ม ทว่าความรู้สึกบางอย่างเตือนให้นางระวังตัวจากบุรุษผู้นี้ คนเช่นไป๋เจี้ยนถงเช่นนั้นรึจะพลาดพลั้งได้โดยง่าย เขากรำศึกมาตั้งแต่อายุสิบห้าย่อมยากที่จะถูกลวงได้โดยง่าย‘หรือว่า....’ “ขนาดนี
สามเดือนต่อมา “ท่านลุง เหตุใดท่านพี่ยังมิกลับมาอีกเล่า” เพ่ยเพ่ยเอ่ยถามพ่อบ้าน “เรียนฮูหยิน ข้าน้อยได้ส่งคนไปดูที่ค่ายทหารแล้วขอรับ” “ท่านลุงมีสิ่งใดที่ยังมิได้บอกข้าอยู่หรือไม่” เพ่ยเพ่ยจ้องพ่อบ้านด้วยสายตาคาดคั้น นางอาจเป็นเพียงท่านหญิงผู้บอบบางในสาตาผู้อื่น แต่นั่นมันชูเพ่ยเพ่ยที่ตายไปแล้ว มิใช่นางคนปัจจุบัน “ข้าน้อยคิดว่าฮูหยิน เอ่อ...กลับไปพักสักหน่อยเถอะนะขอรับ นี่ก็ดึกมากแล้ว” “จะให้ข้าหาคำตอบเอง หรือจะบอกข้ามา” ชายชราได้แต่อ้ำอึ้ง เมื่อถูกนายหญิงบีบคั้นทั้งคำพูดและสายตา เวลานี้ท่านหญิงชูดูจะมิใช่สตรีอ่อนหวานไร้เดียงสาเช่นทุกวัน แต่เป็นอีกคนที่เขาเองเหมือนจะมิรู้จักเลยก็ว่าได้ “เอ่อ...” “สามีข้าหายไปสองวัน คิดว่าจะปิดข้าอีกนานแค่ไหนกัน” “เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อสองวันก่อนขอรับ....” ในที่สุดพ่อบ้านชราก็ไม่อาจที่จะปิดบัง ความจริงกับผู้เป็นนายหญิงได้อีก การหายตัวไปของท่านแม่ทัพ นับเป็นความสั่นคลอนภายในกองทัพ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป “ท่านล
ชายหนุ่มพยายามข่มความต้องการเอาไว้ หากทำเช่นใจต้องการในตอนนี้ อาจเป็นครั้งแรกที่มิน่าประทับใจเท่าใดนัก ชายหนุ่มพรมจูบไปตามผิวเนียนละเอียดอย่างเชื่องช้ามือหนาลูบไล้ขึ้นลงตามท่อนขาเรียวงาม ก่อนจะมาหยุดยังเนินเนื้อที่ปกคลุมไปด้วยปุยขนบาง ๆ ทำให้ความต้องการแล่นพล่านไปทั่วกายอีกครั้ง ท่อนเอ็นเจ็บร้าวเรียกร้องการปลดปล่อยนิ้วแกร่งค่อย ๆ กรีดลงตามร่องภายใต้ปุยขนสีดำ เพียงปลายนิ้วสัมผัสกับติ่งเล็กด้านใน ร่างบางถึงกับสะดุ้งเฮือกด้วยความเสียวซ่าน มือบางที่สอดอยู่ภายใต้กลุ่มผมหนาของสามี เผลอขยุ้มอย่างแรง“พี่จะทำให้ครั้งแรกของเราเป็นที่จดจำ และจะเป็นเช่นนี้จนชั่วชีวิตสามีภรรยาของเรา”ชายหนุ่มเอ่ยเบา ๆ โดยที่เขาทำเพียงช้อนสายตาขึ้นมองภรรยา ก่อนจะพรมจูบสลับตวัดปลายลิ้นเลียไปทั่วหน้าท้องแบนราบ“อ่า ท่านพี่ข้าเสียวยิ่ง...อ่า”เพ่ยเพ่ยครางออกมาเมื่อนิ้วของสามีขยับเคลื่อนไหวมิหยุด หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงขาดห่วง เมื่อความเสียวกระสันกำลังครอบครองกายนางแม่ทัพหนุ่มเลื่อนใบหน้าลงต่ำ ก่อนจะใช้มือแยกขาเรียวออกกว้าง ปลายลิ้นสากลากลงตามร่องสวาทอย่างเชื่องช้า ยิ่งเวลานี้กลีบบางแยกออกเผยให้เห็นเม็ดสวาทสีแดง ควา
“เจี้ยนถง” “ที่เจ้าแสดงอาการหึงหวงข้า เพียงเพราะอยากชนะเพ่ยเพ่ยก็เท่านั้น หาได้คิดอย่างที่เจ้าเพียรบอกตนเองเลยแม้แต่น้อย” “ฮ่า ๆ ใช่แล้วจะทำไม นางมารน้อยนั่น ร้ายกาจกว่าที่ท่านรู้เสียอีกเจี้ยนถง” “ข้าเหมือนลาโง่เช่นนั้นรึ ข้าแค่พอใจในนางมารน้อยของข้าที่นางเป็นเช่นนั้น และเจ้าล้ำเส้นแตะต้องนาง” อี้ชิวถึงกับใบหน้าซีดเผือด เมื่อได้ยินความจริงจากปากของชายหนุ่ม เช่นนั้นแสดงว่าตลอดเวลาที่นางอยู่กับชูเพ่ยเพ่ย ชายหนุ่มเห็นมันอยู่โดยตลอด และนางมารน้อยนั่นก็ต้องรู้อยู่แล้วเช่นกัน “ช่างสมกันยิ่งนัก” “นี่คงเป็นความจริงใจเดียว ที่เจ้ากล่าวออกมาสินะ ข้าขอบคุณก็แล้วกันที่เจ้ามองเห็นมันแล้ว” “ท่านมันไร้หัวใจ เจี้ยนถง” “หึ ๆ หากข้าเป็นเช่นเจ้าว่ามาจริง เจ้าไม่คงอยู่ที่นี่กระมังแม่นางอี้ชิว แต่เพราะข้ามีหัวใจ เจ้าจึงมิสมควรได้รับการอภัย ที่แตะต้องหัวใจของข้า” “ฮ่า ๆ มีตรงไหนที่ข้าพ่ายแก่นางมารน้อยจอมเจ้าเล่ห์กัน” อี้ชิวอยากจะกรีดร้องออกมาให้สุดเสียงเหลือเกิน ทว่านางกลับทำได้เพียงหัวเร
เพี๊ยะ ๆ เสียงฝ่ามือกระทบใบหน้างามดังให้ได้ยินชัดเจน อี้ชิวรู้ตัวอีกทีใบหน้าของนางได้สะบัดไปมาหลายรอบ เลือดสีแดงไหลออกมาจากมุมปาก หญิงสาวกำหมัดแน่นด้วยความเคียดแค้น นางเป็นผู้ฝึกยุทธ์มีหรือจะไม่รู้ว่าแรงของฝ่ามือที่กระทบใบหน้าของตนเองนั้น แฝงไปด้วยพลังยุทธ์ “เจ้าท้าทายข้า เช่นนั้นวันนี้เป็นข้าที่จะลงมือสั่งสอนเจ้าสักหน่อย” เอ่ยจบร่างงามได้พุ่งเข้าหาคนที่ยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้า ปึก! เพียงฝ่ามือเดียวเพ่ยเพ่ยเซถอยไปไกล พรึ่บ! ก่อนที่ร่างของหญิงสาวจะล้มลงถึงพื้นดิน กลับมีท่อนแขนแกร่งเข้ามารับเอาไว้ทันเสียก่อน “ท่านพี่ อึก!” เพ่ยเพ่ยกระอึกเลือดสีแดงออกมาคำใหญ่ ทำให้แม่ทัพหนุ่มถึงกลับร้อนใจ เมื่อเห็นอาการของภรรยา ชายหนุ่มช้อนอุ้มร่างหญิงสาวขึ้นสู่อ้อมแขน ก่อนจะหันไปมองคนที่ลงมือต่อภรรยาของเขา “หากนางเป็นอันใดไป ชีวิตเจ้าจะไม่เหลือแม้แต่ชื่อให้ผู้คนได้กล่าวถึง” “แต่นางลงมือต่อข้าก่อนนะเจ้าคะท่านแม่ทัพ” “เพ่ยเพ่ย ไร้วรยุทธ์ไหนเลยจะลงมือต่อเจ้าได้รุนแรง เพียงฝ่ามือบาง ๆ ของนาง รึจะเจ็บปวดถึงชีวิตเช่นที่เจ้าทำต่อน
เส้นทางสู่วัดชิงอัน ฮี่ ๆ ม้าที่กำลังวิ่งมาเต็มกำลังจำต้องหยุดลง อาการแตกตื่นของม้ามิได้ทำให้ทุกคนตกใจ เท่ากับที่มีร่างของใครอีกคนนอนนิ่งอยู่กลางถนนขวางทางอยู่ แท่ทัพหนุ่มโน้มกายปลอบใจอาชาคู่ใจ เมื่อม้าทุกตัวสงบลง ทหารคนสนิทได้วิ่งลงไปยังร่างที่แน่นิ่งอยู่บนพื้น ก่อนจะวิ่งกลับมาหาผู้เป็นนาย “เรียนท่านแท่ทัพ นางยังมีลมหายใจอยู่ขอรับ” “พาไปยังอารมด้วยเลยก็แล้วกัน ที่นั่นมีไต้ซือถงอยู่คงพอจะรักษานางได้” “ขอรับท่านแม่ทัพ” ชายหนุ่มเร่งกลับไปยังร่างที่แน่นิ่งอยู่ ก่อนจะช้อนอุ้มร่างบางขึ้นสู่อ้อมแขน ในขณะที่ม้าของแม่ทัพหนุ่มก้าวผ่าน ชายหนุ่มมองเห็นใบหน้างามนั้นอย่างชัดเจน ก่อนจะกระตุ้นม้าให้วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่แม้แต่จะสนใจหญิงสาวในอ้อมแขนของคนสนิท ‘มองเมินข้าเกินไปแล้วนะ เจี้ยนถง’ หญิงสาวขบเคี้ยวเขี้ยวฟันอยู่ภายในใจ นางไม่คิดเลยว่าการกลับมาครั้งนี้ จะไม่อยู่ในสายตาของแม่ทัพหนุ่มเลย ‘เจ้านำพาหัวใจข้าไปเมื่อครั้งในอดีต เมื่อมันตายไปแล้วก็นับว่าผ่านพ้น เวลานี้ใจของข้าได้กำเนิดใหม่
“สมควรที่จะเป็นเช่นนี้ เจ้าเล่นเดินไปทั่วเมือง” ชายหนุ่มประคองภรรยาไปนั่ง ทุกการกระทำของสองสามีภรรยา ทำให้ร่างระหงที่เพิ่งก้าวพ้นประตูเข้ามาหยุดชะงักไปชั่วขณะ ต่างจากเพ่ยเพ่ยที่กำลังยิ้มกริ่มด้วยความพอใจ ‘ชั้นเชิงของเจ้าที่ใช้นับว่าชาญฉลาด แต่ยังอ่อนหัดหากเทียบกับโลกที่ข้าจากมาอี้ชิว’ เพ่ยเพ่ยยังคงแสร้งออเซาะสามี ด้วยนิสัยของความเป็นเด็กที่ทำให้แม่ทัพหนุ่มยากที่จะปฏิเสธได้ ชายหนุ่มย่อกายลงตรงหน้าของภรรยา ก่อนจะนวดที่น่องเรียวงาม เพ่ยเพ่ยยิ้มกว้างอย่างผู้ชนะ พร้อมชำเลืองมองไปยังหญิงสาวผู้มาใหม่ นางไม่ได้เรียกร้องสิ่งใดจากสามีเลยนับตั้งแต่แต่งงาน ทว่านางจงใจทำให้ทุกช่วงเวลาอันเอื่อยเฉื่อยระหว่างนางกับเขา ให้ทุกครรลองสายตาของเขามีเพียงนาง โดยที่เขาไม่รู้ตัว แล้วเช่นนี้จะมีสตรีใดเล่าจะมาช่วงชิงสายตาของเขาไปจากนางได้ ‘ชีวิตอีกโลกข้ามัวแต่เก็บงำความรู้สึก มาชีวิตนี้ข้าจะไม่ยินยอมเสียโอกาสอีกเป็นอันขาด’ “คราวหลังห้ามทำเช่นนี้อีกรู้หรือไม่” “เจ้าค่ะ ข้าจะมิดื้อรั้นกับท่านพี่” เพ่ยเพ่ยตอบรับคำของสาม
“วันนี้เจ้าสมควรถูกลงโทษ” “ข้ายินดีรับ” เอ่ยจบชายหนุ่มได้ประทับจูบอีกครั้ง มือหนาเคล้นคลึงก้นงอนงาม โดยที่ท่อนเอ็นของเขาในเวลานี้อยู่ในกำมือบอบบาง ที่ล้วงเข้าไปในกางเกงของเขา “อ่า อื้อ อี้ชิว อ่า” ชายหนุ่มถึงกับขาสั่นเทา เมื่อมือนุ่มขยับเคลื่อนรูดไปตามท่อนเอ็นที่กำลังแข็งชูชันด้วยความเสียวซ่านจากการถูกปลุกเร้า หลังจากถอนริมฝีปากออกได้เพียงครู่เดียว กางเกงของเขาได้หลุดร่วงลงไปกองอยู่แทบเท้า โดยที่ร่างระหงนั่งลงคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ปลายลิ้นเล็กตวัดผ่านปลายท่อนเอ็น ที่กำลังบานออกจนเผยให้เห็นรูเล็ก ๆ ที่มีน้ำใส ๆ ไหลเยิ้มออกมา หญิงสาวระรัวปลายลิ้นยังรู สลับดูดส่วนปลายแรง ๆ เพียงครู่เดียวท่อนเอ็นกว่าครึ่งลำ ได้อยู่ในปากอุ่นร้อนของหญิงสาว มือบางรูดขึ้นลงพร้อมกับห่อปากดูดรั้งท่อนเอ็นเอาไว้แน่นชายหนุ่มใช้สองมือจับศีรษะงามเอาไว้แน่น พร้อมทั้งขยับสะโพกเด้งสวนรับแรงดูดกลืนนั้นด้วยความเสียวซ่าน เสียงลมหายใจเสมือนม้าศึกของชายหนุ่ม ทำให้หญิงสาวเพิ่มแรงดูดดึงท่อนเอ็นให้มากขึ้นชายหนุ่มไม่อาจทานทนต่อแรงกระตุ้นได้อีกต่อไป ชายหนุ่มถ
ทุกคนค้อมศีรษะให้แก่หญิงสาว ที่เวลานี้ยืนขึ้นค้อมหัวให้แก่ทุกคนอย่างนอบน้อม เพ่ยเพ่ยยังใจเย็นรั้งรอสามีอยู่เช่นเดิม ร่างสูงก้าวออกมายังหน้ากระโจมเป็นคนสุดท้าย คิ้วเข้มขมวดเป็นปม ซึ่งน้อยคนนักจะได้เห็นการแสดงสีหน้าเช่นนี้ของแม่ทัพหนุ่ม “ท่านพี่ เพ่ยเพ่ยขออภัยเจ้าค่ะ ที่ดื้อรั้นรั้งรอท่านพี่อยู่ตรงนี้” น้ำเสียงดูเหมือนกำลังสำนึกผิด ทว่ารอยยิ้มและแววตานั้นหาได้เป็นเช่นคำพูดไม่ “เจ้ามีสิ่งใดเร่งด่วนเช่นนั้นรึ จึงได้มาหาข้าถึงที่นี่” แม่ทัพหนุ่มแสร้งไม่เห็นแววตาไหวระริกของภรรยา ทว่าเขากลับเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หญิงสาวไม่ได้ตอบคำถามของสามี ทำเพียงมองไปยังตะกร้าที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะหันกลับไปส่งยิ้มละมุนให้แก่สามี แววตาที่เคยสดใส เวลานี้สลดลงเล็กน้อย ด้วยความกริ่งเกรงในสายตาของผู้เป็นสามี “เจ้าไม่เห็นต้องลำบากเช่นนี้เลย ไปเถอะที่นี่คงมิเหมาะให้กินอาหารสักเท่าใดนัก”ชายหนุ่มก้าวเข้ามาคว้าตะกร้าอาหาร ก่อนจะเดินนำไปยังทิศทางด้านหลังค่ายทหาร ร่างบางก้มหน้าน้อย ๆ เดินตามสามีไปเงียบ ๆ เพ่ยเพ่ยเบิกตากว้างเมื่อเห็นทิวท