มิติคู่ขนาน ณ จวนอ๋องชูจิ้งหยาง เรือนชูเพ่ย เจ้าของเรือนกำลังนั่งบดยาอยู่ในห้องหนังสือ โดยมีอีกสามชีวิตนั่งรวมอยู่ด้วย “เรียนท่านหญิง ข้าน้อยได้สืบมาแล้วว่าท่านแม่ทัพไป๋เจี้ยนถง มิเคยมีแม้แต่สาวใช้อุ่นเตียง ผู้คนทั่วทั้งชายแดนล่ำลือกันว่า...เอ่อ” “อะไร” เพ่ยเพ่ยเอ่ยถามองครักษ์หนุ่ม โดยที่สายตายังคงสนใจอยู่กับสมุนไพรที่นางนำลงไปบด “เอ่อ...คือ” ต้าจินมิรู้จะตอบผู้เป็นนายอย่างไรดี ด้วยเขาเองก็เป็นบุรุษ แม้ว่าเรื่องที่จะเอ่ยออกมาเป็นเรื่องที่เขาต้องสืบหาความจริง เพื่อมารายงานแก่ผู้เป็นนายก็ตามที “ต้าจิน ข้าร่ำเรียนวิชาแพทย์ จิตใจย่อมต้องเข้มแข็งกว่าสตรีทั่วไปมากมายนัก ดูอย่างเปี้ยนจิงสิ นางเป็นสตรีทว่ากลับมีฝีมือมิต่างจากบุรุษเช่นเจ้า จะมีเรื่องใหญ่อันใด ที่ข้าไม่ควรรู้เกี่ยวกับว่าที่สามีอีกเล่า” ท่านหญิงชูเอ่ยเสียงราบเรียบ อันเป็นสิ่งคุ้นชินของเหล่าผู้ติดตาม หญิงสาวรู้ดีว่าบุรุษและสตรีในยุคนี้ ย่อมจะมีข้อกำหนดและการถูกปลูกฝังมาแตกต่างจากโลกที่นางจากมา “ชาวเมืองเชี่ยหยาง
สองเดือนถัดมา พิธีแต่งงานถูกจัดขึ้นอย่างสมเกียรติ ในคืนเข้าหอนั้นคู่บ่าวสาวหาได้รู้สึกตื่นเต้นอันใดไม่ ต่างคนต่างจัดการกับตนเองแล้วก้าวขึ้นเตียงหลับใหลทว่ากลับเป็นครอบครัวของทั้งสองฝ่าย ที่คอยลุ้นจนเทียนในห้องดับลงไปกว่าครึ่งชั่วยาม ความเงียบจากคนภายในห้องหอ ทำให้ใบหน้าของคนที่แอบเฝ้ามอง ผิดหวังไปตาม ๆ กันเลยทีเดียว เสียงลมหายใจสม่ำเสมอของหญิงสาว ทำให้แม่ทัพหนุ่มรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างไรชอบกล เขาไม่เคยที่จะถูกเมินเช่นนี้มาก่อนเลยในชีวิต ต่อให้เขาดูเหมือนไร้ความรู้สึก แต่สตรีมากมายต่างก็พยายามช่วงชิงกันเข้าจวนเข้าอยู่มิขาดสาย ‘สตรีหน้ามิอาย หลับเหมือนหมู’ ชายหนุ่มก่นด่าภรรยาหมาด ๆ อยู่ภายในใจ ก่อนจะหันหลังให้แก่คนข้าง ๆ พร้อมทั้งหลับตาลงอีกครั้ง หลังงานแต่งได้เพียงเจ็ดวัน ชายหนุ่มได้พาภรรยากลับไปอำลาพ่อแม่ของนางยังจวนอ๋อง ก่อนจะพาออกเดินทางสู่ชายแดนในเช้าวันถัดมา โดยไม่มีผู้ใดหาญกล้าจะทัดทาน เมื่อได้ยินคำว่าอาจเกิดเรื่องเลวร้าย หากชายแดนขาดแม่ทัพนานเกินไป “ฮูหยิน เหนื่อยหรือไม่เจ้าคะ เอนหลังสักหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ
“อ่า เร็วอีก ข้าต้องการแรงขึ้นอีก” ชายหนุ่มเร่งเร้าจังหวะขับเคลื่อนตามคำร้องขอของหญิงสาว เสียงครางกระเส่าด้วยความพึงพอใจของนาง ทำให้ชายหนุ่มคำรามลั่นด้วยความเมามันในกามราคะ ที่เขาได้ปรนเปรอแก่นางอยู่ในตอนนี้ “ช่างดีอะไรเยี่ยงนี้อี้ชิว รูเจ้ารัดท่อนเอ็นของข้าแน่นยิ่งนัก” ชายหนุ่มโน้มกายแนบกับแผ่นหลังของหญิงสาว พร้อมกระซิบบอกนางด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ชายหนุ่มจูบซับต้นคอหอมกรุ่น ก่อนจะเลื่อนมือกลับลงไปลูบไล้ยังเนินสวาท นิ้วเรียวสะกิดยังเม็ดสวาทเบา ๆ ก่อนจะบี้วนไปมาให้รับกับจังหวะการกระแทกท่อนเอ็นของเขา หญิงสาวถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งกาย เมื่อถูกความเสียวซ่านแล่นไปทั่วกาย ทุกครั้งที่ชายหนุ่มปรนเปรอนางมิเคยผิดหวังเลยสักครั้ง “เจ้าทำให้ข้าสุขสมเช่นนี้ เห็นทีต้องเป็นข้าที่จะตอบแทนเจ้าบ้างแล้วเซียวหลาง” อี้ชิวตอบกลับคำพูดของชายหนุ่ม ก่อนจะแหงนหน้าครางด้วยความเสียวซ่าน เมื่อเนินสวาทของนางถูกจู่โจมจากนิ้วแกร่งและท่อนเอ็นลำใหญ่ เชียวหลางเร่งจังหวะกระชั้นถี่ขึ้น เมื่อเขาเองใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดของสงครามราคะใน
เมืองเชี่ยหยาง ณ จวนแม่ทัพตะวันออก ไป๋เจี้ยนถง การเดินทางกว่าหนึ่งเดือน ในที่สุดรถม้าจากเมืองหลวงก็หยุดลงยังหน้าจวนแม่ทัพตะวันออก ร่างระหงของท่านหญิงชูเพ่ยเพ่ย ก้าวลงจากรถม้า โดยไร้การช่วยเหลือจากสามี ทุกสายตาที่เฝ้ารอยลโฉมฮูหยินในท่านแม่ทัพ ต่างแอบกระซิบกระซาบกันเป็นทอด ๆ เรื่องความหมางเมินของแม่ทัพหนุ่ม ทุกสายตาต่างลงความเห็น ว่าท่านหญิงชูนั้นงดงามหาที่ติมิได้ ทว่าน่าสงสารยิ่งที่มิเป็นที่ต้องตาของสามีเลยแม้แต่น้อย “ฮูหยินอย่าได้กังวลใจเลยขอรับ มิช้านานท่านแม่ทัพย่อมต้องเห็นแก่ความเป็นสามีภรรยา อาทรต่อฮูหยินอย่างแน่นอนขอรับ” พ่อบ้านชรารีบเอ่ยกับผู้เป็นนายหญิง เมื่อเห็นใบหน้างามของหญิงสาวไร้ซึ่งรอยยิ้ม ทั้งยังมองไปยังชาวเมือง ที่มาคอยดูการมาถึงของนางเป็นจำนวนมาก “ข้ามิเป็นไร ท่านลุงไม่ต้องเป็นกังวลใจไป เรื่องการใส่ใจระหว่างสามีภรรยานั้นย่อมเกิดขึ้น ส่วนเรื่องรักใคร่นั้นต่อให้แค่เสี้ยวเวลาก็รักได้ แต่หากไร้ใจต่อกัน นับพันราตรีที่อยู่ร่วมหมอน ก็ไร้ประโยชน์ที่จะร่ำร้องหา” “เอ่อ...” พ่อบ้านชราทำได้เพียงมอง
ทุกคนค้อมศีรษะให้แก่หญิงสาว ที่เวลานี้ยืนขึ้นค้อมหัวให้แก่ทุกคนอย่างนอบน้อม เพ่ยเพ่ยยังใจเย็นรั้งรอสามีอยู่เช่นเดิม ร่างสูงก้าวออกมายังหน้ากระโจมเป็นคนสุดท้าย คิ้วเข้มขมวดเป็นปม ซึ่งน้อยคนนักจะได้เห็นการแสดงสีหน้าเช่นนี้ของแม่ทัพหนุ่ม “ท่านพี่ เพ่ยเพ่ยขออภัยเจ้าค่ะ ที่ดื้อรั้นรั้งรอท่านพี่อยู่ตรงนี้” น้ำเสียงดูเหมือนกำลังสำนึกผิด ทว่ารอยยิ้มและแววตานั้นหาได้เป็นเช่นคำพูดไม่ “เจ้ามีสิ่งใดเร่งด่วนเช่นนั้นรึ จึงได้มาหาข้าถึงที่นี่” แม่ทัพหนุ่มแสร้งไม่เห็นแววตาไหวระริกของภรรยา ทว่าเขากลับเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หญิงสาวไม่ได้ตอบคำถามของสามี ทำเพียงมองไปยังตะกร้าที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะหันกลับไปส่งยิ้มละมุนให้แก่สามี แววตาที่เคยสดใส เวลานี้สลดลงเล็กน้อย ด้วยความกริ่งเกรงในสายตาของผู้เป็นสามี “เจ้าไม่เห็นต้องลำบากเช่นนี้เลย ไปเถอะที่นี่คงมิเหมาะให้กินอาหารสักเท่าใดนัก”ชายหนุ่มก้าวเข้ามาคว้าตะกร้าอาหาร ก่อนจะเดินนำไปยังทิศทางด้านหลังค่ายทหาร ร่างบางก้มหน้าน้อย ๆ เดินตามสามีไปเงียบ ๆ เพ่ยเพ่ยเบิกตากว้างเมื่อเห็นทิวท
“วันนี้เจ้าสมควรถูกลงโทษ” “ข้ายินดีรับ” เอ่ยจบชายหนุ่มได้ประทับจูบอีกครั้ง มือหนาเคล้นคลึงก้นงอนงาม โดยที่ท่อนเอ็นของเขาในเวลานี้อยู่ในกำมือบอบบาง ที่ล้วงเข้าไปในกางเกงของเขา “อ่า อื้อ อี้ชิว อ่า” ชายหนุ่มถึงกับขาสั่นเทา เมื่อมือนุ่มขยับเคลื่อนรูดไปตามท่อนเอ็นที่กำลังแข็งชูชันด้วยความเสียวซ่านจากการถูกปลุกเร้า หลังจากถอนริมฝีปากออกได้เพียงครู่เดียว กางเกงของเขาได้หลุดร่วงลงไปกองอยู่แทบเท้า โดยที่ร่างระหงนั่งลงคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ปลายลิ้นเล็กตวัดผ่านปลายท่อนเอ็น ที่กำลังบานออกจนเผยให้เห็นรูเล็ก ๆ ที่มีน้ำใส ๆ ไหลเยิ้มออกมา หญิงสาวระรัวปลายลิ้นยังรู สลับดูดส่วนปลายแรง ๆ เพียงครู่เดียวท่อนเอ็นกว่าครึ่งลำ ได้อยู่ในปากอุ่นร้อนของหญิงสาว มือบางรูดขึ้นลงพร้อมกับห่อปากดูดรั้งท่อนเอ็นเอาไว้แน่นชายหนุ่มใช้สองมือจับศีรษะงามเอาไว้แน่น พร้อมทั้งขยับสะโพกเด้งสวนรับแรงดูดกลืนนั้นด้วยความเสียวซ่าน เสียงลมหายใจเสมือนม้าศึกของชายหนุ่ม ทำให้หญิงสาวเพิ่มแรงดูดดึงท่อนเอ็นให้มากขึ้นชายหนุ่มไม่อาจทานทนต่อแรงกระตุ้นได้อีกต่อไป ชายหนุ่มถ
“สมควรที่จะเป็นเช่นนี้ เจ้าเล่นเดินไปทั่วเมือง” ชายหนุ่มประคองภรรยาไปนั่ง ทุกการกระทำของสองสามีภรรยา ทำให้ร่างระหงที่เพิ่งก้าวพ้นประตูเข้ามาหยุดชะงักไปชั่วขณะ ต่างจากเพ่ยเพ่ยที่กำลังยิ้มกริ่มด้วยความพอใจ ‘ชั้นเชิงของเจ้าที่ใช้นับว่าชาญฉลาด แต่ยังอ่อนหัดหากเทียบกับโลกที่ข้าจากมาอี้ชิว’ เพ่ยเพ่ยยังคงแสร้งออเซาะสามี ด้วยนิสัยของความเป็นเด็กที่ทำให้แม่ทัพหนุ่มยากที่จะปฏิเสธได้ ชายหนุ่มย่อกายลงตรงหน้าของภรรยา ก่อนจะนวดที่น่องเรียวงาม เพ่ยเพ่ยยิ้มกว้างอย่างผู้ชนะ พร้อมชำเลืองมองไปยังหญิงสาวผู้มาใหม่ นางไม่ได้เรียกร้องสิ่งใดจากสามีเลยนับตั้งแต่แต่งงาน ทว่านางจงใจทำให้ทุกช่วงเวลาอันเอื่อยเฉื่อยระหว่างนางกับเขา ให้ทุกครรลองสายตาของเขามีเพียงนาง โดยที่เขาไม่รู้ตัว แล้วเช่นนี้จะมีสตรีใดเล่าจะมาช่วงชิงสายตาของเขาไปจากนางได้ ‘ชีวิตอีกโลกข้ามัวแต่เก็บงำความรู้สึก มาชีวิตนี้ข้าจะไม่ยินยอมเสียโอกาสอีกเป็นอันขาด’ “คราวหลังห้ามทำเช่นนี้อีกรู้หรือไม่” “เจ้าค่ะ ข้าจะมิดื้อรั้นกับท่านพี่” เพ่ยเพ่ยตอบรับคำของสาม
เส้นทางสู่วัดชิงอัน ฮี่ ๆ ม้าที่กำลังวิ่งมาเต็มกำลังจำต้องหยุดลง อาการแตกตื่นของม้ามิได้ทำให้ทุกคนตกใจ เท่ากับที่มีร่างของใครอีกคนนอนนิ่งอยู่กลางถนนขวางทางอยู่ แท่ทัพหนุ่มโน้มกายปลอบใจอาชาคู่ใจ เมื่อม้าทุกตัวสงบลง ทหารคนสนิทได้วิ่งลงไปยังร่างที่แน่นิ่งอยู่บนพื้น ก่อนจะวิ่งกลับมาหาผู้เป็นนาย “เรียนท่านแท่ทัพ นางยังมีลมหายใจอยู่ขอรับ” “พาไปยังอารมด้วยเลยก็แล้วกัน ที่นั่นมีไต้ซือถงอยู่คงพอจะรักษานางได้” “ขอรับท่านแม่ทัพ” ชายหนุ่มเร่งกลับไปยังร่างที่แน่นิ่งอยู่ ก่อนจะช้อนอุ้มร่างบางขึ้นสู่อ้อมแขน ในขณะที่ม้าของแม่ทัพหนุ่มก้าวผ่าน ชายหนุ่มมองเห็นใบหน้างามนั้นอย่างชัดเจน ก่อนจะกระตุ้นม้าให้วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่แม้แต่จะสนใจหญิงสาวในอ้อมแขนของคนสนิท ‘มองเมินข้าเกินไปแล้วนะ เจี้ยนถง’ หญิงสาวขบเคี้ยวเขี้ยวฟันอยู่ภายในใจ นางไม่คิดเลยว่าการกลับมาครั้งนี้ จะไม่อยู่ในสายตาของแม่ทัพหนุ่มเลย ‘เจ้านำพาหัวใจข้าไปเมื่อครั้งในอดีต เมื่อมันตายไปแล้วก็นับว่าผ่านพ้น เวลานี้ใจของข้าได้กำเนิดใหม่
“สามีภรรยาคือคน คนเดียวกัน ท่านพี่อย่าได้คิดเป็นอื่นนะเจ้าคะ คือว่า...” แม่ทัพหนุ่มใช้นิ้วแตะที่ริมฝีปากภรรยา ก่อนจะส่ายหน้าน้อย ๆ เป็นการยืนยัน ว่าเขาหาได้ใส่ใจเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่แม้แต่น้อย “พี่ในตอนนี้คือสามีเจ้า หาได้สวมเกราะ” แม่ทัพหนุ่มเบา ๆ ยังหลังมือของภรรยา เพื่อเป็นการยืนยันในคำพูดของเขา เป็นแม่ทัพแล้วอย่างไร เขาก็มนุษย์คนหนึ่งเท่านั้นมีเจ็บปวดเป็นเช่นคนอื่น มิใช่ร่างกายแกร่งดังหินผาฟันแทงไม่เข้าเสียเมื่อไหร่ เพ่ยเพ่ย เร่งพาสามีออกไปยังประตูด้านหลังของหมู่บ้าน ซึ่งตอนนี้มีชายชุดดำอีกสองคนยืนเฝ้าประตูอยู่ “นายหญิง ม้าพร้อมแล้วขอรับ ทางนี้พวกข้าจัดการเองขอรับ” หนึ่งในชายชุดดำเข้าช่วยส่งแม่ทัพหนุ่มขึ้นม้า ส่วนอีกคนได้นำม้ามาให้ท่านหญิงชูเช่นกัน ร่างบางเหวี่ยงตัวขึ้นนั่งบนหลังม้า หญิงสาวหันไปยังคนสนิทที่ตอนนี้นั่งซ้อนด้านหลังของแม่ทัพหนุ่มเอาไว้แล้ว “ให้เขาอยู่ด้านหลังท่านพี่ดีแล้วเจ้าค่ะ ข้าจะได้วางใจ” สิ้นคำผู้เป็นนาย ต้าจินได้กระตุ้นม้าให้ออกวิ่งทันที โดยมีผู้เป็นนายติดตามไปม
“เจ้าคือ...” แม่ทัพหนุ่มหรี่ตามองคนที่กำลังพูด โดยที่มิรู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนอันใดเลยกับการต่อสู้ที่เกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ ซ้ำยังน่าจะอยู่ท่ามกลางเขตของศัตรูเสียด้วย “ท่านแม่ทัพ อย่าได้ระแวงไป วันนี้นายข้าเพียงมารับท่านกลับบ้าน ท่านหญิงหิวแล้ว ท่านมิกลับไปกินข้าวด้วย นางเลยโมโหหิวเล็กน้อยขอรับ” ต้าจินแม้จะพูดด้วยอารมณ์ขัน ทว่าในใจตอนนี้มิเป็นเช่นดังปากสักเท่าใดนัก แต่จะให้แสดงความร้อนใจให้แม่ทัพหนุ่มเห็นมากไป ก็เกรงจะทำให้สามีของผู้เป็นนายวิตกกังวลจนเกินไป “ข้าแค่กลับช้า มิได้บอกว่าจะไม่กลับไปเสียหน่อย” “ไยมิบอกฮูหยินตั้งแต่แรกเล่าขอรับ มาบอกแก่ข้าตอนนี้เห็นทีมีกี่หัวข้าก็มิอาจเพียงพอให้ท่านหญิงลงทัณฑ์” แม่ทัพหนุ่มลอบถอนหายใจเบา ๆ เขาเองก็พอจะจับอารมณ์ที่อีกฝ่ายซ่อนเอาไว้ได้เป็นอย่างดี แม่ทัพหนุ่มนั่งนิ่งเพื่อรวบรวมลมปราณขับพิษที่ถูกบีบบังคับให้กินลงไป “ท่านแม่ทัพ กินยานี้จะดีกว่านะขอรับ เรามิอาจช้าได้แล้ว ส่วนหนูที่ท่านแม่ทัพวางกับดัก ตอนนี้กำลังติดกับของฮูหยินอยู่ที่จวน หากท่านแม่ทัพต้องการตัว ข้าว่าเ
“ทำไม! ท่านคิดจะร้องขอชีวิตจากข้าเช่นนั้นรึ”แววตาไหวระริกด้วยความตื่นเต้นพลันฉายชัดให้เห็น เรียวปากบางคลี่ยิ้มกว้าง“ไม่จำเป็น เพราะข้ารู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้”แม่ทัพหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เหมือนกับสถานการณ์ที่กำลังตกเป็นรองของเขา มิใช่สิ่งที่เหนือความคาดหมาย“ยโสยิ่งนัก ไป๋เจี้ยนถง ข้าเองก็อยากรู้นัก ว่าท่านจะผยองเช่นนี้ได้อีกนานแค่ไหน”เมื่อได้ยินคำปฏิเสธอย่างไรเยื่อใย ความขุ่นเคืองพลันบังเกิดขึ้นมาภายในใจของหญิงสาว ประหนึ่งภูเขาไฟที่พร้อมจะปะทุก็มิปาน“สิ่งที่ถูกต้องเท่านั้นที่ข้ามองอยู่เสมอ เจ้าอยากทำร้ายข้านั้นมิใช่สิ่งที่เหนือความคาดหมาย แต่การที่เจ้าขายแผ่นดินบ้านเกิด นี่ต่างหากที่ทำให้ข้าไม่อาจลดตัวร้องขอสิ่งใดจากคนเช่นเจ้า”“เก็บคำพูดอันสวยงามของท่านแม่ทัพ ไปรอตอบคำถามของฝ่าบาทในยมโลกจะดีกว่านะ เพราะข้าสนแค่คนที่ข้ารักเท่านั้น ผู้อื่นหาได้อยู่ในสายตาข้าไม่”แม้คำพูดจะยังถากถางชายหนุ่ม ทว่าความรู้สึกบางอย่างเตือนให้นางระวังตัวจากบุรุษผู้นี้ คนเช่นไป๋เจี้ยนถงเช่นนั้นรึจะพลาดพลั้งได้โดยง่าย เขากรำศึกมาตั้งแต่อายุสิบห้าย่อมยากที่จะถูกลวงได้โดยง่าย‘หรือว่า....’ “ขนาดนี
สามเดือนต่อมา “ท่านลุง เหตุใดท่านพี่ยังมิกลับมาอีกเล่า” เพ่ยเพ่ยเอ่ยถามพ่อบ้าน “เรียนฮูหยิน ข้าน้อยได้ส่งคนไปดูที่ค่ายทหารแล้วขอรับ” “ท่านลุงมีสิ่งใดที่ยังมิได้บอกข้าอยู่หรือไม่” เพ่ยเพ่ยจ้องพ่อบ้านด้วยสายตาคาดคั้น นางอาจเป็นเพียงท่านหญิงผู้บอบบางในสาตาผู้อื่น แต่นั่นมันชูเพ่ยเพ่ยที่ตายไปแล้ว มิใช่นางคนปัจจุบัน “ข้าน้อยคิดว่าฮูหยิน เอ่อ...กลับไปพักสักหน่อยเถอะนะขอรับ นี่ก็ดึกมากแล้ว” “จะให้ข้าหาคำตอบเอง หรือจะบอกข้ามา” ชายชราได้แต่อ้ำอึ้ง เมื่อถูกนายหญิงบีบคั้นทั้งคำพูดและสายตา เวลานี้ท่านหญิงชูดูจะมิใช่สตรีอ่อนหวานไร้เดียงสาเช่นทุกวัน แต่เป็นอีกคนที่เขาเองเหมือนจะมิรู้จักเลยก็ว่าได้ “เอ่อ...” “สามีข้าหายไปสองวัน คิดว่าจะปิดข้าอีกนานแค่ไหนกัน” “เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อสองวันก่อนขอรับ....” ในที่สุดพ่อบ้านชราก็ไม่อาจที่จะปิดบัง ความจริงกับผู้เป็นนายหญิงได้อีก การหายตัวไปของท่านแม่ทัพ นับเป็นความสั่นคลอนภายในกองทัพ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป “ท่านล
ชายหนุ่มพยายามข่มความต้องการเอาไว้ หากทำเช่นใจต้องการในตอนนี้ อาจเป็นครั้งแรกที่มิน่าประทับใจเท่าใดนัก ชายหนุ่มพรมจูบไปตามผิวเนียนละเอียดอย่างเชื่องช้ามือหนาลูบไล้ขึ้นลงตามท่อนขาเรียวงาม ก่อนจะมาหยุดยังเนินเนื้อที่ปกคลุมไปด้วยปุยขนบาง ๆ ทำให้ความต้องการแล่นพล่านไปทั่วกายอีกครั้ง ท่อนเอ็นเจ็บร้าวเรียกร้องการปลดปล่อยนิ้วแกร่งค่อย ๆ กรีดลงตามร่องภายใต้ปุยขนสีดำ เพียงปลายนิ้วสัมผัสกับติ่งเล็กด้านใน ร่างบางถึงกับสะดุ้งเฮือกด้วยความเสียวซ่าน มือบางที่สอดอยู่ภายใต้กลุ่มผมหนาของสามี เผลอขยุ้มอย่างแรง“พี่จะทำให้ครั้งแรกของเราเป็นที่จดจำ และจะเป็นเช่นนี้จนชั่วชีวิตสามีภรรยาของเรา”ชายหนุ่มเอ่ยเบา ๆ โดยที่เขาทำเพียงช้อนสายตาขึ้นมองภรรยา ก่อนจะพรมจูบสลับตวัดปลายลิ้นเลียไปทั่วหน้าท้องแบนราบ“อ่า ท่านพี่ข้าเสียวยิ่ง...อ่า”เพ่ยเพ่ยครางออกมาเมื่อนิ้วของสามีขยับเคลื่อนไหวมิหยุด หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงขาดห่วง เมื่อความเสียวกระสันกำลังครอบครองกายนางแม่ทัพหนุ่มเลื่อนใบหน้าลงต่ำ ก่อนจะใช้มือแยกขาเรียวออกกว้าง ปลายลิ้นสากลากลงตามร่องสวาทอย่างเชื่องช้า ยิ่งเวลานี้กลีบบางแยกออกเผยให้เห็นเม็ดสวาทสีแดง ควา
“เจี้ยนถง” “ที่เจ้าแสดงอาการหึงหวงข้า เพียงเพราะอยากชนะเพ่ยเพ่ยก็เท่านั้น หาได้คิดอย่างที่เจ้าเพียรบอกตนเองเลยแม้แต่น้อย” “ฮ่า ๆ ใช่แล้วจะทำไม นางมารน้อยนั่น ร้ายกาจกว่าที่ท่านรู้เสียอีกเจี้ยนถง” “ข้าเหมือนลาโง่เช่นนั้นรึ ข้าแค่พอใจในนางมารน้อยของข้าที่นางเป็นเช่นนั้น และเจ้าล้ำเส้นแตะต้องนาง” อี้ชิวถึงกับใบหน้าซีดเผือด เมื่อได้ยินความจริงจากปากของชายหนุ่ม เช่นนั้นแสดงว่าตลอดเวลาที่นางอยู่กับชูเพ่ยเพ่ย ชายหนุ่มเห็นมันอยู่โดยตลอด และนางมารน้อยนั่นก็ต้องรู้อยู่แล้วเช่นกัน “ช่างสมกันยิ่งนัก” “นี่คงเป็นความจริงใจเดียว ที่เจ้ากล่าวออกมาสินะ ข้าขอบคุณก็แล้วกันที่เจ้ามองเห็นมันแล้ว” “ท่านมันไร้หัวใจ เจี้ยนถง” “หึ ๆ หากข้าเป็นเช่นเจ้าว่ามาจริง เจ้าไม่คงอยู่ที่นี่กระมังแม่นางอี้ชิว แต่เพราะข้ามีหัวใจ เจ้าจึงมิสมควรได้รับการอภัย ที่แตะต้องหัวใจของข้า” “ฮ่า ๆ มีตรงไหนที่ข้าพ่ายแก่นางมารน้อยจอมเจ้าเล่ห์กัน” อี้ชิวอยากจะกรีดร้องออกมาให้สุดเสียงเหลือเกิน ทว่านางกลับทำได้เพียงหัวเร
เพี๊ยะ ๆ เสียงฝ่ามือกระทบใบหน้างามดังให้ได้ยินชัดเจน อี้ชิวรู้ตัวอีกทีใบหน้าของนางได้สะบัดไปมาหลายรอบ เลือดสีแดงไหลออกมาจากมุมปาก หญิงสาวกำหมัดแน่นด้วยความเคียดแค้น นางเป็นผู้ฝึกยุทธ์มีหรือจะไม่รู้ว่าแรงของฝ่ามือที่กระทบใบหน้าของตนเองนั้น แฝงไปด้วยพลังยุทธ์ “เจ้าท้าทายข้า เช่นนั้นวันนี้เป็นข้าที่จะลงมือสั่งสอนเจ้าสักหน่อย” เอ่ยจบร่างงามได้พุ่งเข้าหาคนที่ยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้า ปึก! เพียงฝ่ามือเดียวเพ่ยเพ่ยเซถอยไปไกล พรึ่บ! ก่อนที่ร่างของหญิงสาวจะล้มลงถึงพื้นดิน กลับมีท่อนแขนแกร่งเข้ามารับเอาไว้ทันเสียก่อน “ท่านพี่ อึก!” เพ่ยเพ่ยกระอึกเลือดสีแดงออกมาคำใหญ่ ทำให้แม่ทัพหนุ่มถึงกลับร้อนใจ เมื่อเห็นอาการของภรรยา ชายหนุ่มช้อนอุ้มร่างหญิงสาวขึ้นสู่อ้อมแขน ก่อนจะหันไปมองคนที่ลงมือต่อภรรยาของเขา “หากนางเป็นอันใดไป ชีวิตเจ้าจะไม่เหลือแม้แต่ชื่อให้ผู้คนได้กล่าวถึง” “แต่นางลงมือต่อข้าก่อนนะเจ้าคะท่านแม่ทัพ” “เพ่ยเพ่ย ไร้วรยุทธ์ไหนเลยจะลงมือต่อเจ้าได้รุนแรง เพียงฝ่ามือบาง ๆ ของนาง รึจะเจ็บปวดถึงชีวิตเช่นที่เจ้าทำต่อน
เส้นทางสู่วัดชิงอัน ฮี่ ๆ ม้าที่กำลังวิ่งมาเต็มกำลังจำต้องหยุดลง อาการแตกตื่นของม้ามิได้ทำให้ทุกคนตกใจ เท่ากับที่มีร่างของใครอีกคนนอนนิ่งอยู่กลางถนนขวางทางอยู่ แท่ทัพหนุ่มโน้มกายปลอบใจอาชาคู่ใจ เมื่อม้าทุกตัวสงบลง ทหารคนสนิทได้วิ่งลงไปยังร่างที่แน่นิ่งอยู่บนพื้น ก่อนจะวิ่งกลับมาหาผู้เป็นนาย “เรียนท่านแท่ทัพ นางยังมีลมหายใจอยู่ขอรับ” “พาไปยังอารมด้วยเลยก็แล้วกัน ที่นั่นมีไต้ซือถงอยู่คงพอจะรักษานางได้” “ขอรับท่านแม่ทัพ” ชายหนุ่มเร่งกลับไปยังร่างที่แน่นิ่งอยู่ ก่อนจะช้อนอุ้มร่างบางขึ้นสู่อ้อมแขน ในขณะที่ม้าของแม่ทัพหนุ่มก้าวผ่าน ชายหนุ่มมองเห็นใบหน้างามนั้นอย่างชัดเจน ก่อนจะกระตุ้นม้าให้วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่แม้แต่จะสนใจหญิงสาวในอ้อมแขนของคนสนิท ‘มองเมินข้าเกินไปแล้วนะ เจี้ยนถง’ หญิงสาวขบเคี้ยวเขี้ยวฟันอยู่ภายในใจ นางไม่คิดเลยว่าการกลับมาครั้งนี้ จะไม่อยู่ในสายตาของแม่ทัพหนุ่มเลย ‘เจ้านำพาหัวใจข้าไปเมื่อครั้งในอดีต เมื่อมันตายไปแล้วก็นับว่าผ่านพ้น เวลานี้ใจของข้าได้กำเนิดใหม่
“สมควรที่จะเป็นเช่นนี้ เจ้าเล่นเดินไปทั่วเมือง” ชายหนุ่มประคองภรรยาไปนั่ง ทุกการกระทำของสองสามีภรรยา ทำให้ร่างระหงที่เพิ่งก้าวพ้นประตูเข้ามาหยุดชะงักไปชั่วขณะ ต่างจากเพ่ยเพ่ยที่กำลังยิ้มกริ่มด้วยความพอใจ ‘ชั้นเชิงของเจ้าที่ใช้นับว่าชาญฉลาด แต่ยังอ่อนหัดหากเทียบกับโลกที่ข้าจากมาอี้ชิว’ เพ่ยเพ่ยยังคงแสร้งออเซาะสามี ด้วยนิสัยของความเป็นเด็กที่ทำให้แม่ทัพหนุ่มยากที่จะปฏิเสธได้ ชายหนุ่มย่อกายลงตรงหน้าของภรรยา ก่อนจะนวดที่น่องเรียวงาม เพ่ยเพ่ยยิ้มกว้างอย่างผู้ชนะ พร้อมชำเลืองมองไปยังหญิงสาวผู้มาใหม่ นางไม่ได้เรียกร้องสิ่งใดจากสามีเลยนับตั้งแต่แต่งงาน ทว่านางจงใจทำให้ทุกช่วงเวลาอันเอื่อยเฉื่อยระหว่างนางกับเขา ให้ทุกครรลองสายตาของเขามีเพียงนาง โดยที่เขาไม่รู้ตัว แล้วเช่นนี้จะมีสตรีใดเล่าจะมาช่วงชิงสายตาของเขาไปจากนางได้ ‘ชีวิตอีกโลกข้ามัวแต่เก็บงำความรู้สึก มาชีวิตนี้ข้าจะไม่ยินยอมเสียโอกาสอีกเป็นอันขาด’ “คราวหลังห้ามทำเช่นนี้อีกรู้หรือไม่” “เจ้าค่ะ ข้าจะมิดื้อรั้นกับท่านพี่” เพ่ยเพ่ยตอบรับคำของสาม