เดร์ยิ้มกว้าง สายตายังมีประกายเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าระรื่นมากกว่าหนักใจ “ฉันโดนยายแยมบังคับให้ทำบาร์โฮส”“แล้วไง นายไม่ชอบงั้นเหรอ...” หรี่ตามองเพื่อน “ถ้าไม่ชอบ นายก็บอกปฏิเสธแยมไปได้นี่ นอกเสียจาก...” เอ่ยหยั่งเชิง เพราะรู้ดีหากคนตรงหน้าไม่ชอบ ก็จะปฏิเสธหัวชนฝา“ปฏิเสธได้ไง มันทำไปแล้ว” “นายยอม” ตะวันย้อนถามเดร์ยิ้มกริ่มไม่ตอบ แต่สีหน้าบ่งบอกว่ายอมไปแล้วอย่างเต็มใจ เพราะหนึ่งในพนักงานบาร์โฮสทำให้เขาต้องยกหน้าที่หลายอย่างให้ลูกน้องคนสนิททำ แล้วตัวเองก็มานั่งเฝ้าที่ที่เคยบอกว่าไม่ชอบ ไม่ต้องการ“ตึกไหน” ครั้นตะวันเกิดความอยากรู้ ว่าอะไรจึงทำให้คนที่ไม่เคยทำงานในสิ่งที่ตัวเองฝืนหน้าระรื่นได้ขนาดนั้น“ตึกนี้แหละ แต่อยู่คนละชั้นกัน”“ฉันอยากเห็นหน้าคนนั้นเสียแล้วสิ...” ตะวันหยั่งเชิงเดร์เหลือบตามองแล้วยิ้มกริ่ม อยู่แต่ในป่ายังมาเดาทางได้อีก รู้ว่าเพื่อนกำลังล่อให้ตัวเองคายความลับบางอย่างออกมา ซึ่งเดร์คิดว่ายังไม่ใช่ตอนนี้...ในระหว่างที่นั่งพูดคุยกันอยู่นั้นด้านนอกที่เป็นกระจกใส มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินผ่านไปพร้อมกับเสียงพูดคุย จนทำให้คนที่อยู่บริเวณใกล้ๆ อดหันมองไม่ได้“มีอะไร
“นั่นไงผู้ชายคนนั้น” เสียงใครคนหนึ่งในกลุ่มดังขึ้นแล้วชี้ไปให้เพื่อนๆ ที่ยืนอยู่ด้วยกันหันไปดู โดยที่ตะวันเองก็มองตาม“อ่า ตัวจริงหล่อกว่าในจออีก”“เบาได้เบาเธอ”“ก็ฉันคลั่งคนหล่อ...”“เขามีแฟนแล้วย่ะ แล้วก็ไม่ใช่ชะนีอย่างพวกเราด้วย”“หา จริงเหรอ...”“จริง”“โอ๊ย เสียดาย...”เหมือนเข็มนับสิบทิ่มทะลุผ่านเนื้อผ้า แล้วฝังลึกลงใต้ผิวหนัง ซอกซอนไปทุกส่วนและหยุดนิ่งอยู่กลางอก ตะวันชาจนไร้เรี่ยวแรงที่จะยกขาขยับเดินไปต่อ เมื่อคำพูดและสายตาของสาวๆ กลุ่มนั้น ทำให้ยืนยันได้ว่า คนที่ถูกกล่าวถึงคือคนคนเดียวกันกับคนที่ตนเดินตามมา...น้ำเหนือมีแฟน...กับใคร เกิดคำถามวนเวียนอยู่ในหัวยากที่ตะวันจะสลัดมันออกไปได้แล้วกลุ่มสาวๆ ก็หยุดการสนทนาโดยสายตามองไปยังชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาบนเวทีตะวันใจเต้นระทึกอีกครั้งเมื่อสายตาสาดไปเห็นภาคิน ตะวันกลืนก้อนที่แค้นขึ้นมาจุกอกลงอย่างยากลำบาก เมื่อเห็นลูกชายเจ้าของไร่ข้างเคียงที่หายไปพร้อมกับเชลยของเขาอยู่ที่นี่ด้วยย้อนไปเมื่อปีก่อน“ทำไม คำสั่งผมมันไม่สำคัญหรือไง” เสียงทุ้มเกรี้ยวกราดถาม“ป้าขอโทษ ป้าผิดเอง...” ป้าเหมยยืนน้ำตาซึมตัวลีบเอ่ยบอกเสียงสั่น เมื่อเป็นต้น
คนถูกชมชื่อยกยิ้มน้อยๆ “นานเหมือนกันครับ ที่ไม่ได้มาสถานที่แบบนี้”“นี่อย่าบอกนะคะ ว่าเป็นเพราะระยะทาง...แต่ขวัญข้าวคิดว่าคนอย่างคุณตะวันต้องงานล้นมือแน่ๆ เลยทำให้ไม่สะดวกมานั่งในที่แบบนี้...” เธอแกล้งโยนหินถามทางและเป็นจังหวะเดียวกับที่โต๊ะของกลุ่มจัดงานวันเกิดโห่ดัง ทำให้การสนทนาของตะวันและขวัญข้าวสะดุดลง“ไร้มารยาท...” ขวัญข้าวเปรยขึ้น และนึกขึ้นได้ว่าตัวเองกำลังทำตัวไม่น่ารัก จึงปรับตัวใหม่ให้ดูสงบเสงี่ยมกว่าเดิมตะวันเองก็หันไปมองคนกลุ่มนั้นอีกครั้งเช่นกัน ครานี้ตาคมกล้าของเขาลุกวาว ขวัญข้าวมองตามสายตา สลับกลับหันมามองคนข้างๆ ที่เหมือนใจหลุดไปยังคนกลุ่มนั้นไปแล้ว“รู้จักใครในนั้นหรือเปล่าคะ หากรู้จักไปทักทายเขาได้นะ...” เธอบอกเพื่อหยั่งเชิงเขา“ไม่ครับ เห็นเขาสนุกเฮฮาดี ผมล่ะคิดถึงช่วงวัยนั้นเหมือนกัน...” แล้วหันกลับมามองคนร่วมโต๊ะ กลบใจที่รุ่มร้อนเหมือนกองเพลิงไว้“เอ๊ะ แต่ในกลุ่มนั้น ขวัญข้าวรู้จักนะ...” น้ำเสียงตื่นเต้นเอ่ยขึ้น แต่ตะวันยังหันหน้าไปทางอื่น เพื่อเก็บใบหน้าที่เครียดเกร็งของตัวเอง จนกระทั่งเธอเอ่ยประโยคต่อมา “น้ำเหนือ...ไม่เจอกันมาเป็นปี ดู Bad Boy ขึ้นเยอะนะเนี่
ตะวันมองหญิงสาวตรงหน้าและพินิจในประโยคคำพูดของเธอ...“แล้วนี่ผมจะได้เจอคุณอีกเมื่อไหร่ครับ” ตะวันถามขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไป“ได้ค่ะ ได้ทุกเมื่อ...ว่าแต่ เอาเบอร์มาสิคะ” ขวัญข้าวตอบรับด้วยความดีใจจนลิ้นพัน“ได้สิ...ว่าแต่คุณไม่รู้ชื่อแฟนคนล่าสุดของพายุหรือครับ...”“รู้ เตชินไง” ตอบไปด้วยความมั่นใจ เพราะอยากให้อีกฝ่ายพูดเข้าเรื่องของตัวเองให้ไวที่สุดตะวันได้แต่กำหมัดแน่น ความสับสนล้นเข้ามาในความรู้สึกจนลืมตัวลุกขึ้นเดินออกไป“คุ...คุณ คุณตะวันคะ” เรียกจนเสียงดังแต่อีกฝ่ายก็ไม่หันกลับมา แต่เพราะยังไม่ได้เบอร์โทรเขา เธอจึงรีบลุกก้าวยาวๆ ตามไป“เดี๋ยวคุณตะวัน” เธอไปจับแขนเขาไว้ตะวันที่สติหลุดลอย สะบัดแขนด้วยความตกใจ แล้วหันสายตาดุมองมา แต่เมื่อเห็นว่าเป็นผู้หญิงที่เพิ่งคุยด้วยกันสายตานั้นก็อ่อนลงขวัญข้าวตกใจหน้าเจื่อน แต่ฝืนยิ้มแห้งให้ไป “ขวัญข้าวเองค่ะ”“อ้อ...ขอโทษครับ พอดีนึกได้ว่ามีธุระด่วน...ว่าแต่เราคุยกันถึงไหนแล้วครับ”“อ๋อ เรื่องเบอร์โทรค่ะ แต่หากคุณตะวันไม่สะดวก ก็ไม่เป็นไรค่ะ”“ได้ครับไม่มีปัญหา” คำตอบของตะวัน ทำให้ขวัญข้าวยิ้มกว้าง เธอจึงยื่นมือถือที่เตรียมพร้อมไว้แล้
“เอ๊ย อย่ามาปรักปรำกันสิ ผมฟ้องหมิ่นประมาทคุณได้เลยนะ...อีกอย่างพวกผมจะเล่นอะไรก็ไม่ใช่เรื่องของคุณนะ แต่งตัวดีเสียเปล่า แต่เสือกเรื่องคนอื่น...” หนุ่มอายุน้อยกว่าย้อนเสียงขุ่นกร้าวตะวันยกยิ้มอย่างเต็มใจกับคำว่า ‘เสือก’ ของอีกฝ่าย “ปากดี รู้ได้ไงว่าผมคนนอก...น้ำเหนือเคยบอกรึ”เมื่อโดนย้อนกลับมาเช่นนั้น ทำให้กรต้องกลับมาพินิจคนตรงหน้าใหม่อีกครั้ง แม้ไม่คุ้นหน้า แต่การแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาแพง บวกกับหน้าตาหล่อเหลาราวกับพระเอกละครหลังข่าว ซึ่งมองแล้วไม่น่าเป็นพวกมิจฉาชีพได้ หากแต่เป็นใครที่ตนไม่รู้จัก แต่น้ำเหนืออาจรู้จัก...“แล้วบอกผมได้ไหมว่าคุณเป็นใคร แล้วผมจะยอมให้คุณเอาเพื่อนผมไป เพราะผมเองก็สกปรกเต็มทน...” แล้วก้มมองเสื้อตัวเองที่ตอนนี้เหม็นคลุ้งจนจะอ้วกตามคนเมาไม่ได้สติไปอีกคน“เป็นพี่ชายของเตชิน...”“อ้อ เป็นพี่ชายของเตชินนี่เอง ผมรู้จักเตชินอยู่บ้างตอนอยู่ปีสอง แต่กับน้ำเหนือ เตชินตัวติดกันตลอด...งั้นผมขอโทษพี่ด้วยนะครับ...ยังไงก็ฝากพามันไปส่งบ้านด้วยนะครับ” พูดจบก็โบกไม้โบกมือเดินตรงไปยังรถของตัวเองเจ้าของสายตาคมเข้มมองจนไม่เห็นหลังอีกคน จากนั้นก็ละสายตาก้มมามองคนเมาไม่ได้สต
ตะวันนั่งมองใบหน้าฉาบสีแดงเรื่อที่กระทบแสงไฟจนใจอยู่ไม่เป็นสุข หวนคิดถึงสิ่งที่เคยกระทำกับคนบนเตียง แม้ในตอนนั้นความต้องการเพียงอยากทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดระทมทุกข์เหมือนตายทั้งเป็น แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ผ่อนเบาและจบด้วยการสุขสมด้วยกันทั้งคู่ ซึ่งความรู้สึกนั้นไม่เคยจางหายไปจากความทรงจำที่ถูกเก็บไว้ แม้ทุกครั้งที่คิดถึง เป็นตัวเขาที่เจ็บปวด...นายมันร้าย...ตะวันตัดพ้อคนเมาอยู่ในใจ ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นกระตุกยิ้มมุมปากเพียงนิด แล้วยกมือขึ้นไปลูบไล้บนใบหน้าเกลี้ยงเกลานั้นอย่างเบามือ และไล่สายตามองไปบนเนื้อตัวที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อและกลิ่นฉุน แล้วตัดสินใจปลดกระดุมเสื้อ พร้อมกับหยิบมือถือที่เตรียมไว้ออกมา...ทันทีที่ปลดเสื้อตัวบางออก คิ้วดกหนาก็ขมวดยุ่ง ตาหรี่มอง แผลเป็นแผลเป็นตรงหัวไหล่ ซึ่งมันใหญ่พอให้เขาหวาดเสียว เมื่อนึกถึงตอนที่แผลยังใหม่สด คงเจ็บไม่น้อย ซึ่งเมื่อเสื้อผ้าถูกถอดออกไปจนหมด ก็พบว่าบนร่างกายคนเมาไม่ได้มีแต่แผลแค่จุดเดียวนายไปได้แผลนี่มาได้ยังไง...เกิดคำถามและความรู้สึกหดหู่ขึ้นมาในทันที สุดท้ายความคิดที่อยากสร้างเรื่องก็ถูกพับเก็บไว้ซึ่งในระหว่างที่นั่งมองรอยแผลเป็นอยู่นั้น
หนึ่งปีก่อน...ข่าวถูกอัปเดตจากเพื่อนในกลุ่มโซเชียล ถึงอุบัติเหตุบนถนนในวันที่หมอกหนา ทัศนวิสัยของถนนสายนั้นเกิดวิกฤต ทำให้รถชนท้ายต่อกันถึงหกคัน ในเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้มีผู้เสียชีวิตและหนึ่งในรถพวกนั้น ก็มีรถของภาคินรวมอยู่ด้วย ภาคินโชคดีที่รัดเข็มขัดนิรภัย แต่น้ำเหนือนอนหลับเพราะฤทธิ์ยาถูกเหวี่ยงกระเด็นออกนอกรถจนได้รับบาดเจ็บสาหัส...และนั่นทำให้พายุรู้ว่าน้ำเหนืออยู่กับภาคินด้วยณ โรงพยาบาลประจำจังหวัดเลย“ภาคิน นายอยู่ไหน...” พายุวิ่งกระหืดกระหอบพร้อมกับต่อสายหาภาคินทุกระยะจนกระทั่งถึงโรงพยาบาล “เออ...รออยู่ที่นั่นแหละ เดี๋ยวฉันจะขึ้นไปหาเอง”เมื่อได้คำตอบจากภาคินเป็นที่แน่ชัด พายุก็วางสายและตรงไปยังห้องที่ภาคินอยู่ทันทีเมื่อขึ้นมาถึง พบว่าภาคินเดินกระวนกระวายอยู่หน้าห้องไอซียูโดยตามแขนและใบหน้ามีรอยขีดข่วนที่ถูกทำความสะอาดไว้เรียบร้อยแล้ว“ไอ้ภาคินน้องกูล่ะ”“อยู่ในห้อง” แล้วมองไปที่ประตู พายุทำท่าจะถลาไปเปิดประตูบานนั้น แต่ภาคินรั้งเอาไว้ได้ทัน“ยังเข้าไปไม่ได้”“ทำไมวะ กูอยากไปดูน้องกู”“ตั้งสติก่อน ตอนนี้เขาไม่ให้ญาติเข้าไป...”“แต่กู...”“รู้ว่านายห่วง แต่ตอนนี้ถึงเราจะเข้า
หลังจากที่หมอและพยาบาลชุดขาวออกไปจากห้องแล้ว พายุเดินไปเกาะขอบเตียง มองใบหน้าคนป่วยที่ตอนนี้ดูมีสีเลือดฝาดมากขึ้น ก่อนจะยกมือขึ้นไปบีบเบาๆ บนต้นแขนที่อวบใหญ่หลังจากได้น้ำเกลือมาตลอดสองเดือนจนดูผิดหูผิดตา ส่วนสายที่ต่อระโยงระยางก่อนหน้านั้นถูกปลดออกไปหมดแล้ว“น้ำเหนือ พี่หวังว่านายจะไม่ลืมพี่นะ...” พายุเอ่ยสีหน้าเจ็บปวด ภาคินเห็นดังนั้นจึงเดินเข้ามาใกล้แล้วบีบไปบนต้นแขนเพื่อนเบาๆ ให้กำลังใจ“น้ำเหนือคงไม่ลืมนายหรอก เพราะหมอบอกว่าแค่ความจำบางส่วนหายไป อาจหายช่วงที่เจอฉันก็ได้” พูดปลอบเพื่อน แต่ตัวเองก็ใจหายเอง...“หากน้ำเหนือจำฉันได้ เรื่องที่น้ำเหนือลืมนายมันก็ไม่ยากเปล่าวะ”“อืม...รอให้รู้สึกตัวแล้วจะได้รู้กัน”ในขณะที่ทั้งคู่นั่งเฝ้ารอด้วยใจกระสับกระส่าย ไม่นานคนบนเตียงก็เริ่มขยับและรู้สึกตัว เปลือกตาที่เคยปิดสนิทปรือขึ้นอย่างช้าๆ“น้ำเหนือ...” พายุเรียกเบาๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้อีกฝ่ายตื่นตัวใบหน้าที่ไร้รอยยิ้มมาเกือบสองเดือนหันมอง โดยคิ้วดกหนาขมวดมุ่น มองหน้าหนุ่มๆ ข้างเตียงสลับกันไปมา ก่อนจะเค้นเสียงที่แหบแห้งออกมาเบาๆ“พี่...พายุเหรอ...แล้วนี่ใคร”พายุโล่ง หากแต่ภาคินหน้าเจื่อน