“...เตชิน”ทุกอย่างเหมือนดับมืด สมองและลมหายใจคล้ายหยุดทำงาน เลือดที่ไหลเวียนหยุดนิ่ง จนกระทั่งเสียงหัวเราะดังออกมาจากลำคอของอีกคน ทำให้น้ำเหนือกลับมามีลมหายใจอีกครั้ง“ไม่...ไม่จริง...” เสียงที่ดังผ่านริมฝีปากมาเพียงแผ่วๆ ก่อนที่ดวงตากลมโตจะเบิกกว้างอย่างตกใจสุดขีดพยายามบอกตัวเองว่าหูฝาดไป แต่เสียงของคนที่บอกมาก็ดังชัดเจนเกินกว่าที่จะทำให้คิดแบบนั้นได้ แล้วทุกอย่างก็ดับวูบไป...ตะวันมองคนที่นอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงอย่างสับสนท่าทางตกใจเมื่อครู่ ทำให้คิดไม่ตกว่าสิ่งที่กำลังทำเพื่อน้องชายมันถูกต้องหรือเปล่าทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาคิดถึงการแก้แค้นไว้อย่างดี แต่เมื่อต้องมาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เลอะเทอะ มองรอยช้ำซึ่งเขาเป็นคนทำ ยิ่งทำให้หดหู่ใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนตะวันทรุดตัวลงนั่งบนเตียง ยกแขนขึ้นปาดเหงื่ออีกรอบก่อนจะหันไปมองร่างที่นอนหมดสติอยู่บนเตียงอีกครั้ง ใจที่เต้นถี่ยามที่เห็นใบหน้าหล่อละมุนหลับตาพริ้ม ทำให้ต้องรีบดึงสายตากลับมาเมื่อปีก่อนตะวันเห็นน้ำเหนือแค่เพียงไกลๆ แต่แค่นั้นเขาก็รู้สึกประทับใจขึ้นมาในทันที แต่เมื่อได้กลับมาพบกันอีกครั้ง เหตุการณ์ทุกอย่างกลับพลิกผัน คนที่ตัวเองป
น้ำเหนือกลืนน้ำลายลงคอ ข่มใจพูดด้วยดีๆ “ผมพร้อมจะทำตาม ให้ผมไปอาบน้ำผมก็ไปได้แค่คุณบอก ไม่ต้องลากไม่ต้องออกแรง”“ผมต้องฟังงั้นเหรอ” แล้วก็กระชากคนที่มีเพียงผ้าห่มพันกายอย่างหมิ่นเหม่ออกจากห้องโดยไม่ฟังเสียงค้านเมื่อฝืนตัวไปก็เท่านั้น น้ำเหนือจึงปล่อยเลยตามเลย อยากทำอะไรก็ทำ แต่ก็ยังข้องใจจึงถามออกไป“ไม่เหนื่อยหรือไง ที่ต้องมาฉุดกระชากกันแบบนี้ โอ๊ะ คุณ...”ยังพูดไม่ทันจบน้ำเหนือก็เซ รีบทรงตัวจับชายผ้าห่ม ก้าวเท้ายาวๆ เพื่อให้ทันแรงคนดึงไม่มีเสียงตอบกลับ นอกจากสีหน้าและท่าทางดิบเถื่อนน้ำเหนือไม่รู้ว่าเขาจะลากไปไหน แต่รู้เพียงว่าตอนนี้ความหนาวเย็นของอากาศทำให้แทบจะก้าวขาไม่ออก อีกทั้งหูแว่วได้ยินเสียงน้ำไหล ทำให้รู้สึกกลัวจับใจ“จะพาผมไปไหน...” น้ำเหนือถามเสียงสั่น จิกเท้าไปบนพื้นหญ้า สายตาหวาดหวั่นกวาดมองไปทั่วบริเวณ ในใจหวังให้มีใครอยู่บริเวณนี้สักคน เพื่อช่วยให้หลุดออกไปจากเหตุการณ์เลวร้ายนี้ แต่หันมองจนทั่วกลับพบแต่พื้นป่าเขียวขจี“กลัวตายเหรอ”“ใครบ้างไม่กลัวตาย...หรือคุณไม่กลัว”สายตาและน้ำเสียงเกือบทำให้ตะวันเปลี่ยนใจ ถ้าหากไม่มีประโยคหลังย้อนถาม เขาจึงย้อนกลับไป“ใช่ ใครบ้าง
“คุณ คุณครับ...”ด้วยความเป็นห่วง ภาคินตัดสินใจเรียกคนที่นอนหลับตาอยู่ในอ้อมแขน เพื่อให้รู้ว่าเขายังมีสติมากน้อยแค่ไหน ระหว่างนั้นก็นิ่งพิจารณาใบหน้านั้นอีกครั้งลักษณะหน้าตาและผิวพรรณ มองออกว่าไม่ใช่คนในพื้นที่แถวนี้อย่างแน่นอน หากตามตัวมีรอยช้ำเป็นจ้ำๆ และรอยแผลถลอกขีดข่วน จนรู้สึกปวดแสบแทน...เสียงฝีเท้าที่เดินย่ำเข้ามาใกล้ทำให้ภาคินละสายตาจากคนในวงแขน และตัดสินใจวางร่างที่ยังมีสติไม่เต็มร้อยลงไปบนพื้นหญ้าตามเดิม ก่อนจะกระโดดลงน้ำและว่ายข้ามไปขึ้นยังอีกฝั่งอย่างรวดเร็ว เพราะพื้นที่ที่เขาเหยียบย่างอยู่นี้เป็นพื้นที่หวงห้ามสำหรับคนภายนอกอย่างเขาร่างกำยำของภาคินก้มลงเก็บสิ่งของที่วางทิ้งไว้ก่อนหน้าขึ้นมาถือไว้ สายตาคมเข้มสีดำสนิทหันมองไปยังคนที่นอนไม่ขยับอีกครั้ง แล้วตัดใจเดินหลบหายไปในป่าที่มีต้นไม้ปกคลุม...เมื่อพ้นจากแนวเขตต้นไม้ใหญ่ ภาคินก็มุ่งตรงไปยังบ้านหลังใหญ่ทันที“พี่กลับมาแล้ว” ส่งเสียงไปก่อน เพื่อให้อีกคนที่อยู่ในบ้านได้รับรู้นทีในชุดเสื้อยืดคอวี กางเกงตัวหลวมเดินก้าวออกมาเมื่อได้ยินเสียงเรียก ใบหน้าหล่อบึ้งตึงขณะมองสบตาพี่ชาย“หายไปนานเลยนะ อย่าบอกนะว่าแอบไปเล่นน้ำฝั่งโ
ริมฝีปากเม้มแน่นเพื่อป้องกันเสียงที่จะเล็ดลอดออกไป ความรู้สึกปวดร้าวบนร่างกายไม่หนักหนาเท่ากับข่าวร้ายที่รับรู้มา...“นี่ คิดจะนอนอยู่ตรงนี้จนมืดค่ำเลยหรือไง” น้ำเสียงทุ้มหนัก ถามอย่างไม่ไยดีครั้นสายตาพร่ามัวที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาไล่สายตาขึ้นไปมอง น้ำเหนือก็เห็นใบหน้าหล่อเกลี้ยงเกลา ไร้มาสก์ปิดบังใบหน้าน้ำเหนือยอมรับว่าผู้ชายคนนี้หน้าตาหล่อเหลายิ่งกว่าพระเอกหนัง แต่จิตใจร้ายกาจ ยิ่งกว่าตัวร้ายฆาตกรโรคจิต จนไม่อยากรู้จักหน้าค่าตา“ไม่ตายก็ดีแล้ว ลุกขึ้นมา”เขาออกคำสั่งด้วยแววตาคมกริบที่มองราวกับอยากกินเลือดกินเนื้อ ทำให้ความอ่อนล้าทั้งหลายหายไปเกือบหมดความหวาดกลัวต่อคนตรงหน้าจึงกลายเป็นพลังให้น้ำเหนือดันตัวเองลุกขึ้นนั่ง แม้จะดูยากลำบากเพราะผ้าห่มที่พันกายอยู่ ไม่ค่อยเป็นไปตามความต้องการนัก แต่ก็ลุกขึ้นมานั่งจนได้ตะวันมองร่างกายเปล่าเปลือยที่มีเพียงผ้าห่มเปียกปอนห่อกาย แล้วยกยิ้มมุมปากสะใจ“หรือจะไปนั่งแช่ในน้ำต่อดี”ประโยคนั้นทำเอาคนว่ายน้ำไม่เป็นตาเบิกโต ออกอาการเลิ่กลั่ก“ทำไม ไม่ชอบเล่นน้ำเหรอ”ประโยคคำถามที่ไม่ได้บ่งบอกถึงความเป็นห่วง ซึ่งน้ำเหนือรับรู้ได้ จึงขยับจะลุกขึ้นยืนเ
เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงตามนาฬิกาบนข้อมือ ตะวันตวัดสายตามองไปยังห้องเล็กที่เขาให้อีกคนได้ใช้ หงุดหงิดกับความเชื่องช้า ก่อนจะก้มอ่านหนังสือในมือต่อ แต่แล้วกลิ่นหอมอ่อนๆ ของแป้งก็หอมโชยมาตามลม จนตะวันเผลอสูดเข้าไปเต็มปอด หากแต่เมื่อเห็นหน้าเจ้าของกลิ่นที่พาติดตัวออกมา ตะวันก็รีบปรับสีหน้า“กว่าจะออกมาได้นะ”“จะให้ผมทำอะไรครับ...” น้ำเหนือถามเสียงเรียบ แต่คนฟังรู้ว่านี่คือการฝืนใจ“ฉันหิว ไปทำอะไรมาให้กินหน่อย”เขาพูดและโยนหนังสือในมือลงบนโต๊ะด้วยท่าทีหงุดหงิดและนั่นก็ส่งผลให้คนตัวเล็กกว่าสะดุ้งเฮือกละล้าละลังทำอะไรไม่ถูก“ยืนนิ่งอยู่ทำไม บอกว่าไปทำอาหารได้แล้ว ฉันหิว”คำสั่งนั้นทำให้น้ำเหนือมีท่าทีเงอะงะเหมือนคนขาดความมั่นใจ“อย่าบอกนะว่าทำอาหารไม่เป็น ไม่อย่างนั้นฉันจะให้นายไปเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่แทน” ตะวันลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับหรี่ตามองอย่างดูแคลน“ผมก็ทำได้นะ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะถูกปากคุณหรือเปล่า” น้ำเหนือบอกเผื่อไว้ให้อีกฝ่ายทำใจไว้บ้าง เพราะตัวเองก็ไม่เคยทำให้ใครกิน แม้แต่ตัวเองตะวันเหยียดยิ้ม พอเดาได้ว่าผู้ชายแสนบอบบาง โดนอะไรนิดอะไรหน่อย ก็ปรากฏรอยให้เห็นแบบนี้ จะทำอะไรเป็น
คำสั่งประกาศิตดังสวนมาทันที น้ำเหนือมองอย่างตัดพ้อแต่ก็จำต้องฝืนทนกลืนไข่เจียวไหม้ๆ นั้นลงท้องคำเดียวยังพอทน แต่หากให้กินหมดจานคงไม่ไหว“มันขม ไม่กินไม่ได้หรือไง”“ไม่ได้ ทำมาแล้วก็ต้องกินเข้าไป กินให้หมด รู้ไหมว่าไข่ใบนึงเดี๋ยวนี้ราคาเท่าไหร่”“ไม่รู้”“แล้วรู้อะไรบ้างไหม หัดทำตัวให้มีประโยชน์หน่อยสิ ไม่ใช่ใช้ให้พ่อแม่หาเลี้ยงไปวันๆ ทำตัวไร้สมองทั้งพี่ทั้งน้อง...”คำตำหนิอย่างไม่ไว้หน้าของเขาทำเอาน้ำเหนือหมดความอดทน“มันจะมากเกินไปแล้วนะ...” น้ำเหนือลุกขึ้นชี้หน้า “ผมกับพี่พายุอยู่กันได้โดยไม่เคยเดือดร้อนใคร แล้วไม่ใช่คุณหรือที่บังคับให้ผมทำ”คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน “กล้าเถียงเหรอ” แล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง“ผมไม่ได้เถียง แต่เผื่อคุณลืม” แม้จะกลัวอารมณ์ขึ้นลงของอีกฝ่าย แต่เพราะก้าวก่ายกันมากเกินไป จึงทำให้มีความกล้าพอที่จะพูดให้อีกฝ่ายคิด“พอมีแรงเข้าหน่อยก็กล้าเถียง”‘อยากรู้นัก ว่าจะกล้าปากดีไปได้สักกี่วัน...’กระท่อมไม้หลังเล็กรูปทรงกะทัดรัด ถูกปลูกสร้างไว้กลางป่า ทำจากวัสดุธรรมชาติทั้งหลัง ด้านข้างทำด้วยไม้ไผ่สาน หลังคาทำด้วยใบไม้เรียวยาวและหนา รอบข้างรายล้อมไปด้วยธรรมชาติ โดยมีลำธ
“ที่ผืนนี้เหมาะที่จะเป็นของคุณตะวันแล้วละครับ ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณที่ให้โอกาสคนไร้หนทางอย่างผมเพราะหากช้าอีกนิดที่ตรงนี้ก็จะถูกยึดจากเจ้าหนี้หน้าเลือด”ชายสูงวัยหยุดกลืนความอัดอั้นก่อนจะมาเจอแสงสว่างอย่างนายตะวัน“มันเหมือนสวรรค์ส่งคนดีมาให้ ชาวบ้านและคนแถวนี้ถึงได้มีงานทำและไม่ถูกโกงค่าแรง แค่นี้ก็บุญคุณท่วมท้นแล้วครับ” แววตาตื้นตันของลุงมิ่งฉายชัดกับสิ่งที่ตนเองได้รับอยู่ในตอนนี้ใบหน้าคมเข้มของตะวันหันมองคู่สนทนาสายตาอ่อนแสงลง ก่อนที่เขาจะหันกลับไปมองการทำงานของคนงานที่กำลังทำกันอย่างขะมักเขม้นอยู่ไกลๆ“การทำงานร่วมกันต้องใช้ใจ หากผมมีแต่ทุนและไร้ซึ่งแรงงาน ผมก็ไม่มีวันถึงจุดหมาย เมื่อมีแรงงานและมีทุน ผมก็ต้องศึกษาและเข้าใจความต้องการของคนในไร่ เพื่อประคองให้งานได้เดินหน้าต่อไป ผมมีทุน ทุกคนมีแรงที่จะทำงานตามที่รับมอบหมายให้ผมตามเป้าหมาย มันก็คุ้มค่าด้วยกันไม่ใช่หรือครับ”คำพูดที่เต็มไปด้วยเหตุผลถูกกลั่นกรองออกมาจากความรู้สึกของเขาทั้งหมดสายตามุ่งมั่นทอดมองพื้นที่อันกว้างขวาง ทั้งหมดนี้เขาเป็นคนถือครองกรรมสิทธิ์อย่างถูกต้อง ขอบฟ้าที่จรดแผ่นดินเบื้องล่างแต่งแต้มด้วยสีสันหลากหลายข
การหายตัวไปของน้ำเหนือ เพียงเพราะคิดว่าเป็นการประชดแต่ในวันรุ่งขึ้น ก็มีจดหมายลึกลับมาถึงเขาโดยตรงอีก รู้แค่ว่าจดหมายฉบับนั้น ยามรักษาความปลอดภัยหน้าหมู่บ้านเป็นคนนำมาให้ โดยที่ไม่เห็นหน้าผู้ฝากเช่นกันหากแต่ความน่าสนใจทั้งหมด กลับไปอยู่ที่ข้อความภายในกระดาษ ‘พี่พายุไม่ต้องห่วงและไม่ต้องตามหาผม ถึงเวลาผมจะกลับเอง’ ซึ่งลายมือก็ไม่เหมือนครั้งก่อน“หรือจะไปนอนค้างบ้านเตชิน”ความหวังพาดผ่านเต็มใบหน้า พายุกระชากรถคันหรูทะยานออกจากบ้านไปด้วยความเร็ว เหมือนกับว่าความเร็วนั้นจะทำให้ใจที่วุ่นวายของเจ้าของได้ผ่อนลง...หากแต่เส้นทางเป้าหมายที่คุ้นชินกลับทำให้คนภายในรถเริ่มกระสับกระส่ายเหงื่อเม็ดโป้งเริ่มผุดพรายขึ้นตามใบหน้า ทั้งที่แอร์เร่งจนถึงขีดสุด มือเรียวหนาที่กำพวงมาลัยสั่นระริก รับรู้ถึงความเปียกชุ่ม เมื่อระยะทางเริ่มใกล้เข้ามา“อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด”พายุชะลอเครื่องยนต์ลงเมื่อจุดหมายแลเห็นอยู่ไม่ไกล ก่อนจะค่อยๆ จอดสนิทนิ่งหน้าประตูรั้วอัลลอยสีทองด้านหน้าของคฤหาสน์หลังใหญ่ที่เขาเคยเข้าออกมาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้เขารู้สึกเหมือนกับว่าเพิ่งเคยมาสถานที่แห่งนี้เป็นครั้งแรกคนมีชนักติดตัวไม่เหล