น้ำเหนือกลืนน้ำลายลงคอ ข่มใจพูดด้วยดีๆ “ผมพร้อมจะทำตาม ให้ผมไปอาบน้ำผมก็ไปได้แค่คุณบอก ไม่ต้องลากไม่ต้องออกแรง”“ผมต้องฟังงั้นเหรอ” แล้วก็กระชากคนที่มีเพียงผ้าห่มพันกายอย่างหมิ่นเหม่ออกจากห้องโดยไม่ฟังเสียงค้านเมื่อฝืนตัวไปก็เท่านั้น น้ำเหนือจึงปล่อยเลยตามเลย อยากทำอะไรก็ทำ แต่ก็ยังข้องใจจึงถามออกไป“ไม่เหนื่อยหรือไง ที่ต้องมาฉุดกระชากกันแบบนี้ โอ๊ะ คุณ...”ยังพูดไม่ทันจบน้ำเหนือก็เซ รีบทรงตัวจับชายผ้าห่ม ก้าวเท้ายาวๆ เพื่อให้ทันแรงคนดึงไม่มีเสียงตอบกลับ นอกจากสีหน้าและท่าทางดิบเถื่อนน้ำเหนือไม่รู้ว่าเขาจะลากไปไหน แต่รู้เพียงว่าตอนนี้ความหนาวเย็นของอากาศทำให้แทบจะก้าวขาไม่ออก อีกทั้งหูแว่วได้ยินเสียงน้ำไหล ทำให้รู้สึกกลัวจับใจ“จะพาผมไปไหน...” น้ำเหนือถามเสียงสั่น จิกเท้าไปบนพื้นหญ้า สายตาหวาดหวั่นกวาดมองไปทั่วบริเวณ ในใจหวังให้มีใครอยู่บริเวณนี้สักคน เพื่อช่วยให้หลุดออกไปจากเหตุการณ์เลวร้ายนี้ แต่หันมองจนทั่วกลับพบแต่พื้นป่าเขียวขจี“กลัวตายเหรอ”“ใครบ้างไม่กลัวตาย...หรือคุณไม่กลัว”สายตาและน้ำเสียงเกือบทำให้ตะวันเปลี่ยนใจ ถ้าหากไม่มีประโยคหลังย้อนถาม เขาจึงย้อนกลับไป“ใช่ ใครบ้าง
“คุณ คุณครับ...”ด้วยความเป็นห่วง ภาคินตัดสินใจเรียกคนที่นอนหลับตาอยู่ในอ้อมแขน เพื่อให้รู้ว่าเขายังมีสติมากน้อยแค่ไหน ระหว่างนั้นก็นิ่งพิจารณาใบหน้านั้นอีกครั้งลักษณะหน้าตาและผิวพรรณ มองออกว่าไม่ใช่คนในพื้นที่แถวนี้อย่างแน่นอน หากตามตัวมีรอยช้ำเป็นจ้ำๆ และรอยแผลถลอกขีดข่วน จนรู้สึกปวดแสบแทน...เสียงฝีเท้าที่เดินย่ำเข้ามาใกล้ทำให้ภาคินละสายตาจากคนในวงแขน และตัดสินใจวางร่างที่ยังมีสติไม่เต็มร้อยลงไปบนพื้นหญ้าตามเดิม ก่อนจะกระโดดลงน้ำและว่ายข้ามไปขึ้นยังอีกฝั่งอย่างรวดเร็ว เพราะพื้นที่ที่เขาเหยียบย่างอยู่นี้เป็นพื้นที่หวงห้ามสำหรับคนภายนอกอย่างเขาร่างกำยำของภาคินก้มลงเก็บสิ่งของที่วางทิ้งไว้ก่อนหน้าขึ้นมาถือไว้ สายตาคมเข้มสีดำสนิทหันมองไปยังคนที่นอนไม่ขยับอีกครั้ง แล้วตัดใจเดินหลบหายไปในป่าที่มีต้นไม้ปกคลุม...เมื่อพ้นจากแนวเขตต้นไม้ใหญ่ ภาคินก็มุ่งตรงไปยังบ้านหลังใหญ่ทันที“พี่กลับมาแล้ว” ส่งเสียงไปก่อน เพื่อให้อีกคนที่อยู่ในบ้านได้รับรู้นทีในชุดเสื้อยืดคอวี กางเกงตัวหลวมเดินก้าวออกมาเมื่อได้ยินเสียงเรียก ใบหน้าหล่อบึ้งตึงขณะมองสบตาพี่ชาย“หายไปนานเลยนะ อย่าบอกนะว่าแอบไปเล่นน้ำฝั่งโ
ริมฝีปากเม้มแน่นเพื่อป้องกันเสียงที่จะเล็ดลอดออกไป ความรู้สึกปวดร้าวบนร่างกายไม่หนักหนาเท่ากับข่าวร้ายที่รับรู้มา...“นี่ คิดจะนอนอยู่ตรงนี้จนมืดค่ำเลยหรือไง” น้ำเสียงทุ้มหนัก ถามอย่างไม่ไยดีครั้นสายตาพร่ามัวที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาไล่สายตาขึ้นไปมอง น้ำเหนือก็เห็นใบหน้าหล่อเกลี้ยงเกลา ไร้มาสก์ปิดบังใบหน้าน้ำเหนือยอมรับว่าผู้ชายคนนี้หน้าตาหล่อเหลายิ่งกว่าพระเอกหนัง แต่จิตใจร้ายกาจ ยิ่งกว่าตัวร้ายฆาตกรโรคจิต จนไม่อยากรู้จักหน้าค่าตา“ไม่ตายก็ดีแล้ว ลุกขึ้นมา”เขาออกคำสั่งด้วยแววตาคมกริบที่มองราวกับอยากกินเลือดกินเนื้อ ทำให้ความอ่อนล้าทั้งหลายหายไปเกือบหมดความหวาดกลัวต่อคนตรงหน้าจึงกลายเป็นพลังให้น้ำเหนือดันตัวเองลุกขึ้นนั่ง แม้จะดูยากลำบากเพราะผ้าห่มที่พันกายอยู่ ไม่ค่อยเป็นไปตามความต้องการนัก แต่ก็ลุกขึ้นมานั่งจนได้ตะวันมองร่างกายเปล่าเปลือยที่มีเพียงผ้าห่มเปียกปอนห่อกาย แล้วยกยิ้มมุมปากสะใจ“หรือจะไปนั่งแช่ในน้ำต่อดี”ประโยคนั้นทำเอาคนว่ายน้ำไม่เป็นตาเบิกโต ออกอาการเลิ่กลั่ก“ทำไม ไม่ชอบเล่นน้ำเหรอ”ประโยคคำถามที่ไม่ได้บ่งบอกถึงความเป็นห่วง ซึ่งน้ำเหนือรับรู้ได้ จึงขยับจะลุกขึ้นยืนเ
เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงตามนาฬิกาบนข้อมือ ตะวันตวัดสายตามองไปยังห้องเล็กที่เขาให้อีกคนได้ใช้ หงุดหงิดกับความเชื่องช้า ก่อนจะก้มอ่านหนังสือในมือต่อ แต่แล้วกลิ่นหอมอ่อนๆ ของแป้งก็หอมโชยมาตามลม จนตะวันเผลอสูดเข้าไปเต็มปอด หากแต่เมื่อเห็นหน้าเจ้าของกลิ่นที่พาติดตัวออกมา ตะวันก็รีบปรับสีหน้า“กว่าจะออกมาได้นะ”“จะให้ผมทำอะไรครับ...” น้ำเหนือถามเสียงเรียบ แต่คนฟังรู้ว่านี่คือการฝืนใจ“ฉันหิว ไปทำอะไรมาให้กินหน่อย”เขาพูดและโยนหนังสือในมือลงบนโต๊ะด้วยท่าทีหงุดหงิดและนั่นก็ส่งผลให้คนตัวเล็กกว่าสะดุ้งเฮือกละล้าละลังทำอะไรไม่ถูก“ยืนนิ่งอยู่ทำไม บอกว่าไปทำอาหารได้แล้ว ฉันหิว”คำสั่งนั้นทำให้น้ำเหนือมีท่าทีเงอะงะเหมือนคนขาดความมั่นใจ“อย่าบอกนะว่าทำอาหารไม่เป็น ไม่อย่างนั้นฉันจะให้นายไปเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่แทน” ตะวันลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับหรี่ตามองอย่างดูแคลน“ผมก็ทำได้นะ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะถูกปากคุณหรือเปล่า” น้ำเหนือบอกเผื่อไว้ให้อีกฝ่ายทำใจไว้บ้าง เพราะตัวเองก็ไม่เคยทำให้ใครกิน แม้แต่ตัวเองตะวันเหยียดยิ้ม พอเดาได้ว่าผู้ชายแสนบอบบาง โดนอะไรนิดอะไรหน่อย ก็ปรากฏรอยให้เห็นแบบนี้ จะทำอะไรเป็น
คำสั่งประกาศิตดังสวนมาทันที น้ำเหนือมองอย่างตัดพ้อแต่ก็จำต้องฝืนทนกลืนไข่เจียวไหม้ๆ นั้นลงท้องคำเดียวยังพอทน แต่หากให้กินหมดจานคงไม่ไหว“มันขม ไม่กินไม่ได้หรือไง”“ไม่ได้ ทำมาแล้วก็ต้องกินเข้าไป กินให้หมด รู้ไหมว่าไข่ใบนึงเดี๋ยวนี้ราคาเท่าไหร่”“ไม่รู้”“แล้วรู้อะไรบ้างไหม หัดทำตัวให้มีประโยชน์หน่อยสิ ไม่ใช่ใช้ให้พ่อแม่หาเลี้ยงไปวันๆ ทำตัวไร้สมองทั้งพี่ทั้งน้อง...”คำตำหนิอย่างไม่ไว้หน้าของเขาทำเอาน้ำเหนือหมดความอดทน“มันจะมากเกินไปแล้วนะ...” น้ำเหนือลุกขึ้นชี้หน้า “ผมกับพี่พายุอยู่กันได้โดยไม่เคยเดือดร้อนใคร แล้วไม่ใช่คุณหรือที่บังคับให้ผมทำ”คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน “กล้าเถียงเหรอ” แล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง“ผมไม่ได้เถียง แต่เผื่อคุณลืม” แม้จะกลัวอารมณ์ขึ้นลงของอีกฝ่าย แต่เพราะก้าวก่ายกันมากเกินไป จึงทำให้มีความกล้าพอที่จะพูดให้อีกฝ่ายคิด“พอมีแรงเข้าหน่อยก็กล้าเถียง”‘อยากรู้นัก ว่าจะกล้าปากดีไปได้สักกี่วัน...’กระท่อมไม้หลังเล็กรูปทรงกะทัดรัด ถูกปลูกสร้างไว้กลางป่า ทำจากวัสดุธรรมชาติทั้งหลัง ด้านข้างทำด้วยไม้ไผ่สาน หลังคาทำด้วยใบไม้เรียวยาวและหนา รอบข้างรายล้อมไปด้วยธรรมชาติ โดยมีลำธ
“ที่ผืนนี้เหมาะที่จะเป็นของคุณตะวันแล้วละครับ ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณที่ให้โอกาสคนไร้หนทางอย่างผมเพราะหากช้าอีกนิดที่ตรงนี้ก็จะถูกยึดจากเจ้าหนี้หน้าเลือด”ชายสูงวัยหยุดกลืนความอัดอั้นก่อนจะมาเจอแสงสว่างอย่างนายตะวัน“มันเหมือนสวรรค์ส่งคนดีมาให้ ชาวบ้านและคนแถวนี้ถึงได้มีงานทำและไม่ถูกโกงค่าแรง แค่นี้ก็บุญคุณท่วมท้นแล้วครับ” แววตาตื้นตันของลุงมิ่งฉายชัดกับสิ่งที่ตนเองได้รับอยู่ในตอนนี้ใบหน้าคมเข้มของตะวันหันมองคู่สนทนาสายตาอ่อนแสงลง ก่อนที่เขาจะหันกลับไปมองการทำงานของคนงานที่กำลังทำกันอย่างขะมักเขม้นอยู่ไกลๆ“การทำงานร่วมกันต้องใช้ใจ หากผมมีแต่ทุนและไร้ซึ่งแรงงาน ผมก็ไม่มีวันถึงจุดหมาย เมื่อมีแรงงานและมีทุน ผมก็ต้องศึกษาและเข้าใจความต้องการของคนในไร่ เพื่อประคองให้งานได้เดินหน้าต่อไป ผมมีทุน ทุกคนมีแรงที่จะทำงานตามที่รับมอบหมายให้ผมตามเป้าหมาย มันก็คุ้มค่าด้วยกันไม่ใช่หรือครับ”คำพูดที่เต็มไปด้วยเหตุผลถูกกลั่นกรองออกมาจากความรู้สึกของเขาทั้งหมดสายตามุ่งมั่นทอดมองพื้นที่อันกว้างขวาง ทั้งหมดนี้เขาเป็นคนถือครองกรรมสิทธิ์อย่างถูกต้อง ขอบฟ้าที่จรดแผ่นดินเบื้องล่างแต่งแต้มด้วยสีสันหลากหลายข
การหายตัวไปของน้ำเหนือ เพียงเพราะคิดว่าเป็นการประชดแต่ในวันรุ่งขึ้น ก็มีจดหมายลึกลับมาถึงเขาโดยตรงอีก รู้แค่ว่าจดหมายฉบับนั้น ยามรักษาความปลอดภัยหน้าหมู่บ้านเป็นคนนำมาให้ โดยที่ไม่เห็นหน้าผู้ฝากเช่นกันหากแต่ความน่าสนใจทั้งหมด กลับไปอยู่ที่ข้อความภายในกระดาษ ‘พี่พายุไม่ต้องห่วงและไม่ต้องตามหาผม ถึงเวลาผมจะกลับเอง’ ซึ่งลายมือก็ไม่เหมือนครั้งก่อน“หรือจะไปนอนค้างบ้านเตชิน”ความหวังพาดผ่านเต็มใบหน้า พายุกระชากรถคันหรูทะยานออกจากบ้านไปด้วยความเร็ว เหมือนกับว่าความเร็วนั้นจะทำให้ใจที่วุ่นวายของเจ้าของได้ผ่อนลง...หากแต่เส้นทางเป้าหมายที่คุ้นชินกลับทำให้คนภายในรถเริ่มกระสับกระส่ายเหงื่อเม็ดโป้งเริ่มผุดพรายขึ้นตามใบหน้า ทั้งที่แอร์เร่งจนถึงขีดสุด มือเรียวหนาที่กำพวงมาลัยสั่นระริก รับรู้ถึงความเปียกชุ่ม เมื่อระยะทางเริ่มใกล้เข้ามา“อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด”พายุชะลอเครื่องยนต์ลงเมื่อจุดหมายแลเห็นอยู่ไม่ไกล ก่อนจะค่อยๆ จอดสนิทนิ่งหน้าประตูรั้วอัลลอยสีทองด้านหน้าของคฤหาสน์หลังใหญ่ที่เขาเคยเข้าออกมาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้เขารู้สึกเหมือนกับว่าเพิ่งเคยมาสถานที่แห่งนี้เป็นครั้งแรกคนมีชนักติดตัวไม่เหล
คนสูงวัยส่ายหน้าช้าๆ เขาจะดีใจหรือเสียใจกับการหายตัวไปของน้องชายของผู้ชายตรงหน้านี้ดี หากแต่ก็รีบเก็บความรู้สึกนั้นไว้ ยังไงเรื่องทุกอย่างมันเกิดมาจากการกระทำที่เชื่อมต่อกันของคนทั้งสองฝ่าย บทสรุปข้างหน้าจะเป็นเช่นไร ก็ไม่อาจไปแนะนำหรือช่วยอะไรได้ ใครทำก็รับไป...“ผมไม่รู้” คำตอบสั้นๆ เพื่อตัดจบ“น้ำเหนือสนิทกับเตชินที่สุด ไม่มาหากัน แล้วจะไปหาใครได้”“ผมไม่รู้ เรื่องนั้นคุณต้องตามหาเอาเอง แต่สำหรับที่นี่ไม่มีใครให้คุณมาตามหาอีก แม้แต่น้องคุณและคุณเตชิน...”อาพงศ์เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังหัวใจของพายุเต้นแรง เช่นนั้นก็ไม่รู้หนทางที่จะตามหาน้องชายเช่นกัน หากแต่ทำไมเตชินไม่ได้อยู่บ้านหลังนี้...“เตชินย้ายไปอยู่ที่อื่นใช่ไหมครับ หรือไปอยู่ต่างประเทศกับพี่ชายครับ”“ถ้าไปอยู่ต่างประเทศ ก็ดีสิครับ” ใบหน้าผู้สูงวัยหม่นลง ทำให้ใจของพายุรุ่มร้อนอยากรู้ความจริงจนใจเจียนระเบิด“ต่างประเทศก็ไม่ได้ไป แล้วไปไหนครับ อาพงศ์บอกผมมาเสียทีเถอะ” สีหน้าเจ็บปวด เว้าวอนขอคำตอบพงศ์ถอนหายใจหนักหน่วง ตาจ้องนิ่งไปยังหนุ่มหล่อ ที่บัดนี้แลเห็นถึงความทุกข์อยู่เต็มใบหน้า “ได้ ผมจะบอกให้เอาบุญ จะได้ไม่ต้องมาตามหาใ
ณ ไร่ตะวัน“นี่จะไม่ให้ลุกไปไหนเลยหรือไง” น้ำเหนือถามเสียงเข้ม เพราะพยายามปลดแขนที่กอดรัดไว้ตั้งแต่เมื่อคืนออกจากตัว แต่อีกฝ่ายก็ขืนไว้ไม่ยอมให้ปลดออก“ผมยังไม่อิ่มเลย”“นี่ฟ้าจะเปลี่ยนสีอยู่แล้ว ลุกขึ้นไปดูคนงานบ้างเถอะ...” ว่าแล้วก็ตีไปบนต้นแขนแข็งแรง แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่เปลี่ยนท่าที “ไหนบอกว่าจะพามาดูไร่ นี่อะไร ขังไว้ในห้องตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ”“ก็คนมันคิดถึง”“คิดถึงหรือเงี่ยน”“โธ่...ปากคอเราะรายขึ้นนะ” ว่าแล้วก็ปล่อยแขนออกจากเอวน้ำเหนือจึงดีดตัวลุกขึ้น มองร่างใหญ่ล่ำที่นอนแผ่โชว์กล้ามเนื้อแน่น ซึ่งน้ำเหนือหน้าเห่อร้อนทุกครั้งที่เห็นและสัมผัส...“ผมอยากไปดูสวนผัก...”“จะเปลี่ยนไปนอนกระท่อมไหมล่ะ บรรยากาศท่าจะดี หรือริมลำธารดีล่ะ...”รู้ว่าตะวันแกล้งพูดยั่ว ซึ่งน้ำเหนือก็ไม่ได้ใส่ใจ หากแต่สนใจกระท่อมไม้ที่ตัวเองเคยซุกหัวนอน“ยังไม่พังอีกเหรอ”ในเมื่อสภาพกระท่อมเป็นเพียงไม้ไผ่สานบางๆ และใบไม้แห้งจะทนแดดทนฝนไปได้นานเท่าไหร่กัน“ผมสั่งให้ลุงมิ่งดูแลอย่างดีเลยนะ”“เพื่อ...”“ความทรงจำผมอยู่ที่นั่นไง”“ลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวเถอะ ผมอยากเห็นแล้ว” พูดพลางก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มเดินตรงไปยังห้อ
ณ ธงชัยสิทธิ์เหตุการณ์ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี เตชินทำเรื่องขอวีซ่าเพื่อเดินทางไปต่างประเทศเรียบร้อย และกำลังจัดกระเป๋าเสื้อผ้าเตรียมตัวเดินทางในอีกสองวัน“แน่ใจนะว่าไปอยู่คนเดียวได้” ตะวันเดินเข้ามาแล้วเอามือวางไปบนไหล่น้องชาย เตชินเงยหน้าขึ้นมาแล้วฉีกยิ้มให้“อยู่ได้สิครับ ผมน้องพี่ตะวันนะ...” ดวงตากลมใสเป็นประกาย หากแต่ตะวันมองออกว่านั่นคือการพยายามแสดงออกให้เห็นว่าตัวเองไม่เป็นไร แต่ใจร้องไห้...“มันเป็นไปไม่ได้แล้วใช่ไหม...” เพราะสองอาทิตย์ที่ตัวเองนอนเป็นเจ้าชายนิทรา ทางนี้ก็ได้พายุเป็นคนรับหน้าที่ดูแล มันคงมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปได้บ้าง...คำถามของคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน สะท้อนตรงลงมากลางอก เตชินดวงตาอ่อนแสง แล้วตอบเสียงสั่นเครือ “แค่พี่เขาไม่รังเกียจผมก็ดีมากแล้ว”“อืม...อาจจะไม่ใช่เวลาที่ใช่”“แล้วเรื่องพี่ตะวันกับน้ำเหนือล่ะครับ...” เตชินเปลี่ยนเรื่อง“พี่ก็ไม่ท้อหรอก พยายามตามจีบเขาอยู่”“งั้นผมเอาใจช่วยนะครับ” แล้วสองพี่น้องก็สวมกอดส่งกำลังใจให้กันสนามบินสุวรรณภูมิ“น้ำเหนือบอกว่าจะมาส่งเหรอ” ตะวันเอ่ยถามหลังจากที่เห็นน้องชายชะเง้อคอยาวมองไปยังประตูทางเข้า“เห็นบอกว่าจะมา...” น้ำเ
ปัง ปัง ปัง“ไม่ อึก...” น้ำเหนือวิ่งถลาไปหาร่างที่ทรุดลงไปบนพื้นหญ้าอย่างตกใจสุดขีดในขณะที่เตชินทรุดตัวสลบไปพร้อมภาพสุดท้าย คือร่างของพี่ชายที่เต็มไปด้วยเลือด ซึ่งถูกน้ำเหนือประคองกอดไว้ ส่วนพายุวิ่งไปดูเตชินและประคองศีรษะไม่ให้กระแทกลงบนพื้นพายุมองใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือดฝาดด้วยความหดหู่ใจ ความโกรธเกลียดก่อนหน้านั้นหายไปหมดสิ้น เมื่อคนที่ตัวเองประคองอยู่นั้น เจอเรื่องหนักหนาเกินกว่าจะซ้ำเติม และตัวเองก็ไม่ควรเก็บเรื่องราวในอดีตเอามาเป็นทุกข์อีกต่อไป...ช่วงชุลมุนนั้นภาคินระเบิดกระสุนใส่มือของพงศ์จนปืนกระเด็น พงศ์ลงไปนอนกุมมือร้องโอดโอยอยู่ตรงนั้นสองอาทิตย์ต่อมาตะวันเริ่มรู้สึกตัวหลังจากที่มีอาการโคม่าและผ่าตัดถึงสองครั้ง เพื่อเอากระสุนที่อยู่ใกล้จุดสำคัญออกมา และได้น้ำเหนืออยู่ดูแลไม่ห่างโดยมีเดร์เข้ามาช่วยเป็นบางครั้ง จนพายุและภาคินยอมใจอ่อนไม่ห้ามปรามและปล่อยให้ไปตามใจที่น้องชายต้องการ ส่วนพงศ์ถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย และเข้ารับการรักษาเนื่องจากมีอาการจิตหลอน ในขณะที่เตชินยังมีอาการหวาดผวาก็ได้พายุเป็นคนดูแลในระหว่างที่ตะวันรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล...“ฟื้นแล้ว” น้ำเหนือดีดตัวลุกขึ้
ตั้งแคมป์กันเหรอ...ตะวันคิดสรุป เพราะเห็นว่ามีอุปกรณ์ครบไม่ว่าจะของกินหรือของใช้ อีกทั้งเห็นว่ามีเสื้อผ้าเปียกน้ำผึ่งแดดไว้“ไม่ยักรู้ว่าพี่ภาคินก็แม่นปืนกับเขาด้วย”เสียงคุ้นหูดังระรื่นมาแต่ไกล ทำให้คนได้ยินถึงกับหูอื้อ ใจเต้นแรงทันที“คุณตะวัน...” ภาคินเรียกผ่านริมฝีปาก ส่วนน้ำเหนือหน้าถอดสีแล้วขยับไปจับไหล่ของภาคินไว้ภาคินเหลือบตามองน้ำเหนือด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะหันมาพูดกับผู้ชายหน้าบอกบุญไม่รับตรงหน้า“ไม่ทราบว่ามีอะไรด่วนหรือเปล่า ถึงได้เดินตัดเข้ามาในอาณาเขตของคนอื่นแบบนี้.. ระวังเถอะ เจ้าของไร่อาจตาลายนึกว่าเป็นสัตว์ร้ายจะโดนเป่าเอาง่ายๆ นะครับ”“อยากเป่าก็เป่าสิ แต่ต้องเป่าทีเดียวให้ตายนะ” ในขณะที่พูดตาก็มองกร้าวไปยังหนุ่มที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังลูกชายเจ้าของไร่“ผมไม่ใจร้ายใจดำขนาดยิงคนเหมือนกันได้หรอกครับ ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่า”“ก็ไม่มีอะไร แค่ตกใจเสียงปืนก็เท่านั้น”“อ้อ ครับ ผมไม่ทันคิดว่าผมซ้อมมือที่ไร่ผม แล้วจะไปรบกวนคนอื่น”“ครับ บังเอิญว่าทิศทางลมมันไปทางไร่ผมกับน้องชายพอดีเลยทำให้ตกใจ ที่สำคัญคุณก็รู้ว่าน้องชายผมไปเจออะไรมา หากผมจะหวาดระแวงก็คงไม่แปลกนะครับ...แต่ตอนนี้
สองวันต่อมา ตะวันทนการรบเร้าของเตชินไม่ไหวจึงเล่าเรื่องตนเองกับน้ำเหนือให้ฟังจนหมด“พี่ตะวัน พี่ทำกับเพื่อนผมแบบนั้นได้ไง”เตชินได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างน้ำเหนือกับพี่ชายของตัวเองก็รับไม่ได้“พี่ทำแบบนั้นทำไม แล้วนี่พี่จะเอายังไงต่อ...ไม่สิ ผมอยากไปขอโทษน้ำเหนือ” เตชินร้อนใจกลัวความบาดหมางครั้งนี้จะทำให้ความเป็นเพื่อนขาดสะบั้นลงส่วนเรื่องพายุ เตชินเตรียมใจไว้แล้วว่า ความรู้สึกคงไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ โดยเฉพาะพายุ คงยากที่จะกลับมามองหน้าตัวเองได้อีก...“ตอนนี้ พี่ไม่อยากให้เตชินอยู่ห่างพี่เลยนะ”“ผมก็ไม่อยากห่างพี่เหมือนกัน ผมกลัว...”“พี่ขอโทษ...” ดึงตัวน้องชายเข้ามากอดปลอบน้องชายและปลอบใจตัวเอง...“ผมก็ขอโทษพี่เหมือนกัน ที่สร้างเรื่องยุ่งยากมาให้...แต่ตอนนี้ผมเป็นห่วงน้ำเหนือมาก จะเป็นอะไรบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้”“เขาอาจจะเกลียดพี่ไปแล้ว...” ตะวันเปรยขึ้น เสียงเศร้าเตชินรับรู้ได้ว่าพี่ชายตนรู้สึกผิดจริงๆ เพราะคนอย่างนายตะวันไม่เคยทำอะไรฝืนใจตัวเอง“ถึงยังไงผมก็อยากไปเจอน้ำเหนือก่อนจะเดินทาง”เตชินตัดสินใจแล้วว่าจะไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ แต่ต้องรอให้เรื่องทุ
พงศ์เส้นเลือดตรงขมับบวมเต็ง เมื่อเห็นเตชินแสดงสีหน้าเจ็บปวดขณะมองชายอดีตคนรักที่เสมือนหนามยอกอก...เวลาผ่านไป ใจของเตชินก็ยังอยู่กับมันพงศ์คิดอย่างแค้นเคืองเลือดหึงขึ้นหน้า แล้วด้วยความโกรธแค้น จึงคิดหาทางเอาคืนอีกฝ่ายให้สาแก่ใจ ดวงตาคมกล้ามองไปใต้เสื้อแจ็กเก็ตสีดำของชายฉกรรจ์ที่ยืนแนบข้างจดจ้องอยู่ที่บางอย่างตรงเข็มขัด เมื่อได้จังหวะ ก็เข้าไปกระแทกไหล่จนอีกฝ่ายเสียหลักยื่นมือไปคว้าสิ่งที่เล็งไว้มาถือได้สำเร็จอย่างมั่นเหมาะความอลหม่านเกิดขึ้นเมื่อปลายกระบอกปืนจ่อไปยังพายุ ส่วนลูกน้องอีกคนรีบดึงอาวุธของตัวเองออกมาแล้วเล็งตรงไปยังพงศ์ทันทีทุกคนต่างตะลึงตกใจ พายุหน้าถอดสีแต่ทำใจดีสู้เสือตะวันร้อนใจ กลัวเรื่องบานปลายใหญ่โต โดยที่ไม่อยากให้มีการสูญเสียไม่ว่าเรื่องใด ตัดสินใจเดินตรงไปหาพงศ์ ในขณะที่พายุกำลังพูดโต้“จะยิงผมเหรอ...ผมผิดอะไร ในเมื่อผมแพ้พวกอาพงศ์แล้วนี่ น้องชายของผมก็โดนลากไปแก้แค้นทั้งที่ไม่ผิด แล้วผมกับน้ำเหนือสมควรได้รับสิ่งที่ธงชัยสิทธิ์ทำงั้นเหรอ...”คำพูดของพายุทำให้ทุกคนในที่นั้นตะลึงงัน ส่วนภาคินเดินเข้ามาจับแขนเพื่อนไว้เพื่อส่งกำลังใจให้ หากแต่อาพงศ์ยกยิ้มสะใจ“กู
จากคนเงียบๆ และดูสุขุมของพงศ์ทำให้ป้าปุกที่อยู่ด้วยกันมานานก็สังเกตเห็นอาการหงุดหงิดเช่นนี้มาหลายวัน แต่ก็ไม่อยากพูดอะไรให้มากความ เพราะถือว่าเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว...“ทำไมไม่กินข้าวอีก” หลังจากที่กลับมาจากดูว่าปุกและอิงนั่งรถแท็กซี่ออกไปแล้ว พงศ์เห็นว่ากับข้าวที่เขาเป็นคนยกมาให้ยังไม่พร่องไปเลย“ผมกินไม่ลง...อาพงศ์แก้มัดผมเถอะนะ” น้ำเสียงเว้าวอน แต่พงศ์คนใส่ใจและอบอุ่นคนเดิมไม่มีแล้ว“ไม่ รีบกินจะได้ไปกันเสียที” เขาตอบเสียงสะบัดจากที่สีหน้าเศร้าหงอย ก็ตื่นพรืด ร้องถามเสียงหลง “ไปไหน อาพงศ์จะเอาผมไปไหน...ผมไม่ไป ป้าปุก ป้าปุกช่วยผมด้วยป้า...” เตชินตะโกนร้องเรียกพร้อมกับขยับลงจากเตียงตุบเพราะขาทั้งสองถูกมัดไว้จึงร่วงลงมานอนอยู่บนพื้น เตชินกัดริมฝีปากกลั้นความเจ็บเอาไว้จนห้อเลือดพงศ์มองอย่างดูแคลน “อยากเรียกใครก็เชิญ”ประโยคที่ท้าทายและไม่เกรงกลัว ทำให้เตชินเงียบเสียง ตาหรี่มองคนตรงหน้า “ลุงทำอะไรกับพวกเขา”“แค่ไล่ให้กลับบ้าน” สีหน้าราบเรียบไม่แสดงอาการเดือดเนื้อร้อนใจ เป็นเตชินที่หน้าตื่นตกใจ“ไล่กลับบ้าน ไล่ทำไม”“ไม่ต้องถามมาก จะกินไม่กิน”“ไม่ ตอบผมมาสิ ว่าไล่ป้าปุกทำไม”“ไม่ต้องถา
“กว่าจะมาได้...แล้วนี่แต่งตัวจะไปไหนอีก” พอเห็นว่าคนที่ตัวเองตั้งตารอเดินผ่านประตูเข้ามา อีกทั้งแต่งตัวเหมือนเตรียมจะออกข้างนอก ก็ถามเสียงขุ่นสีหน้าไม่พอใจ“อาพงศ์วุ่นวายกับผมเกินไปแล้วนะ...อย่าให้ผมรู้สึกไม่ดีกับอามากไปกว่านี้เลยนะครับ ผมขอร้อง...” เตชินเอ่ยเสียงเศร้าแกมขอร้อง หากแต่ผู้สูงวัยกว่ากลับยืนนิ่งเหมือนไม่รับรู้สิ่งที่พูด เตชินจึงพูดต่อ “เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว เรากลับไปแก้ไขไม่ได้ ผมขอให้มันจบไปได้ไหมครับ...ผมไม่อยากให้อาพงศ์มาจมอยู่กับเรื่องที่เราได้ทำผิดพลาดไป อาจจะเป็นผมที่วางตัวไม่ดี ผมขอโทษอาพงศ์ด้วยนะครับ” เตชินเป็นฝ่ายยอมรับผิดเสียเองเพื่อตัดจบทุกปัญหาหากแต่คนสูงวัยกว่ากลับยิ้มร้าย “มันไม่ง่ายแบบนั้นน่ะสิ...ฮ่า ฮ่า” เสียงหัวเราะนั้นเยียบเย็นจนน่ากลัวเตชินขนลุกซู่ ประหวั่นกับอาการและท่าทางที่เปลี่ยนไปของอาพงศ์ ไม่มีแล้วสายตาและคำพูดที่อบอุ่นใจอย่างเมื่อก่อนเตชินถอยหลัง รู้สึกหวาดกลัวท่าทางแปลกๆ ของอาพงศ์ที่ตอนนี้เหมือนคนไร้สติไปเสียแล้ว“มานี่...มาดูอะไรนี่ อาอุตส่าห์ไปทำมาเลยนะ” มืออาพงศ์คว้าหมับที่ข้อมือเล็กกระชากอย่างแรงจนร่างเตชินเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด“อาพงศ์ปล่อย
เตซินสอดตัวเข้าใต้ผ้าห่ม แล้วดึงชายผ้าห่มคลุมใบหน้าอย่างรำคาญเมื่อได้ยินดังอยู่ใกล้ๆ แต่แรงขยับทำให้จากที่ไม่อยากตื่น ตาก็สว่างโร่ เมื่อรับรู้ได้ว่าบนเตียงตัวเอง มีคนอื่นนอนอยู่ด้วย ใจพลันคิด เมื่อคืนพี่พายุไม่ได้กลับไปนอนบ้านเหรอ...ดึงผ้าห่มออกจากศีรษะแล้วมองไปยังคนข้างๆ“เฮ้ย อาพงศ์” แล้วรีบเลิกผ้าห่มขึ้นเพื่อมองสำรวจร่างกายใต้ผ้าห่มของตัวเองเตชินตกใจแทบสิ้นสติเมื่อเสื้ออาภรณ์ใดๆ บนร่างกายไม่มีแม้แต่ชิ้นเดียว“ใช่ครับ...” พงศ์ตอบสีหน้าราบเรียบ หากแต่เตชินหน้าบิดเบี้ยวเหยเก แล้วมองสำรวจไปรอบห้องด้วยแววตาตื่นตระหนก และพบว่าเสื้อผ้าของตัวเองวางกองอยู่บนพื้นอย่างไม่ไยดี และใกล้ๆ กันนั้นก็เป็นเสื้ออีกชุด ซึ่งไม่ต้องบอกว่าเป็นของใคร...“หมายความว่าไง อาพงศ์ทำอะไรผมเมื่อคืน”ไม่อยากเดา และไม่อยากยอมรับความจริงเสียงทุ้มหนักหัวเราะออกมาแล้วเอ่ยถาม “ทำไม รับไม่ได้เหรอ เมื่อคืนคุณเตชินยังบอกว่าชอบอยู่เลย” แล้วยกมือถือในมือขึ้นสูงอีกครั้งเตชินหน้าตื่นแล้วค่อยๆ กลายเป็นสีเรื่อ เมื่อจำได้เลือนรางว่ามันรู้สึกดีจริงๆ ในตอนนั้น“นี่อาพงศ์ถ่ายภาพผมเก็บไว้หรือครับ” แล้วรีบเบี่ยงตัวหลบ“ก็เอาไว้ดูต