สวัสดีครับผมชื่อพันธศิลป์ หรือชื่อที่พ่อ แม่ พี่น้อง เพื่อนๆ เรียกว่า ตง พี่ตงหรือไอเชี่ยตงตามแต่โอกาสจะเอื้ออำนวย ผมเกิดวันที่ 4 ตุลาคม ใครๆ ก็ว่าคนเกิดเดือนตุลาเป็นคนตรงๆ ยุติธรรม และโรแมนติค แต่ผมยังไม่รู้ว่าผมเป็นคนโรแมนติคจริงหรือเปล่าเพราะผมยังไม่เคยมีแฟน ได้แต่ชอบคนโน้นคนนี้แล้วก็ต้องมารับประทานแห้วทุกทีเลย หรือว่าผมเป็นคนใจบางๆ เจอใครก็รักไปหมด นี่คงสาเหตุที่ทำให้ผมต้องกินแห้วมาตลอด อย่าไปพูดถึงมันเลยครับ เอาเป็นว่าวันนี้ ผมต้องเดินทางจากบ้านบางรักแห่งเมืองหมูย่างเมืองตรังมาเขตรั้วสีบลูวิทยาเขตเมืองคนดี ตามคำสั่งของเพื่อนแป๊ะ ที่ให้มาร่วมทำกิจกรรมรับน้อง
“ไอตง มึงมหาวิทยาลัยก่อนสักอาทิตย์นึงนะ”
“อะไรของมึงวะแป๊ะ กูอยากจะอยู่บ้านกูให้สบายๆ ตัวซักหน่อย”
“กูอยากจะให้มึงมาดูหน้าน้องๆ ของมึงไง มึงต้องมาดูหน้าน้องรหัส ผูกสายเชลล์ให้น้องของมึง”
“เรื่องมาก เออเดี๋ยวกูไป”
แสงแดดยามสายสาดส่องเข้ามาในรถตู้แยงตาผม ทำให้ผมตื่นขึ้นมาแล้วมองออกนอกหน้าต่าง รถแล่นมาถึงซอย 2 อีกนิดใกล้ถึงมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานีแล้ว ผมเตรียมตัวลงจากรถ
“พี่ๆ จอดตรงสามแยกซอยพิเศษด้วยครับ” พี่คนขับจอดรถลงริมทาง ผมลุกแหวกออกจากรถตู้ พร้อมสัมภาระนิดหน่อย ผมขึ้นสะพานลอยข้ามถนนมาอีกฟากตรงหน้าร้านขายของคุณแม่ขา
“ไอหมอมึงมารับกูด้วย” ผมโทรศัพท์หาเพื่อนให้มารับสู่บ้านเช่าที่ตนเองจองไว้ตั้งแต่ปลายปีการศึกษาที่แล้ว จากนั้นผมก็หยิบบุหรี่ในกระเป๋ามาจุดสูบเพื่อเป็นการฆ่าเวลา สักครู่ ชายหนุ่มใส่แว่นขี่รถจักรยานยนต์คันเก่าๆ ผมมองปร๊าดเดียวรู้ทันว่าเป็นไอหมอรูมเมทอีกคนหนึ่งของผม บ้านที่เราเช่าเป็นห้องแถวชั้นเดียวทาสีเขียว นอกเหนือจากไอหมอก็มีแป๊ะเป็นรูมเมทอีกคน
“กว่าจะเสด็จมาได้นะฝ่าบาท พวกเพื่อนๆ มากันหมดแล้ว” หมอบอก “ขึ้นรถมา”
“กูไม่อยากจะมาเลย อยู่บ้านสบายๆ ทำไมต้องให้กูแถกมาด้วยวะ ขาดกูไปสักคน พวกมึงๆ ทั้งหลายก็รับน้องกันได้ ทำไมต้องโทรตามกูด้วย” ผมบ่นเป็นการใหญ่แล้วขึ้นคร่อมเบาะรถจักรยายนต์
“บ้านก็อยู่ไม่ไกล เดินไม่ทันเหนื่อย มึงทำไมไม่เดินไปเองล่ะ”
“กูกลัวผิวเสียนี่วะ”
“แล้วการที่มึงดูดบุหรี่ มันไม่ได้ทำให้สุขภาพของมึงแย่ลงไปมากกว่าการเดินแล้วโดนแดดเผาเลยนะ พี่สาวมึงก็เป็นหมอ ไม่สอนน้องให้เลิกบุหรี่บ้างเลยวะ” หมอพูดประชด
“ไอนี่ ลามปามถึงเจ๊กู ไม่เห็นเกี่ยวอะไรเลยสักอย่าง ตรรกะมึงป่วยนะ บุหรี่ก็ส่วนบุหรี่ แดก็ส่วนแดดสิวะ” ผมเถียงกับมัน แป๊บเดียวถึงบ้านเช่าสีเขียวของพวกเราแล้ว
“มึงจะเข้าในมอ. เลยป่ะวะ” หมอถามหลังจากจอดรถลงหน้าห้อง
“ยังก่อน มึงจะเข้าก็เข้าไป เดี่ยวกูงีบสักหน่อยแล้วค่อยเข้าไป” ผมโยนเป้ลงกับพื้น แล้วเดินเข้าห้องนอน ล้มตัวลงนอนโดยไม่สนใจอะไรอีกเลย
แชะ... แชะ... แชะ... แชะ...
ผมตื่นนอนเกือบ 11 โมง ไม่มีใครอยู่ในบ้าน ประตูปิดไว้ หมอคงจะเข้าไปในมหาวิทยาลัย ผมจะตามเข้าไป ได้เวลาที่รถจักรยานยนต์คันสีน้ำเงินของผมได้ยืดเส้นยืดสาย หลังจากปล่อยให้ฝุ่นเกาะอยู่ในบ้านเช่าหลายเดือน กว่าจะสตาร์ทติดก็ใช้เวลาตั้งพัก สิ้นเปลืองพลังงานของผมไปเยอะอยู่เหมือนกัน ผมปิดบ้านแล้วขับรถจักรยานยนต์ไปในซอย จนถึงสามแยกปากทางเข้ามหาวิทยาลัย เขาเลี้ยวซ้ายไปตามถนนคอนกรีต 4 เลนมีเกาะกลางปักเสาไฟต้นใหญ่ให้ความสว่างไสวในค่ำคืน และประดับประดาด้วยกอพลับพลึงสีขาวเป็นระยะๆ ผมเข้ามาในรั้วมหาวิทยาลัยอย่างสบายๆ ไม่มียามรักษาการตรวจตราตรงประตูให้รำคาญใจ เพราะเป็นช่วงปิดภาคเรียน มีรถผู้ปกครองจำนวนมากมาส่งบุตรหลานที่เข้ามาเป็นนักศึกษาใหม่ซึ่งฝ่าฟันข้อสอบเอนทรานซ์อันแสนหินจนมาเป็นช่อศรีตรังช่อใหม่
อาคารทุกอาคารยืนสง่างามเป็นศรีแก่มหาวิทยาลัย เขาท่าเพชรเป็นฉากหลังยังยืนยงคงความเขียวขจี ตึกเกือกม้าดูราวกับแม่ผู้คอยอ้าแขนรอรับลูกมาสู่อ้อมกอดแห่งรักแท้ ถัดมาอีกนิดคือตึกที่สร้างไม่เสร็จปล่อยให้รกร้างมีเถาตำลึงเลื้อยพันรอบราวกับเป็นนั่งร้านขนาดมหึมาใช้ปลูกไม้เถา และมีรถแมคโครจอดตายซากตรงหัวมุมตึกใกล้สามแยกสวนทุเรียน สิ่งก่อสร้างและอุกรณ์ก่อสร้างเหล่านี้เป็นที่มาของข่าวลือต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น คนก่องานก่อสร้างตกนั่งร้านเหล็กลงมาตาย ผุรับเหมาก่อสร้างตึกประสบปัญหาสภาพการเงินไม่คล่องหาทางออกไม่ได้ เลยตัดสินใจผูกคอตายในตึกที่กำลังก่อสร้าง ด้วยความเฮี้ยนของวิญญาณที่จากไปไม่สงบจึงออกาอละวาดจนผู้รับเหมาก่อสร้างและคนงานที่มารับช่วงต่อโดนหลอกหลอนซ้ำซากจนทิ้งงานปล่อยตึกกลายเป็นตึกร้างมาจนทุกวันนี้
ผมบิดคันเร่งรถจักรยานยนต์ทะยานขึ้นสู่เนินเขาท่าเพชร หอในของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินเขา ผมจอดรถไว้ลานจอดรถของหอ 2 หอนี้เป็นรูปตัวแอลสูงสี่ชั้น บรรยากาศมันครึกครื้นอยู่พอตัว พวกปีหนึ่งและรุ่นพี่ที่อยู่หอในซึ่งมีบ้านอยู่ไกลเดินมาเข้าหอตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
“อ๊อฟ เห็นไอหมอบ้างมั้ย” ผมเจออ๊อฟพอดี มันกำลังจัดขนมเครื่องดื่มทั้งหลายเข้าซุ้มชมรมอาสาพัฒนา ซุ้มนี้ตั้งข้างหอข้างหอ 2 และใกล้กับทางขึ้นลานหอวิจัย
“อยู่หอวิจัย ไปช่วยอาย สปัน ชิคและกระดิ่งย้ายของเข้าหอ”
“ขอบใจ กูไปหาพวกนั้นก่อนนะ” ผมขึ้นลานหอวิจัยไป ห้องพวกผู้หญิงทั้งสี่นางอยู่ชั้นสี่ เดินขึ้นบันได้มาก็ถึงห้องพวกผู้หญิงแล้ว
“มาแล้วก็ดี ช่วยต่อโต๊ะคอมหน่อยดิ” ชิคเปิดประตูรับผมเข้ามาในห้อง หมอนั่งต่อโต๊ะวางโทรทัศน์อยู่ สปัน อายและกระดิ่งกำลังจัดห้องอยู่
“มาถึงก็ใช้ทันที” ผมแกล้งบ่น “ไม่มีอะไรกินบ้างหรือไง หิวจะตายอยู่แล้ว”
“ทำบ่นนะแก รีบต่อๆ ให้เสร็จ ขนมมีอยู่ทางนั้น” กระดิ่งชี้ไปยังเคาน์เตอร์อ่างล้างจาน บนนั้นมีถุงขนมและช็อคโกแลตวางอยู่
พอเสร็จสิ้นจากกิจกรรมประกอบเฟอร์นิเจอร์ให้พวกสาวๆ ทั้งสี่แล้ว หมอขอแยกตัวไปดูแป๊ะว่าประชุมเรื่องการเตรียมกิจกรรมรับน้องที่ห้ององค์การบริหารนักศึกษาในประชุมเสร็จแล้วยัง ระหว่างนั้นผมและสาวๆ ทั้งสี่ไปช่วยอ๊อฟขายขนมที่ซุ้มชมรมอาสาฯ เพื่อฆ่าเวลาพลางๆ
“เด็กปีหนึ่งรุ่นนี้เยอะนะ” อายเอ่ยขึ้น
“ใช่ เห็นว่าเยอะมากๆ เฉพาะวจก. รับถึง 200 คน” ชิคเล่าเสริม
ผมมองไปที่ทางเข้าหอ 2 ที่อยู่ห่างจากซุ้มชมรมอาสาฯ ไม่ไกลเท่าใดนัก เด็กชายร่างอ้วนกำลังอำลาผู้ปกครองที่เป็นชายวัย 30 ต้นๆ พอรถชายผู้ปกครองวิ่งออกไป เด็กอ้วนกวาดสายตามองไปรอบๆ หอพักแล้วมาหยุดตรงที่พวกผมอยู่กัน สายตาเด็กนั่นจ้องมองมาที่ผมอยู่พักใหญ่ สายตาของผมประสานกับน้องเขา ทำให้รู้สึกอะไรบางอย่างที่ผิดปกติไปจากการสบตากับคนอื่นๆ ผมจึงเลี่ยงไปอยู่หลังพวกเพื่อนผู้หญิง แต่น้องคนนั้นก็เดินมาหาพวกเรา
“พี่ครับ ชาเขียวกล่องหนึ่งครับ”
“นี้จ้า น้องเรียนสาขาไหนจ๊ะ” กระดิ่งไถ่ถาม
“วจก. อะไรนี่แหละครับ” น้องตอบมา
“ชื่ออะไรล่ะ มาจากไหน โรงเรียนอะไร” ชิคเป็นคนถามบ้าง
“ผมชื่อแบงค์ครับ ผมอยู่สุราษฎร์นี่แหละครับ จบจากโรงเรียนสุราษฎร์ธานี”
“น้องโรงเรียนอีหนูกับอีพู่” สปันบอกกับทุกๆ คน
“พวกพี่ๆ ชื่ออะไรกันบ้างครับ” แบงค์เป็นฝ่ายถามบ้าง
“พี่ที่หน้าตาคมๆ นี้ชื่อพี่อาย พี่ที่หน้าตาหมวยๆ ชื่อพี่สปัน พี่ที่ผมยาวๆ ชื่อพี่ชิค ส่วนชายเดียวนั่นชื่อตง ส่วนพี่ชื่อพี่กระดิ่งจ้า”
ผมไม่ค่อยคุยอะไรกับแบงค์ แต่ลอบมองมันอยู่เนืองๆ และดูเหมือนว่าผมตั้งใจฟังสิ่งที่แบงค์พูด แบงค์เล่า แบงค์เองคอยลอบมองอยู่เนืองๆ จนผมรู้สึกได้ว่า แบงค์ต้องคิดอะไรกับผมแน่ๆ ไม่หรอกมั้ง ผมสลัดความคิดนี้ออกไป ผมคงจะคิดไปเอง
“พี่ๆ ครับ ผมคงต้องขอตัวขึ้นห้องก่อน ยังจัดของไม่เสร็จเลย ผมไปก่อนครับ แล้วค่อยเจอกัน”
“แล้วค่อยเจอกันจ้า”
แบงค์ขอตัวขึ้นห้องพักไป การสนทนาจึงยุติ ไม่นานนักหลังจากนั้นหมอและปะแวะมา พวกเราทั้งหมดได้โอกาสไปกินข้าวข้างนอกมหาวิทยาลัย
จบบท
แน่นอนว่า ก่อนเปิดภาคเรียนจนเปิดภาคเรียนไปเดือนกว่าๆ มีกิจกรรมรับน้องให้ทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องได้เหน็ดเหนื่อย ในกรณีนี้ไม่มีข้อยกเว้นสำหรับผม หลังจากแป๊ะได้เรียกประชุมระดมความคิดแนวทางในการรับน้องของสาขาวจก. ผมไม่ต้องทำกิจกรรมรับน้องอย่างหนักหน่วงเหมือนอย่างแป๊ะที่เป็นประธานสาขา ต้องดูแลความเป็นอยู่ของรุ่นน้องและรวมไปถึงการฝึกฝนรุ่นน้องให้อยู่ในร่องในรอย เพื่อนโจม เพื่อนเอฟ เพื่อนก๊วยเจ๋ง เพื่อนลิตเติลและคนอื่นๆ ที่รับหน้าที่พี่ไซโคหรือพี่ว้าก กลุ่มไวโคหรือกลุ่มว้ากนี้ ห้ามเพร่งพรายเป็นอันขาดว่าใครเป็นใครให้รุ่นน้องปีหนึ่งทราบ แป๊ะนัดน้องๆ สาขาวจก. ประชุมพบปะรุ่นพี่ปี 2 กึ่งเป็นทางการครั้งแรก ณ ลานหอวิจัยในช่วงค่ำ หลังจากวันนี้เป็นวันปฐมนิเทศน้องๆ ปีหนึ่ง ก่อนหน้านั้นเมื่อคืนก่อน พี่ปี 2 ได้รู้ว่าน้องรหัสของตนเป็นใครโดยไปดูจากบอร์ดประกาศรายชื่อนักศึกษาชั้นปีที่ 1 พร้อมรหัสนักศึกษาอย่างเป็นทางการ แต่ผมไม่มีน้องรหัสเพราะรุ่นน้องไม่ได้มามอบตัวยืนยันการเป็นศึกษา “แป๊ะ จะแกล้งอะไรน้อง เพิ่มแบงค์ไปด้วยนะ”อ๊อฟสั่งแป๊ะมาเป็นพิเศษ “ทำไมวะ น้องเขาก็ดี ไปทำไรใ
ช่วงพักเที่ยงระหว่างรอเรียนวิชา Principle of Accounting 2ในวันหนึ่ง ผมและเพื่อนๆ นั่งเล่นพูดคุย มีน้องปี 1 ล่าประวัติและลายเซ็นของรุ่นพี่ตามประเพณีและสำคั่งของพี่ไซโคที่สั่งให้น้องๆ เฟรชชี่แต่ละคนต้องหาประวัติรุ่นพี่ไม่ต่ำกว่า 100 คน “พี่ครับ พวกพี่มีนิยามของการแอบรักอย่างไรบ้างครับ?” วันนี้แบงค์มาแปลก ไม่ล่าลายเซ็นรุ่นพี่ แต่มาตั้งกระทู้ถามอะไรแปลกๆ “ถามไปทำไมยะ?” กระดิ่งถามกลับ “เอาไปใช้ในวิชา Communication Skills ครับ อาจารย์ตั้งโจทย์ให้พูดโดยฉับพลัน ผมคิดว่าเพื่อนๆ คงจะพูดกันแต่เรื่องว่ามาอยู่ที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง มันซ้ำๆ กันจนเกร่อ ผมเลยหาประเด็นที่มันแปลกๆ ฉีกแนวไป” แบงค์อธิบาย “สำหรับพี่การแอบรักคือ เป็นความชื่นชอบส่วนบุคคล” ชิคให้นิยามกา
ผมกลับมาถึงบ้านเช่าอย่างเหนื่อยล้า เดินไปนั่งพักผ่อนที่หลังบ้าน สูบบุหรี่พ่นควันครุ่นคิดในเรื่องปัญหาหัวใจที่เกิดอยู่ กำลังผ่านพ้นไป และเกิดขึ้นในอนาคต เราควรจะทำอย่างไรดี เรารักใครกันแน่ พี่วรรณหรือแบงค์ ทำไมเราสับสนเช่นนี้ สับสนขนาดหนัก สับสนทางเพศเลยทีเดียว ที่สำคัญทั้งพี่วรรณและแบงค์ต่างก็มีใจให้เรา แม้ว่าเราจะมีคำตอบอยู่แล้วว่าเราเลือกใคร แต่เราก็สงสารคนที่เราไม่ได้เลือก เราไม่อยากให้ใครมาหักอกเรา เราก็ไม่อยากหักอกใครเช่นกัน... เกือบ 4 ทุ่มหมอและแป๊ะกลับมาพร้อมเบียร์ 3 ขวด ทำให้ผมนึกเปรี้ยวปากอยากจะดื่มเพื่อคลายความกลัดกลุ้มภายในหัวใจ “กูจะรักกับพี่วรรณดีไหมวะหมอ แป๊ะ?” ผมถามด้วยความรู้สึกวิตกกังวล “พวกมึงจะว่าไงบ้าง?” “กูจะว่าอะไรมึงได้ มึงเองก็ชอบ
ความสัมพันธ์ที่คาราคาซังดำเนินมาถึงภาคเรียนที่ 2 มีบางอย่างเปลี่ยนไป บ้านเช่าที่พวกเพื่อนๆ ผู้หญิงทั้ง 4 จองเอาไว้สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกหล่อนย้ายออกมาจากหอวิจัย แป๊ะก็ย้ายมาอยู่คนเดียวที่ห้องข้างๆ กับพวกผู้หญิง ผมย้ายออกมาเช่นกันแต่ก็อยู่บ้านสีเขียวห้องแรกเพียงแค่คนเดียวเพื่อเป็นการสะดวกหากวรรณจะมาเยี่ยมมาเยียนใช้เวลาตามประสาคนรักกัน ส่วนหมอยังเช่าบ้านสีเขียวอยู่ห้องเดิม แบงค์ถอยรถจักรยานยนต์ระบบออโตเมติกติดตามรุ่นพี่มาเป็นแขกประจำของห้องเช่า แบงค์ยังตั้งชื่อบ้านเช่าตรงหน้ามหาวิทยาลัยที่ทั้งผู้หญิงทั้ง 4 และแป๊ะแห่แหนกันไปเช่าว่า บ้านพิกุลทอง ตามชื่อพรรณไม้ที่ปลูกยืนต้นเรียงรายเป็นแนวรั้วกั้นบ้านกับถนนคอนกรีตในค่ำคืนหนึ่ง บรรยากาศช่างดูเงียบเหงากว่าปกติ ตงสังเกตได้ เมื่อผมแวะบ้านพิกุลหลังกลับมาจากส่งวรรณเข้าหอวิจัยในจมหาวิทยาลัย ไม่ได้พบเจอแบงค์เหมือนอย่างเคยเป็นมา เลยนึกสงสัย“อีแบงค์ไม่มาเหรอสปัน?” “อะไรของแกยะตง ตอนแบงค์อยู่ไม่คุยอะไรกับมัน พ
แบงค์ช่างแสนดี เขาทำตามที่พูดไว้ว่า จะไม่วุ่นวายกับผม ขอแค่ได้แอบรักอยู่ในใจ เราสองคนก็เป็นไปตามครรลองรุ่นพี่รุ่นน้องที่รู้จัก เมื่อผมอยู่กับวรรณแล้วมีแบงค์แวดล้อมอยู่ เขาไม่เคยเข้ามายุ่งวุ่นวาย ถ้าแบงค์เข้าเมืองไปหาอะไรกินกับพวกเพื่อนๆ ของผม เขาจะแวะเอาของกินที่ผมชอบมาฝากสม่ำเสมอ เวลาผ่านไปล่วงเลย ผ่านพ้นปีใหม่มา เรื่องเศร้าๆ ประเดประดังเข้ามา ทั้งเกิดสึนามิ จังหวัดตรังบ้านเกิดผมก็โดนคลื่นยักษ์ แม้ผมไม่ใช่ผู้ประสบภัยแต่ก็ได้เห็นภาพแสนเศร้า ชายหาดที่สวยงามต้องมาพังพินาศ และเรื่องบี-บุหงา รุ่นน้องเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ที่สตูล แป๊ะเดินทางไปเยี่ยมศพบีพร้อมคณาจารย์และนักศึกษาจำนวนหนึ่งเพราะว่าบีเป็นน้องเลิฝ แต่เรื่องเศร้าๆ เหล่ายังดูไกลตัวผมนัก เมื่อเทียบกับเรื่องของแบงค์ เรื่องมันมีอยู่ว่า “กระดิ่ง อีแบงค์ไม่มาเหรอ?” “ถามหามันอีกแระ” กระดิ่งบ่น “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่ได้เจอมันตั้งหลายวันอีกแล้ว ส
ผมขับรถพาแบงค์ตระเวนเล่นไปทั่วซอยพิเศษ เข้ามหาวิทยาลัย วิ่งไปตามถนนช้าบ้างเร็วบ้างสลับกัน ลมเย็นๆ เดือนมกราคมพัดผ่านมา อาจทำให้รู้สึกหนาวสะท้าน “เป็นไงสร่างเมายัง” ผมถามแบงค์ “หายแล้วพี่ จอดตรงนี้ได้ไหม วิวสวยดี” แบงค์บอก ผมจอดรถไว้ริมถนนเส้นรอบนอกของมหาวิทยาลัย “สวยจริงว่ะ” อย่างที่แบงค์บอกมันสวยจริงๆ ตึกเกือกม้าตามไฟไว้สว่างเรื่อเรือง เบื้องหลังเป็นเขาท่าเพชรดำทะมึน ไฟสีส้มจากเสาไฟตัดกับหลังคาสีฟ้าของตึกเกือกม้าขับให้ทุกสิ่งทุกอย่างดูงดงาม “มองดาวตรงนี้ก็สวยไม่แพ้กับศาลาจานบินเลย” แบงค์ลงไปนอนนับดาวบนท้องฟ้าเสียแล้ว “เฮ้ย! แบงค์ มึงลงไปนอนกับพื้นถนนเลยหรือวะ”
“เมารึเปล่าพี่ตง กล้าจังเนอะ” “มึงเชื่อแล้วใช่ป่ะ ว่ากูรักกมึงจริงๆ” “ไม่เชื่ออ่ะ” “แล้วจะให้ทำยังไง มึงจะได้เชื่อ” ผมจนใจแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างการกระทำต่างๆ ล้วนมาจากใจ ใจของผมสั่งให้ทำตามหัวใจต้องการ “หลับตาลงสิครับพี่ตง อยู่เฉยๆ นะ” แบงค์สั่งผมด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม เขาเอามือสัมผัสลูบไล้ร่างกายของผม มือของแบงค์นุ่มนวลอย่าน่าประหลาดราวกับมือของผู้หญิง มันเสียวซ่านอ่ะ เสียวสะท้านไปทั้งตัว “เชี่ยแล้วไง ก็เสียวนะเว้ย” “เสียวจริงหรือว่ารังเกียจ”
ความสารเลวของผมกำลังทำร้ายคนสองคนอย่างเจ็บแสบ ผมวางตัวห่างเหินจากวรรณ เราสองคนได้พบเจอกันเฉพาะรับประทานอาหารมื้อเย็นเท่านั้น ไต่ถามสารทุกข์สุขดิบ เหมือนเป็นแค่คนรู้จักกันเท่านั้น พอไปส่งวรรณเสร็จ ผมแวะเวียนไปรอพบเจอแบงค์ที่บ้านพิกุลทอง เหมือนอย่างที่แบงค์รอคอยได้เห็นหน้าผม ชะรอยว่าเป็นเวรเป็นกรรมของผม แบงค์ไม่ได้มาบ้านพิกุลทองทุกค่ำคืนเหมือนอย่างเมื่อก่อน แบงค์วางตัวกับแบบเดิมๆ คือ ไม่เหินห่างแต่ไม่ได้สนิทสนมกัน เพราะอย่างที่แบงค์ได้ลั่นวาจาไป ถ้าผมไม่เลิกรากับวรรรอย่างเป็นทางการ สัมพันธภาพระหว่างเราสองคนจะเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ “ตง” วรรณเรียกผมระหว่างรับประทานอาหารเย็นในร้านกุ๊กสิทธิ์ด้วยกัน “หือ” ผมขานรับ “มีอะไรเหรอ” “ช่วงนี้ตงเรียนหนักมากเลยหรือไง เลยไม่ค่อยเวลาให้วรรณบ้างเลย”&n
นี่ความฝันหรือความจริง... ไม่รู้ว่าแบงค์เผลอหลับไปนานเท่าไหร่ เขาสะดุ้งตื่นขึ้นอย่างมึนงง เขาปรับตัวเรียกสติกลับมาอยู่พักหนึ่ง สิ่งที่แบงค์เห็นหลังจากคืนสติเต็มตัวแล้วคือ ห้องเกียรติยศบนชั้นสอง หอบรรณสารสนเทศมืดสนิท เครื่องปรับอากาศไม่ทำงาน “ไฟดับอีกแล้วหรือ?” แบงค์พึมพำกับตนเองแล้วเก็บหนังสือ อุปกรณ์การเขียน ลงใส่กระเป๋าเดินออกจากหอบรรณสารสนเทศอย่างรีบเร่ง ตึกเกือกม้าในภาคเรียนฤดูร้อนเงียบอยู่แล้ว เมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าขัดข้องทั้งนักศึกษาและบุคลากรก็ละทิ้งการเรียนและการงานของตน แบงค์ยังอยู่ที่นี่เพียงคนเดียว เขาเดินไปนั่งทบทวนเหตุการณ์ความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลในความฝันตรงม้านั่งตึกในลานตึกเกือกม้า ทำไมหนอ... ทำไมให้เราฝันถึงคนที่จากเราไปไกลแสนไกลแล้ว ทำไมให้เรากับพี่
“ตง... วรรณมีอะไรจะบอก” จู่ๆ วรรณโทรศัพท์มาหาผมในขณะที่ผมกำลังตรวจสินค้าเข้าร้านอยู่ “ว่ามาสิ ตงฟังอยู่” “เราเลิกกันเถอะตง” ทุกอย่างหยุดนิ่ง ผมหูฝาดไปหรือเปล่านี่ “เดี๋ยวๆๆๆ พูดว่าอะไรนะ ล้อเราเล่นใช่ไหมวรรณ” ผมหยุดการกระทำทุกอย่างแล้วตั้งใจฟังวรรณพูดทวนอีกครั้ง “ไม่ได้ล้อเล่นเลยตง เราพูดจริงๆ เราเลิกกันเถอะ เราสองคนอาจจะเคยรักกัน แต่วันนี้ไม่แล้วล่ะ วรรณเจอใครที่ดีกว่าตง ส่วนตงเองก็รักใครอีกคนอยู่เหมือนกันไม่ใช่หรือ” วรรณพูดถึงเหตุผลที่ทำให้เธอต้องเอ่ยคำว่าเลิกกันกับผม “ก็ได้วรรณ เราขอโทษ เราเสียใจที่นอกใจวรรณ” ผมออดอ้อน ยอมรับความผิดที่ได้ก่อไว้ &
ความสารเลวของผมกำลังทำร้ายคนสองคนอย่างเจ็บแสบ ผมวางตัวห่างเหินจากวรรณ เราสองคนได้พบเจอกันเฉพาะรับประทานอาหารมื้อเย็นเท่านั้น ไต่ถามสารทุกข์สุขดิบ เหมือนเป็นแค่คนรู้จักกันเท่านั้น พอไปส่งวรรณเสร็จ ผมแวะเวียนไปรอพบเจอแบงค์ที่บ้านพิกุลทอง เหมือนอย่างที่แบงค์รอคอยได้เห็นหน้าผม ชะรอยว่าเป็นเวรเป็นกรรมของผม แบงค์ไม่ได้มาบ้านพิกุลทองทุกค่ำคืนเหมือนอย่างเมื่อก่อน แบงค์วางตัวกับแบบเดิมๆ คือ ไม่เหินห่างแต่ไม่ได้สนิทสนมกัน เพราะอย่างที่แบงค์ได้ลั่นวาจาไป ถ้าผมไม่เลิกรากับวรรรอย่างเป็นทางการ สัมพันธภาพระหว่างเราสองคนจะเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ “ตง” วรรณเรียกผมระหว่างรับประทานอาหารเย็นในร้านกุ๊กสิทธิ์ด้วยกัน “หือ” ผมขานรับ “มีอะไรเหรอ” “ช่วงนี้ตงเรียนหนักมากเลยหรือไง เลยไม่ค่อยเวลาให้วรรณบ้างเลย”&n
“เมารึเปล่าพี่ตง กล้าจังเนอะ” “มึงเชื่อแล้วใช่ป่ะ ว่ากูรักกมึงจริงๆ” “ไม่เชื่ออ่ะ” “แล้วจะให้ทำยังไง มึงจะได้เชื่อ” ผมจนใจแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างการกระทำต่างๆ ล้วนมาจากใจ ใจของผมสั่งให้ทำตามหัวใจต้องการ “หลับตาลงสิครับพี่ตง อยู่เฉยๆ นะ” แบงค์สั่งผมด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม เขาเอามือสัมผัสลูบไล้ร่างกายของผม มือของแบงค์นุ่มนวลอย่าน่าประหลาดราวกับมือของผู้หญิง มันเสียวซ่านอ่ะ เสียวสะท้านไปทั้งตัว “เชี่ยแล้วไง ก็เสียวนะเว้ย” “เสียวจริงหรือว่ารังเกียจ”
ผมขับรถพาแบงค์ตระเวนเล่นไปทั่วซอยพิเศษ เข้ามหาวิทยาลัย วิ่งไปตามถนนช้าบ้างเร็วบ้างสลับกัน ลมเย็นๆ เดือนมกราคมพัดผ่านมา อาจทำให้รู้สึกหนาวสะท้าน “เป็นไงสร่างเมายัง” ผมถามแบงค์ “หายแล้วพี่ จอดตรงนี้ได้ไหม วิวสวยดี” แบงค์บอก ผมจอดรถไว้ริมถนนเส้นรอบนอกของมหาวิทยาลัย “สวยจริงว่ะ” อย่างที่แบงค์บอกมันสวยจริงๆ ตึกเกือกม้าตามไฟไว้สว่างเรื่อเรือง เบื้องหลังเป็นเขาท่าเพชรดำทะมึน ไฟสีส้มจากเสาไฟตัดกับหลังคาสีฟ้าของตึกเกือกม้าขับให้ทุกสิ่งทุกอย่างดูงดงาม “มองดาวตรงนี้ก็สวยไม่แพ้กับศาลาจานบินเลย” แบงค์ลงไปนอนนับดาวบนท้องฟ้าเสียแล้ว “เฮ้ย! แบงค์ มึงลงไปนอนกับพื้นถนนเลยหรือวะ”
แบงค์ช่างแสนดี เขาทำตามที่พูดไว้ว่า จะไม่วุ่นวายกับผม ขอแค่ได้แอบรักอยู่ในใจ เราสองคนก็เป็นไปตามครรลองรุ่นพี่รุ่นน้องที่รู้จัก เมื่อผมอยู่กับวรรณแล้วมีแบงค์แวดล้อมอยู่ เขาไม่เคยเข้ามายุ่งวุ่นวาย ถ้าแบงค์เข้าเมืองไปหาอะไรกินกับพวกเพื่อนๆ ของผม เขาจะแวะเอาของกินที่ผมชอบมาฝากสม่ำเสมอ เวลาผ่านไปล่วงเลย ผ่านพ้นปีใหม่มา เรื่องเศร้าๆ ประเดประดังเข้ามา ทั้งเกิดสึนามิ จังหวัดตรังบ้านเกิดผมก็โดนคลื่นยักษ์ แม้ผมไม่ใช่ผู้ประสบภัยแต่ก็ได้เห็นภาพแสนเศร้า ชายหาดที่สวยงามต้องมาพังพินาศ และเรื่องบี-บุหงา รุ่นน้องเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ที่สตูล แป๊ะเดินทางไปเยี่ยมศพบีพร้อมคณาจารย์และนักศึกษาจำนวนหนึ่งเพราะว่าบีเป็นน้องเลิฝ แต่เรื่องเศร้าๆ เหล่ายังดูไกลตัวผมนัก เมื่อเทียบกับเรื่องของแบงค์ เรื่องมันมีอยู่ว่า “กระดิ่ง อีแบงค์ไม่มาเหรอ?” “ถามหามันอีกแระ” กระดิ่งบ่น “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่ได้เจอมันตั้งหลายวันอีกแล้ว ส
ความสัมพันธ์ที่คาราคาซังดำเนินมาถึงภาคเรียนที่ 2 มีบางอย่างเปลี่ยนไป บ้านเช่าที่พวกเพื่อนๆ ผู้หญิงทั้ง 4 จองเอาไว้สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกหล่อนย้ายออกมาจากหอวิจัย แป๊ะก็ย้ายมาอยู่คนเดียวที่ห้องข้างๆ กับพวกผู้หญิง ผมย้ายออกมาเช่นกันแต่ก็อยู่บ้านสีเขียวห้องแรกเพียงแค่คนเดียวเพื่อเป็นการสะดวกหากวรรณจะมาเยี่ยมมาเยียนใช้เวลาตามประสาคนรักกัน ส่วนหมอยังเช่าบ้านสีเขียวอยู่ห้องเดิม แบงค์ถอยรถจักรยานยนต์ระบบออโตเมติกติดตามรุ่นพี่มาเป็นแขกประจำของห้องเช่า แบงค์ยังตั้งชื่อบ้านเช่าตรงหน้ามหาวิทยาลัยที่ทั้งผู้หญิงทั้ง 4 และแป๊ะแห่แหนกันไปเช่าว่า บ้านพิกุลทอง ตามชื่อพรรณไม้ที่ปลูกยืนต้นเรียงรายเป็นแนวรั้วกั้นบ้านกับถนนคอนกรีตในค่ำคืนหนึ่ง บรรยากาศช่างดูเงียบเหงากว่าปกติ ตงสังเกตได้ เมื่อผมแวะบ้านพิกุลหลังกลับมาจากส่งวรรณเข้าหอวิจัยในจมหาวิทยาลัย ไม่ได้พบเจอแบงค์เหมือนอย่างเคยเป็นมา เลยนึกสงสัย“อีแบงค์ไม่มาเหรอสปัน?” “อะไรของแกยะตง ตอนแบงค์อยู่ไม่คุยอะไรกับมัน พ
ผมกลับมาถึงบ้านเช่าอย่างเหนื่อยล้า เดินไปนั่งพักผ่อนที่หลังบ้าน สูบบุหรี่พ่นควันครุ่นคิดในเรื่องปัญหาหัวใจที่เกิดอยู่ กำลังผ่านพ้นไป และเกิดขึ้นในอนาคต เราควรจะทำอย่างไรดี เรารักใครกันแน่ พี่วรรณหรือแบงค์ ทำไมเราสับสนเช่นนี้ สับสนขนาดหนัก สับสนทางเพศเลยทีเดียว ที่สำคัญทั้งพี่วรรณและแบงค์ต่างก็มีใจให้เรา แม้ว่าเราจะมีคำตอบอยู่แล้วว่าเราเลือกใคร แต่เราก็สงสารคนที่เราไม่ได้เลือก เราไม่อยากให้ใครมาหักอกเรา เราก็ไม่อยากหักอกใครเช่นกัน... เกือบ 4 ทุ่มหมอและแป๊ะกลับมาพร้อมเบียร์ 3 ขวด ทำให้ผมนึกเปรี้ยวปากอยากจะดื่มเพื่อคลายความกลัดกลุ้มภายในหัวใจ “กูจะรักกับพี่วรรณดีไหมวะหมอ แป๊ะ?” ผมถามด้วยความรู้สึกวิตกกังวล “พวกมึงจะว่าไงบ้าง?” “กูจะว่าอะไรมึงได้ มึงเองก็ชอบ
ช่วงพักเที่ยงระหว่างรอเรียนวิชา Principle of Accounting 2ในวันหนึ่ง ผมและเพื่อนๆ นั่งเล่นพูดคุย มีน้องปี 1 ล่าประวัติและลายเซ็นของรุ่นพี่ตามประเพณีและสำคั่งของพี่ไซโคที่สั่งให้น้องๆ เฟรชชี่แต่ละคนต้องหาประวัติรุ่นพี่ไม่ต่ำกว่า 100 คน “พี่ครับ พวกพี่มีนิยามของการแอบรักอย่างไรบ้างครับ?” วันนี้แบงค์มาแปลก ไม่ล่าลายเซ็นรุ่นพี่ แต่มาตั้งกระทู้ถามอะไรแปลกๆ “ถามไปทำไมยะ?” กระดิ่งถามกลับ “เอาไปใช้ในวิชา Communication Skills ครับ อาจารย์ตั้งโจทย์ให้พูดโดยฉับพลัน ผมคิดว่าเพื่อนๆ คงจะพูดกันแต่เรื่องว่ามาอยู่ที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง มันซ้ำๆ กันจนเกร่อ ผมเลยหาประเด็นที่มันแปลกๆ ฉีกแนวไป” แบงค์อธิบาย “สำหรับพี่การแอบรักคือ เป็นความชื่นชอบส่วนบุคคล” ชิคให้นิยามกา