๒
สบตา
‘Magic time’
ร้านขนมชื่อดังที่มีทั้งขนมไทยและขนมจากแต่ละประเทศให้เลือกซื้อ มีทั้งลูกค้าขาประจำและลูกค้าขาจรซึ่งล้วนแต่สร้างกำไรให้ร้านทั้งนั้น
คุณศลิษาดูแลร้านมาหลายสิบปีหวังให้ลูกสาวเป็นผู้สืบทอดแต่ก็ดูท่าจะยากเสียเหลือเกิน ลูกสาวคนนี้มักไม่อยู่กับที่ชอบล่องไปลอยมาเอาแต่ใจตนเองเป็นที่หนึ่ง
แต่ละสาขามีเอกลักษณ์แตกต่างกันไปตามผู้อยู่อาศัยในชุมชนแถบนั้น สาขาหนึ่งจะดูเรียบหรูมีระดับเพราะเจาะกลุ่มนักธุรกิจและพนักงานบริษัทส่วนราคาก็ไม่แพงเกินไปอยู่ในระดับที่ทุกคนมีกำลังพอจะซื้อ แต่รสชาตินั้นดีจนขายหมดวันต่อวันไม่เหลือเลยสักชิ้น คุณศลิษาเข้ามาดูแลเองทั้งสี่สาขาแต่ก็จ้างผู้จัดการไว้เผื่อตนเองยุ่งจนไม่มีเวลามาร้าน
ร่างบางเดินเข้ามาภายในร้านก็ได้ยินเสียงต้อนรับอันเป็นเอกลักษณ์ของพนักงาน
“ขอต้อนรับเข้าสู่เวลามหัศจรรย์ค่ะ”
..คุณแม่เทรนเองทุกคนว่าลูกค้าเข้าร้านต้องพูดอย่างไรและโทนเสียงประมาณไหน
ใบหน้าหวานยิ้มอย่างเอ็นดูก่อนจะเดินไปหน้าเคาน์เตอร์
“ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าสนใจขนมอะไรคะ”
..ไม่ได้มานานแล้วทุกอย่างดูแปลกตาไปหมด
สาขาหนึ่งเป็นจุดเริ่มต้นธุรกิจของมารดา ครั้งแรกท่านทำเพื่อคลายเครียดใครจะรู้ว่ามันกลับสร้างรายได้จนต้องลงมืออย่างจริงจัง
ภายในร้านตกแต่งอย่างหรูหรามีโคมไฟระย้าห้อยตรงกลางสวยจับตา ณชามองเมนูที่พนักงานยื่นให้ก่อนจะสั่งขนมไทยของโปรดที่กินไม่เคยเบื่อ
“ขอเป็นขนมชั้นหนึ่งชุด ทองเอกและก็วุ้นใบเตยค่ะ”
“คุณลูกค้าจะรับประทานที่ร้านหรือกลับบ้านคะ”
..พนักงานคนนี้ยิ้มแย้มแจ่มใสทั้งหน้าตาก็น่าเอ็นดูเสียเหลือเกิน
“ร้านค่ะ”
พนักงานผายมือไปยังโต๊ะว่างเธอจึงเดินจากไป ดวงตากลมโตมองลูกค้าที่ส่วนมากจะเป็นพนักงานออฟฟิศ มีทั้งมาเป็นกลุ่มและมาคนเดียว แก้วกาแฟและขนมบนโต๊ะบ่งบอกเป็นอย่างดีว่าไม่ใช่เพียงแค่บรรยากาศที่ทำให้ร้านขายดีแต่เพราะขนมอร่อย กาแฟรสชาติเยี่ยมจึงเรียกลูกค้าได้ขนาดนี้
ทุกคนดูวุ่นวายในการเสิร์ฟ พนักงานกว่าครึ่งสามารถพูดคุยภาษาอังกฤษได้เพราะลูกค้าต่างชาติก็เยอะเหมือนกัน ร้านตั้งอยู่ท่ามกลางบริษัทมากมายทำให้ช่วงเที่ยงขายดีมือเป็นระวิงเพราะทำแทบไม่ทัน ไหนจะมีออร์เดอร์ให้ไปส่งบนตึกอีก
..กิจการไปได้สวยจนน่าอิจฉาเชียวล่ะ คุณแม่ของเธอช่างมีหัวนักการค้าเสียจริงเลย
ณชายิ้มอย่างภาคภูมิใจก่อนจะนึกถึงตนเอง
อันที่จริงเธอไม่ชอบงานธุรกิจ ไม่ชอบการค้าขายแต่ชอบและหลงใหลในศาสตร์การแสดง เคยอ่านหนังสือหนักเพื่อเข้าคณะนิเทศศาสตร์มหาวิทยาลัยเดียวกับคนในดวงใจ แต่ก็ไม่รอด..ไม่ใช่เรียนไม่รอดแต่หัวใจเธออ่อนแอเกินไปจนไม่อาจอยู่ร่วมสถาบันเดียวกับชายหนุ่มได้ สุดท้ายก็ถอยออกมาบินไปร่ำเรียนไกลถึงอเมริกาและคณะที่เลือกก็ยิ่งตอกย้ำให้รู้ว่ายังตัดใจจากเขาไม่ได้เสียที
..ใช่แล้ว เธอเลือกคณะบริหารธุรกิจ
“คุณหนู!” พนักงานคนที่เดินมาเสิร์ฟตกใจจนร้องลั่นร้าน
ณชายิ้มกว้างก่อนลุกขึ้นยืนเต็มความสูงที่มีมากกว่าคนตรงหน้าไปเยอะ
“ไม่เจอกันนาน ตัวเท่าเดิมเลยนะคะ”
ขนมถูกวางไว้บนโต๊ะก่อนที่หญิงตัวเล็กจะพุ่งเข้ามาก่อนคุณหนูของตนเอง เธอทำงานที่นี่มากว่าสิบปีแล้ว เห็นตั้งแต่คุณหนูป้อนยังเด็กกระทั่งโตขึ้นเป็นสาวสวยสะพรั่งขนาดนี้ แววตาของคนมากด้วยอายุเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี
ณชากอดตอบแล้วผละออกมามองใบหน้าที่เหี่ยวย่นตามกาลเวลา
“ร้องไห้เลยเหรอคะ” เช็ดน้ำตาให้ก่อนจะยิ้มจนเห็นฟันเรียงสวย
ปลื้มจิตพนักงานที่เรียกได้ว่าจงรักภักดีต่อคุณศลิษาไม่ไปไหนทำงานให้ชนิดถวายหัวจนเป็นที่นับถือของคนทั้งร้านอีกทั้งครองตำแหน่งผู้จัดการสาขาหนึ่ง
“ไม่เห็นตั้งนาน น้าคิดถึงแทบแย่” จับมือเรียวสวยขึ้นมาดูอย่างชื่นชม
..ตอนนี้ไม่ว่าจะมองมุมไหนคุณหนูของเธอก็น่ารักน่าเอ็นดูไปเสียหมด
“ป้อนก็คิดถึงน้าปลื้มค่ะ เลยแวะมาหาเสียหน่อย อยู่ที่นู่นไม่ได้กินขนมไทยฝีมือน้าแล้วคิดถึงมากเลย ว่าแต่ขอยืมตัวมานั่งคุยกันสักครู่ได้ไหมคะ ไม่หักค่าแรงแน่นอนป้อนรับประกัน” ยังคงเป็นคนร่าเริงช่างพูดเช่นเดิมไม่เปลี่ยน
อีกฝ่ายจึงพยักหน้านั่งลงตรงข้ามคุณหนูคนสวยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเป็นเวลานาน
ปลื้มจิต บ้านท่าขามเคยเป็นแม่บ้านที่บ้านพิบูลกนกแต่ลาออกเพราะต้องกลับไปเลี้ยงดูแม่ไม่นานแม่ก็เสียจึงขอกลับมาทำงานอีกครั้งแต่ที่บ้านมีแม่บ้านมากแล้วคุณศลิษาเกิดความสงสารจึงรับเข้ามาเป็นพนักงานในร้านขนมแห่งนี้ เธอพัฒนาตนเองมาเรื่อยๆ จนได้เลื่อนขั้นเป็นผู้จัดการสาขาแม้ความรู้จะจบแค่ระดับมัธยมปลายก็ตาม
“ขอต้อนรับเข้าสู่เวลามหัศจรรย์ค่ะ”
เสียงพนักงานดังขึ้นด้วยโทนเสียงเดียวตลอดจนอดขำไม่ได้
“ตายแล้ว คนเยอะเลยเดี๋ยวน้าขอไปช่วยเด็กๆ ก่อนแล้วจะมาคุยด้วยนะคะ” ปลื้มจิตเห็นคนแน่นร้านจึงขอตัว
ซึ่งณชาก็ไม่ได้ขัดปล่อยให้ไปทำงาน หญิงสาวมองตามแผ่นหลังบางที่นับวันจะตัวเล็กลงเรื่อยๆ ด้วยความรัก เวลามารอแม่ทำงานก็ได้น้าปลื้มคอยเล่นเป็นเพื่อนตลอด ดวงตากลมโตมีแววระยิบระยับด้วยความสุขพลันกลายเป็นตื่นตระหนกเมื่อร่างสูงที่คุ้นเคยเดินเข้ามาภายในร้าน มือบางสั่นด้วยความตื่นเต้นยิ่งเมื่อเขาสั่งเมนูเสร็จและกำลังมองหาที่นั่ง พอดีกับกลุ่มสาวออฟฟิศโต๊ะข้างๆ เธอลุกขึ้นแล้วดันเป็นโต๊ะเดียวที่ว่างอีกด้วย
..ให้ตายเถอะ มันวันซวยอะไรของเธอกันนะ
“เชิญโต๊ะนี้เลยค่ะ”
พนักงานเดินนำมาทำให้ณชาต้องหันหน้าหนีจากเขา ผมที่เคยรวบขึ้นก็ปล่อยสยายก่อนจะเอามาปิดบังใบหน้า ใจสั่นระรัวด้วยความกลัวว่าชายหนุ่มจะมองเห็นตนเอง แอบเหลือบมองอีกฝ่ายก็พบว่าสนใจเพียงเอกสารบนโต๊ะ
‘ทำยังไงดีนะป้อน’ถามตนเองในใจก่อนจะหาทางหนีทีรอด จากการคำนวณด้วยสายตาโต๊ะที่เธอนั่งพอแอบเดินไปหลังร้านได้แต่อาจจะตกเป็นเป้าสายตาของอีกฝ่าย
ณชาเห็นผู้หญิงหลายคนแอบมองที่ชายหนุ่มโต๊ะข้างเธอพลันเกิดความหมั่นไส้ขึ้น
กองทัพ วิจิตรประภา ไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเลยยังคงเป็นที่สนใจของผู้หญิงหลายคน เป็นหนุ่มฮอตที่น่าค้นหาและตอนนี้ก็กลายเป็นผู้บริหารหน้าใหม่ไฟแรง ทั้งยังติดอันดับของหนุ่มคลีโออีกด้วย หล่อ รวย ฉลาด ครบภายในคนเดียวจนเกิดอาการขัดหูขัดตาไปเสียหมด คนอะไรยิ่งอายุมากขึ้นเสน่ห์ก็เพิ่มตามไปด้วย สาวหลายคนทำทีเป็นถ่ายรูปให้กันแต่เธอเห็นชัดๆ ว่ากำลังแอบถ่ายกองทัพอยู่
..ไม่เนียนเอาเสียเลย
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาอารมณ์เสีย จะต้องหาทางออกจากสถานการณ์ตรงนี้เสียก่อน จะทำอย่างไรดีนะ
พยายามหันข้างให้เขาก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ช้าๆ ใจเต้นไม่เป็นจังหวะด้วยความตื่นเต้น เหมือนกำลังเล่นหนังหนีผู้ร้ายไม่มีผิด ลุกขึ้นได้ก็ไม่เห็นเขาสงสัยอะไรจึงลอบถอนหายใจออกมาโดยไม่ดูเลยว่าพนักงานกำลังเดินมาทางนี้ อารามดีใจณชาก็แทบกระโดดโลดเต้นจะวิ่งหนีเขาและนั่นเองทำให้ทั้งพนักงานและลูกสาวเจ้าของร้านชนกันอย่างจัง
“ว้าย” ถ้วยกาแฟและขนมที่จะนำมาเสิร์ฟลูกค้าหล่นกระจายเต็มพื้นและเสียงแตกของจานทั้งเสียงอุทานของณชาเรียกความสนใจจากคนทั้งร้านไม่เว้นแม้แต่กองทัพ
‘ซวยซ้ำซวยซ้อน’เม้มปากแน่นอีกทั้งภายในใจเต้นแรงยิ่งกว่ากลองสะบัดชัยเสียอีก ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลยไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบมองไปทางกองทัพ อยากจะมุดดินหนีเสียเดี๋ยวนี้ให้รู้แล้วรู้รอดแต่ไม่อาจทำได้
ณชารีบเอาผมมาบังใบหน้าแล้วช่วยพนักงานเก็บเศษแก้วทั้งที่อีกฝ่ายพยายามร้องห้าม
“ขอโทษนะคะ ไม่ต้องเก็บหรอกค่ะเดี๋ยวหนูทำเอง”
มือเล็กยังคงสั่นไม่ได้ฟังที่พนักงานพาร์ตไทม์พูดจนกระทั่งเศษแก้วบาดมือเข้าจนได้จึงรีบยกมือขึ้นมาดู เลือดออกไม่มากแต่ก็แสบพอดู คนตัวเล็กกัดฟันข่มอาการเจ็บที่เกิดขึ้น
“ตายแล้วคุณหนู”
..เอาเข้าไป จะมาประจวบเหมาะอะไรตอนนี้
ปลื้มจิตวิ่งหน้าตื่นเข้ามาดูเหตุการณ์ตรงหน้าฉุดรั้งร่างบางให้ลุกยืน ใบหน้าหวานก้มต่ำพยายามให้ผมปกปิดใบหน้ามากที่สุด
“มือเลือดออกเลย ไปค่ะ น้าจะทำแผลให้” รั้งร่างบางให้ออกจากเหตุการณ์นี้
ซึ่งณชาเองก็ยินดีอย่างมาก เธอไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาโดยเฉพาะให้ผู้ชายที่ชื่อกองทัพมองเธอยิ่งไม่อยากอยู่ตรงนี้
ปลื้มจิตดึงคุณหนูให้เดินตามแต่แล้วก็มีมือหนึ่งมารั้งแขนอีกข้างไว้เสียก่อน ตอนนั้นใจหล่นวูบกองแทบเท้าทั้งภาวนาขอให้ไม่ใช่คนที่คาดเดา หลับตาแน่นข่มใจเอาไว้กระทั่งได้ยินเสียงน้าปลื้มจิตร้องทัก
“อ้าวคุณทัพ อยู่ที่นี่ด้วยหรือคะ” เพียงเท่านั้นก็รู้แล้วว่าใครคือคนที่มาจับแขนอีกข้าง เรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นกับเธอเลย ทุกอย่างดูบังเอิญไปเสียหมดจนเหมือนกลายเป็นพรหมลิขิตที่พิสดารเกินไป
ณชาพยายามกระชากแขกออกจากการเกาะกุมของร่างสูงแต่ไม่สำเร็จจึงทำนิ่งไม่หันไปมองอีกฝ่ายทั้งยังก้มหน้าคางแทบจะชิดอกอยู่รอมร่อ
“ครับ เดี๋ยวผมพาไปเอง”
ได้ยินอย่างนั้นก็รีบเงยหน้าขึ้นมามองน้าปลื้มจิตพลางส่ายหน้าช้าๆ แววตาอ้อนวอน
..อย่าปล่อยให้เธอไปกับเขานะ
แต่ผู้จัดการร้านไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรด้วยเลยกลับยิ้มอย่างยินยอมราวกับต้องการผลักภาระเสียอย่างนั้น
“ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นฝากด้วยนะคะ คุณทัพพาคุณหนูไปทำแผลที่หลังร้านเลยก็ได้ค่ะ”
ไม่ได้หันไปดูว่าร่างสูงทำหน้าอย่างไรเพราะหลังจากนั้นเขาก็กล่าวขอบคุณก่อนจะลากเธอไปยังหลังร้านท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่มองมาด้วยความสนใจ
..ให้ตายเถอะ ทำไมชีวิตของนางสาวณชาต้องเป็นแบบนี้ด้วย อยากจะหนีแต่ก็หนีไม่พ้น
สองหนุ่มสาวเดินมาหลังร้านก่อนกองทัพจะพาเธอเข้าไปห้องนั่งเล่นที่คุณศลิษาตกแต่งเอาไว้สำหรับพักผ่อนให้คนในครอบครัวโดยเฉพาะ ที่รู้ก็สืบเนื่องมาจากตอนเด็กชอบมาคลุกอยู่ที่นี่ทั้งวันมีขนมแสนอร่อย ที่นอนแสนสบายอย่างไรเล่า
เสียงปิดประตูดังจนร่างบางสะดุ้ง เธอเดินไปนั่งที่โซฟาพยายามเอาผมมาปิดหน้าปิดตาจนเหมือนคนป่าเข้ากรุงไม่มีผิด ไม่ได้ยินเสียงพูดคุยจากร่างสูงรู้เพียงว่าเขากำลังเดินหาของบางอย่างอยู่และถ้าให้เดาก็คงเป็นอุปกรณ์ทำแผลแน่นอน การพบกันในรอบหลายปีช่างไม่น่าพิสมัยสักนิด ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นด้วยประโยคอะไรหรือควรทำตัวอย่างไรดีเพราะสำหรับเธอแล้วภาพเหตุการณ์ครั้งล่าสุดยังผุดขึ้นมา
“รักปลาย ผมรักปลายนะ”
ในขณะที่กายเขาสอดประสานเป็นจังหวะเดียวกันกับเธอชายหนุ่มยังคงพร่ำบอกรักผู้หญิงอีกคน หัวใจดวงน้อยเหมือนโดนมีดกรีดแทงเป็นแผลเหวอะหวะก่อนจะโดนน้ำกรดราดซ้ำ เจ็บเจียนตายแต่ไม่อาจส่งเสียงร้องออกมาได้ ยอมกลั้นสะอื้นกลืนน้ำตาลงไปกอดเขาเอาไว้ด้วยหัวใจที่แตกสลาย แต่ชายหนุ่มไม่มีวันรู้ว่าผู้หญิงที่เขากกกอดคืนนั้นคือใคร
เขาจะไม่มีวันรู้...
และนั่นจะเป็นความเจ็บปวดครั้งสุดท้ายของเธอ
“เงยหน้าขึ้นมาได้แล้ว หลบหน้าหลบตาอยู่ได้” ร่างสูงสั่งเสียงเบาแต่กลับก้องกังวานในความรู้สึก มือหนาเชยคางมนขึ้นมาให้สบตากันในรอบหลายปี
ดวงตากลมโตจ้องประสานกับแววตาคมจนรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟแล่นผ่านเจ็บไปทั่วร่างต้องปัดมือที่เขาโดนตัวเธอออกก่อนมองไปทางอื่น
“ไม่ได้อยากจับหรอกคุณหนู เอามือมาจะทำแผลให้”
ที่มีตั้งเยอะแต่เขากลับเลือกจะเข้ามานั่งข้างเธอใกล้ชนิดที่เรียกได้ว่าแทบจะเกยตักอยู่แล้ว
ณชารู้สึกอึดอัดยิ่งได้กลิ่นกายหนาก็เกิดอาการหายใจติดขัดเพราะภาพคืนนั้นลอยมาเป็นฉากๆ
“เดี๋ยวนี้เป็นใบ้แล้วเหรอ เงียบเชียว” จับมือบางขึ้นมาก่อนจะเอาสำลีที่ชุบน้ำเกลือมาเช็ดแผลให้ ดวงหน้าคมก้มมองมือเล็กอย่างตั้งใจ อันที่จริงเขาจำเธอได้ตั้งแต่เดินเข้ามาภายในร้านแล้ว ไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันว่าเพียงแค่มองจากแผ่นหลังถึงรู้ว่าผู้หญิงคนนี้คือณชา แต่เธอกลับทำตัวลึกลับราวไม่อยากให้เขารู้ ก็แค่เล่นตามเกมของเด็กน้อย
“คะ ใครเป็นใบ้กัน ป้อนไม่ได้เป็นใบ้ซะหน่อย แค่ไม่รู้จะพูดอะไรเท่านั้นเอง พี่ทัพสบายดีนะ ไม่เจอตั้งนานหล่อขึ้นรึเปล่าเนี่ย แต่ก็อ้วนขึ้นด้วยนะ ดำขึ้นด้วย”
เงยหน้าขึ้นสบตาเธอราวต้องการให้หญิงสาวหยุดพูดเสียเดี๋ยวนี้
ณชาจึงเม้มปากเข้าหากันทันที
“หึ ตื่นเต้นหรือไง”
..ก็ใช่น่ะสิ!
อยากจะตะโกนบอกเขาแต่จำต้องเงียบ หัวใจบ้าก็เต้นเร็วจังเลยทั้งยังดังจนกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน พยายามสูดลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอลดอาการเกร็งเมื่ออยู่ใกล้เขาแต่ดูท่าจะไม่เป็นผล ดวงตากลมโตเหลือบมองใบหน้าคมที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม
..ไม่ได้มองมานานเท่าไหร่แล้วนะ คิดถึงจังเลย
คิดในใจก่อนจะสำรวจใบหน้าคม คิ้วเข้มได้รูปทั้งหน้าผากขนาดพอดีไม่กว้างจนเกินไป ดวงตาเรียวยาวได้มาจากคุณอาภราดร ไหนจะจมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางรูปกระจับโดยไม่ต้องพึ่งมือหมอ ผิวหน้าเรียบเนียนเพราะเจ้าของใบหน้าดูแลอย่างดี
“จำคืนนี้ของเราให้ดีนะคะ อย่าลืมนะ”
คืนนั้นก่อนที่ทุกอย่างจะสิ้นสุดเธอได้บอกกองทัพก่อนจะจุมพิตแผ่วเบาที่เปลือกตาของชายหนุ่ม แม้จะบอกแบบนั้นแต่เชื่อเหลือเกินว่าเขาคงจำไม่ได้และลืมไปจนหมดสิ้น เรื่องระหว่างเรากลายเป็นเพียงแค่ฝุ่นไร้ค่าทั้งยังเป็นมลพิษอีกด้วย
“พี่คิดค่ามองนะ” แม้จะก้มหน้าทำแผลให้เธอแต่ก็รับรู้ถึงสายตาที่กำลังจ้องมองตนเอง
ณชาสะดุ้งเล็กน้อยก่อนเฉไฉมองไปทางอื่นเพราะทำตัวไม่ถูก
“มากกว่ามองก็ทำมาแล้วเถอะ” พึมพำเสียงเบาแต่ด้วยความเงียบของห้อง
ร่างสูงที่นั่งใกล้แทบจะเกยตักจึงได้ยินเพียงแต่อาจมีบางคำที่เขาได้ยินไม่ชัดจึงเงยหน้าขึ้นมามองใบหน้าหวานด้วยสีหน้าสงสัยถามย้ำเพิ่มความกระจ่าง
“เมื่อกี้ว่ายังไงนะ”
หญิงสาวรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที
“เปล่าค่ะ ไม่ได้ว่าอะไรนะ พี่ทัพได้ยินว่าอะไรเหรอ” ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นอย่างมีพิรุธ
ใบหน้าคมยกยิ้มมุมปากพลางหัวเราะในใจ ณชาไม่เคยโกหกได้เลยสักครั้ง เธอมักจะทำตาโตพูดเร็วจนจับใจความแทบไม่ได้ ไหนจะปากสั่นเพราะกำลังคิดคำพูดอีก
“ไม่รู้สิ พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” มือหนาบรรจงติดพลาสเตอร์สีใสให้เป็นการปิดท้าย
ณชารีบชักมือตนเองออกจากการเกาะกุมของเขาเพราะรู้สึกร้อนที่ใบหน้า เคยคิดว่าจะไม่รู้สึกอะไรกับเขาได้แล้วแท้ๆ แต่เมื่อเจอหน้า ได้อยู่ใกล้ ได้สัมผัสความรู้สึกเดิมๆ ก็กลับมาอีกครั้งหนึ่ง
ห้ามความรู้สึกตนเองไม่ได้เลย เหมือนน้ำวนที่หาทางออกไม่เจอ จะไปต่อก็ไม่ได้ จะเดินถอยหลังก็หาทางกลับไม่เจอทำได้เพียงอยู่ที่เดิมในสถานะเดิมไม่อาจเปลี่ยนแปลง
“เสร็จแล้ว ถ้าอย่างนั้นป้อนขอตัวก่อนนะคะ มีธุระต่อด้วยคงไม่ได้อยู่คุยกับพี่ทัพ เสียดายจังเลย ไปก่อนนะคะ” ร่างบางจะลุกขึ้นแต่แล้วกลับเซจำต้องนั่งลงที่เดิมเพราะฝีมือของใครบางคนซึ่งเป็นชายหนุ่มสุดหล่อผู้นั่งกลางใจลูกสาวเจ้าของร้านแห่งนี้
ใบหน้าหวานหันมามองเขาแววตามีคำถามเต็มไปหมด
กองทัพเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องทำเช่นนี้ รู้เพียงแค่เห็นอีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะไปก็ไม่อาจทนได้
..เขาเรียกว่าหวงก้างหรือเปล่านะ
“รีบไปไหน ไม่ได้เจอกันตั้งนานไม่คิดถึงพี่เหรอ” ครั้งสุดท้ายที่เจอกันคือหน้าร้านกาแฟที่เขาไปปรับความเข้าใจกับเธอแต่สุดท้ายก็ไม่เข้าใจกันอยู่ดี
ณชาเดินจากไปในขณะที่เขาทำเพียงแค่มองตาม ผ่านไปไม่นานก็รู้ข่าวจากแม่ว่าน้องบินไปเรียนต่อที่อเมริกาโดยไม่มีแม้คำร่ำลา
เขาโกรธ..จนตัดขาดการติดต่อจากเธอ
แต่ครั้งนี้ที่มาเห็นหน้าได้มองอีกครั้งหัวใจพลันรู้สึกประหลาด มันเต้นแรงกว่าทุกครั้งยามได้สบดวงตาหวาน
“ทำไมป้อนต้องคิดถึงพี่ทัพด้วยคะ” เอ่ยถามน้ำเสียงน้อยใจ ก่อนไปก็มีเรื่องมากมายที่ไม่เข้าใจกันแต่ที่ชัดเจนในความรู้สึกคือกองทัพไม่ได้รักเธอ เขาเห็นเธอเป็นแค่น้องสาวและน้องสาวคนนี้ก็ยังยอมพลีกายให้โดยที่ชายหนุ่มไม่รับรู้แม้แต่น้อย
“ไม่รู้สิ ก็ป้อนชอบพี่ไม่ใช่เหรอ” เขาพูดได้หน้าตาเฉย
แตกต่างจากณชาที่หน้าแดงอย่างห้ามไม่อยู่ เธอจะเถียงแต่ก็พูดไม่ออกจึงทำเพียงแค่อ้าปากปิดปากไปมาเหมือนปลาทองกำลังจะงับอาหาร แก้มพองลมนั้นน่ารักจนอดยิ้มออกมาไม่ได้
เขาแกล้งเธอ!
ณชาโวยวายอยู่ในใจคนเดียวไม่อาจเถียงอะไรออกไปได้ก่อนจะลุกขึ้นหวังออกจากห้องและครั้งนี้กองทัพก็คว้าแขนไว้เช่นเดิมแต่ที่เปลี่ยนไปคือเขาดึงณชามานั่งบนตักของตัวเองจนร่างบางซึ่งไม่ทันตั้งตัวอ้าปากเหวอ ลำคอตีบตันพูดอะไรไม่ออกหัวใจก็เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังเสียงดังจนกลัวว่าชายหนุ่มจะได้ยิน
กองทัพยกยิ้มมุมปากสมใจรับรู้ได้ถึงอาการเกร็งของคนบนตัก แอบโอบกอดเธอเอาไว้จากด้านหลังแล้วเลื่อนใบหน้าไปกระซิบข้างหูเธอเสียงแหบพร่า
“พี่คิดถึงป้อนนะ”
ปัง ปัง ปัง
เสียงพลุดังขึ้นข้างหูเธอก่อนดวงตาจะพร่าเบลอมองอะไรแทบไม่เห็น
..เมื่อกี้พี่ทัพพูดว่าคิดถึงเธออย่างนั้นเหรอ เขาคิดถึงเธอจริงๆ ใช่ไหม
ในหัวใจสับสนจนไม่อาจเรียบเรียงความคิดออกมาได้
..ที่บอกว่าคิดถึงหมายความตามนั้นจริงหรือ
กองทัพเองเมื่อเห็นน้องเงียบก็แอบอมยิ้มก่อนชะงัก ใบหน้าคมยื่นเข้าไปสูดดมที่ซอกคอขาว คิ้วหนาได้รูปขมวดเข้าหากันทันที
คุ้นอย่างประหลาด
“กลิ่นนี้มัน..” เอ่ยออกมาเสียงแผ่วแต่เพราะห้องเงียบทำให้อีกฝ่ายได้ยิน
ณชาที่ตกอยู่ในภวังค์ของตนเองหันมามองเขาทำให้แก้มของตนโดนเข้ากับจมูกโด่งของกองทัพอย่างไม่ได้ตั้งใจ ร่างบางชะงักก่อนจะรีบลุกขึ้นทันทีด้วยใบหน้าที่แดงจัด
‘สัมผัสที่แก้มก็คุ้น’
คิดไม่ตกจนใบหน้าที่เคยอมยิ้มเครียดขรึม สายตาคมจ้องไปที่ดวงตาหวานอีกครั้งอย่างค้นคว้า
..เธอกำลังปิดบังอะไรเขาอยู่หรือเปล่า
“เอ่อ มีอะไรคะ” จากที่เขินอายเมื่อเห็นสายตาของเขาก็เปลี่ยนอารมณ์โดยพลัน เหมือนอีกฝ่ายกำลังสงสัยอะไรบางอย่างและเธอก็ร้อนตัวจนออกอาการ
“เราเคย..ช่างมันเถอะ พี่อาจจะคิดไปเอง” ลุกขึ้นยืนก่อนจะยกมือขึ้นดูเวลา
..บ่ายกว่าเสียแล้วทั้งที่เมื่อสักครู่พึ่งเที่ยงครึ่งแท้ๆ
ชายหนุ่มพรูลมหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย ไม่อยากเข้าออฟฟิศเลยแต่งานที่กองท่วมโต๊ะก็ไม่อาจเพิกเฉยได้
จากที่สงสัยว่าณชาอาจจะเป็นผู้หญิงคนนั้นก็ถูกปัดไปทันที
..ไม่มีทางหรอก เธอไม่ยอมเอาตัวเข้าแลกเพื่อความรักแน่นอน
ยืนยันในใจอย่างหนักแน่นแล้วยกมือขึ้นลูบศีรษะเล็กราวย้อนไปหลายปีก่อนที่พี่ทัพยังคงเป็นพี่ทัพคนเดิม ไม่มีสายตารำคาญมีเพียงสายตาซึ่งเต็มไปด้วยความห่วงหาที่สั่นคลอนหัวใจเสียเหลือเกิน
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ” การกระทำเพียงเท่านี้กลับกินใจเธอเสียจนต้องหลุบตามองพื้น
..อันตรายเกินไปแล้ว
แค่เขาทำดีเพียงนิดหน่อยก็ทลายกำแพงที่เพียรสร้างมาหลายปีลงอย่างง่ายดาย ผู้ชายคนนี้มีอิทธิพลกับเธอมากเกินไป
มือหนาลดลงแนบข้างลำตัวแต่สัมผัสเมื่อครู่ยังคงติดตรึงในใจของณชา เธอเงยหน้ามองเขาก่อนจะยิ้มให้
“ป้อนก็ดีใจที่ได้กลับมา”
ทั้งสองมองตากันก่อนทุกอย่างจะถูกทำลายไปด้วยผู้มาใหม่ กองทัพมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจก่อนหัวใจจะกระตุกเมื่อชายหนุ่มพุ่งตรงมาที่ณชาก่อนคว้ามือบางขึ้นมาดูอย่างถือสิทธิ์
“ป้อนเป็นอะไรไหม พี่ตกใจแทบแย่โทรหาก็ไม่รับสาย” คุณหมอตฤณยกมือแฟนสาวขึ้นมาดูพลางสำรวจด้วยใบหน้าเคร่งขรึมอย่างน้อยครั้งจะเป็น
ณชามองหน้าเขาก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงใสแล้วส่ายหน้าปฏิเสธ รีบเสียจนมีเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้าคม
“แค่แก้วบาดเองค่ะ ไม่เป็นไรแล้ว”
“ถึงแผลจะนิดเดียวแต่ถ้ามันทำให้ป้อนเจ็บพี่ก็เจ็บไปด้วย”
คำพูดและแววตาที่แสดงออกถึงความห่วงใยเกินพี่น้องทั่วไปทำให้กองทัพเริ่มจะเดาความสัมพันธ์ของทั้งคู่ออก เขาจ้องมองใบหน้าหวานทันทีเห็นแววส่องประกายในดวงตานั้นหัวใจพลันเจ็บจี๊ดเหมือนมีหนามมาทิ่มอย่างแรง
หมายความว่าอย่างไร..เขากำลังหวงเธออย่างนั้นหรือ
“แล้วพี่หมอมาได้ยังไงคะ ไม่มีตรวจเหรอ” ถามกลับด้วยความสงสัย
“พี่โทรหาป้อนแล้วมีคนรับสายแทนบอกว่าคนดื้อโดนแก้วบาดพี่ก็รีบขับรถมาหา แล้วหลังจากนี้ก็ว่างทั้งวันพอที่จะพาป้อนไปชอปปิงได้”
คุณหมอฝากคนไข้ไว้กับเพื่อนอีกคน ช่วงบ่ายเขาไม่มีเคสผ่าตัดด่วนมีเพียงเคสธรรมดาไม่หนักหนาเท่าไหร่ แต่ก็บอกพยาบาลเอาไว้ว่าถ้ามีเรื่องด่วนให้โทรหาได้ตลอด
“ใจดีจังเลยนะคะ”
มองสองหนุ่มสาวหยอกล้อกันราวเขาเป็นส่วนเกินกองทัพก็ไม่อาจทนอยู่เฉยได้ มือหนากำแน่นด้วยอารมณ์หลากหลาย เขาจับความรู้สึกตนเองไม่ถูกว่าตอนนี้เป็นอะไร หัวใจมันคันยุบยิบก่อนจะเจ็บเหมือนมีมือมาบีบคั้นแล้วผ่อนแรงลงหากไม่นานก็กลับมารัดแน่นอีก
เขากำลังหึงรึเปล่า..
ไม่หรอก จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไงในเมื่อระหว่างเขากับณชาเป็นเพียงแค่พี่น้องกัน ไม่มีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาว แต่ว่ากลิ่นนั้นยังติดอยู่ที่ปลายจมูกและความสงสัยก็ยังไม่คลายเพียงแค่ถูกปัดออกไปในตอนนี้
หากรอให้คนมาใหม่หันมามองเขาคงไม่ได้ไปไหนกันพอดี กองทัพกระแอมเสียงดัง
“อะแฮ่ม”
จนทั้งสองคนหันมาสนใจ คุณหมอมองด้วยแววตาประหลาดใจก่อนจะยิ้มให้ทันทีในขณะที่ณชาเองกลับรู้สึกเหมือนเด็กทำความผิด
บ้าน่า..เธอทำอะไรผิดกัน
“จะไม่แนะนำให้พี่รู้จักหน่อยเหรอ” กองทัพเอ่ยถามณชาที่ยังคงยืนเงียบ เหลือบมามองคุณหมอที่ยืนข้างกายพลางเม้มปากแน่น ถ้าแนะนำว่ารุ่นพี่ที่รู้จักคงไม่ดีแน่ แต่ให้บอกว่าเป็นแฟนเธอก็ไม่อยากให้กองทัพเข้าใจแบบนั้น
..ป้อนข้าวเธอมันผู้หญิงหลายใจและกำลังจะทำตัวเหมือนปลายฟ้า!
“พี่หมอคะนี่พี่ทัพค่ะ”
กองทัพโค้งศีรษะให้คุณหมอเล็กน้อยซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มรับแล้วหันมามองณชา เธอมีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อยแต่ก็ยิ้มให้หมอตฤณ
“นี่พี่หมอตฤณค่ะ เป็นแฟนป้อนเอง”
เกิดความเงียบขึ้นภายในห้องจนคุณหมอตฤณสังเกตได้ บรรยากาศแปรเปลี่ยนเป็นความอึดอัดอย่างเห็นได้ชัดเมื่อสองหนุ่มสาวเลือกที่จะเงียบ คนกลางที่ไม่รู้เรื่องอะไรจึงเอ่ยขึ้นทำลายบรรยากาศ
“สวัสดีนะครับ ใช่พี่ชายของป้อนหรือเปล่า” ประโยคแรกหันไปบอกกองทัพส่วนประโยคหลังก็หันมาถามแฟนสาวที่มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ไม่ใช่หรอกครับ ผมเป็นลูกชายของเพื่อนน้าลิซ แม่ป้อนน่ะครับ เรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว”
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าที่คำพูดเหมือนจะเป็นการอวดกรายๆ แต่หมอตฤณก็ไม่อยากคิดมากจึงทำเพียงยิ้มรับให้การขยายความของกองทัพ
“ขอบคุณที่ทำแผลให้ป้อนนะครับ บ่ายกว่าแล้วป้อนอยากไปไหนเดี๋ยวพี่พาไป ตอนเย็นจะได้ไปไหว้แม่ป้อนด้วยกลับมายังไม่ได้ไปหาท่านเลย”
กองทัพกลายเป็นคนนอกอีกครั้งเมื่อคุณหมอหันไปคุยกับณชา
..เขาไม่อยากรู้สึกแบบนี้เลย ความรู้สึกที่เหมือนตนเองไม่เป็นที่ต้องการ
“ค่ะ” ณชาตอบรับเล็กน้อยแล้วหันไปสบตากองทัพที่เรียบเฉย ก่อนหน้านี้เขายังมีสีหน้าสดใสอยู่เลย
“ผมขอตัวนะครับ พอดีมีงานต่อ พี่ไปนะ”
คุณหมอยิ้มให้ส่วนณชาก็ยกมือขึ้นโบกลา
กองทัพออกมาจากห้องนั้นด้วยความรู้สึกจะเจ็บปวดก็ไม่ใช่น้อยใจก็ไม่เชิง เขาแค่อยากดึงร่างบางออกห่างจากผู้ชายคนนั้นแล้วย้ำกับเธอว่าคนที่เธอชอบคือเขา
..แน่ใจได้ยังไง เขามั่นใจได้ยังไงว่าณชายังชอบตนเองอยู่
ในเมื่อผู้ชายคนนั้นตอกย้ำถึงความพ่ายแพ้ของเขา ไม่มีอะไรแน่นอนอีกต่อไปความรู้สึกของณชาก็เช่นเดียวกัน แต่เมื่อสักครู่เธอก็ยังทำทีเหมือนมีใจให้อยู่เลยไม่ใช่หรือ
..มันเป็นอย่างนี้ได้ยังไง ต้องมีอะไรที่ผิดพลาดแน่
กองทัพสับสนเกินกว่าจะคิดอะไรออก เขาขึ้นรถขับออกไปด้วยความเร็วก่อนจะต้องชะลอเพราะการจราจรติดขัด
..เฮ้อ
ไม่มีอะไรได้ดังใจเลยสักอย่าง!
๓ช้าไปไหมเวลาเย็นอย่างนี้คุณผู้หญิงของบ้านวิจิตรประภามักจะเข้าครัวเพื่อดูแลอาหารเย็นสำหรับสามีและลูกชายคนโต โดยไม่ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ของนักรบซึ่งขับเข้ามาภายในบ้านเสียงดังร่างสูงอยู่ในชุดนักศึกษาซึ่งผิดจากระเบียบของทางมหาวิทยาลัยกำหนดเอาไว้ เสื้อสีขาวแขนสั้นปล่อยชายเสื้อออกจากกางเกงไหนจะกางเกงยีนส์สีดำจนมองแล้วไม่แน่ใจว่าได้ผ่านการซักมาบ้างหรือเปล่านักรบไม่ได้มาคนเดียวแต่เขายังพาเพื่อนสนิทอีกคนมาด้วย อีกฝ่ายมีใบหน้าพิมพ์นิยมที่สาวชอบไม่ว่าจะเป็นใบหน้าตี๋ที่ค่อนไปทางน่ารัก ผิวขาวสว่าง รูปร่างสูงโปร่งไม่ค่อยมีมัดกล้ามเพราะไม่ได้ออกกำลังกายเหมือนเพื่อน นักรบกอดคออีกฝ่ายเดินเข้ามาภายในบ้านพอเห็นไร้คนก็ชวนเพื่อนขึ้นบนห้องทันทีสองหนุ่มมาเพื่อเอาของสำคัญก่อนจะรีบกลับไปช่วยกันปั่นงานที่ได้รับมอบหมายต่อหลังกำกับแม่ครัวเพื่อให้ทำอาหารเย็นเสร็จ เปมิกาออกเดินออกมาที่โถงกลางบ้านพบรถมอเตอร์ไซค์ของพ่อลูกชายตัวดีก็นึกเอะใจ“เอ๊ะ รถตารบ”‘มาตั้งแต่เมื่อไหร่’ไม่เห็นพ่อตัวดีกลับบ้านมากว่าหนึ่งสัปดาห์ครั้นจะกลับมาก็ไม่ได้บอกกล่าวก่อนเลย ไปขลุกอยู่แต่คอนโดไม่ก็หอพักของเพื่อนจนแทบลืมหน้าลูกชายเ
๔สัญญาณเตือนร่างบางเงยหน้าขึ้นมองตึกสูงระฟ้าอันเป็นที่ทำงานใหม่ของตนเอง บริษัท วิจิตร จำกัด (มหาชน) มีสำนักงานใหญ่อยู่ใจกลางกรุงและมีสาขาย่อย อยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศครอบคลุมทุกการก่อสร้าง ใบหน้าหวานถอนหายใจอย่างหนักหน่วง เธอไม่อยากเข้าไปใกล้กองทัพ ไม่อยากโคจรมาเจอเขาแต่ก็เป็นไปได้ยากไหนแม่จะสนิทกันอีกทั้งตอนนี้ยังสร้างพันธะให้เกิดขึ้นด้วยคำว่าเจ้านาย-เลขานุการณชาจำต้องสูดลมหายใจเรียกพลังในตัวก่อนเดินเข้าไปภายในตึก เวลาเช้าแบบนี้ทำให้มีพนักงานไม่มากนัก ลิฟต์ก็ไม่แออัดอย่างที่ควรเธอจึงครองแต่เพียงผู้เดียว ร่างบางหันไปสำรวจตนเองในกระจกอีกครั้งเพื่อตรวจตราความเรียบร้อยผมยาวถูกถักเปียอย่างสวยงามโดยมารดาที่เข้ามาดูแลการแต่งตัว เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนแขนยาวสวมทับด้วยกระโปรงสีขาวเข้ารูปแนบไปกับลำตัว นางสาวณชาตรงหน้าแตกต่างจากณชาโดยสิ้นเชิง เธอไม่คิดว่าตนเองจะดูภูมิฐานขนาดนี้มาก่อนเมื่อถึงชั้นที่ต้องการประตูลิฟต์เปิดออกทำให้พบกับเหล่าผู้มาสมัครกว่าห้าชีวิตซึ่งนั่งรอก่อนหน้าเธอแล้ว..ให้ตายเถอะ ไหนบอกว่าทำชั่วคราวไง ทำไมคนเยอะขนาดนี้คิดในใจแต่ก็เดินไปหยิบใบสมัครมากรอกประวัติ มีอย่างที่ไหนสมั
๕วันคืนหวนมาวันนี้เป็นวันแรกที่ณชาต้องมาทำงานในฐานะเลขาชั่วคราวของหัวหน้าฝ่ายการตลาดอย่างกองทัพร่างโปร่งบางราวนางแบบอยู่ในชุดเดรสยาวเพียงเข่าสีครีมสวมทับด้วยสูทเข้ารูปสีเข้ม ผมยาวถูกปล่อยสยายกลางแผ่นหลังยามก้าวเดินเหมือนมีผีเสื้อโบยบินรอบตัวเธอก้าวเข้ามาภายในแผนกทุกคนให้การทักทายและต้อนรับอย่างเป็นกันเอง กว่าจะปลีกตัวมาที่โต๊ะประจำหน้าห้องหัวหน้าได้ก็ใช้เวลาพอสมควร เธอมองเอกสารตรงหน้าแล้วถอนหายใจ ไม่ชอบการทำงานเอกสารเอาเสียเลยแต่จะขัดมารดาได้อย่างไรท่านย้ำนักย้ำหนาให้เรียนรู้งานเพื่อจะได้เป็นประสบการณ์ติดตัวบ้าง ชีวิตเธอได้อะไรมาง่ายเกินไปไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องเงินแต่ที่ยากก็เห็นจะมีเพียงเรื่องความรัก..ไล่ตามมาหลายปีก็ยังไม่ได้เสียที“ค่ะพี่ตฤณ ป้อนถึงที่ทำงานแล้วค่ะ” รับสายจากแฟนหนุ่มที่โทรมาถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง เมื่อวานที่เห็นเขารอข้างล่างตกใจจนเกือบทำกระเป๋าตก จำได้ว่าไม่เคยบอกเรื่องที่ทำงานแล้วเขารู้ได้อย่างไรกระทั่งกลับไปบ้านถึงได้รู้ว่ามารดาเป็นคนบอกคุณหมอคนหล่อเอง‘พี่ก็ถึงแล้วเหมือนกัน ไว้เจอกันตอนเย็นนะ’ณชาคงไม่รู้ว่าตอนนี้ปลายสายฉีกยิ้มอย่างมีความสุขมากเพียงใดที
๖เตือนความจำณชาขึ้นบนบ้านโดยไม่รับประทานอาหารเย็นเพราะเลยเวลามามากแล้วอีกอย่างคือเธอกินอะไรไม่ลงหลังผ่านเหตุการณ์เมื่อสักครู่มา..กองทัพจูบเธอ..เขาทำแบบนี้ทำไม ระหว่างทางก็นึกมาตลอดแต่ไม่สามารถหาเหตุผลมารองรับได้เขาเห็นเธอเป็นของตายที่อยากทำอะไรก็ได้อย่างนั้นเหรอ..เธอเป็นคนไม่มีชีวิตจิตใจหรือไง..บางครั้งก็ทำเย็นชาไม่สนใจ บางครั้งก็เข้าหาอย่างไม่มีเหตุผลราวต้องการล้อเล่นกับความรู้สึกสับสนจนคิดอะไรไม่ออกจึงไปชำระร่างกายตนเองแต่งชุดนอนออกมายืนที่ระเบียงของห้องเหม่อมองท้องฟ้าที่มืดสนิทเห็นเพียงพระจันทร์เสี้ยวก๊อก ก๊อก ก๊อก“เข้ามาเลยค่ะไม่ได้ล็อก” เสียงประตูเปิดโดยที่ณชาไม่ได้หันไปมอง เธอยังคงนั่งเล่นอยู่ที่ระเบียงคนเข้ามาใหม่จึงเดินมานั่งด้วย“วันนี้กลับดึกนะ”หันมามองพี่ชายแล้วถอนหายใจทันที เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้เจอกันนักหรอกเพราะพี่เปเปอร์ หรือนายนนกุล พิบูลกนกกลายเป็นผู้ช่วยผู้กำกับควบด้วยตำแหน่งผู้จัดละครงานหนักจนแทบไม่มีเวลาพัก ยิ่งบิดามีค่ายสร้างละครเป็นของตนเองก็ไม่ค่อยได้กลับบ้าน“คิดถึงจังเลย ขอน้องกอดหน่อย” เข้าไปกอดพี่ชายที่เต็มใจรับอ้อมกอดจากน้องสาวดูจากหน้าก็รู้ว่าณชามี
๗คือเธอวันเสาร์อาทิตย์ที่หยุดไปยังไม่อาจทำให้ณชาลืมเลือนเรื่องวันนั้นได้ เธอตื่นมาด้วยความคิดอยากลาออกจากงานอีกครั้งทั้งที่ยังทำได้ไม่ถึงเดือน หากบอกมารดาท่านจะต้องเทศน์เป็นการใหญ่แน่เพราะฉะนั้นเงียบไว้ดีที่สุด แค่ทนไปอีกไม่นานหน้าที่นี้ก็คงจบลงแล้ว คิดดังนั้นก็พอจะงัดตนเองขึ้นจากเตียงเดินเข้าห้องน้ำได้บ้าง“ทำไมวันนี้ลงมาช้ากว่าปกติ” คุณศลิษาเอ่ยถามบุตรสาวเพราะเห็นว่าลงมาสายกว่าปกติถึงสิบห้านาที ร่างบางถอนหายใจอยากเอ่ยเรื่องคับอกแต่จำต้องเก็บเอาไว้“เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับเลยตื่นสายค่ะ” ข้อแก้ตัวฟังขึ้นแต่มารดาไม่ค่อยเชื่อจึงหรี่ตามองบุตรสาวตนเองพยายามจับผิด“ไม่ใช่ขี้เกียจไปทำงานนะ” ดูเหมือนว่าณชาจะทำอะไรคนเป็นแม่ก็รู้ไปหมดทุกอย่างร่างบางรีบส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธทั้งที่ในใจตอบรับไปแล้ว ใบหน้าหวานแสร้งยิ้มหวานหยดย้อยเกินความจำเป็นก่อนพูดปดให้คุณศลิษาฟัง“ใครจะไปขี้เกียจได้คะ งานดีเจ้านายดีเงินเดือนดีขนาดนี้ อยากทำงานทุกวันเลยค่ะ”พูดเกินจริงแบบนี้คนแก่กว่าก็ตกลงใจว่าลูกสาวคงขี้เกียจจริงดังที่คิดจึงได้แต่ส่ายหน้ารับประทานอาหารเช้าไปเงียบๆ บนโต๊ะยาวที่มีเก้าอี้กว่าสิบตัวแต่ถูกจับจอง
๘แย่งชิงกองทัพเดาะลิ้นมองตฤณแล้วแสยะยิ้มราวกับไม่สนใจในสิ่งที่คนตรงหน้าต้องการจะสื่อทั้งที่ในใจก็รู้สึกผิด คำพูดของน้องชายแวบเข้ามา‘คนที่ใช่ถ้ามาในเวลาที่ไม่ใช่ มันก็ไม่ใช่เคยได้ยินไหมพี่’เขาคือคนที่ใช่ซึ่งมาผิดเวลา..แต่แล้วยังไงล่ะ เขาจะทำให้ทุกอย่างมันใช่เองแหละ“เลิกยุ่งกับป้อนเถอะครับ ระหว่างคุณสองคนขอให้อยู่ในสถานะเจ้านายกับลูกน้อง”หนุ่มนักบริหารยกกาแฟขึ้นจิบทำท่ากวนจนคุณหมอต้องข่มอารมณ์โกรธเอาไว้“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าผมกับป้อนมีอะไรเกินเจ้านายลูกน้อง คิดไปเองหรือเปล่าครับคุณหมอ” วางแก้วกาแฟลงแล้วยกมือกอดอกอีกครั้งราวต้องการปกปิดความรู้สึกบางอย่างตฤณกำมือแน่น เขารักณชาจนไม่อาจทนเสียเธอไปได้จึงยอมทิ้งศักดิ์ศรีมาขอร้องผู้ชายคนนี้ที่กำลังจะเข้ามาทำลายความสัมพันธ์ที่เขาพยายามรักษาเอาไว้“หรือว่าป้อนบอกคุณแล้ว” ทำท่าตกใจเกินจริงราวกับต้องการยั่วให้หมอโมโห“ว่าที่จริงคนที่ป้อนรักคือผมไม่ใช่คุณ”ตฤณตบโต๊ะเสียงดังลุกขึ้นจ้องมองกองทัพอย่างหาเรื่อง อยากตรงเข้าไปคว้าคอเสื้อคนตรงหน้าไว้แล้วชกสักหมัดแต่ก็ต้องห้ามใจหันมองโดยรอบผู้คนเริ่มแตกตื่น ทั้งพนักงานที่ทำเหมือนจะเข้ามาช่วยไกล่เกล
๙เธอจะดีหรือร้ายตั้งแต่วันนั้นก็ผ่านมากว่าหนึ่งสัปดาห์ทว่ากองทัพยังไม่ได้เดินหน้าอย่างที่บอกกับหมอตฤณเหตุก็เนื่องมาจากงานเยอะแทบไม่มีเวลากระดิกตัวณชาเองก็ไม่ต่างกันเธอต้องจัดเตรียมเอกสารทั้งนัดลูกค้าให้เจ้านายไหนจะติดต่องานกับแผนกอื่น วันเสาร์อาทิตย์ที่เคยได้หยุดอยู่บ้านก็จำต้องลุกจากที่นอนเพื่อมาทำงานกระทั่งวันนี้ที่งานทั้งหมดสิ้นสุดลงผ่านสัปดาห์นรกไปแล้วร่างบางก็ถอนหายใจด้วยความเหนื่อย อยากลาออกใจจะขาดแต่ก็ทำไม่ได้เพราะมีมารดาถือแส้ยืนรออยู่บ้านไหนจะเงินที่ต้องกินต้องใช้อีก คนเราอยู่ได้เพราะเงินจริงๆช่วงที่ผ่านมาณชายุ่งจนแทบไม่ได้คุยกับคุณหมอแต่เขาก็ขยันโทรหาไม่มีขาดจนรู้สึกผิดกับชายหนุ่ม ครั้งนี้ก็เช่นกันที่โทรมาแต่เช้า“ค่ะพี่ตฤณ”‘ถึงที่ทำงานรึยังครับ’มองนาฬิกาก็โคลงศีรษะเล็กน้อยก่อนจะอมยิ้ม โทรมาเวลาเดิมเหมือนทุกวันราวกับว่าตั้งเวลาสำหรับโทรหาเธอไว้อย่างนั้นแหละ“ถึงแล้วค่ะ พี่ตฤณถึงรึยังคะ” ณชาคงไม่รู้ว่าคำถามเพียงประโยคเดียวก็สามารถทำให้คุณหมอสุดฮอตของโรงพยาบาลยิ้มออกมาได้‘ถึงนานแล้วครับ พี่กำลังจะไปตรวจคนไข้’ “อ๋อ ถ้าอย่างนั้นพี่ตฤณตรวจคนไข้เถอะค่ะ ป้อนไม่กวนแล้ว” ขณะ
๑๐ทวงคืนบนรถยนต์คันหรูมีเพียงความอึดอัด ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอีกหลังจบประโยคของปลายฟ้าณชาเหม่อมองข้างนอกแต่ใจกลับล่องลอยกลับไปยังอดีตที่ขื่นขม ในขณะที่เธอเป็นนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งคณะนิเทศศาสตร์มหาวิทยาลัยแห่งเดียวกับกองทัพและปลายฟ้าทว่าแทบไม่เคยเห็นสองคนนั้นเลย หากไม่ใช่ตนพยายามเข้าไปในวงโคจรของกองทัพเอง“เสียดายถ้าเราว่างจะชวนทัพไปกินข้าวด้วยกันสักหน่อย” คนข้างหลังเขยิบไปใกล้กองทัพมากขึ้นพลางถามด้วยใบหน้าแสนเสียดายณชาแอบมองแล้วเบ้ปากไม่ให้ทั้งสองคนเห็น“เอาไว้คราวหน้าดีไหม เราจะไปหาทัพถึงที่ทำงานเลย”ร่างบางที่เงียบมานานก็ได้โอกาสเปิดปากพูดด้วยใบหน้าเหนือกว่า“ช่วงนี้พี่ทัพงานยุ่งมากเลยค่ะคงไม่ค่อยมีเวลาให้พี่ปลายเท่าไหร่ หรือถ้าจะมาก็โทรถามป้อนก่อนนะคะจะได้ดูตารางงานพี่ทัพให้ว่าว่างหรือเปล่า”ปลายฟ้าหันมามองแววตาสงสัยแต่ไม่ได้ถามออกไปจนณชาต้องไขความกระจ่าง“ตายแล้ว พี่ปลายคงยังไม่รู้ว่าตอนนี้ป้อนเป็นเลขาให้พี่ทัพน่ะค่ะ”กองทัพมองสองสาวที่แม้น้ำเสียงจะราบเรียบแต่วาจากลับเชือดเฉือนกันจนกลัวว่าจะมีการฆาตกรรมเกิดขึ้นบนรถคันนี้“อ๋อ จริงเหรอคะ ดีใจด้วยแล้วกันนะแต่ก็แค่เลขาแหละค่ะคงไ
ตอนพิเศษ...หนีเที่ยวงานแต่งระหว่างกองทัพและณชาจัดขึ้นอย่างใหญ่โตขัดกับความต้องการของทั้งสองที่อยากได้แบบเรียบง่าย ทว่าหน้าที่การงานไม่เอื้ออำนวยในเมื่อเจ้าบ่าวเป็นถึงคณะกรรมการของบริษัทมีคนนับหน้าถือตา ทั้งยังคู่ค้าที่ติดต่อกันมานานหากจะไม่เชิญก็กระไรอยู่“เฮ้ยไอ้เอิร์ธ มึงกลับมาแล้วเหรอวะ” ขณะที่ยืนรอต้อนรับแขกที่ด้านหน้างานดวงตาคมก็เห็นเพื่อนสนิทใส่สูทผูกไทด์ผมที่เคยรุงรังหรือหนวดเคราครึ้มก็ถูกจัดการจนกลับมาหล่อเกินหน้าเกินเจ้าของงาน สองหนุ่มก่อนกันเนื่องจากไม่พบกันเกือบสามปีครึ่ง“กูแค่มางานแต่งมึง เดี๋ยวก็บินกลับแล้ว” กองทัพแทบจะปรบมือให้ในความทุ่มเทของอีกฝ่ายเพราะขนาดน้องแท้ๆ ยังปฏิเสธจะมาร่วมงานแต่งของพี่มันเลย“ดีใจที่มึงมา งานนี้ขอซองหนักๆ” ตบบ่าหนาเต็มแรงไปหนึ่งที“ได้ เดี๋ยวกูขอไปซื้อหินมาใส่ซองก่อนแล้วกัน” รั้งไว้แทบไม่ทันเพราะดูเหมือนสัตวแพทย์หนุ่มจะทำจริงอย่างที่ว่า ณชามองพี่ชายทั้งสองพลางอมยิ้มมีความสุข กระทั่งพณณกรหันมาหาน้องสาวคนสนิท“ลงเอยกับมันสักทีนะเรา หลังจากร้องไห้มานาน” จะเอื้อมมือขึ้นไปลูบศีรษะเจ้าสาวก็โดนเจ้าบ่าวจับมือเอาไว้ก่อน“ตามองมืออย่าต้องครับ เจ้าสาวก
สุขสันต์วันปีใหม่ เทศกาลที่หลายคนรอคอยมาถึงอีกครั้งแม้ประเทศจะไม่ใช่เมืองหนาวทว่าประชาชนส่วนใหญ่ก็ทำตัวให้กลมกลืนได้อย่างไม่น่าเชื่อเมื่อออกมาจากบ้านแล้วเจอผู้คนสวมเสื้อแขนยาวท่ามกลางแดดร้อนกว่าสามสิบสามองศา การคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยาไม่น่าเชื่อถืออีกครั้ง เมื่อประกาศว่าจะหนาวจนปากสั่นแต่สิ่งที่ได้รับคือร้อนตับแทบแตก ยิ่งทำงานกลางแดดด้วยแล้วแม้จะโบกครีมกันแดดทับด้วยสเปรย์มาหนามากแค่ไหน เพียงเหงื่อไหลก็ดูเหมือนว่ามันจะหลุดออกโดยง่ายไม่เหมือนกับที่โฆษณาเอาไว้สักนิด “พักกองค่ะ” เสียงช่างภาพดังขึ้นพร้อมปาดเหงื่อที่ไหลออกมาตามไรผม วันนี้ออกมาถ่ายรูปพรีเวดดิงที่สวนสาธารณะในยามที่พระอาทิตย์ตรงศีรษะเหตุผลเพราะคุณเจ้าสาวและคุณเจ้าบ่าวมีเวลาจำกัด เสร็จจากนี่ก็ต้องไปแจกการ์ด ไหนจะต้องบินไปต่างประเทศเพื่อเชิญบรรดาเพื่อนสนิทแทบหาเวลาให้ช่างภาพไม่ได้ จนต้องเลือกเอายามพระอาทิตย์ส่องแสงแรงกล้าที่สุด “แค่สิบนาทีได้ไหมคะ บ่ายสองพวกเราต้องไปจิบน้ำชากับท่านผู้ว่าจังหวัดสุพรรณ” ฝ่ายเจ้าสาวในชุดกระโปรงยาวเฟื้อยตะโกนบอกจนต้องกัดฟันตอบรับ “ได้ค่
ตอนพิเศษ...หวานใจของนายไข่ตุ๋น เคยคิดหลายครั้งว่าหากวันนี้มาถึงเธอจะเป็นอย่างไร วันที่เพื่อนคนสนิทอย่างตฤณ..แต่งงาน ณัชชาเดินเข้ามาภายในโรงแรมด้วยหัวใจหนักอึ้งขาทั้งสองแทบก้าวไม่ออกอันที่จริงมันเป็นมานานนับตั้งแต่วันที่ได้รับการ์ดจากเจ้าบ่าวแล้ว ใบหน้าคมมีรอยยิ้มประดับดวงตาก็ส่องประกายเจิดจ้าอย่างน่าอิจฉา วันนี้เธออยู่ในชุดเดรสแขนตุ๊กตาสีชมพูยาวเพียงเข่า เพราะไม่ค่อยมีเวลาไปซื้อชุดจึงต้องขอยืมจากน้องสาวมาใส่ก่อน ใบหน้าหวานยังคงมีแว่นตาบดบังและผมยาวก็ปล่อยสยายกลางหลัง ริมฝีปากอวบอิ่มเคลือบด้วยลิปกลอสสีชมพูวาว ใบหน้าที่เคยไร้สีดูสดใสขึ้นมาเล็กน้อยเพราะได้น้องสาวช่วยเพิ่มสีสันให้ทว่าก็ยังคงจืดจางเมื่อรวมกับคนหมู่มาก มือเล็กเซ็นในสมุดอวยพรบ่าวสาวแล้วหย่อนซองลงในกล่องก่อนหยิบของชำร่วยเป็นพวงกุญแจรูปหัวใจสองดวงคล้องกัน เก็บมันลงกระเป๋าทันทีแล้วก้าวเข้าไปภายในงานพยายามสูดลมหายใจเรียกกำลังให้ตนแต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อเห็นคู่บ่าวสาวยืนอยู่หน้าแบ๊กดร็อปในจังหวะที่เจ้าบ่าวช่วยเช็ดเหงื่อให้เจ้าสาวด้วยความอ่อนโยน หัวใจสั่นไหวจนอยากจะหันหลังออก
ตอนพิเศษหมอตฤณกับต้นหนาว นาฬิกาบ่งบอกเวลาตีสามทว่าชายหนุ่มที่อยู่ภายในผับยังคงนั่งดื่มเหล้าราวเป็นน้ำเปล่าไม่รู้สึกระคายคอสักนิด พนักงานหันมองหน้ากันไปมาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรจนกระทั่งผู้จัดการเดินไปแจ้งลูกค้าหน้าใหม่ให้รู้ว่าร้านปิดแล้วเขาจึงวางเงินเอาไว้พร้อมเดินเซออกไปทางประตู “รถอยู่ไหน” ร่างสูงพยายามเพ่งมองรถยนต์ของตนเอง หลับตาลืมตาอยู่หลายครั้งเพราะดูอย่างไรก็มองอะไรไม่ชัดสักอย่าง แถมรู้สึกเหมือนศีรษะเอนไปเอียงมาพยายามทำให้หัวตั้งตรงด้วยการเอนไปทางด้านขวาก่อนจะพบว่าไม่ตรงเลยสักนิด เขาจึงลองเอนหัวมาทางด้านซ้ายแทน ก็ไม่ตรงอีกถ้าอย่างนั้นควรทำอย่างไรดีถึงจะมองตรงได้ คุณหมอหนุ่มตัดสินใจล้มตัวลงนอนบนพื้นเพราะทนความหนักของศีรษะไม่ไหว “อ่า ตรงแล้ว” ใบหน้าคมยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะรู้สึกพะอืดพะอมจนต้องรีบลุกขึ้นนั่งแล้วโก่งคออาเจียนเต็มที่โดยไม่รู้เลยว่าตอนนี้กำลังนั่งอยู่หน้าลานจอดรถของผับที่ตนเองมาตั้งแต่สามทุ่ม เมื่อรู้สึกโล่งจึงล้มตัวนอนที่เดิมมือหนาคว้าสะเปะสะปะก่อนจะสัมผัสได้ถึงขนนุ่มนิ่มก็คว้าเข้าไปกอดคลายหนาวทันที ไม่รู้ส
ตอนพิเศษ...รักเธอได้ยินไหมเด็กหญิงหุ่นอวบเดินเข้ามาภายในโรงเรียนด้วยท่าทีมั่นอกมั่นใจ เธอรวบรวมกำลังใจเพื่อที่วันนี้จะได้ทำภารกิจอันสำคัญอากาศยามเช้าแสนจะสดใสราวทุกอย่างเปิดสว่างให้กับความรักของเธอ ณชารู้จักความรักครั้งแรกคือสิ่งที่เรียกว่า ‘ขนม’ เธอหลงรักมันอย่างถอนตัวไม่ขึ้นแต่ก็มักจะโดนเพื่อนล้อว่าตัวอ้วน กินแต่ของหวานฟันผุ กระทั่งได้รู้จัก ‘พี่ทัพ’ ผู้ชายที่ทำให้คำว่ารักของเธอเปลี่ยนไป‘อร่อยก็กินสิ เดี๋ยวพี่กินเป็นเพื่อน’จากที่เคยคิดจะลดของหวานณชาก็ยิ้มร่าหยิบเค้กชิ้นโตขึ้นมากินอย่างมีความสุข ผู้ชายตรงหน้าเธอมีหุ่นที่ไม่ต่างกันมากนัก แววตาของเขาทอประกายความสุขและนั่นเองทำให้เด็กหญิงที่ไม่ประสาเรื่องความรักหัวใจเต้นแรงจนต้องเดินไปถามมารดา“แม่ขา ป้อนหัวใจเต้นเร็วมากเลย แม่จับดู ป้อนจะตายไหมคะ” จับมือคุณแม่มาไว้ที่หัวใจเพื่อรับรู้อัตราการเต้นคุณศลิษาหัวเราะบุตรสาวก่อนจะลูบศีรษะน้อยๆ“ไม่ตายหรอกค่ะ อาการแบบนี้เขาเรียกว่าตกหลุมรัก”ตอนนั้นเธอไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร แต่มักจะเกิดขึ้นเมื่อได้สบตากับพี่กองทัพเสมอและเมื่อโตขึ้นเธอจึงได้เข้าใจคำว่าตกหลุมรักที่คุณแม่บอกเด็กหญิงชวนพี่ชาย
ตอนพิเศษ...เมื่ออดีตมือหนาเลื่อนขึ้นไปปิดน้ำที่ไหลรดกายก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวพันบริเวณเอวไม่ลืมหยิบผ้าขนหนูพื้นเล็กเช็ดศีรษะที่ชุ่มไปด้วยน้ำ ใบหน้าคมเข้มหล่อเกินวัยทำเอาสาวหลายคนใจละลายมานักต่อนัก ดวงตาเรียวยาวเพียงแค่ปรายตามองก็พานให้หัวใจสั่นไหว จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากเรียวราวอิสตรีเพียงเท่านี้ก็ทำให้กองทัพ วิจิตรประภากลายเป็นหนุ่มหล่อที่ถูกกล่าวขานไปทั่วมหาวิทยาลัย“อื้อ ทัพ ตื่นเร็วจัง” สาวสวยหุ่นเพรียวลุกขึ้นจากที่นอนคว้าเสื้อคลุมมาสวมทับปกปิดร่างกายของตนเองจากสายตาคมกริบที่ทำให้หัวใจสั่นไหวทุกครั้งที่มอง“ผมมีเรียนเช้า คุณนอนต่อเถอะ” คนตัวเล็กกว่าเดินเข้ามากอดเขย่งปลายเท้าขึ้นจุมพิตปลายคางอย่างน่ารักจนอดใจไม่ไหวต้องคว้ามากอด เธอน่ารักขี้อ้อนจนเขายอมทำทุกอย่างขอแค่ได้มาครอบครอง ยอมแม้กระทั่ง..เป็นชู้..“อือ ตอนเย็นเจอกันนะคะ” ใบหน้าหวานยิ้มจนตาเป็นสระอิ ความน่ารักนี้ที่เขาหลงใหล รอยยิ้มแสนหวานที่มักมอบให้ ชอบเหลือเกิน ชอบจนไม่อาจจะตัดใจได้ทั้งที่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนของเพื่อนสนิท เพื่อนที่เป็นทั้งญาติไม่อาจจะตัดกันขาด“เดี๋ยวเราจะทำของที่ทัพอยากกินไว้รอ” เธอเดินมาส่งเขาท
ตอนพิเศษ...วันฮาโลวีนเทศกาลส่งท้ายเดือนตุลาคมที่กำลังฮิตในประเทศคือวันฮาโลวีน เด็กนักเรียนวัยอนุบาลและประถมต่างจัดเต็มมาในชุดผีน้อยแสนน่ารักหรือบางคนพ่อแม่ก็จัดให้เกินคำว่าน่ารักจนเพื่อนร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวและวันฮาโลวีนก็กำลังเป็นประเด็นฮอตให้หมู่นักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ถกเถียงกัน นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งต้องไปเข้าค่ายที่ต่างจังหวัดซึ่งงบประมาณที่เขียนขอไปกับทางคณะไม่เพียงพอ จึงต้องช่วยกันเปิดหมวกหาเงินโดยใช้เทศกาลของต่างประเทศให้เป็นประโยชน์โดยการจับเพื่อนในคณะมาแต่งชุดผีเพื่อขอรับบริจาคกระจายไปตามจุดต่างๆ ที่มีคนพลุกพล่านกองทัพเดินลงจากอาคารเรียนด้วยใบหน้าราบเรียบ เขาไม่มีแผนจะไปที่ไหนต่อนอกจากบ้านของตนเอง ง่วงเกินกว่าจะออกไปกินลมชมวิวข้างนอกตามคำชักชวนของเพื่อนร่วมคณะ เมื่อคืนเขานั่งอ่านรายงานเพื่อจะมาพรีเซนต์จะแทบไม่ได้นอนขณะเดินไปที่รถกลับมีผู้หญิงนุ่งชุดไทยวิ่งตัดหน้าจนคนตัวสูงสะดุ้ง“แฮ่!” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ ทำเอาจากความหวาดกลัวแปรเปลี่ยนเป็นความรำคาญทันทีเมื่อรู้ว่าเธอคือใคร“เล่นบ้าอะไร สนุกมากเหรอ” ไม่ได้ตวาดเสียงดังแต่ประโยคนั้นก็ทำร้ายจิตใ
๒๘รักจะอยู่กับเราไปนิรันดร์ย้อนกลับไปสามชั่วโมงที่แล้วณชาเดินเข้ามาภายในสนามบินสุวรรณภูมิด้วยใบหน้าเรียบเฉย เธอต้องบินไปอิตาลีอันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนหรอกเพราะขอวีซ่าไว้ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วเพียงแค่ไม่ได้บอกใครเท่านั้น เธอมีกำหนดไปแค่หนึ่งสัปดาห์เพราะต้องไปถ่ายรูปงานแต่งให้เพื่อนสนิทถือโอกาสไปเที่ยวเพื่อพักผ่อนจิตใจหลังต้องทำงานหนักเพราะกองทัพมาหลายเดือนห้าเดือนที่เธอกลับมาอยู่ประเทศไทยเขาสม่ำเสมอตลอด เช้ามาหาเย็นมารับประทานอาหารด้วยบางครั้งก็ไปนั่งเฝ้าที่ร้านขนมของแม่ยามเธอไปทำงาน หรือหากออกกองกับพ่อกองทัพก็จะแวะไปหาอ้างว่าซื้อของมาให้คุณพิชาภพแต่ทุกคนก็รู้ดีว่าแท้จริงแล้วเป็นของใครเขาแสนดีขนาดนี้จนเธอเริ่มอ่อนไหว ใครจะไปทานทนได้ไหนจะมารดาที่เล่าเรื่องชายหนุ่มให้ฟังว่าซื่อสัตย์เพียงใดใจดวงนี้ก็อ่อนยวบลงทันที ทว่าเมื่อคิดถึงเรื่องที่เขาเคยทำก็อดใจแข็งขึ้นมาไม่ได้ อยู่คนเดียวก็มีความสุขดีอยู่แล้วจึงเลิกคิดเรื่องของกองทัพร่างบางเช็กอินเสร็จก็เดินไปยังร้านกาแฟเดี๋ยวนี้เธอค่อนข้างเสพติดคาเฟอีนต้องดื่มทุกวันไม่อย่างนั้นจะรู้สึกไม่สดชื่น ระหว่างที่เดินออกจากร้านสายตาก็บังเอิญเ
๒๗ไม่ยอมแพ้ณชานั่งทำงานอยู่ภายในร้านกาแฟของมารดา ยกแก้วคาปูชิโนขึ้นจิบแล้วเร่งแต่งรูปภาพให้ทางผู้ว่าจ้างอย่างขะมักเขม้นแต่แล้วก็นึกถึงเรื่องที่เพิ่งได้รู้จากปากของต้นหนาวน้องสาวของปลายฟ้า..จริงแค่ไหนกันนะใบหน้าหวานครุ่นคิดอย่างสับสนจำได้ว่ายามค่ำคืนกองทัพมักจะออกไปข้างนอกโดยอ้างเหตุผลร้อยแปดจนเธอหลงเชื่ออย่างสนิทใจว่าเขามีธุระและเพิ่งได้รู้ทีหลังว่าธุระของเขาก็คือการไปอยู่กับปลายฟ้า หัวใจของเธอแทบจะขาดออกจากกัน มันปวดหนึบหายใจแทบไม่ออกเมื่อได้รู้ความจริงจากที่เคยคิดว่าเขารักความรู้สึกก็แปรเปลี่ยนไป ทุกวันที่อยู่ด้วยกันณชาต้องแสร้งทำเหมือนไม่เจ็บทั้งที่อดระแวงไม่ได้ว่าชายหนุ่มจะไปหาอดีตคนรักอีกเมื่อไหร่ แม้จะบอกตัวเองว่าเวลาที่เหลือขอเก็บเกี่ยวความสุขครั้งสุดท้ายเอาไว้แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันไม่ได้มีเพียงความสุขเท่านั้นทว่ามันแฝงไปด้วยความเจ็บปวดที่บาดลึกลงไปในใจทุกวันณชาเลือกจะเดินออกมาจากชีวิตของเขาตัดขาดการติดต่อทุกช่องทางบินไปรักษาแผลใจไกลถึงต่างประเทศ ไปยังสถานที่เรียน ไปเจอเพื่อน รู้จักคนใหม่ๆ หญิงสาวลงเรียนถ่ายภาพอย่างจริงจังตามความชอบของตน รู้สึกสนุกจนลืมเรื่องทุกข์ใจเปิดโ